12 มีนาคม 1949

 

 

อากาศในเมืองพอร์ตล็อคยังคงหนาวเย็นอยู่เช่นเคย แต่เหตุการณ์น่าสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้กระจายออกไปเกือบทั่วทั้งเมืองแล้ว ทำให้บรรยากาศภายในเมืองทวีความหวาดหวั่นเย็นเยียบขึ้นไปอีก ชาวบ้านต่างพากันหวาดกลัวป่าอันเป็นสถานที่เกิดเหตุมากกว่าเดิม อีกทั้งนายพรานและคนขุดเหมืองทองที่ต้องเดินทางเข้าป่าต่างก็เริ่มทยอยกันลาหยุดอย่างไม่มีกำหนด จนกว่านายจ้างจะหาวิธีการป้องกันการทำร้ายที่เกิดจากหมาป่าได้

 

เดวิดต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเกลี้ยกล่อมแม่ให้ยอมให้เขาไปเยี่ยมแรนดี้ที่บ้านได้ เขาสัญญากับแม่เป็นรอบที่สิบได้แล้วว่าจะกลับบ้านก่อนบ่ายสาม ก่อนที่แม่ของเขาจะปล่อยให้เขาออกจากบ้านไป

 

ร่างสูงของเดวิดเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มุ่งหน้าไปที่บ้านของแอนิตาเป็นคนแรก เพราะบ้านของเธออยู่ใกล้กับบ้านของเขาที่สุด

 

มือขาวของเดวิดเคาะประตูสีมะฮอกกานีสามครั้ง และยืนรออยู่หน้าประตูอย่างสงบเสงี่ยม ยืนรออยู่เพียงไม่นานเพื่อนสาวก็เปิดประตูออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“สวัสดี” เขาทักทายขึ้นเสียงอบอุ่น “ไปหาเควินกันเลยไหม”

 

ใบหน้าขาวของเด็กสาวพยักขึ้นลงอย่างกระตือรือร้น ก่อนที่จะเดินลงมายืนอยู่เคียงข้างเขาอย่างรวดเร็ว

 

ความเงียบโรยตัวปกคลุมพวกเขาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเลยก็ตาม แต่ภาพที่เห็นเมื่อวานก็ยังคงติดตาและตราตรึงอยู่ในสมองของพวกเขาราวกับถูกติดกาวเอาไว้

 

“เมื่อวานนี้น่ากลัวเนอะ” เสียงหวานของแอนิตาดังทำลายความเงียบอันน่าเคอะเขินระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

 

“ใช่” เดวิดตอบกลับไป “ภาพนั้นยังติดตาฉันไม่หายเลย”

 

แอนิตาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ว่าแต่ฟรองซัวร์ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”

 

“คิดว่าไม่เป็นไรนะ เขาอยู่จนพวกเราทั้งสี่คนรักษาตัวจนเสร็จจากนั้นก็หายตัวไปเลย”

 

ความเงียบเข้าครอบงำพวกเขาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่เดวิดรู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถคุยกับแอนิตาได้ หรืออาจจะเพราะพวกเขาแทบไม่เคยอยู่ด้วยกันสองคนเลย นั่นอาจจะทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาเป็นอย่างนี้ก็ได้กระมัง

 

มือบางของแอนิตาเคาะประตูบ้านเควินสามครั้ง แต่ทันทีที่สิ้นเสียงเคาะ ใบหน้าของเควินก็โผล่ออกมาหลังประตูราวกับรออยู่ก่อนแล้ว

 

“สวัสดี” เดวิดและแอนิตาทักขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

 

“สวัสดี” เควินตอบกลับไป ก่อนที่จะหันไปมองข้างหลังอย่างหวาดระแวง และเดินออกมานอกบ้านอย่างช้า ๆ

 

“ทำไมนายต้องทำตัวเหมือนกับจะไปทำอะไรไม่ดีด้วยล่ะ” แอนิตาถาม

 

“ก็แม่ฉันน่ะสิ” เควินตอบอย่างหงุดหงิด “หงุดหงิดหัวเสียน่าดูเลยล่ะที่ฉันจะไปเยี่ยมแรนดี้”

 

คิ้วของเดวิดเลิกขึ้นอย่างสงสัย “เพราะเรื่องเมื่อวานเหรอ”

 

เด็กเนิร์ดประจำกลุ่มพยักหน้า “จะเรื่องอะไรได้อีกล่ะ”

 

“ก็นะ” เดวิดพูดขึ้น ก่อนที่จะออกเดิน

 

“ก็นะอะไรล่ะ” เควินวิ่งตามมาแล้วถามขึ้น

 

“ไม่แปลกหรอก” เด็กชายที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น “พ่อแม่ก็คงเป็นห่วงแหละ”

 

เด็กชายที่ตัวเล็กกว่าเพื่อนทั้งสองถอนหายใจออกมาเสียงแผ่ว “ฉันรู้น่า”

 

โชคดีที่บ้านของแรนดี้อยู่ใกล้กับเควินมากเสียจนใช้เวลาเดินเพียงไม่นาน พวกเขาก็เดินมาจนถึงบ้านของแรนดี้แล้ว ทั้งสามมองหน้ากันอยู่หน้าประตูแวบหนึ่งก่อนที่แอนิตา ผู้เป็นที่รักของทุกคนจะเป็นคนออกไปเคาะประตู

 

รอเพียงไม่นานหญิงสาวผู้เป็นแม่ของแรนดี้ก็ออกมาเปิดประตู ใบหน้ามีความไม่สบายใจปรากฏอยู่ทั่วไปหมด

 

“สวัสดีค่ะคุณนายเจมิไน” แอนิตาพูดเสียงหวาน “แรนดี้เป็นยังไงบ้างล่ะคะ”

 

“ก็ดีขึ้นบ้างแล้วแหละจ้ะ” คุณนายเจมิไนตอบกลับมา “พวกเธอมาเยี่ยมแรนดี้เหรอจ๊ะ?”

 

“ใช่ค่ะ” แอนิตาตอบกลับไป “พวกเราเข้าไปเยี่ยมได้ใช่ไหมคะ?”

 

“ได้อยู่แล้วจ้ะ” คุณนายเจมิไนตอบด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะเปิดประตูออกให้กว้างขึ้น

 

พวกเขาทั้งสามคนเดินเข้าไปในบ้านของแรนดี้ ที่ซึ่งพวกเขาทั้งสามคนไม่ค่อยได้มากันบ่อยนัก เดวิดไม่ค่อยอยากจะบรรยายที่นี่มากเท่าใดนักหรอก เช่นเดียวกับเควิน และเหมือนคุณนายเจมิไนจะดูออกว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร สังเกตได้จากลักษณะบางอย่างที่เธอแสดงออกมา

 

มีเพียงแอนิตาเท่านั้นที่ดูจะไม่มีปัญหากับที่นี่ หรือถ้าเธอรู้สึกเธอก็เก็บอาการได้ดีมากทีเดียว นั่นทำให้คุณนายเจมิไนดูเหมือนจะเข้ากับแอนิตาได้ดีที่สุด และนั่นเป็นเหตุผลที่แอนิตาจะเป็นคนพูดคุยกับคุณนายเจมิไนทุกครั้งที่พวกเขามาที่แห่งนี้

 

“ฉันคงต้องขอตัวไปทำงานก่อนนะ” คุณนายเจมิไนพูดเสียงเรียบ “พวกเธอจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ ทำตัวตามสบายเลยนะ” แล้วเธอก็ออกจากบ้านไปพร้อมกับย่ามใบเก่า

 

ทั้งสามไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่เห็นคุณนายเจมิไนอยู่ที่บ้านก็ถือว่าค่อนข้างจะน่าแปลกใจมากแล้ว

 

เด็กชายตัวสูงเดินนำไปที่ห้องของแรนดี้ก่อนเป็นคนแรก เขาเคาะประตูเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป

 

“ไง แรนดี้” เดวิดทักทายขึ้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้สดใส “เป็นยังไงบ้าง”

 

เด็กชายหน้าหวานซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียงเพียงแค่หันมามองหน้าพวกเขานิ่ง ๆ เท่านั้น ทั้งสีหน้าและแววตาดูสงบนิ่งจนน่าแปลกใจ แต่ทั้งสามคนก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

“นายเป็นยังไงบ้าง” เควินถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เขาเดินเข้าไปหาแรนดี้ แต่น่าแปลกที่ร่างกายของแรนดี้กลับถอยห่างเพื่อน

 

คิ้วของเควินเลิกขึ้นอย่างสงสัย ก่อนที่จะหันมามองหน้าเพื่อนอีกสองคนซึ่งหันมามองเขาเช่นกัน แต่เควินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเท่านั้น

 

“ฉันเอาขนมมาให้นายด้วย” เควินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะแบมือออกมาเผยให้เห็นขนมหวานหลากหลายสีที่แรนดี้เคยบอกว่าชอบกิน

 

ดวงตาของเด็กหนุ่มเพียงแค่จ้องมองนิ่ง ๆ เท่านั้น ก่อนจะใช้มือบางหยิบลูกหวาดมาจากเพื่อน “ขอบคุณ” เสียงแหบแห้งราวกับสัตว์ป่าดังออกจากปากแรนดี้

 

นั่นทำให้เพื่อน ๆ ยิ่งสงสัยขึ้นไปอีก

 

พวกเขาทั้งสามคนพยายามพูดคุยกับแรนดี้ตามปกติ และพยายามที่จะทำให้แรนดี้อารมณ์ดีมากขึ้น แต่เขาก็เพียงแค่มองทั้งสามคนด้วยแววตาเรียบเฉยเท่านั้น แรนดี้ตรงหน้าไม่เหมือนแรนดี้ที่เด็ก ๆ เคยรู้จัก ราวกับว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาสิงในร่างของเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

ท้ายที่สุดพวกเขาก็ละความพยายามและเอ่ยลาแรนดี้ มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา

 

เด็ก ๆ ไม่ได้พูดอะไรกันเพราะกลัวว่าแรนดี้ที่อยู่ในบ้านจะได้ยิน แต่เรื่องแปลกใจก็ยังไม่หมดแค่นั้น ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูออกมา พวกเขาก็เห็นฟรองซัวร์ยืนอยู่ที่หน้าประตู สีหน้าของเขาดูกระวนกระวายปนเศร้าสร้อย

 

เดวิดจ้องมองฟรองซัวร์อย่างแปลกใจ

 

“สวัสดีค่ะ ฟรองซัวร์” แอนิตาเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายขึ้น “มาเยี่ยมแรนดี้เหรอคะ”

 

ชายร่างใหญ่ตรงหน้ามีท่าทีเลิ่กลั่กก่อนจะตอบกลับมา “ใช่”

 

แอนิตาพยักหน้าอย่างเข้าใจ โดยที่ไม่ได้ถามถึงท่าทีของฟรองซัวร์ “แรนดี้อยู่ในบ้านค่ะ กำลังพักอยู่”

 

“อ่อ ขอบใจมากนะ”

 

เด็กสาวพยักหน้าให้และกำลังจะเดินจากไปแล้ว แต่ฟรองซัวร์ก็ขัดเอาไว้อีกครั้ง

 

“นี่”

 

เด็กทั้งสามหันกลับมามองอย่างแปลกใจ

 

“คือว่า แรนดี้น่ะ เขาเอ่อ แปลกไปไหม?”

 

เด็ก ๆ ทั้งสามมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจ เพียงแค่นั้นก็ทำให้ฟรองซัวร์รู้คำตอบในทันที

 

“มาดื่มโกโก้ที่บ้านฉันหน่อยไหม” เสียงทุ้มติดอ่อนโยนของฟรองซัวร์ถามขึ้น ก่อนที่จะเสริมต่อ “พอดีฉันว่าพวกเราน่าจะต้องคุยกันหน่อยน่ะ”

 

 

 

 

 

 

กระท่อมของฟรองซัวร์ยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ยกเว้นก็แต่บรรยากาศภายในบ้านที่ให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากบ้านที่มักจะให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เสมอนั้น บัดนี้มีเพียงความเย็นเยียบบาง ๆ อยู่ในบรรยากาศ ราวกับบ้านกำลังตกอยู่ในความโศกเศร้าอย่างหนัก

 

“นั่งลงก่อนสิ” ชายร่างใหญ่พูดขึ้นก่อนที่จะเดินไปหยิบโกโก้มาชงให้เด็ก ๆ ทั้งสามคน

 

ทั้งสามคนนั่งลงบนโต๊ะไม้อย่างว่าง่าย และจ้องหน้ากันอย่างสงสัย ดูเหมือนว่าฟรองซัวร์จะมีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะบอกพวกเขา และเรื่องที่ว่านั้นคงจะทำให้ฟรองซัวร์รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

 

ร่างใหญ่เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วโกโก้ร้อนสามแก้วในมือ เขานั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะอย่างลนลาน มือใหญ่ลูบเคราตัวเองอยู่หลายต่อหลายครั้งและคิ้วหนาก็ขมวดเป็นปมแน่น

 

“ฟรองซัวร์อยากจะพูดอะไรเหรอคะ” แอนิตาถามขึ้นเสียงหวานอย่างใจเย็น น้ำเสียงสบาย ๆ และท่าทีของเธอทำให้ฟรองซัวร์ดูใจเย็นลงบ้าง ซึ่งเดวิดและเควินต่างพูดขอบคุณแอนิตาอยู่หลายล้านครั้งในใจที่มีความสามารถอันเป็นประโยชน์นี้

 

“เอ่อ เรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะพูดยากอยู่น่ะ” ท่าทางของชายร่างใหญ่ดูลำบากใจ “คือ พวกเธอจำคุณปู่โอไรอัสกันได้ใช่ไหม”

 

ทั้งเดวิดและแอนิตาเพียงแค่คุ้น ๆ ชื่อของคุณปู่โอไรอัสเท่านั้น แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเขาเกี่ยวอะไรกับฟรองซัวร์ จะมีก็แต่เควินที่ดูเหมือนจะจำได้

 

“สามีของคุณย่าฟลอร่า คนที่เป็นคุณปู่ของฟรองซัวร์เหรอครับ” เควินถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

 

“ใช่ คนนั้นแหละ”

 

“ทำไมเหรอครับ” เดวิดถามขึ้นอย่างสงสัย การที่ทั้งเดวิดและแอนิตาจำชื่อคุณปู่ของฟรองซัวร์ไม่ได้นั้น แสดงว่าตัวฟรองซัวร์เองคงจะพูดถึงเขาน้อยมากแน่ ๆ

 

“คืออย่างนี้” ฟรองซัวร์พูดขึ้น “ตระกูลฉันเอ่อ มีเรื่องลึกลับอยู่น่ะ”

 

เด็ก ๆ เพียงแค่มองหน้ากันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ขัดฟรองซัวร์ออกไป

 

“ปู่ของฉัน โอไรอัสนั่นแหละ เขา เอ่อ มีพลังพิเศษ” ทันทีที่พูดจบฟรองซัวร์ก็ก้มหน้าลงต่ำอย่างละอาย ราวกับเขาพึ่งไปทำความผิดร้ายแรงมา

 

“พลังพิเศษ...เหรอคะ?” แอนิตาถามขึ้นอย่างแปลกใจ “แล้วมันทำให้คุณไม่สบายใจยังไงเหรอคะ”

 

ฟรองซัวร์สะดุ้งเล็กน้อยตรงคำว่า ทำให้ไม่สบายใจ แต่เขาก็ตั้งตัวอย่างรวดเร็ว “เขาสามารถสิงร่างคนอื่นได้น่ะ”

 

“ห่ะ” เดวิดส่งเสียงตกใจออกมาเช่นเดียวกับเควินซึ่งมีสีหน้าเหลอหลาไม่แพ้กัน จะมีก็แต่แอนิตาที่แค่อ้าปากค้างเท่านั้น

 

“ใช่” ฟรองซัวร์พูดยืนยันพร้อมกับใช้มือหนาเกาหลังหัวด้วยท่าทีลำบากใจ

 

“แล้วมันยังไงล่ะครับ” เดวิดผู้ซึ่งยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวเท่าไหร่ถามขึ้นอีกครั้ง

 

ฟรองซัวร์นิ่งไปก่อนที่จะตอบออกมาเสียงเบา “เขาพยายามจะสิงร่างแรนดี้”

 

“ครับ?!” คราวนี้ทั้งเดวิดและเควินประสานเสียงตะโกนออกมาดังลั่นกระท่อม ส่งผลให้ฟรองซัวร์พยายามจะหดตัวลีบลงไปอีก แอนิตามองเพื่อนทั้งสองด้วยสายตาดุ ๆ ราวกับบอกให้ทั้งคู่นั่งลง

 

“ล้อเล่นใช่ไหมครับเนี่ย” เดวิดถามขึ้นอีกครั้งพร้อมกับค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่ง

 

ฟรองซัวร์ผู้ยังคงก้มหน้างุดอยู่ส่ายหน้า เป็นเชิงบอกว่าเรื่องที่เขาพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง

 

เดวิดได้แต่นั่งอึ้งไปในขณะที่เควินนั้นสติหลุดไปเสียแล้ว มีเพียงแอนิตาเท่านั้นที่ดูเหมือนจะยังครองสติได้ดีที่สุด

 

“ไม่ใช่ว่าหนูไม่เชื่อใจฟรองซัวร์นะคะ แต่ว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าแรนดี้จะถูกสิงน่ะค่ะ”

 

“ก็หมาป่าตัวเมื่อวานยังไงล่ะ” ชายร่างใหญ่ตอบ “นั่นน่ะปู่ฉัน”

 

“คะ?”

 

“เขาสิงร่างสัตว์ได้ด้วย” ฟรองซัวร์พูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ “แถมถ้าสิงร่างมนุษย์ก็ยังสามารถที่จะแปลงให้ร่างมนุษย์เป็นสัตว์ได้ด้วย”

 

“เหมือนกับมนุษย์หมาป่าอย่างนั้นเหรอครับ” เควินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ

 

ฟรองซัวร์พยักหน้ารับอย่างเศร้าหมอง “ฉันว่าเธอน่าจะรู้จักเรื่องสัตว์ร้ายแห่งเฌโวด็องดีใช่ไหมเควิน”

 

“ครับ” เควินตอบ

 

“สัตว์อะไรนะ” แอนิตาถามขึ้น

 

“สัตว์ร้ายแห่งเฌโวด็องไง” เควินตอบขึ้น “เรื่องเกิดขึ้นในปี 1764-1767 เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้มันโจมตีคนในเมืองเฌโวด็องของฝรั่งเศส และสร้างความหวาดกลัวไว้มากมาย มีการบรรยายไว้ว่ามีรูปร่างเหมือกับหมาป่าตัวใหญ่ หัวเหมือนเกรย์ฮาวด์ หูเล็ก ปากกว้าง หางใหญ่ มันมักจะโจมตีจากเงามืดโดยไม่เลือกเหยื่อ ทำให้มีเหยื่อมากกว่า 113 คน”

 

“นั่นแหละ สัตว์ร้ายแห่งเฌโวด็อง” ฟรองซัวร์เสริม

 

“แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงล่ะครับ” เดวิดผู้ยังคนมึนงงเพราะข้อมูลที่มากเกินไปถามขึ้นอีกครั้ง

 

“ที่ฟรองซัวร์ต้องการจะสื่อคือ โอไรอัสเป็นสัตว์ร้ายแห่งเฌโวด็อง” แอนิตาคาดการณ์ขึ้นอย่างชาญฉลาด “ถูกไหมคะ”

 

ชายร่างใหญ่พยักหน้า “ใช่ แอนิตาถูก”

 

“แต่นั่นก็แปลกนะคะ” แอนิตาพูดขึ้นอีกครั้ง “เรื่องเกิดตั้งแต่ปี 1764 หรือก็คือเมื่อเกือบ 185 ปีที่แล้ว แล้วทำไมโอไรอัสถึงไม่สร้างเรื่องอะไรเลยหลังจากนั้นล่ะคะ”

 

ฟรองซัวร์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงใจ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

ทั้งหมดเงียบไปก่อนที่เควินจะถามขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นมีวิธีที่จะทำให้โอไรอัสออกจากร่างของแรนดี้ไหมครับ”

 

ฟรองซัวร์นิ่งเงียบไปอีกครั้งก่อนที่จะตอบเสียงค่อย “ฉันไม่รู้เลย...”

 

เควินถอนหายใจออกมาเสียงเบา ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “งั้นเราก็เหลือทางเลือกเดียวแล้วล่ะ”

 

ทุกคนหันไปมองเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มอย่างสงสัย

 

“ห้องสมุดมีคำตอบสำหรับทุกอย่าง” เควินพูดขึ้นอย่างภูมิใจ “แม่ฉันสอนไว้”

 

 

 

 


 

 

 

 

 

Talk : ใครมีเนื้อเรื่องที่เดาไว้สามารถคอมเมนต์บอกได้น้าาา