สามวันผ่านไปหลังจากการบุกโจมตี

 

ในขณะที่กำลังเดินตรวจตราภายในอาคารทำงาน ซากุระถูกใครบางคนพุ่งกอดจากด้านหลัง ผมสีบลอนด์, นัยน์ตาสีส้มอ่อน กับใบหูแหลมที่กระดิกเล็กน้อย เอียงหน้ามองเธอด้วยแววตาคิดถึง, ใช่แล้ว เธอคือหัวหน้าอัศวินที่ถูกซากุระศอกจนสลบเหมือด (มา..เมื่อไหร่)

 

แต่เธอก็เพิ่งมารับรู้ทีหลังว่าอีกฝ่ายเป็นเอล์ฟ- และส่วนสูงนั้นก็น้อยกว่าเธอมาก

 

"หนูหาแม่ไม่เจอน่ะค่ะ ถามคนที่อยู่แถวนี้เขาบอกว่าแม่อยู่ที่นี่" เอล์ฟตัวน้อยกล่าวกับสาวผมแดงในอ้อมแขน

 

"อา...แม่ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกไว้ล่วงหน้า-แม่จะไปทำธุระ มาเรียเล่นกับคุณรวินาไปก่อนนะ"ซากุระกล่าวด้วยยิ้มเจื๋อนๆ พร้อมลูบหัวอีกฝ่ายไปด้วยในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มร่า

“ค่ะแม่” แล้วรีบเดินไปหา รวินาตามคำสั่ง โดยเจ้าตัวรับเคราะห์ไปแบบงงๆ และซากุระก็ได้แต่พนมมือขอโทษอยู่ไกล ๆ

 

เธอไม่แน่ใจว่าแรงกระแทกทำให้สมองของอีกฝ่ายเกิดความเสียหายขนาดนี้ได้อย่างไร แต่ก็แอบรู้สึกผิดเล็กน้อย จึงตัดสินใจดูแลอีกฝ่ายจนฟื้นและมาลงเอยด้วยสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนไปเฉยๆ

"กลายเป็นแม่คนไปตอนไหนเนี่ย" ผู้มาใหม่เอ่ยแซวก่อนจะโยนขวดน้ำผลไม้ให้ ซากุระรับขวดน้ำอย่างแม่นยำก่อนจะหัวเราะเหนื่อย ๆ

"เธอสูญเสียความจำขั้นรุนแรงน่ะ พวกเราเองก็ยังแน่ใจว่าจะมีวิธีเรียกความจำกลับมามั้ย" ซากุระกล่าว

 

"ดูเหมือนว่าศูนย์ใหญ่เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน" ออร์คทหาร กล่าวพร้อมกับมองไปยังมาเรียซึ่งกำลังสนุกกับเล่นของเล่นที่รวินาหยิบยื่นให้

 

ทั้งสองหาม้านั่งใกล้ ๆ พร้อมกับเปิดขวดน้ำดื่มอย่างกระหาย แสงแดดตอนเที่ยงส่องลงมาโดยไม่มีเมฆขวาง แดดแรงถูกลดทอนลงด้วยสายลมที่พัดจนทำให้ใบไม้ร่วงมาบางส่วน ซากุระจ้องไปยังท้องฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเล็กน้อย ยกขวดน้ำผลไม้กระดกรวดเดียวหมด

 

"วันนี้อากาศดีนะ" สาวผมแดงกล่าว ก่อนจะชะงักไปชั่วครู่ ใช้ดวงตาซูมไปในระยะที่ชาวเมืองไม่สามารถมองเห็นได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็รู้สึกจึงวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความเร็วจนน่าตกใจ

 

"นั่นมัน... ฝูงค้างคาวรึเปล่าน่ะ" คาปิลกล่าวพร้อมกับหยิบแท่ง (ลักษณะของแท่ง เช่นโลหะสีเงิน ฯลฯ) แล้วดึงมันออกเป็นกล้องส่องทางไกล

 

"ไม่ใช่.. มันเป็นหมอกควันสีดำ- ไม่สิมันเหมือนรอยแยกมิติ!" ซากุระตอบ

 

เจ้าหญิงอนาตาเซียเสด็จมาหาซากุระที่กำลังเตรียมอาวุธ เป็นจังหวะเดียวกับที่รอยแยกนั้นได้พุ่งลงมาหาเจ้าหญิงด้วยความเร็วและคว้าตัวเธอไว้ คาปิลและซากุระหยิบอาวุธพร้อมโจมตีและกำลังจะพุ่งเข้าไปช่วย-

 

"เดี๋ยวก่อน!!!" เจ้าหญิงอนาตาเซียปรามทั้งสองคู่ที่กำลังจะพุ่งเข้ามา

 

หมอกควันจางหายไป เผยให้เห็นหญิงสาวคล้ายพวกโกธ (Goth:กลุ่มวัยรุ่นที่ชอบแต่งตัวสีดำ) แต่งตัวแบบพวกวัยรุ่นอเมริกัน ผมสีเทาอ่อนถูกไถข้างและรวบหางม้า ผิวขาวซีดถูกบดบังด้วยเสื้อยืดสีดำและทับด้วยแจ๊กเก็ตแขนกุดสีเดียวกัน คอของเธอมีรอยแผลถูกกัดแบบเดียวกับแวมไพร์ ดวงตาที่ดูโฉบเฉี่ยวกวาดนัยน์ตาสีมรกตมองมาที่ซากุระและคาปิล

 

"นี่เหรอพวกที่โจมตีเจ้าน่ะ แอนนา" หญิงปริศนากล่าวพร้อมชักกรงเล็บยาวออกมาทำให้ฝั่งซากุระงงเป็นไก่ตาแตก

 

"ฮะ?" ซากุระเอ่ยจบเพียงเสี้ยววินาที ร่างของเธอก็ถูกหั่นเป็นสองท่อน ทั้งคาปิลและเจ้าหญิงอนาตาเซียตกใจเป็นอย่างมาก

 

"ท่านทำอะไรลงไป!!!" เจ้าหญิงอนาตาเซียตรัส พร้อมกับทรงวิ่งไปหาซากุระ โดยที่ฝ่ายโดนตำหนิยังมึนงงกับการกระทำดังกล่าว

 

"นี่ข้าช่วยเจ้านะแอนนา" หล่อนกล่าวด้วยสีหน้าสงสัย

 

 

เปลือกตาของซากุระหนักอึ้งจนแทบจะลืมไม่ขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ ปิดลง เจ้าหญิงอนาตาเซียทอดพระเนตรภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ หยดน้ำใสไหลออกจากตาด้วยความเศร้า แม้แต่คาปิลที่กำลังยืนดื่มน้ำผลไม้ยังเบิกตาโพลงไปด้วย

 

“เมื่อไหร่คุณจะเลิกนิสัยเสียซักทีคะ! มันกี่ครั้งที่คุณทำตัวแบบนี้แล้วครั้งนี้คุณทำคนตายน่ะ!!” เจ้าหญิงตะโกนออกมาด้วยความโมโห คนโดนตำหนิทำหน้าเศร้าก่อนจะเอ่ยตอบ

 

“ข้า- ข้าขอโทษ.. ข้าแค่กลัวเจ้าตก- อึก..อยู่ในอันตราย-ฮือออ"

 

เธอกล่าวพร้อมกับสะอื้น ก่อนจะเริ่มร้องไห้เป็นเด็ก ๆ โดยมีคาปิลยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล เธอยกน้ำผลไม้ดื่มสลับกับมองร่างของซากุระ

 

"นี่! เลิกแกล้งได้แล้ว" คาปิลกล่าวกับซากุระในสภาพขาดสองท่อน

 

"ฉันไม่ได้อยากแกล้งพวกเขานะคุณคาปิล” เสียงจากคนที่นอนแน่นิ่งดังขึ้น “แต่ร่างฉันไม่ได้โดนหั่นสองท่อนมานานพวกระบบชีวภาพกับนาไนท์มันต้องย้อนความจำรูปแบบการฟื้นฟูน่ะ”

 

“โอ๊ะ! ได้ละ” ว่าจบร่างทั้งสองท่อนของเธอก็กลับมาผสานกัน “สงสัยคงต้องโดนหั่นบ่อย ๆ แล้วมั้ง ว่าแต่คุณรู้ได้ไงคะว่าฉันไม่เป็นไร” ซากุระลุกขึ้นพร้อมกับบิดเอวไปมา

 

“ก็มันไม่มีเลือด” คาปิลตอบอย่างตรงไปตรงมา ยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่มเป็นอึกสุดท้าย คนเพิ่งคืนสภาพหรี่ตามองอย่างจับผิด

“ถูกแล้วนิ” คาปิลยืนกราน ซากุระถอนหายใจแล้วหันไปสนใจเจ้าหญิงอนาตาเซียที่ยังคงเสียขวัญ ส่งนิ้วไปสะกิดเจ้าหญิงเบา ๆ

 

"กรี๊ด!!! ผีหลอก!!!" คนโดนสะกิดตกใจตะโกนร้องเสียงดังจนซากุระสะดุ้งตาม

 

"ไหน!ผีที่ไหน!!"ซากุระถามเสียงดังพร้อมหันซ้ายขวา ไม่วายโดนหญิงสาวชุดดำหันสองท่อนและตัดคอซ้ำอีกรอบด้วยความตกใจไปตามๆกัน

 

 

 

 

 

"ข้าขอโทษจริง ๆ" ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเจ้าหญิงอนาตาเซียกับหญิงสาวชุดดำกล่าวพร้อมก้มหัวขอโทษ

 

“ไม่เป็นอะไรมิได้พะยะค่ะ” ซากุระกล่าว

 

มือของเธอหิ้วหัวของตัวเองเอาไว้ก่อนจะนำมาต่อหัวคอใหม่ รอยต่อถูกเชื่อมด้วยสารสีเทา และสีขาวคล้ายเส้นใสขนาดเล็กจำนวนมาก ไม่นานเธอก็กลับสู่สภาพเดิม

 

"ข้าขอโทษกับความผลีผลามของตัวข้าด้วย" หญิงสาวชุดดำกล่าวขอโทษซ้ำ

 

ซากุระยิ้มเจื๋อนก่อนจะเอ่ยเชิญชวนทั้งคู่ให้นั่ง จากการพูดคุยเธออนุมานได้ว่าทั้งสองคนน่าจะสนิทกันมาก โดยระหว่างนั้นก็มีคนจำนวนมากตะโกนมาจากภายนอกอาคาร

 

"ท่านเพเนโลเป้!!"

 

"ท่านเพเนโลเป้กลับมาแล้วเหรือคะ!!!"เสียงอีกเสียงดังขึ้นจนหญิงสาวชุดดำยกมือขึ้นมาเกาหลังคอแสดงอาการเขินเล็กน้อย เปิดประตูออกไปนอกอาคารที่ทำงาน

 

"เจ้าหญิงเพคะ...สตรีนางนั้นคือใครกันแน่หรือพะย่ะค่ะ?"ซากุระถาม

 

 

 

"พวกท่านเพิ่งมาอาจจะไม่รู้จัก นางมีชื่อว่าเพเนโลเป้ คาร์สทีน หรือคนอื่นจะรู้จักในนาม<จอมมารจักรพรรดินีแวมไพร์>หากไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวนะ" เจ้าหญิงอนาตาเซียอธิบายก่อนจะขอตัวออกจากวงสนทนาพร้อมกับยกมือป้องปากหาว

ซากุระไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินตามเพเนโลเป้ไป เมื่อเธอออกมาข้างนอกก็พบว่าจอมมารสาวถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนที่กำลังนำอาหารต่างๆมาให้เธอ รวมไปถึงเด็กที่นำหมวกถักมาให้ ทุกคนต่างมีใบหน้าเปื้อนยิ้มและดีใจราวกับเห็นญาติๆของพวกเขาที่ไม่ได้เจอกันนาน

 

แวมไพร์สาวได้พยายามรับของที่ส่งมาให้เธอแบบไม่ขาดสาย จนเธอเริ่มจะถือไม่ไหวแล้วพร้อมกับมองมาที่คู่กรณีที่ถูกเธอหั่นร่างไปสองท่อนด้วยสีหน้าอ้อนวอนและทำตาใสๆราวกับเด็กสาวไร้เดียงสา จนซากุระถอนหายใจพร้อมกับกรอกตาไปมาก่อนจะไปช่วยคู่กรณีของเธอถือของ

 

"ขอบใจ"เพเนโลเป้กล่าวแต่สาวผมแดงจะก็มองหน้าเธอด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจพร้อมกับแยกเขี้ยว จนแวมไพร์สาวต้องหันหน้าหลบอีกฝ่ายด้วยความกลัว โดยก่อนเธอจะหันหน้าหนีนั้น ซากุระได้ทำการสื่อสารด้วยมือว่า

 

"จบเรื่องนี้เธอโดนหนักแน่" นั่นทำให้กระดูกสันหลังของจอมมารแวมไพร์เสียววาบจนเย็นไปถึงขั้วประสาทได้โดยอัตโนมัติ

 

ทั้งสองสาวได้เดินจนมาถึงเนินแห่งนึงที่อยู่ไม่ไกลมากนัก มันเป็นเนินเตี้ยๆแต่สามารถมองเห็นได้เกือบทั้งอาณาจักรเพราะมันตั้งอยู่บนกลุ่มเนินด้วยกันห่างจากตัวอาณาจักรไม่มากนัก แสงแดดยามสายที่สาดแสงผ่านกิ่งไม้ของต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงที่ทั้งสองคนนั่งอยู่

สายลมเย็นๆที่พัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้โชยมาเป็นระยะพร้อมกับเชื้อเชิญให้ใบหญ้า ดอกไม้และต้นไม้โบกสะบัดตามสายลมที่พัดผ่านอย่างนุ่มนวล เสียงใบไม้ที่สีกันเบาๆ เสียงใบหญ้าที่ถูกลมพัดทำให้บรรยากาศโดยรอบรู้สึกสงบราวกับถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอก

จอมมารแวมไพร์ได้วางของกินที่ตนเองขนมาจนล้นมือวางลงกับพื้นแต่ก่อนที่จอมมารจะทำแบบนั้น ซากุระได้นำเสื่อที่ชาวบ้านให้ระหว่างทางปูรองพื้นก่อนจะเริ่มวางอาหาร 

ทั้งสองคนจ้องมองปริมาณของกินที่ได้รับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนที่ซากุระจะรีบทำหน้าบึ้งใส่คู่กรณีของเธอ

 

กลิ่นหอมของขนมปังที่อบสดใหม่ๆพร้อมโรยด้วยงาทำให้เพิ่มความหอมไปอีกระดับจนกระตุ้นต่อมความหิว เสียงของน้ำผลไม้สีแดงเลิศรสที่กำลังกระฉอกไปมาอยู่ในขวดสีมรกตเหมือนเสียงกระซิบที่เชื้อเชิญให้คนที่ถือได้ลิ้มรสมัน

ผลไม้ที่ยังมีน้ำค้างเกาะอยู่บ่งบอกถึงความสดใหม่ที่เพิ่งเก็บออกมาจากสวน ความสดใสของสีนั้นราวกับลูกกวาดที่กำลังยั่วยวนเด็กๆ

จอมมารแวมไพร์เลียริมฝีปากก่อนจะเริ่มหยิบขนมปังที่เธอหมายตาไว้ขึ้นมาทาน เธอค่อยๆกินอย่างบรรจงราวกับชนชั้นสูงที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรส โดยมีซากุระคอยรินน้ำผลไม้กันอีกฝ่ายอาหารติดคอตายโหงไปซะก่อน

ดวงตาของแวมไพร์สาวดูสดใสราวกับดวงตาเด็กไร้เดียงสา แต่ทวงท่าในการนั่งการถืออาหารและการดื่มนั้นราวกับถูกฝึกมาอย่างดีจนเหมือนชนชั้นสูง พร้อมกับนำผ้าสีขาวมาเช็ดปากเลาๆก่อนจะเริ่มทานอาหารอันถัดไป

 

แต่มีเสี้ยววินาทีดวงตาสดใสคู่นั้นได้แสดงความเศร้าออกมาก่อนจะชะงักการกินพร้อมกับเหม่อลอย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติและทานอาหารตามปกติ

"มีอะไรที่ไม่ได้เล่าใช่มั้ย?"ซากุระที่กำลังจับผิดจึงถามออกไปตรงๆทำให้อีกฝ่ายชะงักเล็กน้อย

เธอหันมาโดยนำมืออีกข้างบังปากของเธอไว้และพูดด้วยน้ำเสียงที่เบามากแต่จับใจความไม่ได้ เธอจึงหันกลับไปกลืนให้หมดก่อนแล้วหันกลับมาใหม่ เธอยิ้มด้วยแววตาที่ดูเศร้าหมองก่อนจะมองไปที่อีกฝั่งของร่มเงาต้น เมื่อซากุระมองตามไปก็พบกับกองหินสามกองที่มีดอกไม้สีขาวโตขึ้นมาจำนวนมาก

 

"สมัยที่อนาตาเซียยังเป็นทารก พวกข้า..ไม่สิ...จอมมารแบบพวกเราต่างเอ็นดูเด็กคนนี้จนหัวปักหัวปำ บางครั้งถึงกับแย่งเวลากับจอมมารคนอื่นๆเพื่อมาดูแลเด็กคนนี้เลยล่ะ ฮะๆ ตลกใช่มั้ยล่ะ....พอเธอโตขึ้นมาอีกหน่อย พวกเรามักจะพาเธอมาปิคนิคที่แห่งนี้พร้อมกับจอมมารอีกสามคนที่ข้าสนิทที่สุด พวกเราดูแลประคบประหงมเด็กคนนี้ราวกับเธอเป็นลูกในไส้แท้ๆ ทั้งสอนการควบคุม<ความสามารถพิเศษ> การบริหารจัดการ การทหาร ต่อสู้ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา การแพทย์...."เพเนโลเป้เล่าก่อนจะชะงักไปสักพัก

 

"ถ้าไม่สบายใจที่จะเล่าก็ไม่ต้อ-"ซากุระกล่าวก่อนจะถูกขัดด้วยการส่ายหน้าของจอมมารสาว

 

"ไม่เป็นไร.....มีช่วงนึงที่อาณาจักรของอนาตาเซียถูกสหภาพเวสต์การ์ดข่มขู่ด้วยกำลังทหารเพราะต้องการให้อาณาจักรของเธอต้องผูกขาดทางการค้า ทำให้พวกเพื่อนๆของฉันโกรธมาก แต่อนาตาเซียได้ห้ามไว้ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเซ็นสัญญาบ้านั่นไปโดยที่พวกเราทำได้แค่มองด้วยความเป็นห่วง เธอยอมเสียสละสิทธิด้านการค้าทั้งหมดของเธอแลกกับไม่ให้ประชาชนของเธอต้องมาเดือดร้อนด้วยภัยสงคราม..."

เพเนโลเป้กล่าวก่อนจะหยิบแก้วน้ำด้วยสองมือมาดื่มแก้คอแห้ง

 

"ซึ่งมันไร้ค่ามาก สุดท้ายพวกนั้นก็เอาเปรียบเธอเรื่อยๆจนสุดท้ายเพื่อนๆฉันก็หมดความอดทน พวกเราคนได้พุ่งไปถล่มพวกมัน แต่เราประมาทไป...พวกฝั่งตะวันตกมันใช้ทั้ง<ทวยเทพ>และ<บุตรหลานทวยเทพ>ในการต่อสู้กับพวกเรา เราเสียเปรียบเรื่องจำนวน และฉันก็เห็นเพื่อนๆฉันตายต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่สามารถแม้แต่จะมองหน้าก่อนตายของพวกเขาได้

 ฉันเป็นคนเดียวที่รอดมาได้พร้อมกับหิ้วศพเพื่อนๆของฉันที่สภาพไม่สามารถบอกได้ว่าใครคือใคร รวมถึงร่างของฉันที่เกือบโดนหั่นตัวเกือบขาด เมื่อเด็กนั่นรู้เรื่องนี้เธอเสียใจไปนานหลายปีจนสุขภาพใจกับจิตอ่อนแอ จนมีข่าวลือจากเมืองอื่นๆว่าเจ้าหญิงที่นี่เป็นศพเดินได้"

 

"แล้วองค์หญิงกับคุณผ่านช่วงเวลานี้มาได้ยังไง?"ซากุระถามอีกฝ่าย

 

"หึๆอาจจะฟังดูตลก แต่ฉันต้องตบหน้าเด็กนั่นไปหลายทีเพื่อให้เธอตั้งสติและยอมรับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก่อนจะชี้ให้เธอมองชาวเมืองที่กำลังมองมาที่เธอด้วยความเป็นห่วง และความหวัง พร้อมกับบอกว่าถ้าผู้นำอ่อนปวกเปียกเป็นเต้าหู้ ประเทศชาติมันก็ค่อยๆหายไปจากความจำของทุกคน นั่นทำให้คำพูดของฉันทำให้ เธอ เป็น เธอคนนี้ อยู่ทุกวันนี้

แต่แค่ครั้งนี้เธอจะไม่อยู่คนเดียว เธอมีทั้งมิตรสหาย หน่วยองครักษ์ฝีมือฉกาจ ผู้ช่วยที่เอาแต่แหกปากร้องเพลงโอเปร่าจนฉันไม่อยากจะเข้าไปในห้องทำงานของเธอบ่อยๆ"เพเนโลเป้กล่าวก่อนจะหัวเราะเบาๆ

 

ระหว่างที่ซากุระกำลังตั้งใจฟังอีกฝ่ายอย่างตั้งใจอยู่ จู่ๆจอมมารสาวก็ทำสิ่งที่คาดไม่ถึง เธอได้นำศีรษะของเธอมาพิงกับศีรษะซากุระอย่างอ่อนโยนก่อนจะเริ่มถามอีกฝ่ายเบาๆจนราวกับเสียงหายใจ

 

"ฉันเป็นคนผิดรึเปล่านะ...ที่ทำให้เพื่อนๆฉันต้องตายจากไป"เธอกล่าวก่อนจะยกศีรษะลงมานอนหนุนตักอีกฝ่ายพร้อมกับเอนกายลงนอนบนเสื่อโดยที่นัยน์ตาสีเขียวมรกตได้จับจ้องไปที่หญิงสาวผมแดง

"คุณกับเพื่อนๆของคุณสมัครใจที่จะไปสู้กับฝั่งตะวันตกด้วยตัวของพวกคุณเอง ฉันว่าเพื่อนคุณก็พร้อมที่จะเสียสละให้เด็กสาวที่เป็นที่รักของทุกคน แม้ว่าดวงวิญญาณของพวกเขาจะถูกพันธนาการด้วยโซ่ไฟที่ละลายไปถึงกระดูก หรือกักขังในคุกที่หนาวเหน็บที่ความหนาวเจาะลึกลงไปในเซลล์สมองทุกอณู พวกเขาเชื่อว่าการเสียสละของพวกเขาคงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้และปกป้องคนที่พวกเขาบอกว่า สำคัญ จนไม่สามารถหาอะไรมาแลกหรือทดแทนได้

คุณไม่ต้องแบกรับความผิดบาปนี่เพียงเพราะพวกเขาตาย แต่ฉันอยากให้คุณคิดว่าพวกเขาเสียสละเพื่อให้คุณและองค์หญิงอนาตาเซียได้มีชีวิตในแบบที่พวกเขายอมแลกมาให้ แม้ว่าจะเป็นเลือดเนื้อหรือแก่นวิญญาณ การใช้ชีวิตที่สงบสุขและมีความสุข ได้หัวเราะ ทำกิจกรรม ดูแลอาณาจักรให้อยู่ปกติดีก็เหมือนเป็นการตอบแทนพวกเขาแล้วค่ะ"ซากุระกล่าว

 

"หึๆ.....เฮ้อ.....บางครั้งเธอก็มีเสน่ห์เวลาพูดนะ"เพเนโลเป้กล่าวพร้อมกับยิ้มและมองมาที่อีกฝ่ายพร้อมกับนำมือของเธอลูบแก้มซากุระด้วยความเอ็นดู

 

แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งสองนั้นหน้าแดงจนร้อนผ่าวและหัวใจที่เต้นแรงราวกับเครื่องยนต์ที่กำลังสูบฉีดจนต้องรีบหันหน้าหนี

 

 

 

 

 

 

 

 

"โฮ่....ปักธงทั้งคู่เลยสินะ"คาปิลกล่าวนะหว่างที่ส่องกล้องส่วนตัวของเขาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยที่เรื่องผ่านไปด้วยดี

"คาปิล...การล่วงความเป็นส่วนตัวคนอื่นนั้นมีโทษจำคุกแปดเดือนและปรับไม่เกินสองแสนเครดิต และอาจจะต้องถูกนำไปบำเพ็ญประโยชน์อีกสามเดือน"อิลตากล่าวยาวเป็นหางว่าวจนคาปิลถึงกับต้องปิดปากอีกฝ่ายโดยมีซาเนียยืนหัวเราะอยู่ พร้อมกับฮิโรโกะที่มองมาที่ซาเนียที่กำลังหัวเราะอยู่ด้วยสีหน้าสงสัย

 

ฮิโรโกะเห็นรวินากำลังกวักมือเรียกอยู่กลายๆโดยมีมาเรียยืนอยู่ข้างหลัง เธอจึงเดินตามคนโลกมือเรียกด้วยความสงสัย

"มีอะไรเหรอคะคุณรวินา?"ฮิโรโกะถามหญิงสาวในชุดขาวด้วยสีหน้าสงสัยพร้อมกับหูที่กระดิกเล็กน้อย นัยน์ตาสีนำ้ทะเลของเธอมองไปที่ท่าทางของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

"พอดีองค์หญิงต้องการเรียกประชุมด่วนเจ้าค่ะ เห็นบอกว่าเกี่ยวข้องกับคุณซากุระด้วยค่ะ"รวินากล่าว

ฮิโรโกะพยักหน้าก่อนจะวิทยุไปหาทุกคนที่กำลังพักผ่อนอยู่พร้อมกับแจ้งการประชุม

 

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็นั่งอยู่ในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่มีโต๊ะหินอ่อนทรงกลมวางไว้ตรงกลางแสงไฟในห้องนั้นมาจากแสงแดดธรรมชาติที่ผ่านการออกแแบห้องมาอย่างดีจนแสงสามารถเข้ามาได้ในปริมาณที่พอเหมาะพร้อมกับผู้คนที่นั่งอยู่ รวมไปถึงเจ้าหญิงอนาตาเซียและเพเนโลเป้ด้วยเช่นกัน

"ในเมื่อมาครบแล้ว ข้าจะขอกล่าวหัวข้อการประชุมนะคะ"เธอกล่าวก่อนจะกระแอม

"หลังจากที่รวินาได้ทำการสอบสวนกลุ่มอัศวินที่มาบุกโจมตีอาณาจักรเรา ทางเราได้พบว่าทั้งหมดนั้นถูกจ้างมาจากอาณาจักรฝั่งตะวันตก....สหพันธ์เวสการ์ด"อนาตาเซียกล่าวก่อนที่คนทั้งห้องจะเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ

"เพื่อนๆของข้าถล่มกับข่มขู่พวกมันไปขนาดนั้น มันยังกล้าจ้างคนมาถล่มอีกเหรอ!?"จอมมารสาวกล่าวอย่างหัวเสีย

"ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองในกลุ่มฝ่ายตะวันตกทำให้กฏต่างๆเปลี่ยนไปด้วย รวมไปถึงการรุกรานอาณาจักรของพวกเราก็อยู่ในกฏข้อนั้นด้วย รวมไปถึงการที่มีการสูญเสียจอมมารที่ดูแลฝั่งตะวันตกไปถึงสามคน ทำให้พวกนั้นต้องการทราบว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องจริงมั้ย"องค์หญิงอธิบาย

 

"ซึ่งพวกมันคิดถูก"ฮิโรโกะกล่าวอย่างใจเย็นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

 

อนาตาเซียพยักหน้าก่อนจะเริ่มพูดต่อ

"ข้าจึงต้องขอร่วมมือกับทีมสำรวจของท่านซากุระกับ กองกำลังต่างมิติ ในการป้องกันการต่อสู้ของสหพันธ์เวสการ์ด โดยจะข้าขอแต่งตั้งจอมมารจักพรรดินีแวมไพร์เป็นหัวหน้าในการต่อสู้ครั้งนี้เพราะท่านเพเนโลเป้เป็นคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางในอาณาจักรนั้นทั้งหมด โดยมีรวินาเป็นหน่วยข่าวกรอง สอดแนมและลอบสังหารในยามจำเป็น

ทีมของท่านคาปิลจะเป็นหัวหน้ากองกำลังที่คอยป้องกันเมืองจากการบุกจู่โจมที่กะทันหัน

ท่านซากุระจะเป็นหัวหน้าของกองกำลังจู่โจมและประสานงานกับอาณาจักรพันธมิตรอื่นๆและกองกำลังที่ท่านสังกัดอยู่ ตอนนี้ฝั่งอาณาจักรตะงันตกน่าจะเริ่มแหกกฏทุกข้อที่เคยทำสัญญากับเราไว้....ซึ่งข้าก็ไม่ใช่คนที่จะมาคุยต่อรองกันง่ายๆแบบเมื่อก่อนแล้ว"เธอกล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืน

"ในที่แห่งนี้ พวกท่านคืออัศวินอันทรงเกียรติของเรา เราขอร้องท่านให้ช่วยประเทศของเราอย่างสุดกำลัง เพื่อประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เพื่อจัดการภัยคุกคามที่อาจจะมาทำลายความผาสุกของประชาชนในอาณาจักรนี้"

 

อนาตาเซียกล่าว

 

"ถ้าเราบอกว่าเป็นการช่วยเหลือทางทหารเพื่อมนุษยธรรมก็คงไม่ผิดไปเท่าไหร่ เพราะทางต้นสังกัดพวกเราก็ต้องการปกป้องอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรอยู่แล้ว"คาปิลกล่าวก่อนจะขยับแว่นตาของเขา

 

"ตอนนี้เรากำลังประสานงานกับทีมสำรวจอิสระทีมเบต้าให้รวบรวมข้อมูลอยู่ รวมไปถึงใช้ระบบประมวลผลเส้นทางการโดนจู่โจม เรื่องการสำรวจจากที่สูงและการตรวจสอบความเสี่ยง ฉันไว้ใจพวกเขาที่สุดแล้ว พวกเขาเป็นถึงหน่วยSPASL(Space Air Sea Land: หน่วยรบพิเศษที่เชี่ยวชาญการโจมตีตั้งแต่อวกาศจนถึงบนบก)รวมไปถึงผู้พันเจวาลีน บราว์น-"เมื่อคาปิลพูดชื่อนั้นออกมาทุกคนที่เป็นกองกำลังทหารต่างหันมามองตาเดียวกัน

"เจวาลีน....วีรสตรีแห่งกองยานที่แปดน่ะเหรอ!!!"

ซาเนียกล่าวเสียงดัง

 

"วีรสตรีที่การันตีความสำเร็จของภารกิจ100%คนนั้นเหรอ??!"ซากุระกล่าวด้วยดวงตาตื่นเต้น

 

"เธอเป็นใครเหรอคะ???"ฮิโรโกะกล่าวด้วยนัยน์ตาสีฟ้าที่ดูสับสน

 

"เธอเป็นกัปตันประจำกองยานที่แปดน่ะ ผลงานของเธอคือการบุกทะลวงไปที่ตั้งของหน่วยศัตรูด้วยกองยานที่มีจำนวนน้อยกว่า รวมไปถึงไม่มีใครเสียชีวิตและสามารถทำภารกิจได้อย่างงดงาม ยังไม่รวมไปถึงความบ้าบิ่นที่แม้แต่ศัตรูยังไม่สามารถคาดเดาเธอได้ จนเธอได้รับขนานนามว่า 

”คาปิลอธิบาย

 

"ในเมื่อการประชุมครั้งนี้ได้ข้อตกลงแล้ว ข้าจะขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้นะคะ"องค์หญิงกล่าวก่อนจะก้มหัวลงเล็กน้อยก่อนที่ทุกคนจะเริ่มลุกออกจากเก้าอี้และเดินออกไปที่ห้องทำงานโดยที่ซากุระกับรวินานั้นนั่งคุยกันอยู่ นั่นทำให้อนาตาเซียสงสัยจึงเดินกลับมาดูหัวข้อการสนทนาของทั้ฃสอง

"โอ๊ะ!องค์หญิงเพคะ เหตุใดท่านยังไม่เสด็จไปเสวยมื้อเย็นล่ะพะย่ะค่ะ คุณเปาโลรอนานแล้วนะพะย่ะค่ะ"หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งกล่าวด้วยสีหน้าเป็นห่วง คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะเริ่มถามรวินสเช่นกัน

"แล้วเจ้าล่ะ เหตุใดยังไม่ไปพักผ่อน ท่านซากุระก็ด้วย"อนาตาเซียกล่าว

"พอดีข้าอยากได้ข้อมูลอาณาจักรที่ท่านรู้จักน่ะ เลยขอยืมตัวรวินามาชี้จุดแผนที่ให้ แต่ไปเจอจุดน่าสนใจคือ...."ซากุระกล่าวก่อนจะชี้ไปที่แผนที่สองฉบับที่ลักษณะคล้ายกันทั้งแผ่นดิน เขตเมือง ภูมิศาสตร์ แต่มีจุดที่ซากุระชี้นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

"ตรงนี้ในแผนที่ฉบับเก่านั้นมีแผ่นดินอยู่ตรงนี้ แต่พอฉบับใหม่กลับเป็นแค่ทะเลสาบขนาดใหญ่แทน"เธอกล่าวด้วยสีหน้างงงวยเช่นเดียวกับรวินาที่กำลังหัวหมุนเช่นกัน

 

"เดี๋ยวก่อนนะ...."องค์หญิงกล่าวก่อนจะนำแผนที่อันที่เป็นทะเลสาบมาดูพร้อมกับนำนิ้วชี้จี้หัวตัวเองพร้อมกับทำสีหน้าเหมือนกำลังนึกบางอย่าง

"เพเนโลเป้เคยบอกว่าตรงนั้นมีเกาะขนาดใหญ่ที่โดนล้อมด้วยทะเลสาบนี่นา"อนาตาเซียกล่าว

"ใช่อาณาจักรลับแลที่คนชอบพูดถึงรึเปล่าพะย่ะค่ะ?"รวินากล่าว นั่นทำให้ซากุระเลิกคิ้วเล็กน้อย

 

"เป็นเรื่องเล่าของกลุ่มอาณาจักรละแวกตะวันออกน่ะค่ะ ว่ากันว่ามีอาณาจักรลึกลับตั้งอยู่ในเกาะที่มีเมฆหมอกหนาตลอดปี รวมไปถึงพลังลึกลับคอยปกป้องที่แม้แต่อาวุธที่รุนแรงสุดยังทำอะไรไม่ได้ รวมไปถึงผู้คนที่ออกมาค้าขายก็มีน้อยมาก และส่วนใหญ่จะใส่หน้ากากจิ้งจอกสีขาวที่มีลวดลาย"อนาตาเซียเล่า

นั่นทำให้ซากุระทำหน้างงๆ

"งั้นเราคงต้องทำการสำรวจที่นี่ในเร็ววันแล้วล่ะ"ซากุระกล่าวก่อนจะนำหมุดมาปักไว้ที่บริเวณที่เธอกล่าว