05.

 

                 ร้านตัดผมที่ดาริกาใช้บริการประจำอยู่ในซอยเอกมัย หญิงสาวมาตัดผมประจำที่นี่ เพราะเชื่อฝีมือตัดผมของร้านนี้ เจ้าของร้านไปร่ำเรียนการตัดผมมาจากประเทศอังกฤษ จึงฝึกหัดช่างในร้านให้ใส่ใจตั้งแต่การเลือกทรงผมให้เข้ากับบุคลิก และรูปร่างของลูกค้า และเพราะผมยาวประบ่าที่ตัดไว้รอบก่อนเริ่มยาวจนไม่เป็นทรง ดาริกาจึงตัดสินใจจองเวลาเข้ามาตัดผมให้เป็นทรงเสียใหม่ หลังจากสระผมเรียบร้อย ดาริกาก็กลับมานั่งกับช่างหน้ากระจกกับช่างประจำของเธอ เมื่อช่างลงมือหวีผมที่ชื้นอยู่เพื่อแบ่งช่อเตรียมตัด ช่างก็เอ่ยปากขึ้นดาริกาอย่างสนิทสนม

                 "ให้เก็บความยาวเอาไว้ไหมคะคุณดา หรืออยากให้สั้นเท่ารอบแรกที่ตัด"

                 "เอาเท่ารอบแรกก็ได้ค่ะ ผมสั้นก็สบายดี" ดาริกาพูดแล้วส่งยิ้มให้ผ่านกระจก "พอตัดผมสั้นแล้วติดใจค่ะ อยากตัดให้สั้นกว่าเดิมอีก"

                 "คุณดาทรงหน้าสวย จะตัดสั้น หรือไว้ยาวก็เข้ากับหน้าค่ะ"

                 ช่างตัดผมเอ่ยอย่างจริงใจ ดาริกาเองไม่ได้ชวนพูดคุยต่อ ช่างจึงลงมือตัดผมไปเงียบๆ ดวงตากลมโตของดาริกามองดูเงาสะท้อนของตนเองในกระจก ก่อนจะนึกถึงเรื่องชวนรำคาญใจที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้านี้ที่บ้าน

                 คุณศศิเอ่ยกับดาริกาและชุติในเช้าวันนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า จะแนะนำหลานชายของเพื่อนให้ชุติกับดาริการู้จัก เผื่อว่าถ้าหากต่างหากฝ่ายต่างถูกใจกันและกัน ก็จะได้สานต่อความสัมพันธ์กันไปได้ต่อไป เพราะเป็นคนที่คุณศศิเห็นว่าเหมาะสม

                 ดาริกาปฏิเสธมารดาอย่างไม่มีเยื่อใย ส่วนชุติแบ่งรับแบ่งสู้ แต่บอกเช่นกันว่าไม่ว่าง เพราะช่วงนี้มีงานที่บริษัทจำนวนมาก ไม่อาจปลีกตัวไปตามนัดได้ง่ายๆ คำตอบของลูกสาวทั้งสองคน ทำเอาคุณศศิหัวเสียแต่เช้า มารดาของดาริกาตำหนิขึ้นมาอย่างเหลืออด

                 'เราสองคนอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ป่านนี้ยังไม่แต่งงานไปอีก ถ้ายังรีรอต่อไป ก็ขายไม่ออกกันพอดี'

                 คำพูดของมารดาทำให้อารมณ์ของดาริกาขุ่นมัวตั้งแต่เช้า แม้ดาริกาจะยังครองตัวเป็นโสดอยู่ในวัยยี่สิบเจ็ด ซึ่งอาจจะถือได้ว่าอายุไม่น้อยแล้ว ถ้าเทียบกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันที่แต่งงานตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย หรืออย่างช้าก็เมื่ออายุยี่สิบห้า แต่ดาริกาก็ยังรู้สึกว่าตนเองยังคงมีเรี่ยวแรง และพลังในการใช้ชีวิตอย่างสดใส

                 ที่สำคัญที่สุด ต่อให้ดาริกาสนใจเพศตรงข้าม การแต่งงานก็ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความคิดของดาริกาอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องนี้อาจจะเป็นเพราะความกดดันจากชีวิตสมรสของบิดามารดาที่ดาริกากับชุติต้องเผชิญในวัยเด็ก ความทรงจำในวัยนั้นอาจจะเลือนราง แต่ความรู้สึกนั้นยังฝังแน่นอยู่ในเลือดเนื้อ และหัวใจของดาริกาอย่างไม่มีทางลบเลือน

                 การมีความรักยังเป็นเรื่องที่นุ่มนวลอ่อนหวาน ครอบครองพื้นที่แห่งความอบอุ่นในหัวใจของดาริกาอยู่เสมอ แต่การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

                 ความทรงจำในวัยเด็กของดาริกาเกี่ยวกับชีวิตสมรสของบิดามารดามีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ความทุกข์ใจของมารดาส่งผลมาถึงดาริกาและชุติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง หลายครั้งที่ดาริกาในวัยเยาว์คาดหวังให้บิดารักษาสัญญาเล็กๆ น้อย อย่างเช่นการกลับบ้านให้ตรงเวลา แต่แล้วก็ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้เลิกหวังในตัวบิดามาตั้งแต่วัยเยาว์  สิ่งเหล่านี้เองที่หล่อหลอมให้ดาริกาเข้าใจว่า การแต่งงานไม่ใช่เพียงแค่การที่คนสองคนผ่านพิธีสมรส หรือจดทะเบียนสมรสเท่านั้น แต่การแต่งงานเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ เป็นเรื่องของการเสียสละ ที่คนสองคนจะต้องยอมทิ้งทิฐิ หรือยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อให้สิ่งที่เรียกว่า ชีวิตคู่ เป็นไปได้อย่างราบรื่น

                 เสียงเครื่องเป่าผมดังขึ้นทำให้ดาริกาหลุดจากภวังค์ความคิดของตนเอง ดาริกามองดูใบหน้าของตัวเองในกระจก และเห็นเงาสะท้อนของหญิงสาววัยปลายยี่สิบที่ยังดูเด็ดเดี่ยวคนเดิม

 

**

 

                 อันธิกายิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นจุ๋มดีใจจนยิ้มไม่หุบ ในตอนที่รถรับจ้างเอาจักรเย็บผ้ามือสองที่จุ๋มอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบไปซื้อมาได้จนสำเร็จ เด็กสาวนัดให้มาส่งในช่วงบ่าย เพราะเป็นตอนที่ไม่มีลูกค้าที่หน้าร้าน หลังจากที่พนักงานขนขึ้นไปวางตรงพื้นที่หน้าห้องของจุ๋มแล้ว เด็กสาวก็ยังลูบๆ คลำๆ จักรเย็บผ้าที่ตัวเองซื้อมาอย่างทะนุถนอม ก่อนจะเอ่ยปากกับอันธิกาที่ดูอยู่ด้วย

                 "จุ๋มขอบพระคุณคุณอันนะคะ ที่ช่วยออกเงินให้จุ๋มด้วย" ดวงตาของจุ๋มเป็นประกายสดใส "จุ๋มจะฝึกให้คล่องๆ แล้วเย็บเสื้อสวยๆ ให้คุณอันใส่บ้างนะคะ"

                 "ขอบใจจ้ะ แต่จุ๋มไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันช่วยออกเงินให้ไม่ได้มากมายอะไร ถือว่าเป็นเงินพิเศษให้จุ๋มเพิ่ม ส่วนเสื้อจุ๋มตัดให้ตัวเองดีกว่า ฉันไม่ได้ไปไหน ไม่ต้องใส่เสื้อสวยๆ กับเขาหรอก"

                 อันธิกาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ตามนิสัย แม้ความจริงเงินที่อันธิกาหักมาช่วยจุ๋มซื้อจักรเย็บผ้า จะเป็นเงินต้นที่ตั้งใจจะเอาไปโปะเพื่อไถ่สร้อยคืน แต่อันธิกาก็ไม่นึกเสียดาย เพราะคิดว่าค่อยสะสมเงินใหม่ แล้วเอาไปไถ่ในเดือนถัดไปก็ยังไม่สาย ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้ามีความสุขของจุ๋ม อันธิกาก็พลอยมีความสุขไปด้วย จึงเอ่ยปากกับจุ๋ม

                 "เดี๋ยวจุ๋มลองจักรไปก่อนนะ ฉันจะลงไปเตรียมแป้งบัวลอยไว้"

                 "จุ๋มไปช่วยด้วยค่ะ"

                 "ไม่ต้องหรอกจ้ะ ค่อยลงไปตอนจะขายก็ได้ จุ๋มลองเครื่องดูก่อนเถอะ ว่าใช้งานได้ดีไหม"

                 อันธิกาตอบแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินลงจากชั้นสอง ลงมานั่งเตรียมแป้งบัวลอย แต่เมื่อลงมาชั้นล่าง ก็เห็นรถเมอร์ซิเดสเบนซ์คันงามของดาริกาจอดอยู่ที่หน้าร้าน ส่วนเจ้าตัวใส่ชุดมินิเดรสสีฟ้า กับรองเท้าส้นสูงยี่ห้อดังเดินเข้ามาในร้าน พอสบตากัน อันธิกาก็ยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมยกมือไหว้

                 "สวัสดีค่ะคุณดา ไปไหนมาหรือคะ"

                 "ไปตัดผม แล้วก็ไปกินกลางวันกับเพื่อนมาค่ะ วันนี้เที่ยวเสียเหนื่อย เลยว่าจะมานอนที่บ้านนี้ค่ะ"

                 ดาริกาตอบแล้วเดินเข้ามานั่งในร้าน อันธิกาตักน้ำแข็งใส่แก้ว และรินชาจีนใส่เป็นชาจีนหอมๆ เย็นๆ มาให้ดาริกา หญิงสาวเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะถามเมื่อเห็นอันธิกายกกะละมังเตรียมแป้งมานวดทำแป้งบัวลอย

                 "จุ๋มไปไหนเสียล่ะคะ"

                 อันธิกายังไม่ทันตอบ แต่ได้ยินเสียงจักรเย็บผ้าดังมาจากชั้นบน จึงเอ่ยตอบ

                 "จุ๋มลองจักรเย็บผ้าอยู่ค่ะคุณดา อันเลยให้พัก"

                 "จักรเย็บผ้าที่ว่าจะซื้อน่ะหรือคะ"

                 "ใช่ค่ะ เขาเพิ่งมาส่งวันนี้เอง"

                 อันธิกาตอบก่อนจะลงมือเริ่มเอาแป้งข้าวเหนียว แป้งมันเล็กน้อย และเนื้อฟักทองนึ่งสุกมานวดด้วยกันกับน้ำร้อนเล็กน้อย ก่อนจะล้างมือจนสะอาด และเริ่มนวดแป้งในอ่างผสม ดาริกามองมือเล็กๆ ที่ทำงานอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเอ่ยปาก

                 "วันนี้ให้ดาช่วยไหมคะ ดาล้างเล็บเรียบร้อยแล้วนะคะ"

                 อันธิกาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่ยกมือขึ้นมาอวดเล็บที่ตัดสั้นแต่งทรงไว้สวยงาม ดวงตากลมของดาริกากะพริบปริบๆ จนคนมองหลุดยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยปาก

                 "ถ้าอย่างนั้นคุณดาไปล้างมือก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยมาช่วยอันนวดแป้งค่ะ"

                 "ได้เลยค่ะ"

                 ดาริการับคำแล้วลุกไปล้างมืออย่างรวดเร็ว หญิงสาวกลับมานั่งข้างๆ อันธิกาแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดมือจนแห้ง อันธิกาเลื่อนอ่างผสมแป้งกับเนื้อฟักทองนึ่งให้ ก่อนจะเอ่ยปาก

                 "เดี๋ยวอันผสมน้ำร้อนให้แป้งจับตัวกันก่อน แล้วค่อยให้คุณดาลองนวดดูนะคะ"

                 "ค่ะ"

                 ดาริการับคำแข็งขัน และอดยิ้มไม่ได้กับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของอันธิกา แต่เมื่อได้อ่างผสมแป้งมานวดเองจริงๆ ดาริกาก็นวดแป้งอย่างเก้ๆ กังๆ เต็มที เพราะไม่เคยเข้าครัวมาก่อนเลยในชีวิต แป้งที่ดูเหนียวนุ่ม ไม่ติดมือในอ่างผสมของอันธิกา กลับติดนิ้วของดาริกาอย่างเหนียวหนึบ พอดึงนิ้วออก ก็กลายเป็นแป้งติดปลายนิ้วมาด้วยอย่างสิ้นหวัง

                 อันธิกามองดูสีหน้ากลืนไม่เข้า คายไม่ออกของดาริกาแล้วยื่นมือเข้ามาช่วยประคองมือของหญิงสาวอย่างนุ่มนวล ก่อนจะจับมือของดาริกาให้วางอุ้งมือลงบนแป้ง และเอ่ยปากไปด้วย

                 "คุณดาต้องค่อยๆ นวดค่ะ เอาอุ้งมือกด แล้วพลิกนวดให้ทั่วๆ แบบนี้ นวดไปจนแป้งไม่ติดนะคะ"

                 "ค่ะ" ดาริกาพูดเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายผละมือจากไป "อายจังเลยค่ะ แค่นวดแป้งแค่นี้ ก็ทำไม่เป็น"

                 "ไม่เห็นต้องอายเลยค่ะ คุณดาทำไมไม่เป็นก็ไม่แปลก คนทำไม่เป็นกันเยอะแยะค่ะ"

                 อันธิกาตอบขณะที่นวดแป้งสีม่วงอ่อน ที่ใช้สีจากดอกอัญชัญผสมน้ำมะนาวในอ่างผสมของตนเอง เสียงพัดลมพัดไล่อากาศร้อนให้หญิงสาวสองคนข้างล่าง ดังคลอไปกับเสียงจักรเย็บผ้าของจุ๋มที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวหยุด

                 "คุณอันไม่หาวันหยุดบ้างหรือคะ" ดาริกาถามขึ้นเมื่อเริ่มจับปั้นแป้งเป็นเม็ดเล็กๆ ตามที่อันธิกาทำให้ดูก่อนหน้า "ดาเห็นคุณอันกับจุ๋มทำงานทุกวัน เหนื่อยแทนค่ะ"

                 "อันพูดกับจุ๋มอยู่เหมือนกันค่ะ ว่าอาจจะหยุดวันอาทิตย์สักวัน ขายแต่ขนมจีบกับบัวลอยตอนเย็นก็พอ แต่ตอนนี้ยังไม่หลุดทุนเลยค่ะ คงจะขายทุกวันอย่างนี้ไปอีกสักสองสามเดือน แล้วจะเริ่มหยุดดูค่ะ"

                 อันธิกาตอบ ในใจไพล่นึกไปถึงเรื่องเงินต้นของสร้อยที่เอาไปจำนำไว้ เหลืออีกกี่ไม่กี่ร้อยบาท ทั้งต้น และค่าดอกเบี้ยก็จะหมด ตอนนั้นเธอคงพอมีเงินเหลือมากพอให้เอามาจ่ายค่าเช่าให้เต็มจำนวน หญิงสาวจึงนึกถึงหนี้สินด้วยใจที่ไม่หนักอึ้งเหมือนเมื่อก่อน ก่อนจะเอ่ยปากกับดาริกา

                 "ถ้าคืนทุนหมด อันจะเริ่มจ่ายค่าเช่าคุณดาให้ครบตามราคาเช่าจริงนะคะ"

                 "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดารับราคาที่ให้คุณอันเช่าได้อยู่แล้ว จ่ายเท่าเดิมนั่นล่ะค่ะ"

                 "ขอบคุณนะคะ" อันธิกายกมือไหว้อีกฝ่าย ก่อนจะมองมือตัวเองแล้วหัวเราะเบาๆ "มืออันเปื้อนแป้งทั้งนั้นเลย คุณดาอย่าถือนะคะ"

                 "ไม่ถือหรอกค่ะ ว่าแต่ดาขอถามอะไรอย่างได้ไหมคะ"

                 "ได้สิคะ ถามได้เลยค่ะ"

                 "คุณอันอายุเท่าไหร่หรือคะ ดาเดาเอาว่าน่าจะเด็กกว่าดาหลายปี"

                 อันธิกามองดูอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ

                 "อันอายุยี่สิบสามค่ะ"

                 ดาริกาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะตอบกลับ

                 "เด็กกว่าดาสี่ปีแน่ะค่ะ แต่แก่กว่าน้องศิน น้องชายคนเล็กของดาสามปีค่ะ"

                 "คุณดามีน้องชายคนเดียวหรือคะ"

                 "ถ้าแม่เดียวกันก็มีกันสามคนพี่น้องค่ะ ดามีน้องสาวฝาแฝดอยู่คนหนึ่งชื่อชุติ ส่วนน้องชายคนเล็กชื่อศศินค่ะ ชุทำงานบริษัทของที่บ้าน ส่วนน้องศินยังเรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ค่ะ เรียนบัญชี คุณอันล่ะคะ มีพี่น้องหรือเปล่าคะ"

                 ดาริกาถาม แต่ยังตั้งใจวางแป้งบัวลอยที่ปั้นแล้วลงบนถาดที่อันธิกาโรยแป้งนวลไว้ เมื่อคู่สนทนาเงียบไป ดาริกาก็ช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ และเห็นใบหน้าของอันธิกาเรียบเฉย ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ

                 "อันมีพี่สาวคนเดียวค่ะ ชื่อพี่เพ็ญ ตอนนี้เป็นพยาบาล"

                 "ดีเลยนะคะ ต่างคนต่างทำงาน" ดาริการีบพูด เพราะเดาความรู้สึกของคู่สนทนาจากสีหน้าไม่ออก "ส่วนดาไม่ได้ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันค่ะ คุณพ่อยังว่าเลยค่ะ ว่าดาดีแต่ใช้เงิน แล้วก็เที่ยวไปเรื่อย"

                 "แค่เก็บค่าเช่า คุณดาก็เหนื่อยแล้วนะคะ อันได้ยินจากเจ๊แมวว่าคุณอันมีที่ดินให้เช่าตั้งหลายที่"

                 "ทำแค่ตามเก็บค่าเช่าก็เหนื่อยแล้วจริงๆ ค่ะ ให้ไปนั่งทำงานนั่งโต๊ะ คร่ำเคร่งแบบชุทั้งวัน ดาตายพอดี"

                 ดาริกาเอ่ยติดตลก และรู้สึกเบาใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นสีหน้าของอันธิกามีรอยยิ้มจางๆ ไม่เรียบเฉยเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไป เสียงจักรเย็บผ้าเงียบลงไป พร้อมๆ กับจุ๋มที่เดินลงมาจากชั้นบน เด็กสาวยกมือไหว้ดาริกา ก่อนเอ่ยทำเสียงใส

                 "คุณดามาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือคะ"

                 "ฉันมานั่งคุยกับคุณอันสักพักแล้วจ้ะ ได้ยินว่าจุ๋มซื้อจักรเย็บผ้ามาแล้วหรือ"

                 "ใช่ค่ะ" จุ๋มตอบ และเข้ามาช่วยอันธิกาเตรียมของ "เมื่อครู่ไปลองดูแล้ว จักรใช้งานได้ดี ไว้จุ๋มจะลองหัดตัดเสื้อง่ายๆ ให้คุณดา กับคุณอันนะคะ ไม่ใส่ไปข้างนอก ก็ใส่เป็นเสื้อนอนก็ยังดีค่ะ"

                 "เอาสิ ถ้าจุ๋มตัดได้สวยๆ ฉันจะมาเป็นลูกค้าคนแรก จะใส่ไปอวดพวกเพื่อนๆ ด้วย เขาจะได้อยากมาตัดเสื้อกับจุ๋มให้ได้รายได้เสริม"

                 อันธิกามองดูดาริกาพูดคุยกับจุ๋มด้วยเรื่องแนวการตัดเสื้อ และเรื่องเสื้อผ้าอย่างนึกเอ็นดูทั้งสองคน เพราะอันธิการู้ดีว่า เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าของดาริกาเป็นเสื้อผ้ายี่ห้อดังจากต่างประเทศ เหมือนที่พี่เพ็ญ พี่สาวของอันธิกาเคยนั่งดูแล้วดูอีกในนิตยสารต่างประเทศ แต่ก็ทำได้เพียงแค่หวัง เพราะราคาของข้าวของเหล่านั้นแพงจนเอื้อมไม่ถึง

                 การที่คนอย่างดาริกาที่สวมแต่เสื้อผ้าตัดเย็บอย่างดีเหล่านั้น บอกกับจุ๋มที่มีความฝันจะเป็นช่างตัดเสื้อว่าจะมาตัดเสื้อด้วย นอกจากจะเป็นการถนอมน้ำใจอีกฝ่ายแล้ว อันธิกายังรู้สึกว่า ดาริกาให้กำลังใจจุ๋มอย่างนุ่มนวลที่สุดอีกด้วย

 

**

 

                 เพ็ญโพยมรักษาสีหน้าไว้อย่างเป็นปกติ เมื่อเดินลงจากตึกที่ทำงาน หญิงสาวเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดมาจากการเข้าเวรทั้งวัน แต่เมื่อไปเปลี่ยนชุดเตรียมกลับบ้าน ก็มีรุ่นน้องพยาบาลมาบอกว่า มีคนโทรศัพท์มาหาที่แผนก และขอพูดสายกับเธอ แต่วางสายไปแล้ว แม้รุ่นน้องพยาบาลจะบอกว่า ถามชื่อคนที่โทรมาไม่รู้เรื่อง เพราะอีกฝ่ายน้ำเสียงเหมือนคนเมา แต่เพ็ญโพยมก็รู้ดีว่าเป็นใคร

                 ความรู้สึกเกรี้ยวโกรธอัดแน่นจนเดือดพล่านอยู่ในอก หญิงสาวเดินเร็วจนคนแทบมองไม่ทัน เมื่อเข้ามานั่งในรถยนต์ส่วนตัวก็ปิดประตูอย่างแรง แต่อารมณ์โกรธก็ยังไม่ลดลง เมื่อขับรถออกจากโรงพยาบาลไปจนถึงบ้านหลังเก่าที่เคยอยู่ก่อนแต่งงาน เพ็ญโพยมก็จอดรถไว้ที่หน้าประตู แล้วลงจากรถไปผลักประตูรั้วเข้าไปในบ้าน หญิงสาวไม่ได้ถอดรองเท้าส้นสูงออกด้วยซ้ำ เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน

                 ใบหน้าของเพ็ญโพยมเบ้อย่างรังเกียจกลิ่นเหล้าที่ลอยอวลอยู่ในบ้าน เมื่อเห็นบิดานั่งดื่มอยู่คนเดียว เพ็ญโพยมก็กอดอก ทอดสายตามองบิดาอย่างไม่ปิดบังความไม่พอใจ

                 "คุณพ่อโทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลทำไมคะ เพ็ญบอกแล้วไม่ใช่หรือคะ ว่าไม่ให้ไปวุ่นวาย เกรงใจคุณหมอศรุตเขา"

                 "ก็พ่อโทรศัพท์ไปที่บ้านแกกี่ครั้ง แกก็ไม่อยู่" ศิริพงษ์พูดพลางมองหน้าลูกสาวคนโต ทั้งที่อยู่ในอาการเมามาย "ไม่รู้ว่าไม่อยู่จริง หรือหลบหน้าพ่อกันแน่"

                 "เพ็ญก็ต้องทำงานนะคะ เดือนนี้เพ็ญเข้าเวรเช้าทุกวัน ว่าแต่คุณพ่อโทรศัพท์หาเพ็ญ มีอะไรหรือคะ"

                 "ขอเงินหน่อยสิ"

                 ศิริพงษ์พูดพลางแบมือยื่นไปตรงหน้าลูกสาวคนโตที่ยืนนิ่วหน้าอย่างไม่ชอบใจ เพ็ญโพยมปัดมือที่บิดาออก ก่อนจะขึ้นเสียงใส่อย่างเหลืออด

                 "คุณพ่อ เพ็ญเพิ่งจ่ายเงินเดือนให้เมื่อต้นเดือนนี้เองนะคะ นี่ผ่านมาไม่ถึงอาทิตย์ เงินตั้งหลายพันมันหายไปไหนหมด"

                 ศิริพงษ์หลบตา ไม่ตอบคำถาม เพ็ญโพยมจึงรู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นบิดาคงหมดเงินไปในบ่อนอีกตามเคย ลูกสาวคนโตของบ้านถอนหายใจอย่างหงุดหงิด แล้วพูดอย่างหมดความอดทน

                 "เพ็ญไม่ใช่จะมีเงินถุงเงินถังนะคะ เงินเดือนพยาบาลก็มีเท่านี้ เพ็ญกินใช้ยังเกือบไม่พอ คุณพ่อเอาเงินไปละลายในบ่อนจนหมดแบบนี้ เพ็ญจะมีปัญญาหาเงินมาให้ใช้ได้อย่างไรคะ นี่ถ้าเงินไม่หมด ก็คงไม่กลับบ้านใช่ไหมคะ แล้วกินมันอยู่ได้เนี่ย ไอ้เหล้านี่น่ะ"

                 หญิงสาวคว้าขวดเหล้ามาถือไว้ แม้บิดาพยายามยื้อแย่งก็ไม่เป็นผล เพ็ญโพยมโมโหจนเลือดขึ้นหน้า แผดเสียงใส่จนดังลั่นไปทั้งบ้าน

                 "คุณพ่อจะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่คะ ช่วยกลับมาเป็นผู้เป็นคนสักทีได้ไหม เพ็ญอายญาติคุณหมอเขาจะแย่อยู่แล้ว นี่อันก็ทนคุณพ่อไม่ไหว หนีออกไปอยู่เองคนหนึ่งแล้ว คุณพ่อจะให้เพ็ญทนไม่ไหว เลิกส่งเงินให้คุณพ่อใช้อีกคนหรือคะ"

                 "พวกแกสองคนพี่น้อง มันเลี้ยงเสียข้าวสุกทั้งสองคน" ศิริพงษ์ตวาดกลับอย่างรุนแรงเพราะฤทธิ์ของเหล้า "ยายอันน่ะ ไปเช่าห้องแถวขายข้าวแกงงกๆ เงินเหลือติดร้านไม่ถึงห้าสิบบาท แกก็เหมือนกัน อุตส่าห์จับผู้ชายรวยๆ อย่างหมอศรุตได้ แทนที่จะได้เป็นคุณนาย สุดท้ายก็ต้องทำงานงกๆ เหมือนเดิม โง่ทั้งพี่ทั้งน้อง"

                 เพ็ญโพยมโมโหจนเลือดขึ้นหน้า หญิงสาวสะบัดหน้าหนีจากบิดาที่ยังตะโกนด่าทอตามหลัง เมื่อรู้ตัวว่า ถือขวดเหล้าของบิดาติดมือมาด้วย ก็โยนทิ้งลงพื้นจนเศษแก้วแตกเปรื่องอยู่ที่หน้าบ้าน พอขึ้นรถยนต์ขับออกมาจากบ้านไกลแล้ว เพ็ญโพยมก็ระบายทั้งอารมณ์เศร้าหมอง และโกรธเคืองนั้นออกมาเป็นหยดน้ำตามากมาย

                 หญิงสาวนึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองกับน้องสาวต้องลำบากเพราะมีบิดาติดทั้งเหล้า และการพนัน เงินทองที่เคยมีในบ้านก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เพ็ญโพยมกัดฟันทนลำบากใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียรจนจบพยาบาล เมื่อเริ่มทำงานก็รับจ้างอยู่เวรแทนเพื่อนๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

                 ผู้เป็นบิดาไม่เคยรู้ และไม่เคยสนใจว่าลูกสาวจะต้องอยู่อย่างอึดอัดใจเพียงใด ในบ้านสามีที่มารดาของสามีค่อนข้างเขี้ยวจัด หากหมอศรุต ผู้เป็นสามีของเธอให้เงิน หรือซื้อของมีค่าให้ เพ็ญโพยมก็มักจะถูกมารดาของสามีค่อนแคะบนโต๊ะอาหารมื้อเย็นนานหลายวัน จนเพ็ญโพยมแทบไม่กล้ารับของขวัญ หรือแม้กระทั่งเงินที่สามีเต็มใจหยิบยื่นให้ใช้จ่าย

                 เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ใช้จ้างคนงาน ใช้เป็นเงินรายเดือนของบิดา และค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้านเดิม มาจากเงินที่เพ็ญโพยมทำงานจนเหนื่อยสายตัวแทบขาดทุกวัน แต่ไม่ว่าทำอย่างไร เงินที่เพ็ญโพยมหาได้ ก็ยังน้อยกว่าที่บิดาใช้จ่ายในบ่อนอยู่ดี

                 หญิงสาวพยายามยกมือขึ้นปาดน้ำตาเมื่อรถจอดติดไฟแดง เพ็ญโพยมนึกถึงอันธิกา เพราะมารดาของหมอศรุตเอ่ยค่อนแคะเรื่องน้องสาวของเพ็ญโพยมขายข้าวแกงที่บ้านต่อหน้าญาติๆ จนสามีและเพ็ญโพยมกระอักกระอ่วน เมื่อเอ่ยปากบอกเรื่องนี้กับอันธิกา เพ็ญโพยมก็ยังจำดวงตากลมโตของน้องสาวที่มองมาที่เธออย่างผิดหวังได้อย่างชัดเจนจนถึงวันนี้

                 และหลังจากนั้นเพียงไม่ถึงสามวัน อันธิกาก็หอบข้าวของออกไปค้าขายเลี้ยงตัวเองตามลำพัง โดยทิ้งบิดาที่มัวเมาทั้งเหล้า และการพนัน กับพี่สาวที่กระอักกระอ่วนใจกับอาชีพของน้องสาวไว้ให้เบื้องหลัง

                 เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เพ็ญโพยมก็ตีไฟเลี้ยวเข้าไปจอดข้างทาง และซบหน้าร้องไห้กับพวงมาลัยรถยนต์อย่างสิ้นหวัง ความรู้สึกผิดหวังในตัวบิดาพลุ่งพล่านพอๆ กับความรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อันธิกาต้องออกจากบ้านไป ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา อันธิกาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการหาเลี้ยงคนทั้งบ้าน และส่งเสียให้พี่สาวเรียนจนจบสมความตั้งใจ

                 เพ็ญโพยมได้แต่ฟุบหน้าร้องไห้อยู่กับพวงมาลัยรถยนต์ เพราะในใจไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับครอบครัวของสามีที่คอยกดดันให้เธอพิสูจน์ตัวเองว่ามีค่าพอที่จะเป็นลูกสะใภ้ของครอบครัวนี้ แต่ก็ไม่อาจกลับไปที่บ้านของตัวเองที่มีเพียงบิดาที่เป็นเหมือนคนแปลกหน้าเช่นกัน

 

**

 

                 อันธิกานั่งหัดถักลายลูกไม้ตามแบบในหนังสืออยู่กับจุ๋มจนเลยเวลานอนในปกติของทุกวัน ทั้งสองหยุดมือเมื่อจุ๋มที่เป็นตัวตั้งตัวตีอยากถักลายลูกไม้นั่งหาวหวอดๆ สุดท้ายต่างฝ่ายต่างแยกย้ายเข้าห้องนอนของตัวเอง อันธิกาหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน แต่กลับสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์จอดหน้าตึกของตัวเอง ตอนแรกอันธิกาคิดว่าตัวเองคงฝัน แต่เมื่อได้ยินเสียงคนพูดกันไม่ได้ศัพท์ก็ผุดลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ ก่อนจะเลิกมุ้งออกไปแง้มหน้าต่างดู และเห็นว่าเป็นชายหนุ่มแต่งกายคล้ายพนักงานโรงแรม กำลังละล้าละลัง ไม่กล้าเข้าไปประคองหญิงสาวที่อยู่ในอาการมึนเมา เดินโซซัดโซเซลงจากรถ

                 หญิงสาวรีบสวมเสื้อแขนยาวทับเสื้อนอน แล้ววิ่งลงไปเปิดประตูบานเฟี้ยมหน้าร้าน ชายหนุ่มที่ขับรถมา หันมาเห็นอันธิกาก็ยิ้มแหย พลางขอโทษขอโพย

                 "ผมเสียงดังรบกวนหรือเปล่าครับ พอดีคุณผู้หญิงเธอเรียกให้รถโรงแรมมาส่งที่นี่ แต่เธอเมามาก จู่ๆ ก็บอกให้จอด แล้วก็จะลงให้ได้"

                 "บ้านคุณผู้หญิงอยู่ในซอยเข้าไปหน่อยค่ะ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเธอมีกุญแจติดตัวมาหรือเปล่า" อันธิกาพูดอย่างชั่งใจ "เอาอย่างนี้แล้วกันค่ะ พาเธอเข้าไปนอนพักในบ้านฉันก่อน ฉันรู้จักกับเธอ เธอไม่ตำหนิคุณหรอกค่ะ" 

                 "ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยครับ"

                 ชายหนุ่มพนักงานโรงแรมมีสีหน้าโล่งใจ อันธิกาเข้าไปช่วยหิ้วปีกประคองคนที่อยู่ในอาการเมามาย ศีรษะของดาริกาซบอยู่ที่ไหล่ เส้นผมที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มของอันธิกา หญิงสาวช่วยกันกับพนักงานโรงแรมหิ้วปีกดาริกาไปวางไว้บนที่นอนในห้องของอันธิกาอย่างทุลักทุเล ก่อนที่อันธิกาจะลงไปส่งพนักงาน พร้อมกับปิดบ้าน

                 คนเมาไม่ได้สตินอนคว่ำเอาหน้าซบหมอนนุ่มๆ ของอันธิกาอย่างสบายใจ โดยไม่ได้รู้เรื่องว่า เจ้าของบ้านต้องถืออ่างใส่น้ำเย็นกับผ้าขนหนูมาด้วย อันธิกาจับดาริกาพลิกตัวให้นอนหงาย ใช้น้ำมันสำหรับเช็ดเครื่องสำอางที่พอมีอยู่ เช็ดใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้จนสะอาดอีกรอบ กว่าอันธิกาจะจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวอีกฝ่ายเสร็จ ก็เกือบตีหนึ่ง หญิงสาวทั้งเหนื่อย ทั้งง่วงงุน จนตัดสินใจทิ้งคนเมาให้นอนทั้งชุดที่ใส่ออกไปสังสรรค์อย่างนั้น ส่วนตัวเองหอบเอาผ้าห่มมาปูนอนข้างๆ มุ้ง แล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว

                 เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ดาริการู้สึกเหมือนตัวเองได้กลิ่นข้าวหุงใหม่ๆ กลิ่นควันไฟ และเสียงทำครัวแว่วๆ แต่กลับลืมตาไม่ขึ้น หญิงสาวพยายามอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นมานั่งมองไปรอบๆ ห้องอย่างงุนงง มุ้งตาพริกไทยเล็กๆ ห้องนอนเล็กๆ ที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ดาริกาตกใจจนแทบจะสติกระเจิง

                 หญิงสาวคว้ากระเป๋าถือมาดู และเห็นว่ากระเป๋าเงิน ของมีค่ายังอยู่ครบ หญิงสาวเดินเซๆ ในหัวยังปวดหนักๆ เพราะฤทธิ์ของเหล้าที่ดื่มไปไม่ยั้งเมื่อคืน เมื่อเดินลงมาด้านล่าง หัวใจที่กังวลของดาริกาก็ผ่อนคลายลง เพราะมั่นใจแล้วว่า ตัวเองมาเมาหลับอยู่ที่ร้านข้าวแกงของอันธิกา

                 จุ๋มยกหม้อข้าวร้อนๆ มาวางไว้ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มทักดาริกาที่ยังยืนคาอยู่ที่บันได แล้วถามเสียงใส

                 "ตื่นแล้วหรือคะคุณดา มานั่งก่อนนะคะ ให้จุ๋มช่วยไหมคะ"

                 ดาริกาพยักหน้าหงึกๆ แล้วยื่นมือให้จุ๋มช่วยพยุงลงมานั่งข้างล่างแต่โดยดี เพราะในหัวยังปวดตุบๆ ไม่หาย ดาริกานึกถึงกาแฟดำร้อนๆ สักแก้ว แต่ตอนนี้วิงเวียนเกินกว่าจะพูดออกไปได้ จึงนั่งนวดขมับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองอันธิกาด้วยสายตาเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำความผิด อันธิกายกถ้วยน้ำขิงร้อนๆ มาวางให้ตรงหน้า และเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

                 "ดื่มเสียหน่อยสิคะ จะได้หายปวดหัว"

                 "น้ำขิงหรือคะ" ดาริกาเอ่ยเสียงอ่อน "ขมแน่เลย"

                 "ไม่ขมมากหรอกค่ะ อันใส่น้ำผึ้งให้ด้วย"

                 อันธิกาไม่ได้ใช้ท่าทางข่มขู่ แต่กลับใช้วิธียืนดู กดดันให้ดาริกายกน้ำขิงขึ้นดื่ม จนสุดท้ายหญิงสาวก็ต้องยกถ้วยขึ้นดื่มอย่างจำใจ รสเผ็ดร้อน และขมของน้ำขิงทำเอาดาริกาเบ้หน้า พอคิดจะวางถ้วย ก็ได้ยินเสียงหวานๆ ของอันธิกาพูดอย่างนุ่มนวล

                 "ดื่มให้หมดนะคะ ถ้าเททิ้งอันเสียใจแย่"

                 ดาริกาฝืนใจซดน้ำขิงที่ทั้งเผ็ด ทั้งร้อนถ้วยโตจนหมดเกลี้ยง ในใจนึกประท้วงคนยิ้มหวานที่ใส่น้ำผึ้งให้เจือจางมากจนแทบไม่ได้รสหวานเลยแม้แต่นิดเดียว อันธิกาหยิบถ้วยน้ำขิงแล้วเดินกลับไปทางห้องครัว ดาริกานั่งนิ่งๆ อยู่สักครู่หนึ่ง ก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัวเพราะฤทธิ์ของขิง เหงื่อไหลซึมไปตามกรอบหน้าและศีรษะจนผมชื้น แผ่นหลังก็มีเหงื่อซึม แต่อาการปวดตุบๆ ในหัวกลับดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

                 อันธิกาถือถ้วยโจ๊กร้อนๆ ออกมา และมาวางตรงหน้าดาริกา ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ

                 "ดีขึ้นไหมคะ ยังปวดหัวมากอยู่หรือเปล่าคะ"

                  "ไม่ค่อยปวดแล้วค่ะ" ดาริกาตอบเสียงอ่อย ก่อนจะมองถ้วยโจ๊กตรงหน้า "ให้ดาทานหรือคะ"

                 "อันรู้ว่าคุณดาพะอืดพะอม แต่ฝืนใจทานหน่อยนะคะ"

                 "ก็ได้ค่ะ"

                 ดาริกาไม่อยากให้หญิงสาวตาโตที่นั่งมองตัวเองเสียน้ำใจ จึงเลื่อนถ้วยโจ๊กมาตรงหน้า เนื้อโจ๊กเนียนละเอียด เห็นเนื้อไก่ฉีกเป็นเส้นๆ ในเนื้อโจ๊กข้นๆ โรยหน้าด้วยขิงอ่อนซอย ต้นหอม ผักชีซอย และพริกไทยขาว ดาริกาค่อยๆ ละเอียดชิมทีละคำ กลิ่นหอมบางอย่างอยู่ในเนื้อโจ๊ก เป็นกลิ่นเหมือนน้ำแกงที่ตุ๋นกับเนื้อสัตว์จนหอม หลังจากกินไปได้หลายคำ ดาริกาก็รู้สึกว่าอาการวิงเวียนของตัวเองลดลงไปมาก จึงเอ่ยชมคนที่ไปยืนจัดแกงในตู้รอขายลูกค้า

                 "คุณอันทำโจ๊กอร่อยมากเลยค่ะ"

                 "ก็ต้องอร่อยอยู่แล้วค่ะคุณดา คุณอันเธอตุ๋นโครงไก่ทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่ออกไปซื้อของที่ตลาด ข้าวที่ทำโจ๊ก เธอก็บดทั้งข้าวหอมมะลิกับข้าวเหนียวแบบตั้งใจมากๆ เลยค่ะ บดจนได้ที่ เอามาเคี่ยวกับน้ำต้มซี่โครงไก่ หอมฟุ้งตั้งแต่เช้าจนจุ๋มท้องร้องเลยละค่ะ เพราะคุณดาเลยนะคะ จุ๋มเลยได้กินโจ๊กอร่อยๆ ฝีมือคุณอันเป็นมื้อเช้าด้วย"

                 "ขอบคุณนะคะ ดารบกวนคุณอันเยอะเลย"

                 ดาริกาฟังจุ๋มแล้วก็เอ่ยปากกับอันธิกาที่เดินมานั่งด้วยกันที่โต๊ะกินข้าว หญิงสาวเจ้าของร้านมองดูดาริกาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก

                 "คุณดาไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ แต่ต่อไปอย่าดื่มหนักอย่างนี้อีกจะดีกว่า สุขภาพจะย่ำแย่เอา" อันธิกาพูดพลางส่งยิ้มอ่อนโยน อย่างที่ทำให้ดาริการู้สึกหวั่นไหว จนไม่อยากละสายตา อันธิกายิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

                 "สงสัยน้ำขิงที่ต้มให้จะได้ผลดีมากนะคะ เหงื่อออกชุ่มทีเดียว สมแล้วที่อันอุตส่าห์เลือกขิงที่แก่ที่สุดมาต้มให้เลยนะคะ"

                 รอยยิ้มของอันธิกาทำให้ประโยคร้ายกาจเมื่อครู่ดูอ่อนโยนลงไปกว่าครึ่ง แต่ดาริกาถึงกับวางช้อน และพูดกับอันธิกาด้วยน้ำเสียงโอดครวญ

                 "คุณอันแกล้งดานี่คะ ขิงแก่จัดทั้งเผ็ด ทั้งขม แล้วคุณอันก็เอามาต้มให้ดาดื่ม"

                 ไม่รู้ว่าเพราะน้ำเสียง หรือสีหน้าของดาริกา แต่คนฟังอย่างอันธิกาถึงกับหัวเราะเบาๆ ชั่วขณะที่ดวงตากลมโตของอันธิกาเป็นประกาย รอยแห่งความสุขระยิบระยับเหมือนแสงดาวเล็กๆ ทอประกายอยู่ในดวงตาคู่นั้น ในช่วงเวลาอันแสนเรียบง่ายของเช้าวันนั้น เป็นวันที่ดาริการู้สึกว่า ต่อให้อีกฝ่ายบังคับให้เธอกินขิงแก่สดๆ ดาริกาก็ยินดี เพื่อจะได้แลกกับรอยยิ้มสดใสเช่นวันนี้ของอันธิกา

 

 

#ดุจดารานำทาง