8 ตอน 08.
โดย oceanofstars
08.
ดาริกามานอนอยู่ที่บ้านใหม่ของตัวเองเกือบทั้งอาทิตย์ และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับอันธิกามากกว่าเดิมหลายเท่า เนื่องจากดาริกาทำอาหารไม่เป็น เมื่อเอ่ยปากถามเรื่องอาหารตั้งแต่วันที่ไปฝากท้องกับข้าวไข่เจียวหมูสับ อันธิกาก็รีบรับอาสาทำข้าวเช้ากับเย็นให้เป็นพิเศษอย่างกระตือรือร้น ทุกเช้าอันธิกาจะเตรียมอาหารเบาๆ อย่างข้าวต้มเครื่องหมูสับ หรือข้าวต้มขาวพร้อมกับข้าวง่ายๆ สองสามอย่าง ส่วนมื้อเย็น จะเป็นดาริกาที่เดินออกไปนั่งเอ้อระเหยจนกระทั่งอันธิกากับจุ๋มปิดร้าน แล้วกินมื้อเย็นพร้อมกัน
เช้าวันนี้ดาริกาตื่นมาล้างหน้าล้างตา แล้วเดินลงมาเตรียมกาแฟให้ตัวเองทั้งที่อยู่ในชุดนอน ระหว่างที่รอกาแฟให้หยดผ่านกระดาษกรอง ก็ได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้าน ดาริกาจึงคว้าผ้าคลุมไหล่มาคลุม แล้วเดินทอดน่องออกไปเปิดประตูหน้าบ้าน เมื่อประตูเปิดออก ก็เห็นอันธิกายืนถือปิ่นโตเถาหนึ่งรออยู่ ดาริกายิ้มกว้างให้อีกฝ่าย และเอ่ยทักอย่างสดใส
"คุณอันมาแต่เช้าเชียวนะคะ"
"อันรีบทำกับข้าวมาให้ก่อนค่ะ เพราะเดี๋ยวที่ร้านจะยุ่ง" อันธิกาตอบพลางยื่นปิ่นโตให้ "วันนี้เป็นข้าวต้มขาวกับหมูสับปลาเค็มทอด ต้มจับฉ่าย แล้วก็ผัดผักบุ้งนะคะ"
"ขอบคุณค่ะ"
ดาริการับปิ่นโตมา และหยิบหนังสือพิมพ์ที่สอดอยู่ในกล่องรับหน้าบ้านมาถือไว้ ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอันธิกาหลบสายตาของตัวเองแปลกๆ แก้มขาวนวลมีรอยเลือดฝาดสีชมพู ก่อนจะระลึกได้ว่าชุดนอนที่สวมอยู่ค่อนข้างบาง และแนบเนื้อ ดาริกามองคนที่ยังหน้าแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเหมือนหยอกล้อน้อยๆ
"วันนี้ดาแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลยเนอะคะ"
"อันขอตัวก่อนนะคะ ยังมีงานต้องเตรียมอีกหลายอย่างเลยค่ะ"
อันธิกาตัดบทแล้วรีบเดินกลับไป ส่วนเจ้าของบ้านที่ทำคนอื่นใจคอไม่ดีกลับหัวเราะเบาๆ แล้วปิดประตูหน้าบ้านลงกลอน ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน ในใจยังคิดถึงท่าทางของอันธิกาอย่างเอ็นดู หญิงสาวเจ้าของร้านขายข้าวแกงเป็นคนขี้อาย แค่แกล้งพูดหยอกด้วยคำพูดกำกวม หรือจ้องมองตรงๆ เข้าหน่อย อันธิกาก็อายจนหน้าตาแดงก่ำ แต่ท่าทางเหล่านั้นกลับน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของดาริกา
เห็นกี่ครั้ง ดาริกาก็รู้สึกน่ารักจนอยากจะแกล้งให้หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
หญิงสาวมองดูสิ่งต่างๆ ในบ้านของตัวเองอย่างอารมณ์ดี เมื่อนั่งลงกางหนังสือพิมพ์อ่านพร้อมกับดื่มกาแฟเสร็จ หญิงสาวก็ลงมือจัดการมื้อเช้า เมื่อเห็นในปิ่นโต จัดเรียงกับข้าวมาอย่างสวยงาม ก็นึกถึงคนที่เตรียมกับข้าวมาให้ ที่เคยบอกกับดาริกาตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาส่งปิ่นโต
'อันตั้งใจทำให้เต็มที่เลยค่ะ หวังว่าคุณดาจะทานแล้วอร่อย เป็นการเริ่มต้นวันที่ดีนะคะ'
เสียงใสๆ ของอันธิกายังคงอยู่ในความทรงจำ ปกติดาริกาไม่ค่อยใส่ใจเรื่องอาหารนัก เพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่บ้านค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย ยิ่งโดยเฉพาะวันที่คุณพ่ออยู่ร่วมโต๊ะด้วย ทำให้ดาริกาไม่เคยนึกถึงการกินอาหารในเรื่องที่นอกเหนือไปจากการกินเพื่อให้หายหิว แต่ตั้งแต่ได้รู้จักกับอันธิกา ความรู้สึกต่อการกินอาหารของดาริกาก็เปลี่ยนไป
ช่วงมื้อเช้า แม้จะนั่งกินข้าวเพียงลำพังที่บ้าน แต่ดาริกาก็รู้สึกเหมือนว่าคนที่ทำกับข้าวมาให้มานั่งกินด้วยกัน เพราะอีกฝ่ายจัดปิ่นโตมาอย่างตั้งใจ ตอนเที่ยงก็เดินออกไปนั่งกินข้าวเที่ยงที่ร้านของอันธิกา ดูหญิงสาวกับจุ๋มทำงานไปเรื่อยๆ อย่างคล่องแคล่ว หลังมื้อเที่ยงขณะที่ร้านข้าวแกงยังยุ่งอยู่ ดาริกาก็จะเดินไปเล่นกับหนูส้มซ่า และหนูบัวตูมของเจ๊แมว ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปนั่งอ่านหนังสือจนถึงเย็น แล้วค่อยเดินออกไปนั่งรออันธิกากับจุ๋มปิดร้าน
มื้อเย็นทุกวันนี้ของดาริกาเป็นอาหารเรียบง่าย อันธิกาทำกับข้าวง่ายๆ สองสามอย่างกินพร้อมกับจุ๋ม ทุกเย็นจะมีข้าวหุงสุกใหม่ๆ หอมนุ่ม กับข้าวรสชาติกลมกล่อม และเพื่อนร่วมโต๊ะที่แลกเปลี่ยนเรื่องราวในแต่ละวัน ทำให้มื้อเย็นของดาริกาอบอุ่น และเป็นสุข
หญิงสาวจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย แล้วก็ล้างปิ่นโตคว่ำไว้ให้แห้ง หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์ที่รับมาวันนี้ทั้งหมดแล้ว ดาริกาก็หอบเอาสมุดบัญชีเงินฝาก และเอกสารต่างๆ ลงมานั่งทำบัญชีเงินรายรับ รายจ่ายประจำเดือนของตัวเองที่ห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นตัวเลขแล้ว หญิงสาวก็ถอนหายใจเล็กน้อย เพราะตัวเองใช้เงินไปไม่น้อยในเดือนที่แล้ว ถ้าชุติได้เห็นบัญชีรายจ่ายเข้า คงต้องบ่นจนดาริกาหูชาไปหลายวัน
แต่ดาริกาคิดคนละอย่างกับชุติ น้องสาวฝาแฝดของดาริกามักจะอุ่นใจกับการเห็นตัวเลขในบัญชีงอกเงย ส่วนดาริกากลับรู้สึกว่าเงินที่ตัวเองมี เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ซื้อความสุข หญิงสาวจึงไม่คิดมากนัก เมื่อต้องใช้จ่ายเงินเพื่อของที่ตัวเองต้องการ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดาริกาก็กัดปลายปากกาหมึกซึมราคาแพงที่ถืออยู่ เพราะคิดได้ว่าชุติมีความคิดคล้ายคลึงกับอันธิกาไม่น้อย หญิงสาวคนนั้นทำงานตัวเป็นเกลียว แต่เงินทองกลับแทบไม่กระเด็นออกจากกระเป๋า นิสัยในส่วนนี้ค่อนข้างเหมือนกับชุติ ถ้าทั้งคู่ได้พบกัน คงเข้ากันได้ดีไม่น้อย
ความคิดนี้ทำให้ดาริกาถึงกับชะงักไป หญิงสาวนึกตกใจที่ตัวเองคิดไปจนถึงเรื่องว่าอันธิกาจะเข้ากับคนในครอบครัวได้ดีหรือไม่ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอันธิการู้สึกกับตัวเองอย่างไรกันแน่
แสงแดดยามสายของวันค่อยๆ ส่องลอดม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนั่งเล่น ดาริกาลุกไปวางแผ่นเสียงลงบนเครื่องเล่น และนอนเอนลงบนโซฟา พร้อมกับหยิบหนังสือเรื่อง Pride and Prejudice ที่อ่านจบไปแล้วหลายรอบมาเปิดสุ่มๆ แล้วอ่านต่ออย่างสบายใจ
**
เพ็ญโพยมหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นบิดากำลังยืนพูดคุยอยู่กับสามีที่ลานจอดรถด้านหลังโรงพยาบาล เพื่อนพยาบาลที่สนิทกับเพ็ญโพยมแอบมากระซิบบอก หญิงสาวจึงฝากงานไว้กับเพื่อนสนิท แล้วรีบวิ่งกระหืดกระหอบไปตามที่เพื่อนบอก เมื่อเห็นเพ็ญโพยมเข้า บิดาก็ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์
"อ้าว! ยายเพ็ญ รีบวิ่งมาเชียวหรือ พ่อเห็นว่าแกกำลังขึ้นเวร เลยไม่ได้ไปกวน"
เพ็ญโพยมเหลือบมองหน้าสามีที่มีสีหน้าเป็นปกติ แต่ใจหายวาบเมื่อเห็นบิดาเอาธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทหลายใส่ในกระเป๋าเสื้อ
"พ่อไปก่อนนะ ไม่รบกวนคุณหมอล่ะ"
"ครับคุณพ่อ"
บิดาของเพ็ญโพยมเดินจากไปขึ้นรถรับจ้างที่จอดรออยู่ หลังจากรถคันนั้นเคลื่อนไปไกลแล้ว คุณหมอศรุตเห็นภรรยาหน้าซีดเผือด ก็เอื้อมมือไปบีบมือบอบบางของเพ็ญโพยมไว้เบาๆ ก่อนจะเอ่ยปาก
"ปกติคุณพ่อมาขอเงินเพ็ญบ่อยหรือ"
"ก็ถ้าเงินไม่พอใช้ คุณพ่อก็จะมาค่ะ" เพ็ญโพยมเอ่ยเลี่ยง ไม่กล้าบอกสามีตามตรง "พี่ศรุตให้เงินคุณพ่อไปเท่าไหร่คะ เพ็ญจะคืนให้ค่ะ"
"ไม่ต้องหรอกเพ็ญ เงินไม่ได้มากมายอะไร แต่พอดีวันนี้คุณพ่อมาที่โรงพยาบาล บอกว่าจะมาขอพบผม ผมก็ยังแปลกใจว่ามีเรื่องอะไร"
"ขอโทษนะคะ"
"ไม่ต้องขอโทษหรอกเพ็ญ ผมแค่เป็นห่วง เพ็ญให้เงินคุณพ่อรายเดือนก็มากอยู่แล้ว ถ้าคุณพ่อมาขอเพิ่มอีก เพ็ญจะพอใช้หรือ"
หมอศรุตมองหน้าภรรยา แต่เพ็ญโพยมหลบสายตา ดวงตากลมโตเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"เพ็ญก็พยายามประหยัดค่ะ ถ้าคราวหน้าคุณพ่อมาขอเงินพี่ศรุตอีก พี่ศรุตบอกเพ็ญนะคะ"
"แล้วน้องอันเขาไม่ได้ช่วยเพ็ญจ่ายเงินให้คุณพ่อเลยหรือ"
เพ็ญโพยมส่ายหน้า หญิงสาวพูดไม่ออกว่าตนเองไม่มีหน้าที่จะไปขอเงินน้องสาวให้มาช่วยจุนเจือบิดา เนื่องจากอันธิกาต้องย้ายออกจากบ้านไปเพราะไม่อยากให้พี่สาวกับพี่เขยขายหน้าที่ตัวเองทำอาชีพขายข้าวแกง มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตา แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่มั่นคงขึ้น
"อันเขาไม่มีเงินหรอกค่ะ ไปเช่าบ้านขายข้าวแกง แค่ค่าเช่ากับค่าลงทุนขายของ ก็ได้กำไรไม่มาก เขาเลี้ยงตัวเองยังจะไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ"
หมอศรุตเองก็พอทราบว่า ญาติๆ ของตัวเองทำให้เพ็ญโพยมหนักใจไม่น้อย เพราะแม่ และน้าๆ ของหมอไม่ค่อยพอใจที่ครอบครัวของเพ็ญโพยมไม่มีเงินทองมากนัก รวมทั้งรู้สึกว่า น้องสาวของเพ็ญโพยมทำอาชีพค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีหน้าตาเท่ากับครอบครัวของหมอที่ทำกิจการขายยารักษาโรค และเป็นหมอ เป็นเภสัชกรกันหลายคน
ถึงเพ็ญโพยมจะไม่บอกเหตุผลที่น้องสาวย้ายออกจากบ้านไป แต่ศรุตก็พอเดาได้ว่าเป็นเพราะคำพูดของแม่กับน้าๆ ที่ไล่บี้เอากับเพ็ญโพยมโดยอ้างว่าเป็นห่วงหน้าตาของศรุต และตัวเพ็ญโพยม
"เพ็ญ" หมอศรุตบีบมือภรรยาเบาๆ "พี่รู้ว่าครอบครัวพี่ทำให้เพ็ญลำบากใจ บางครั้งพี่ไม่ได้ออกหน้าแทนเพ็ญ เพราะถ้าพี่พูด หม่าม้าก็จะหาว่าพี่เข้าข้างเพ็ญ แล้วเพ็ญก็จะลำบากมากขึ้น เพ็ญเองก็ไม่ได้อยากให้พี่ลำบากใจเลยไม่บอก แต่ถ้าเพ็ญมีอะไร เพ็ญบอกพี่ได้นะ เราสองคนไม่ใช่คนอื่น ถ้าเพ็ญไม่สบายใจ พี่ก็ไม่สบายใจเหมือนกัน"
"ค่ะ"
เพ็ญโพยมสบตาสามี หญิงสาวรู้สึกขอบคุณ แต่ในใจลึกๆ ก็ยังรู้สึกว่า ต่อให้หมอศรุตที่เป็นสามีของตัวเองจะยินดีดูแล ปกป้องมากแค่ไหน แต่วันหนึ่งหมอศรุตก็อาจจะเปลี่ยนไป เหมือนที่บิดาของเธอเปลี่ยนแปลงไปหลังจากมารดาเสียชีวิต
แม้จะรู้สึกดีใจที่ได้รับคำปลอบโยนจากสามี แต่กลับไม่สามารถวางใจได้อย่างเต็มที่เลยแม้แต่นิดเดียว
**
"คุณอันคะ เดี๋ยวเย็นๆ จุ๋มกลับมานะคะ"
จุ๋มพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใส วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เด็กสาวจะออกไปเรียนตัดเสื้อ สัปดาห์นี้จุ๋มวัดเอวอันธิกาไปเรียบร้อย และจดใส่กระดาษเอาไว้สำหรับเป็นข้อมูลไปเรียนตัดกระโปรง เข้าคู่กับเสื้อที่ตัดให้อันธิกาเสร็จแล้ว อันธิกากวาดถูร้านอยู่ ก็ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจดี ก่อนเอ่ยปาก
"ตั้งใจเรียนนะจุ๋ม ฉันจะรอใส่กระโปรงที่จุ๋มตัดให้"
"จุ๋มจะตั้งใจสุดฝีมือเลยค่ะ รับรองได้ค่ะ"
"ดีแล้วล่ะ จุ๋มมีเงินค่ารถหรือเปล่า" อันธิกาพูดพลางหยิบธนบัตรใบละยี่สิบบาทมายื่นส่งให้จุ๋ม "เอานี่ไปสิ ไว้จ่ายค่ารถ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะคุณอัน จุ๋มมีค่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอกน่า เอาไปเถอะ" อันธิกายัดเงินใส่มือของเด็กสาว "รีบไปเถอะ ประเดี๋ยวจะสายนะ"
"ขอบคุณนะคะคุณอัน"
อันธิกายกมือรับไหว้เมื่อเด็กสาวไหว้ขอบคุณ หญิงสาวยืนส่งจุ๋มไปเรียนตัดเสื้อจนลับตา ก่อนจะเก็บกวาดทำความสะอาดร้านต่อ เพราะเมื่อวานตอนเย็นดาริกาบอกว่าจะรับข้าวเที่ยงทีเดียว ไม่รับข้าวเช้า อันธิกากินข้าวเช้าง่ายๆ กับจุ๋มเป็นข้าวต้มขาวกับผัดผักคะน้า แล้วก็ตัดสินใจทำความสะอาดร้านอย่างละเอียด
แม้ทุกวันจะทำความสะอาดอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเป็นร้านอาหาร ในร้านก็อาจจะมีคราบมันจากอาหารที่หกบนโต๊ะ หรือพื้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง การเช็ดถูทุกวันก็เป็นเพียงการทำความสะอาดพื้นฐาน เมื่อมีวันหยุด อันธิกาจึงพยายามลงมือเก็บกวาดเช็ดถูทุกซอกทุกมุม เพื่อรักษาความสะอาดภายในร้าน ให้ลูกค้าที่เข้ามานั่งรับประทานอาหารรู้สึกว่าร้านสะอาดสะอ้าน และสบายใจ
อันธิกาทำความสะอาดเสร็จราวสิบโมงเช้า ผ้าเช็ดโต๊ะ ผ้าเช็ดพื้นถูกแยกซัก ตากรับแดดเรียบร้อย หญิงสาวจึงเริ่มต้นลงมือทำอาหารเที่ยงของตัวเองกับคุณดาริกา วันนี้อันธิกาทำไข่เจียวหมูสับของโปรดของดาริกา
อาหารอีกอย่างที่อันธิกาทำเป็นแกงจืดหมูบะช่อกับผักกาดขาว ใส่วุ้นเส้น เมื่อแกงสุกดี อันธิกาก็ตักใส่หม้อเคลือบ โรยผักขึ้นฉ่ายเล็กน้อยเพิ่มความหอม หญิงสาวคดข้าวที่หุงสุกร้อนๆ ใส่ปิ่นโต ก่อนจะเดินหิ้วกับข้าวทั้งหมดปิดร้านเดินไปบ้านดาริกา
แต่เมื่อไปถึง อันธิกาก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะเห็นคนงานหลายคนกำลังเดินออกจากบ้านของดาริกา หญิงสาวชะเง้อมองดูภายในบ้าน และเห็นเจ้าของบ้านเดินออกมาพอดี ดาริกายิ้มแป้น ก่อนจะเดินมาช่วยอันธิกาถือของเข้าบ้าน
"ดากำลังจะเดินไปรับคุณอันพอดีเลยค่ะ แต่พอดีเขาเอาของมาส่ง เลยยังไม่ได้ไป"
"อันเห็นว่าจะเที่ยงแล้ว เลยยกข้าวมาให้เลยค่ะ" อันธิกาตอบ พลางมองดูคนงานที่ออกไป ขณะที่เจ้าของบ้านปิดประตูใหญ่ "คุณดาให้เขาเอาอะไรมาส่งหรือคะ"
"อ๋อ เปียโนน่ะค่ะ" ดาริกาตอบแล้วยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของอันธิกา "แปลกใจอะไรขนาดนั้นคะคุณอัน เห็นดาไม่เอาไหนแบบนี้ ก็พอเล่นเปียโนเป็นแบบถูๆ ไถๆ นะคะ"
"อันไม่ได้ว่าคุณดาเล่นไม่ได้ค่ะ แต่อันแค่ไม่นึกว่าคุณดาเล่นเปียโนเป็นด้วย"
"คุณแม่บังคับให้เรียนค่ะ" ดาริกาตอบแล้วหัวเราะขณะที่วางหม้อเคลือบลงบนโต๊ะทานข้าว "เพราะเพื่อนคุณแม่เขาบอกว่า ถ้าเล่นเปียโนเป็น จะดูเป็นลูกผู้ดีเต็มตัว คุณแม่เลยหาครูมาสอนค่ะ ดา ชุ แล้วก็น้องศินก็เลยต้องเรียน แต่น้องศินกับชุเขาเรียนได้แป๊บเดียว ก็เลิกค่ะ เพราะไม่ชอบ แต่ดาเรียนๆ ไปก็สนุกดี ก็เลยเรียนไปเรื่อยๆ เพิ่งเลิกเรียนตอนเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ"
"แล้วเปียโนนี่ซื้อใหม่หรือคะ"
อันธิกาถามขณะที่จัดกับข้าวใส่จาน เตรียมสำหรับมื้อเที่ยงของตัวเองกับดาริกา
"ไม่ใช่หรอกค่ะ เป็นหลังที่อยู่ที่บ้านล่ะค่ะ วางไว้ก็ฝุ่นจับเปล่าๆ ไม่มีคนใช้ ดาเลยให้ยกมาไว้ใช้ที่นี่เลยจะดีกว่าค่ะ"
"ดีเลยนะคะ คุณดามานั่งทานข้าวเถอะค่ะ"
อันธิกาเรียกเมื่อเจ้าของบ้านยังลูบๆ คลำๆ เปียโนหลังใหญ่ที่ยกมาวางตรงหน้าประตูกระจกทางออกไปสวนเล็กๆ ข้างบ้าน หญิงสาวเจ้าของบ้านเดินกลับมาอย่างว่าง่าย และนั่งลงข้างๆ กับอันธิกา
"กับข้าวน่ากินทุกอย่างเลยนะคะเนี่ย"
"คุณดาบ่นอยากทานไข่เจียวนี่คะ อันเลยทำมาค่ะ"
"แกงจืดนี่ก็อร่อยค่ะ ฝีมือคุณอัน อร่อยทุกอย่างเลย"
ดาริกาเอ่ยชมอย่างจริงจัง ทำเอาคนที่โดนชมเขินจนหน้าแดง หญิงสาวตักแกงจืดใส่ถ้วยเล็กให้ดาริกา ทั้งคู่ลงมือกินมื้อเที่ยงด้วยกัน ดาริกาตักนั่นชิมนี่ และเอ่ยชมไม่หยุดปากว่า กับข้าวอร่อยมาก จนถึงกับเติมข้าวถ้วยที่สอง เมื่อกินข้าวอิ่ม ดาริกาก็ยกมือลูบท้องเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปาก
"คุณอันทำกับข้าวอร่อยขนาดนี้ ดาอดใจกินน้อยไม่ได้เลยค่ะ ตอนนี้ชักจะอ้วนแล้วนะคะ"
"ไม่อ้วนหรอกค่ะ คุณดาตัวเล็กนิดเดียว"
อันธิกาตอบ ก่อนจะชงชานมร้อนกับยกคุกกี้ในโหลที่ดาริกาซื้อมา มาให้หญิงสาวเป็นของหวานล้างปาก ดาริกาจิบชานมร้อน แล้วเอ่ยปาก
"ขนาดชานมร้อน ยังอร่อยเลยค่ะ"
"ชมอะไรขนาดนี้คะ" อันธิกาพูดพลางหัวเราะเบาๆ "เดี๋ยวอันเก็บของแล้วกลับเลยดีกว่าค่ะ คุณดาจะได้พักผ่อน"
"นั่งเป็นเพื่อนดาก่อนสิคะ วันนี้คุณอันก็ไม่ติดงานอะไรนี่นา"
ดาริกาพูดพลางยกมือขึ้นเท้าคาง เอียงคอมองคนที่ยังนั่งจิบชานมร้อนอยู่ข้างตัว เมื่อเห็นอันธิกาไม่มีท่าทีปฏิเสธ ดาริกาจึงยิ้มหวานให้อีกฝ่าย พลางมองสำรวจใบหน้าด้านของอันธิกา จมูกโด่งเชิดรั้น กับริมฝีปากบางเฉียบ ทำให้หญิงสาวตรงหน้าดูน่ารัก อ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยความดื้อรั้นบางอย่าง
เมื่ออันธิกาหันมาสบตากัน ดาริกาก็ไม่หลบสายตา เพียงแต่มองหน้าหญิงสาวตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ดวงตาของอันธิกาเป็นประกายสดใส จนดาริกาหลุดปากพูดออกไป
"คุณอัน อยากลองเล่นเปียโนดูไหมคะ"
"ไม่เอาล่ะค่ะ อันเล่นไม่เป็น"
อันธิกาวางถ้วยชา แล้วยกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ดาริกาหัวเราะเบาๆ ก่อนจับมืออันธิกาให้ลุกขึ้นเดินตามมาด้วยกัน เก้าอี้หน้าเปียโนของดาริกาใหญ่พอที่จะให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคนนั่งด้วยกันได้สบายๆ
เมื่อนั่งลงหน้าเปียโนแล้ว นิ้วเรียวยาวของดาริกาก็ค่อยๆ พรมลงบนแป้น เสียงดนตรีหวาน นุ่มนวล ดังขึ้นในห้องนั่งเล่น อันธิกามองดูนิ้วเรียวของอีกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว จากทำนองดนตรีที่อันธิกาไม่รู้จัก ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นท่อนสั้นๆ ของเพลงที่อันธิกาเคยได้ยินผ่านหู จนกระทั่งดาริกาเริ่มเล่นเพลงที่อันธิกาคุ้นหู
"ร้องด้วยกันนะคะ" ดาริกาพูดขณะที่ยังเล่นโน้ตในความทรงจำ แต่อันธิกากลับส่ายหน้า
"ไม่เอาค่ะ อันร้องไม่เป็น"
"ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ" ดาริกาหยุดมือ และมองคนข้างตัว "เราร้องเล่นๆ กันในบ้านเอง ไม่เห็นต้องอายเลยค่ะ นะคะ นะๆ"
ทั้งที่ดาริกาอายุมากกว่าหลายปี แต่กลับทำท่าออดอ้อนได้จนอันธิกาที่เป็นเด็กกว่าใจอ่อน สุดท้ายเลยต้องพยักหน้ารับอย่างขัดเขิน ดาริกาจึงเริ่มเล่นเปียโนเพลงเดิมอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มร้องเพลง
"พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ"
เสียงของดาริกานุ่มนวล เข้ากับเสียงเปียโน เมื่อร้องจบท่อนก็เหลือบตาเป็นเชิงให้อันธิการ้องท่อนต่อไปด้วยกัน ทั้งที่รู้สึกขัดเขินแต่อันธิกาก็ยอมร้องเพลงคลอไปเบาๆ ด้วยกัน
"เออ ชะรอยเธอเป็นเนื้อคู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ แต่ครั้งแรกเมื่อพบเธอ ใจนึกเชื่อเมื่อแรกเจอ ฉันและเธอคือคู่สร้างมา"
เสียงเปียโนหวานละมุน คลอไปกับเสียงร้องเพลงเบาๆ ของหญิงสาวสองคน ยิ่งเพลงใกล้จบ ดาริกาก็ยิ่งยิ้มอย่างพอใจที่เห็นใบหน้าหวานของอันธิกา มีรอยยิ้มบางๆ ขณะที่ร้องเพลงไปด้วยกัน เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายเล่นจบ ดาริกาก็หันไปมองอีกฝ่าย พร้อมกับรอยยิ้มที่แผ่ความสุขไปจนถึงดวงตา
"เห็นไหมคะ คุณอันร้องเพลงเพราะออก"
"ไม่เอาแล้วค่ะ ไม่ร้องแล้ว แค่นี้ก็อายจะแย่แล้วค่ะ"
แก้มของอันธิกาเป็นสีชมพูจางๆ จนน่ารักที่สุดในสายตาของดาริกา เจ้าของบ้านจึงเลิกล้อ เพราะกลัวว่าอันธิกาจะเขินจนหนีกลับบ้านไปเสียก่อน ดาริกาจึงชวนให้อันธิกา นั่งฟังตัวเองเล่นเปียโนต่ออีกหลายเพลง
แสงแดดส่องลอดผ้าม่านโปร่ง หญิงสาวสองคนนั่งชิดกัน ท่ามกลางเสียงเปียโนอ่อนหวาน
#ดุจดารานำทาง
Comments (0)