14 มีนาคม 1949

 

 

“แผนนี้จะได้ผลจริง ๆ ใช่ไหม” เสียงหวาด ๆ ของเควินถามขึ้น

 

เด็ก ๆ ทั้งสามกำลังเดินไปตามพื้นดินเล็ก ๆ ที่เป็นสีน้ำตาลเข้มเพียงส่วนเดียวของทางเดินซึ่งถูกโกยหิมะออกจนหมด พวกเขาเดินฝ่าเกล็ดหิมะเพื่อมุ่งหน้าไปหาแรนดี้ เพื่อนในกลุ่มซึ่งกำลังนอนพักอยู่ในบ้านขนาดเล็กใกล้ ๆ กับชายฝั่ง

 

เกล็ดหิมะรูปร่างสวยเกล็ดหนึ่งตกลงบนจมูกที่แดงเพราะความหนาวของแอนิตา ส่งความเย็นเยียบกระจายไปทั่วใบหน้าสวย เดวิดเห็นเข้าจึงเช็ดมันออกให้ด้วยความใจดี

 

“ขอบใจ” เด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสไปให้

 

เดวิดเพียงแค่ยิ้มให้ก่อนที่จะส่งผ้าเช็ดหน้าลายหวานแหววในมือให้กับเพื่อนสาว “ฉันให้ละกัน ยังไงซะ ฉันว่าฉันก็คงไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าลายหวานแหววขนาดนี้อยู่แล้ว”

 

แอนิตายิ้มพร้อมกับรับผ้าเช็ดหน้ามาจากมือเดวิด “นี่พวกนายไม่คิดจะตอบคำถามฉันเลยใช่ไหมเนี่ย” เสียงของเควินเจือความน้อยใจบาง ๆ ไว้

 

ทั้งเดวิดและแอนิตาหัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนที่เดวิดจะตอบกลับมา “ได้ผลแน่ ๆ ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

เควินขยับปากบ่นเบา ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก ทั้งสามเดินทางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบ้านของแรนดี้

 

เด็กสาวเพียงคนเดียวก้าวออกไปข้างหน้าและเคาะประตูบ้านสามครั้งตามเดิม เด็ก ๆ คาดหวังว่าจะได้เห็นคุณนายเจมิไนเหมือนเช่นเคย แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อคนที่เปิดประตูออกมากลับกลายเป็นเด็กชายหน้าหวานผู้ที่พวกเขาอยากจะคุยด้วย

 

“สวัสดี” แรนดี้กล่าวทักทายอย่างแปลกใจก่อนที่จะมองสำรวจเพื่อน ๆ

 

“สวัสดี” เสียงหวานของแอนิตาตอบกลับ “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม”

 

แรนดี้เงียบไปแปปนึงก่อนที่จะส่งยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่เกือบจะเหมือนแรนดี้คนเดิมถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาของเขาดูเย็นเยียบราวกับฆาตกรเย็นชา “ได้สิ เข้ามาเลย”

 

เควินมองหน้าเดวิดอย่างหวั่น ๆ แต่เพราะแรนดี้อยู่ตรงหน้าเดวิดจึงทำได้แค่ให้กำลังใจเพื่อนผ่านทางสายตาเท่านั้น แอนิตาเดินนำเข้าไปคนแรกอย่างกล้าหาญตามด้วยเดวิดและเควิน

 

“คุณนายเจมิไนไม่อยู่บ้านเหรอ” เควินถามขึ้น เขาพยายามทำเสียงให้ฟังดูปกติ แต่ไม่ว่าใคร ๆ ก็คงจะรู้ว่าเขากำลังสั่นกลัวอยู่

 

“อืม แม่ออกไปทำงานน่ะ” แรนดี้ตอบเสียงเรียบ “ว่าแต่พวกนายมาทำไมเหรอ”

 

“พอดีพวกเราอยากจะชวนนายไปค้างบ้านฟรองซัวร์คืนพรุ่งนี้น่ะ” เด็กชายที่ตัวสูงที่สุดพูดเต็มเสียง “นายจะไปด้วยกันไหม”

 

“ไม่ใช่ว่าช่วงนี้มีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับแถว ๆ ป่าหรอกเหรอ” แรนดี้ถามอย่างแปลกใจ “พ่อกับแม่ขอพวกนายให้พวกนายไปด้วย?”

 

“ฟรองซัวร์น่ะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านแล้วนะ” เดวิดเอ่ยเสริมพร้อมกับส่งยิ้มมั่นใจมาให้อย่างเคย “ฉันว่าพวกเราอยู่กับฟรองซัวร์อาจจะปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก และพ่อกับแม่ก็รู้เรื่องนี้ดีด้วย”

 

แอนิตาพยักหน้ารับ “ใช่ อย่างที่เดวิดพูดนั่นแหละ แล้วนายจะมาไหม?”

 

แรนดี้นิ่งคิดไป เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจและลุ้นระทึกที่สุดในชีวิตของเด็ก ๆ แล้วถ้าไม่นับตอนที่พวกเขาเผชิญหน้ากับหมาป่าตัวใหญ่ริมป่าตัวนั้น

 

สุดท้ายแรนดี้ก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา “อืม ไปแน่นอน”

 

เด็ก ๆ ทั้งสามแทบจะโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ พวกเขาเกือบจะฉลองออกมาแล้วถ้าไม่ใช่เพราะประโยคถัดไปที่แรนดี้พูดออกมา

 

“แต่ฉันมีข่าวร้ายมาบอก”  แรนดี้พูดพร้อมกับใบหน้าที่เศร้าหมองลง “มะรืนนี้ฉันจะต้องออกจากเมืองแล้ว”

 

“ฮะ?!” เควินตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “ย้ายออกจากเมือง? ไปไหน??”

 

แรนดี้ก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อยก่อนที่จะตอบออกมา “ช่วงนี้เมืองพอร์ตล็อคไม่ปลอดภัยแถมฉันยังโดนหมาป่าโจมตีอีก แม่ฉันคิดเรื่องย้ายเมืองมาสักพักแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองที่แม่ได้งานใหม่ในเมืองอื่น เพราะงั้นแม่ก็เลยจะพาฉันย้ายเมืองออกไป”

 

เด็ก ๆ ทั้งสามมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนที่เควินจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “แล้วทำไมนายไม่บอกเราให้เร็วกว่านี้ล่ะ”

 

“ฉันไม่มีโอกาสบอกสักทีน่ะ” แรนดี้ตอบด้วยสีหน้าที่หมองไม่แพ้กัน “ขอโทษทีนะ...”

 

“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” แอนิตาปลอบอย่างอ่อนโยน “งั้นที่เราไปเที่ยวบ้านฟรองซัวร์ก็ถือซะว่าเราไปเล่นเก็บความทรงจำกันเป็นครั้งสุดท้ายละกัน...เนอะ” คำสุดท้ายแอนิตาหันไปพูดกับเพื่อน ๆ อีกสองคนโดยเฉพาะ

 

“แน่นอน เห็นฟรองซัวร์บอกว่าจะเตรียมมาร์ชเมลโลว์มาให้ด้วยนะ”

 

สีหน้าของเด็กชายหน้าหวานดีขึ้นในทันที “จริงเหรอ”

 

“ใช่” เควินตอบลากเสียงยาว “และเราจะได้เล่นรอบกองไฟด้วย”

 

เป็นครั้งแรกที่เหมือนพวกเขาได้แรนดี้คนเดิมกลับคืนมา แรนดี้คนที่อ่อนโยนและชอบของหวานที่สุด แต่มันก็เป็นเพียงแค่ภาพมายาของปีศาจร้ายที่กำลังยึดครองร่างของเด็กชายผู้ใสซื่ออยู่ก็เท่านั้น

 

หลังจากคุยกันพอประมาณแล้วเด็ก ๆ ก็ขอตัวกลับบ้าน ทั้งสามยืนโบกมือลาแรนดี้อยู่ที่หน้าบ้าน โดยมีเด็กชายยืนส่งอยู่ที่หน้าบ้าน สีหน้าของพวกเขาช่างดูสดใสและบริสุทธิ์อย่างที่เด็กในช่วงวัยนี้ควรจะเป็น

 

แต่ทันทีที่พวกเขาหันหลังแล้วสีหน้าของแอนิตาก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉยในทันที ดวงตาแสนสวยของเธอปรากฏแววครุ่นคิด เพื่อน ๆ อีกสองคนสังเกตเห็นจึงถามขึ้น

 

“ทำไมเหรอแอนิตา” เควิน คลาร์กผู้แสนจะซื่อเอ่ยถามขึ้น

 

“รอไปคุยกับฟรองซัวร์เถอะ” เด็กสาวเพียงคนเดียวตอบเสียงเครียด เธอหันไปสบเข้ากับสายตาอ่านไม่ออกของเด็กชายที่ตัวสูงที่สุดโดยหวังว่าเขาจะคิดเหมือนเธอ

 

“ได้” เดวิดตอบกลับไป “ฉันคิดว่าฉันรู้สึกเหมือนแอนิตา”

 

 

 

 

 

 

 

“เป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มเข้มของชายร่างใหญ่ถามขึ้น

 

เด็ก ๆ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าชายตรงหน้าช่างเหมือนกับสุนัขโกลเดนรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ที่กำลังกระดิกหางฟังข่าวดีจากเจ้านาย แต่ทั้งสามก็ไม่ได้พูดออกไปเลย แม้แต่เด็กซื่ออย่างเควิน คลาร์ก

 

“แรนดี้ตอบตกลงค่ะ” เสียงหวานของเด็กสาวตอบกลับไป

 

“ก็ดีแล้วหนิ” ฟรองซัวร์ตอบพร้อมกับหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี “แล้วทำไมพวกเธอถึงทำหน้าอย่างกับว่าแรนดี้ทำอะไรไม่ดีอย่างนั้นแหละ”

 

“ไม่เชิงหรอกครับ” เดวิดพูดตอบ “ผมกับแอนิตารู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย”

 

“แปลกยังไงเหรอ” เควินถามอย่างแปลกใจ เขาสงสัยตั้งแต่ที่แอนิตาทำท่าทางครุ่นคิดแล้วว่าแรนดี้พูดหรือแสดงท่าทีที่น่าสงสัยอย่างไร

 

แอนิตานิ่งคิดไปก่อนที่จะพูดออกมาช้า ๆ ราวกับกำลังอธิบายให้เด็กตัวเล็ก ๆ ฟัง “นายก็รู้ว่าคุณนายเจมิไนเป็นคนยังไงใช่ไหมเควิน”

 

“อาฮะ” เด็กชายที่ถูกถามตอบกลับอย่างไม่ค่อยจะสบายใจนัก คุณนายเจมิไนเป็นคนดี แต่นางไม่ใช่คนที่นิสัยดีหรือเป็นแม่ที่ดีนัก “แล้ว?”

 

“แล้วยังเรื่องของเงินอีก” เดวิดเสริมขึ้น “ยังไม่นับเรื่องของจังหวะเวลานะ”

 

“พูดง่าย ๆ คือพวกเธอคิดว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของโอไรอัสสินะ” ฟรองซัวร์สรุปพร้อมกับใช้มือหนาลูบเคราของตนด้วยท่าทางเหม่อลอย “แต่ก็ไม่น่าแปลกเลย ไม่แม้แต่น้อย”

 

“เขาเคยทำอะไรแนวนี้เหรอคะ” แอนิตาถามขึ้น

 

“จะพูดอย่างนั้นก็คงใช่” ฟรองซัวรืตอบด้วยรอยยิ้มแหย ๆ “แต่เอาเถอะ ยังไงซะนั่นก็คงไม่ส่งผลกระทบกับแผนการของเรามาก...ใช่ไหม?”

 

เควินยักไหล่อย่างเห็นด้วยในขณะที่ท่าทีของเดวิดดูผ่อนกลายลงเล็กน้อย เหลือเพียงแอนิตาเท่านั้นที่ยังดูเหมือนจะติดใจอยู่

 

“จะว่าไม่ส่งผลกระทบก็ไม่ส่งผลกระทบค่ะ” แอนิตาพูดด้วยท่าทีลำบากใจ “แต่มันแปลว่าเราจะทำพลาดไม่ได้เลยถูกไหมคะ แถมถ้าเราทำพลาดนั่นก็แปลว่าโอไรอัสก็จะสามารถหลุดไปสร้างความวุ่นวายที่โลกภายนอกได้ด้วย”

 

“ก็..ใช่” ชายร่างใหญ่ตอบกลับ “แต่เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่นา”

 

เดวิดที่ตอนแรกนั้นมีท่าทีสบายใจขึ้นเล็กน้อยนั้นกลับมาตึงเครียดตามเดิม “เราไม่มีคาถาหรืออะไรที่ไม่ต้องทำในคืนจันทร์เต็มดวงเลยเหรอครับ”

 

“ฉัน เอ่อ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน” ชายร่างใหญ่ตอบด้วยใบหน้าที่หมองลงเหมือนกับสุนัขที่หูลู่ลงอย่างเศร้าสร้อย “เดี๋ยวฉันลองหาในชั้นใต้ดินของบ้านดูอีกทีให้นะ”

 

“ให้พวกเราช่วยไหมครับ” เด็กชายผู้เปรียบเสมือนผู้นำของกลุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ปิดความร้อนรนไว้ไม่มิด

 

ฟรองซัวร์เงียบไปแวบหนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมา “ถ้าช่วยได้ก็ดีเลยล่ะ เดี๋ยวฉันไปหยิบพวกสมุดต่าง ๆ มาให้พวกเธอลองอ่าน ๆ กันดูนะ”

 

ทันทีที่ฟรองซัวร์พูดจบเขาก็เดินหายไปในห้องเก็บของที่มืดสนิททันที ปล่อยให้เด็ก ๆ นั่งรอพร้อมกับสำรวจรอบ ๆ บ้านไปเรื่อยเปื่อย

 

“นี่ ๆ”

 

“อะไรเหรอเควิน” เดวิดถามกลับอย่างสงสัย

 

“ฉันมีลางไม่ค่อยดีกับแผนนี้เลยอ่ะ”

 

“ยังไงเหรอเควิน” แอนิตาถามต่ออย่างแปลกใจ ตัวเธอเองเป็นกำลังหลักในการช่วยวางแผนกับฟรองซัวร์และเธอก็ไม่เห็นช่องโหว่หรือความผิดพลาดอะไรที่จะเกิดขึ้นในแผนที่พวกเขาวางกันเลยแม้แต่น้อย

 

“ไม่รู้สิ” สีหน้าของเควินดูไม่สบายใจนิด ๆ “ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า...มีอะไรบางอย่างแปลก ๆ อะไรที่มันไม่ถูกต้อง”

 

“นายอาจจะคิดมากไปเองก็ได้” เดวิดปลอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงเริงร่า “จะมีอะไรผิดแผนไปได้อีกล่ะ ฉันว่าเรามีพร้อมทุกอย่างเลยนะ”

 

เด็กเนิร์ดประจำกลุ่มนิ่งไป ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างปลง ๆ “นั่นสินะ ฉันคงจะคิดมากไปเองนั่นแหละ”

 

สุดท้ายพวกเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อลดความตึงเครียดในบรรยากาศลง เพียงไม่นานฟรองซัวร์ก็กลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับสมุดกองใหญ่ยักษ์

 

“ทั้งหมดนี่เลยเหรอครับ” เดวิดถามพลางลอบกลืนน้ำลาย กองหนังสือทั้งหมดนี่สามารถทับเขาตายได้เลย

 

“ใช่” ชายร่างใหญ่ตอบกลับ “ฉันพยายามนั่งคัดอะไรที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องมา เลยเหลืออยู่เท่านี้แล้ว”

 

“รวมสูตรเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้น คาถาพิทักษ์ตนจากสิ่งชั่วร้าย ฟรองซัวร์คะ ทั้งหมดนี่มันดูออกแนวป้องกันตัวเราซะมากกว่าจะช่วยแยกแรนดี้ออกจากโอไรอัสนะคะ”

 

“นั่นแหละ ฉันอ่านทั้งหมดนั่นแล้วอย่างน้อยสามรอบได้” ช่างตัดไม้ร่างใหญ่ตอบกลับ “อะไรที่จะสามารถแยกโอไรอัสออกจากแรนดี้ได้มีอยู่แค่สองสามเล่มเท่านั้นแหละ ซึ่งแต่ละเล่มก็ไร้สาระทั้งนั้น” ฟรองซัวร์พูดพร้อมกับชี้มือไปที่หนังสือเล่มบางสองเล่มบนสุด

 

“เพราะงั้นเพื่อความปลอดภัยของพวกเธอด้วยฉันก็เลยหยิบพวกนี้มาให้เธออ่านด้วยเลย”

 

“ขอบคุณนะคะฟรองซัวร์” แอนิตาตอบพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ เพื่อน ๆ อีกสองคนไม่ค่อยแน่ใจนักแต่เมื่อเห็นแอนิตาหยิบหนังสือไปถึงห้าเล่มแล้ว พวกเขาก็ทำใจหยิบหนังสือที่อาจจะสามารถนำมาป้องกันตัวเองได้มาคนละสองเล่ม

 

“เอาล่ะ” ทันทีที่เด็ก ๆ หยิบหนังสือเสร็จ ฟรองซัวร์ก็ตะโกนขึ้น “วันนี้คงได้แค่นี้แหละ ที่เหลือฉันเตรียมวัตถุดิบไว้พร้อมแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะเด็ก ๆ เตรียมตัวกันให้ดี ๆ ล่ะ!

 

ประโยคเดียวที่ผุดขึ้นมาในใจเด็ก ๆ อย่างไม่ทันได้นัดหมายเลยคือ ฟรองซัวร์เข้าใจที่พวกเขาพูดไหมเนี่ย

 

 

 

 


 

 

 

 

 

Talk : โอ๊ยยย ไรท์เป็นเอ็นดูฟรองซัวร์ค่ะทุกคน555555 แล้วทุกคนล่ะคะ คิดว่ายังไงกันบ้าง~