สหพันธ์เวสการ์ด

 

ปราสาทสีขาวสูงตระหง่านที่ดูวิจิตรงดงามพร้อมกับธงสีแดงขาวที่เป็นรูปดาบไขว้สะบัดไปตามแรงลม ภายในปราสาทนั้นหน้าต่างหลายๆแห่งได้ถูกตกแต่งด้วยกระจกโมเสกหลากสี ทำให้แสงที่ลอดผ่านมานั้นกลายเป็นแสงที่มีหลากหลายสี เชิงเทียนที่ทำมาจากทองคำได้ถูกวางไว้สองข้างทางเพื่อเพิ่มความสว่างและใช้ทดแทนแสงแดดได้

ที่เพดานถูกห้อยระย้าด้วยโคมไฟที่ทำมาจากอัญมณีหชากสีและเพชรชั้นสูงจนแค่แสงจากเทียนก็ก่อให้เกิดประกายระยิบระยับ ภายในนั้นอากาศไม่ค่อยถ่ายเทเท่าไหร่นักทำให้เหล่าทหารในชุดเกราะเหล็กหนานั้นต่างต้องถอดหมวกเพื่อเช็ดเหงื่อและระบายความร้อน

แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็รีบใส่ชุดกลับทันทีเมื่อมีใครบางคนเดินผ่านพวกเขาไป เขาเป็นชายสูงอายุห้าสิบต้นๆที่ใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าปกติแต่นัยน์ตาสีฟ้าครามและผมสีขาวทำให้อีกฝ่ายดูดุดันและน่าเกรงขามได้มองไปที่ห้องทางเดินของเขาด้านหน้าในชุดเกราะขัดมันสีดำ

 

ที่เอวของเขานั้นห้อยดาบเคล์ยมอร์ที่หุ้มด้วยปลอกหนังสีน้ำตาลอ่อนและมีร่องรอยการเสื่อมของหนัง ส่วนด้ามจับมีรอยมือและร่องรอยเสียดสีเยอะเป็นพิเศษ บ่งบอกว่าดาบและปลอกของมันนั้นได้ผ่านศึกมามากมายจนตัวอุปกรณ์ได้เสื่อมลงตามอายุขัยของผู้ใช้

เขาเดินไปอย่างเรียบนิ่งและใจเย็นเมื่อทหารยามที่เห็นเขาเดินเข้ามาต่างก็ลุกลี้ลุกลนและรีบเปิดประตูให้แต่โดยดี ชายผมขาวเดิมผ่านประตูเข้ามาที่ห้องกว้างๆที่ปูด้วยพรมกำมะหยี่สีแดงสดใส ห้องโถงที่ดูใหญ่โตโอ่อ่าเป็นพิเศษเพราะตัวเพดานถูกยกสูงขึ้นมากและผนังของห้องนั้นถูกวาดด้วยงานศิลป์ที่วิจิตรสวยงาม มันคือรูปของเหล่านักบุญที่อยู่ในท่าสวดภาวนาและต่างมองขึ้นไปบนฟ้าและเบื้องบนนั้นคือเหล่าทวยเทพที่ยื่นมือลงมาให้เหล่านักบุญ

ภายในนั้นมีเครื่องเงิน เครื่องทองที่ถูกทำความสะอาดและขัดมันจนเงาวาวถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี เขาได้ยืนอยู่ตรงนั้นสักพักจนมีเสียงประตูอีกแห่งเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงประกาศ 

 

"พระราชาเสด็จแล้ว!"เสียงนั้นทำให้ชายในชุดเกราะดำได้รีบคุกเข่าและก้มหน้าลงพร้อมกับชายอีกคนที่มีอายุเด็กกว่าเขามาถึงสามสิบปีในชุดสีขาวสะอาดที่ทั้งชุดประดับด้วยทองคำและอัญมณีจำนวนมาก รวมไปถึงมงกุฎทองคำที่มีมรกตเม็ดโตอยู่กลางมงกุฎ เสื้อคลุมเป็นกำมะหยี่ชั้นสูงสีเขียวใบไม้ ใบหน้าที่ดูมีอายุมากแต่ยังมีความขึงขังเต่งตึงอยู่ไม่น้อย เขาได้นั่งลงพร้อมกับมองไปที่คนที่คุกเข่าอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยด้วยนัยน์ตาสีสนิม

 

"หวังว่าที่เจ้าเรียกข้ามานั้นจะเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆนะ"คนที่นั่งบนบัลลังก์ที่ดูสูงส่งกล่าวด้วยวาจาเหนื่อยหน่าย 

"หาใช่พะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมที่มาวันนี้เพื่อรายงานสถานการณ์การบุกโจมตีอาณาจักรวอร์เตอร์มิลพะย่ะค่ะ"ชายในชุดเกราะดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ยังมีความหนักแน่นอยู่

"ไหนเจ้าลองว่ามาสิ"พระราชากล่าว

 

"กองกำลังรับจ้างที่เราส่งไปนั้นได้ถูกทหารของอาณาจักรนั้นตีแตก จากการสืบของสายข่าวพวกเราทำให้รู้ว่ากองกำลังที่เราส่งไปนั้นถูกจับไปเป็นเชลยทั้งหมดพะย่ะค่ะ"ทันทีที่ชายผมขาวกล่าวจบจอกเครื่องทองก็ได้ถูกปามาข้างๆชายคนดังกล่าวทันที บรรยากาศในห้องนั้นถูกแทนที่ด้วยความอึดอัดทันที

 

"เจ้า....อเล็กซานเดอร์....ทำไมเจ้าถึงไม่มีปัญญาจัดการอาณาจักรกระจอกๆนั่นกัน...หา!!!!"คนที่นั่งบนบัลลังก์กล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมกับทุบบัลลังก์ด้วยความเดือดดาล นัยน์ตาที่แสดงออกมานั้นเบิกโพลงด้วยเพลิงโทสะโดยหมายจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย

อเล็กซานเดอร์ไม่พูดอะไรไปสักพักจนอีกฝ่ายใจเย็นลงจึงค่อยพูดต่อ

"ข้าต้องขออภัยกับการอ่านสถานการณ์ที่ผิดพลาดของข้าด้วยองค์ราชา แต่รอบนี้ข้าจะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง รอบนี้ข้าจะนำทัพไปด้วยตัวเองรวมไปถึง

 

[ธิดาสงคราม] 

ไปกับข้าด้วยพะย่ะค่ะ"

 

เพียงเขาพูดจบทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงนั้นต่างพากันฮือฮากันยกใหญ่จนราชาต้องยกมือเพื่อให้เกิดความสงบ

"ข้าไว้ใจเข้านะ เพราะเจ้าก็รับใช้ท่านพ่อของข้ามานานข้าจะให้โอกาสเข้าแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่ถ้าเจ้าทำพลาด...."ราชากล่าวเว้นช่วงไปพร้อมกับเดินไปหาอีกฝ่ายในระยะประชิด

"เตรียมเอาหัวรองใบมีดกิโยตินได้เลย"เขากล่าวก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้ชายในชุดเกราะดำยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

 

 

ชายในชุดเกราะดำได้เดินลงมาถึงโรงฝึกทหารที่กำลังจะดูวุ่นวายเป็นพิเศษ เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นพร้อมกับร่างของทหารสองนายได้ปลิวกระเด็นออกมาพร้อมกับร้องโอดโอย 

"ทหารเสนารักษ์ดูแลสองคนนี้หน่อย!"เขากล่าวเสร็จทหารสองนายนั้นก็ถูกหามออกไปทันที

เหตุการณ์ดูจะชุลมุนเข้าไปอีกเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้เสียงโวยวายมากขึ้น เบื้องหน้าเขาคือหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งร่างสูงสองเมตรที่มีร่างกายบึกบึนราวกับนักรบ ผมสีส้มแดงที่ดูยุ่งเหยิงและนัยน์ตาสีเขียวเรืองแสงที่ดูดุดันคุล้มคลั่งราวกับสัตว์ป่า เนื้อตัวที่ดูมอมแมมและเต็มไปด้วยบาดแผลที่ถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ จนภาพรวมดูไม่ต่างกับสัตว์ที่ดูดุร้ายตัวนึงฟันของเธอที่อ้าออกนั้นถูกแทนที่ด้วยคมเขี้ยวที่แหลมคมราวกับฉลาม รวมไปถึงคอของเธอนั้นมีเหงือกคล้ายกับเหงือกปลาฉลาม ฟันแหลมที่พร้อมจะฉีกกระชากทุกชีวิตให้ดับดิ้น

ที่หน้าผากของเธอมีก้อนเนื้อคล้ายครีบปลายื่นออกมาเล็กน้อย เธอได้มองมาที่ทหารนายหนึ่งก่อนจะกระชากโซ่และเหวี่ยงเขากระแทกกับพื้นจนอีกฝ่ายหมดสติไป

 

อเล็กซานเดอร์จึงได้ใช้ผงบางอย่างที่ทหารนายนึงยื่นให้เขาปาใส่อีกฝ่ายจนอีกฝ่ายกรีดร้องและดิ้นรนอย่างทุรนทุราย โดยฝ่ายที่ปาผงใส่นั้นทำสีหน้าเรียบนิ่งราวกับแค่ปาเศษอาหารให้สัตว์เดรัจฉานเท่านั้น เขาได้ตรงไปกระชากโซ่ที่ล่ามคออีกฝ่ายด้วยความรุนแรงจนอีกฝ่ายส่งเสียงทรมานเพราะการขาดอากาศหายใจพร้อมกับดวงตาที่ค่อยๆเหลือกทีละน้อย จนทำให้ทหารคนอื่นๆต่างพากันสงบลง

 

เขาได้สั่งให้ทุกคนออกไปจากที่ตรงนั้น เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้วเขาจึงปล่อยโซ่ลงพร้อมกับถอยออกมาจากหญิงสาวเพื่อความปลอดภัยของตนเอง เขาคุกเข่าด้วยท่าทางเหมือนคนหมดแรงก่อนที่จะเอามือกุมหน้าและเริ่มร้องไห้คร่ำครวญด้วยใจที่แหลกสลาย

 

"ลุงขอโทษ ลุงขอโทษ ลุงขอโทษ!!!"เขากล่าวคำนี้ซ้ำๆพร้อมกับร้องไห้ เขามองไปที่หญิงสาวที่มีรอยบาดแผลเต็มตัว ทั้งรอยแดงจากการเสียดสีกับเครื่องพันธนาการ รอยแผลจากคนดาบ รอยไหม้จากเหล็กร้อนที่ทิ่มแทง บัดนี้แม่ทัพเกราะดำนั้นได้ร้องไห้ปานใจจะแหลกสลายพร้อมกับมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าพร้อมทั้งพยายามนำมือไปจับบาดแผลอีกฝ่าย แต่เธอได้ปัดมืออีกฝ่ายด้วยแรงมหาศาล นั่นทำให้เขาร้องไห้หนักขึ้นไปอีก

"ทำไมหลานสาวแสนสวยที่มีอนาคตของฉันต้องมาพัวพันกับสงครามไร้สาระนี้ด้วย ทำไม!!!!"เขากล่าวก่อนจะทุบพื้น เพลิงโทสะและฝนแห่งความเศร้าได้หลอมรวมกลายเป็นพายุอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้ เขากรีดร้องพร้อมกับร้องไห้ในเวลาเดียวกัน

ถ้าเขามีทางเลือกได้มากกว่าก็คงดี....

 

แต่ทันใดนั้นก็มีความคิดบางอย่างพุ่งทะลุเข้ามาในห้วงความเศร้าของเขา ชายสูงวัยได้รีบปาดน้ำตาและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเขารีบเดินออกไปด้วยแสร้งทำเป็นมาดสุขุมทันทีราวกับสวมหน้ากาก

 

"พรุ่งนี้เราจะไปบุกอาณาจักรวอร์เตอร์มิลตามแผน"เขากล่าวกับทหารที่อยู่ด้านนอก ทุกคนตอบรับพร้อมกับส่งเสียงเฮดังๆเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย โดยที่อเล็กซานเดอร์ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนจับตาเขาอยู่

 

"ท่านแน่ใจแล้วเหรอพะย่ะค่ะที่จะให้นายพลแก่ๆไปคุมสงครามครั้งนี้น่ะ"บุคคลปริศนากล่าวถามพระราชาหนุ่มด้วยน้ำเสียงเชิงสงสัย พระราชาได้ยิ้มแสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้าพร้อมกับดวงตาหรี่ลงด้วยความเจ้าเล่ห์

 

"แน่นอนข้าก็แค่อยากเอาไพ่เก่าๆไปทิ้งบ้างก็คงไม่เสียหายอะไรนี่นา สำรับจะได้ว่างพอที่ข้าจะได้นำไพ่ใหม่ๆที่ข้าใช้งานง่ายมาจัดสรรให้ข้าควบคุมบทบาทได้ดีขึ้น แถมยัยสัตว์เดรัจฉานนั่น จริงๆของที่ผิดพลาดแบบนั้นไม่ควรมาอยู่ในอาณาจักรข้าด้วยซ้ำ ว่าแต่เจ้าถามทำไมเหรอ...ดิมิทรี"

พระราชาถามก่อนที่บุคคลปริศนาได้เดินออกมา เขาคือดิมิทรีที่กำลังมองพระราชาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

 

"โอ้...เจ้าไม่ชอบชื่อนี้นี่นา ต้องเรียกเจ้าว่า มาคารอฟ คงจะเข้าหูเจ้ามากกว่าสินะ"พระราชาหนุ่มกล่าว

 

"อ่าห์~ เป็นเกียรติกระหม่อมมากที่ท่านเรียกชื่อของกระหม่อมถูก"ลอร์ดในชุดนักบวชสีดำกล่าวก่อนจะก้มหัวลงพร้อมกับเอามือแนบอกพร้อมกับยิ้มด้วยความยินดี

 

"หึ ข้าก็แค่จำคนที่มีประโยชน์ต่อตัวข้าเท่านั้นล่ะ ตอนนี้เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ"คู่สนทนาของมาคารอฟกล่าวพร้อมกับมาคารอฟที่หายตัวกลายเป็นฝุ่นผงสีฟ้าพร้อมกับรอยยิ้มของผู้เป็นพระราชา

 

 

 

 

 

 

วอร์เตอร์มิล

 

ทางด้านซากุระที่ติดต่อกับทางฐานทัพหลักได้ขอกำลังเสริมเพิ่มเพื่อป้องกันการบุกระลอกสอง โดยคนที่เธอได้รับคำตอบว่าคนที่จะมาร่วมทีมเธอเพิ่มนั้นจะไปพบกันระหว่างทางไปอาณาจักรลับแล

ซากุระได้ยกลังแอปเปิลโดยมีอิลตาใช้พลังจิตของเธอยกอีกสองลังตามหลังมา ตั้งแต่พวกเธอมาที่นี่เธอก็รู้สึกว่าเธอต้องทำงานแลกกับการจัดตั้งเสาสื่อสารและค่ายพิเศษนอกระยะ(ORBPC: Out Range Base Protocol Camp)

โดยค่ายพวกนี้จะมีขนาดใหญ่และอเนกประสงค์มากที่สุดเพื่อเอื้ออำนวยความสะดวกให้ทั้งฝ่ายชาวบ้านและทีมของซากุระ แน่นอนว่าทุกคนที่เป็นแขกผู้มาเยือน เหล่าเชลยศึกที่ทหารของเจ้าหญิงแอนนาจับมาใช้แรงงาน

แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่ไม่ถึงกับแรงงานนรก พวกเขามีเงินเดือน ข้าวปลาอาหาร แคมป์ชั่วคราวและได้มีโอกาสเขียนจดหมายหาคนรัก ครอบครัวได้ตามปกติ หากแต่มีการตรวจนิดหน่อย

 

ซากุระเคยสั่งให้ซาเนียไปถามเกี่ยวกับการดูแลเชลยกับเจ้าหญิงว่าการกระทำครั้งนี้จะสร้างความไม่พอใจหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ซาเนียได้รับคือ พวกเขาเป็นแค่ทหารรับจ้างปลายแถวที่ถูกจ้างมาให้จากบ้านเกิดมาไกลเพื่อทำสงครามไร้สาระโดยมีพวกขุนนางออกเงินซื้ออาวุธกับชุดเกราะให้ พวกเขาก็ไม่ต่างจากเหยื่อสงคราม แถมประชาชนต่างก็เข้าใจและแจกจ่ายอาหาร เครื่องใช้ที่จำเป็นให้พวกเขาแลกกับรับจ้างงานสารพัด ซึ่งพวกเขาก็ยินดีทั้งสองฝ่าย

 

"ยังดีที่สงคราม(?)รอบนี้จบด้วยการไม่มีใครเสียชีวิตและสามารถหาข้อตกลงที่ลงตัว"ซากุระพึมพำก่อนที่เธอได้นำลังแอปเปิลมาวางไว้หน้าบ้านที่หมายของเธอโดยมีอิลตาตามมาติดๆ มันเป็นบ้านสไตล์ละติน กล่าวคือเป็นบ้านสูงสี่ชั้นที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมง่ายๆที่ตัวตึกถูกทาสีด้วยสีชมพู ฟ้า และเหลือง

 

ซากุระเคาะประตูก่อนจะผ้ามาเช็ดเหงื่ออีกฝ่ายและอิลตาด้วยก่อนจะหันไปหน้าประตู "มีของมาส่งค่ะ"ซากุระกล่าวก่อนที่ประตูจะเปิดพร้อมกับเดินเข้าไปส่งลังแอปเปิลให้ถึงในบ้าน แต่ระหว่างที่เธอกำลังเดินนำลังแอปเปิลเข้าไปวางนั้นอิลตาได้เกิดอาการปวดหัวจนเธอเสียสมาธิ ทำให้ลังแอปเปิลที่เธอยกอยู่หล่นลง โชคดีที่ซากุระไวพอ เธอรีบคว้าลังทั้งสองไว้ก่อนจะรีบวางลงพื้นและเข้าไปดูอาการเด็กสาวผมขาวทันที

 

"พวกเขา...กำลัง...มา"อิลตากล่าวติดขัดพร้อมกับเอามือกุมขมับของเธอพร้อมกับคุกเข่าลง เป็นจังหงะเดียวกับที่ซาเนียวิ่งเข้ามาพอดี เธอเลยค่อยๆลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความใจเย็นแม้สีหน้าครึ่งกระต่ายสาวจะดูร้อนรน

"พวกเขาไหนเหรออิลตา"ซาเนียถาม

"ชุดสีแดงเหมือนโลหิตต้องแสงตะวัน....พวกเวสการ์ด!!!"ทันทีที่อิลตาออกจากนิมิตในหัวของเธอ เสียงแตรก็ดังมาจากไกลๆพร้อมกับเสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นทั่วทุกที่พร้อมกับประชาชนที่รีบออกมาข้างนอกและมีทหารคอยชี้นำจุดหลบภัย

 

"คาปิลได้ยินเหมือนกันใช่มั้ย?!"ซากุระถามออร์คทหารด้วยน้ำเสียงกังวล

"ฉันได้ยิน ตอนนี้ฉันกำลังตรวจสอบจากระยะไกลอยู่.....พวกนี้คือกองทัพหลักของพวกเวสการ์ด เพราะพวกมันมีธงชัดเจน รวมไปถึงการเดินทัพดูมีแบบแผนมากกว่า"คาปิลกล่าว

"ท่านซากุระ นี่รวินาค่ะ ฉันลองไปวิ่งตรวจสอบกองทัพที่กำลังมาหาเราแล้ว พวกนั้นมีกำลังหลักร้อยพร้อมด้วยบุตรหลานแห่งเทพค่ะ"รวินากล่าวผ่านทางวิทยุ

ซากุระนึกออกทันทีถึงกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่เพเนโลเป้เคยพูดถึงเธอเริ่มขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะถ้าบุตรหลานแห่งเทพเผลอหลุดเข้ามา ประชาชนบริสุทธิ์อาจจะบาดเจ็บเพิ่มขึ้น

"รอคำสั่งเธอนะซากุระ"เอล์ฟสาวอิลิยาวิทยุเข้ามา

"บอส ขอคำสั่งต่อไปด้วย"ซาเนียกล่าว

 

"รอบนี้ฉันจะไปเอง ฉันจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวเอง"หญิงสาวผมแดงกล่าวก่อนที่จะวิทยุไปหารวินา

"ขอทิศทางศัตรูด้วยรวินา"ซากุระกล่าวพร้อมกับปิงที่ขึ้นบนแผนที่ผ่านการมองเห็นผ่านดวงตาของเธอ ซากุระได้เปลี่ยนรองเท้าของเธอให้เป็นเครื่องช่วยกระโดด มันเป็นแท่งเหล็กแบนที่ถูกตีให้ปลายโค้งและมีตัวล็อกกับขาของหญิงสาวผมแดงก่อนที่เธอจะออกแรงวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ เพียงเสี้ยววินาทีเธอสามารถวิ่งไปครึ่งทางแล้วจากระยะทางทั้งหมด

 

เธอยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยจนเห็นกองทัพที่กำลังเดินทางเข้ามาใกล้ เธอจึงได้หยุดและยืนขวางทางเพื่อไม่ให้นำทัพผ่านไป ทหารทุกนายในชุดเกราะอัศวินสีแดงฉานได้มองมาที่ซากุระด้วยสายตาเดียวกัน ทุกคนตั้งอาวุธในท่าพร้อมโจมตีเต็มอัตราศึก ทั้งหอก ดาบ ธนู หน้าไม้ ต่างเล็งมาที่เธอแทบจะทันทีที่เธอปรากฎตัว

 

"ฉันต้องการคุยกับผู้นำของพวกนาย"ซากุระกล่าวเสียงแข็ง แต่มีทันทีที่หญิงสาวพูดยังไม่จบก็มีเสียงหัวเราะมากมายดังขึ้น นั่นทำให้ซากุระรู้สึกคิดหนักทันทีเพราะถ้าพวกเขาโถมเข้ามาเพียงครั้งเดียว ถึงเธอจะไม่เป็นไรแต่มีความเป็นไปได้สูงที่พวกที่เหลือจะหนีจากเธอไปและจะเปิดฉากโจมตีอาณาจักรที่เธอต้องปกป้อง

 

แต่ระหว่างที่เธอเคว้งคว้างกับการรอคำตอบอีกฝ่ายทหารแต่ละคนต่างก็พากันโวยวายพร้อมกับเสียงโซ่ตรวนที่ถูกดึงออกจนขาด เครื่องพันธนาการที่ถูกสองมือพังแหลกเป็นเสี่ยงจากฝีมือบุตรหลานแห่งเทพที่รวินากล่าว เธอกระโดดด้วยแรงเพียงนิดเดียว เธอก็ยืนห่างกับซากุระเพียงแค่สองศอกเท่านั้น หญิงสาวสูงสองเมตรผิวสีน้ำผึ้งและร่องรอยบาดแผลจำนวนมาก

เธอคำรามราวกับสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งก่อนจะพุ่งเข้าหาซากุระทันที เธอใช้เท้าออกท่าเตะหน้านำออกมาก่อนเป็นกระบวนท่าแรก ทำให้ซากุระต้องยกมือสองมือขึ้นมากันแทบไม่ทันเธอสัมผัสได้ถึงแรงกระแทกมหาศาลราวกับถูกรถไฟชนด้วยเนื้อเปล่าๆ แรงเตะก่อให้เกิดแรงดันอากาศที่รุนแรงพุ่งผ่านตัวซากุระจนเธอมีรอยฉีกขาดที่ช่วงตัวและขา แขนของเธอได้ขาดทันทีภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว 

อีกฝ่ายได้พุ่งเข้ามาพร้อมกับจะเอื้อมมือจะจับอีกฝ่าย แต่รอบนี้ซากุระได้โดดขึ้นไปบนหัวอีกฝ่ายและใช้ขารัดคออีกฝ่ายเพื่อหวังจะให้จอมพลังรายนี้สลบ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอถูกจับขาและเหวี่ยงกระแทกพื้นและกระเด็นไปหลายตลบ ซากุระได้ลุกขึ้นพร้อมกับมองดูรอยพื้นที่ถูกแรงกระแทกจนยุบ

"ในเมื่อคุยกันดีๆไม่ได้ ทางนี้ก็ขอไม้แข็งละกันนะ"ซากุระกล่าวพร้อมกับแสงสีส้มที่ก่อตัวเป็นไอพ่นติดหลังเอาไว้เพื่อความความสามารถในการหลบหลีก รวมไปถึงแสงสีฟ้าที่เปล่งประกายขึ้นไปามชุดของเธอ สาวผมแดงตั้งการ์ดพร้อมกับค่อยๆขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายโดยการหลบไปซ้ายทีขวาทีให้อีกฝ่ายสับสน

ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นนักรบคลั่ง การใช้การยั่วยุเลยได้ผลดีเป็นพิเศษ เธอคำรามพร้อมกับพุ่งเข้ามาหาซากุระในระยะประชิดเพียงเวลาเสี้ยววินาทีซากุระจึงใช้มือเปล่าของเธอรับการโจมตีนั้นแต่รอบนี้เธอไม่โดนต่อยจนกระเด็น แถมยังยืนอยู่ในท่าปกติ เธอยิ้มก่อนที่จะใช้ไอพ่นส่งเธอไปด้านหน้าพร้อมกับใช้สองหมัดของเธอ กระแทก อีกฝ่ายอย่างแรงจนกระเด็นไปโดนกลุ่มทหารด้านหลังจนกระจัดกระจายราวกับลูกโบว์ลิ่งพุ่งหาพินโบว์ 

 

หญิงสาวร่างสูงยังไม่ยอมแพ้ เธอคำรามอีกครั้งก่อนจะกระโดดขึ้นในระดับที่สูงมากพอจนซากุระต้องเอามือป้องแสงที่แยงตา ส่งผลอีกฝ่ายตีลังกาเตะเธอจากด้านบนทันทีพร้อมกับพื้นที่ยุบตัวลงอย่างรุนแรงจนราวกับแผ่นดินไหว ใบหน้าของซากุระถูกเตะกระแทกพื้นดินจนตอนที่เธอลุกขึ้นมา เธอได้พบว่าหน้าของเธอนั้นยุบไปครึ่งหน้า แต่ซากุระได้ใช้มือยันและตีลังกาหลบการโจมตีที่พุ่งเข้ามาอีกระลอก แต่ทันใดนั้นคู่ต่อสู้ของสาวผมแดงได้คว้าหอกมาจากทหารนายนึงที่ล้มอยู่ พร้อมกับพุ่งหอกไปด้านหน้าเพื่อให้ซากุระเสียระยะการต่อสู้ ก่อนจะกวัดแกว่งหอกเพื่อใช้คมหอกแทงอีกฝ่ายให้ดับดิ้น

 

การอ่านการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทำให้ซากุระลำบากในการออกกระบวนท่าโจมตี แต่เธอก็ได้เพ่งสมาธิไปที่ชุดของเธอพร้อมกับแสงสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่รอบนี้มันวิ่งไปตามรอยหกเหลี่ยมสีขาวทั่วชุดก่อนจะหายไปพร้อมกับที่ซากุระหยุดเคลื่อนไหวและปล่อยให้อีกฝ่ายแทงเธอทันที

แต่ทันทีที่หอกเสียบลงไปนั้นใบหอกกลับแตกออกทันทีพร้อมกับร่างหญิงสาวจอมพลังที่กำลังกุมขมับและล้มลงก่อนจะดิ้นทุรนทุรายพร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาจากรูหูตามมาด้วยเส้นเลือดที่ตาบางส่วนก็ได้แตกออกจนเป็นจ้ำเลือด เธอกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานและพูดบางอย่างมี่จับใจความไม่ได้

มีเพียงสามคำที่ซากุระได้ยินสั้นๆคือ [เจ็บ] [มันเจ็บมาก] [ทรมาน]ก่อนที่อีกฝ่ายจะกรีดร้องโหยหวน

 

สิ่งที่ซากุนะทำลงไปก่อนหน้านี้คือการอัดปริมาณคลื่นเสียงและคลื่นสั่นสะเทือนทำลายโสตประสาทแรงสูงลงไปในชุด ถ้ามีแรงปะทะใดเข้ามากระแทกตัวชุด คลื่นเสียงมรณะนี้จะสั่นสะเทือนผ่านอาวุธไปที่ผู้ถือ ทำให้ผู้ถือโดนคลื่นเสียงมรณะนี้อัดใส่จนทรมาน มันจะทำให้ผู้ที่ถูกโจมตีถูกทำลายโสตประสาทการได้ยินและมองเห็นทันที รวมไปถึงแรงสั่นสะเทือนทำให้ร่างกายอยู่ในสถานะเหมือนใกล้ตาย พร้อมทั้งเสียงวี้ดแหลมสูงในหูที่ดังจนคนที่โดนแทบอยากตัดหูตัวเองทิ้ง

ซากุระเดินเข้าไปที่หญิงสาวที่กำลังทุกข์ทรมานและดิ้นพราดราวกับปลาที่กำลังขาดใจหญิงสาวร่างสูงพยามตะเกียกตะกายเพื่อขอความช่วยเหลือและนำมือปิดหู เสียงโหยหวนที่คนทั่วไปได้ยิน สำหรับซากุระ มันคือการร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส 

เธอได้นำมือจ่อคออีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นใบมีด เธอมองหญิงสาวร่างสูงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเวทนา สงสารและอยากให้เธอคนนี้ได้พ้นทุกข์กับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ ซากุระกัดฟันและเพียงเสี้ยววินาที เธอได้ใช้ใบมีดตัดหัวของอีกฝ่ายทันที

ร่างที่ไร้ศีรษะค่อยๆล้มลงพร้อมกับแสงตะวันที่ค่อยๆลับขอบฟ้า ท้องฟ้าและผืนหญ้าได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มซากุระได้จับศีรษะที่ไร้วิญญาณของคู่ต่อสู้ของเธอชูให้ศัตรูอีกฝ่ายเห็น นั่นทำให้อเล็กซานเดอร์ทำกับเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะนี่มันผิดแผนที่เขาวางไว้ไปหมด ณ ตอนนี้เขรได้เสียแก้วตาดวงใจเขาไปแบบไม่มีวันกลับแล้ว แต่เมื่อกองทัพได้เห็นสิ่งที่ซากุระทำ แทนที่พวกเขาจะรีบหนีไปพวกเขากลับพร้อมใจกันพุ่งมาที่ซากุระแทบจะทันทีเพราะเห็นว่าซากุระกำลังเหม่ออยู่

 

แต่สายไปเสียแล้ว พวกเขาถูกกองกำลังทหารของแอนนาและหน่วยที่เหลือของซากุระได้ออกมาจากที่ซ่อนและเข้าตะลุมบอนแทบจะทันที เสียงปืนและเสียงต่อสู้นั้นดูเชื่องช้าสำหรับซากุระราวกับเธอและคนอื่นๆได้แยกอยู่คนละโลก เธอเดินไปที่ศีรษะศัตรูที่เธอทำหล่นด้วยความเคว้งคว้างราวกับคนไม่มีสติไปพร้อมกับหยิบขึ้นมา

เธอได้คุกเข่าและกอดศีรษะนั้นไว้โดยที่มีน้ำตาคลออยู่ที่เบ้าตาของเธอ เธอไม่อยากร้องไห้ตอนนี้ แต่ทันทีที่เธอเห็นรอยบาดแผล รอยช้ำ ร่องรอยทารุณกรรมต่างๆมากมายผ่านการต่อสู้ แม้จะเพียงเสี้ยววินาที ซากุระสามารถวิเคราะห์ร่างกายอีกฝ่ายได้ ทำให้เธอได้พบข้อมูลบนร่างกายที่เป็นบาดแผลมากมายจนน่าตกใจ และเธอได้ใช้อาวุธอันตรายแบบไม่ทันยั้งคิดถึงฝ่ายตรงข้ามที่เป็นแค่เด็กอายุเพียงสิบเเปดปี ที่ถูกใช้เป็นอาวุธสงคราม อาวุธสงครามมี่สนองความต้องการของคนแค่บางกลุ่ม

เธอไม่รู้ว่าการต่อสู้ด้านหลังเธอจบไปนานแค่ไหนรู้แค่เธอไม่อยากปล่อยให้ศีรษะกับร่างนี้ต้องเผชิญอากาศที่โหดร้ายที่อยู่ด้านนอกนี้ เธอจึงนำผ้าที่อยู่ใกล้มือที่ศัตรูทำหล่นไว้ คลุมทั้งศีรษะและร่างของอีกฝ่าย

 

การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วโดยที่ฝั่งซากุระได้จับเชลยได้เพียงสามคน ส่วนที่เหลือนั้นใช้การจุดไฟเผาหญ้า ระเบิดควันและรีบหนีไป 

เพียงไม่กี่อึดใจซากุระได้กรีดร้องด้วยความเศร้าและความโกรธที่ระเบิดออกมาทำให้ทุกอย่างกลายเป็นภาพช้าเธอได้เขย่าศพที่เธอห่อโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะลุกขึ้นมาทำให้คาปิลต้องรีบแยกซากุระออกมาโดยมีเหล่าทหารช่วยดึงซากุระออกมา แต่ซากุระพยายามตะโกนอย่างสุดเสียงว่าอย่าเผาร่างของเด็กสาวคนนั้น

เธอตะโกนซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติ เธอพยายามจะฝืนการกันของทหารที่ขวางเธอ ซึ่งเธอผลักพวกเขาออกมาได้ และวิ่งไปที่คาปิลแม้ตอนนี้จะเหลือแรงเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่เพเนโลเป้บินเข้ามาคว้าหญิงสาวผมแดงออกไปพร้อมโอบกอดอีกฝ่ายไว้แน่นเพื่อไม่ให้ซากุระเข้าไปหาคาปิล

 

นั่นเป็นครั้งแรกที่เพเนโลเป้ได้ยินเสียงร้องและหยดน้ำตาของนักรบหญิง จอมมารสาวตระหนักได้ว่าถึงแม้คนในอ้อมกอดจะแข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ร่าเริงราวกับแสงรุ่งของตะวันยามรุ่ง แต่ในใจเธอนั้นเต็มไปด้วยความเปราะบาง

เธอพยายามเรียกสติอีกฝ่ายให้ตั้งสติ แต่กลับกลายเป็นว่าเธอนั้นร้องไห้หนักกว่าเดิม เพเนโลเป้ไม่มีทางเลือกจึงได้เลือกที่จะกอดอีกฝ่ายเเาไว้ให้สงบลงโดยหวังว่าเธอจะผ่านเรื่องราวที่จะติดตาเธอไปในคืนนี้ตลอดไป