3 มีนาคม 1949

 

 

แสงแดดอ่อน ๆ สัมผัสผิวหน้าเนียนของเด็กทั้งสี่คนอย่างอ่อนโยน เป็นความอบอุ่นบาง ๆ เพียงไม่กี่อย่างท่ามกลางความหนาวเหน็บในดินแดนที่อุณหภูมิติดลบเกือบจะตลอดเวลาแห่งนี้

 

ถึงแม้ว่าในช่วงนี้เมืองพอร์ตล็อคจะมีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการหายตัวไปของคนเหมืองทองและพวกนายพรานหลายต่อหลายคนก็ตาม แต่พ่อแม่ของเด็กทั้งสี่คนก็ยังคงปล่อยให้พวกเขาวิ่งเล่นกันต่อไปในเมือง เพราะคิดว่าถ้าไม่เข้าใกล้ป่าก็คงจะไม่มีอันตรายอะไร ยังไงซะลูก ๆ ของพวกเขาก็อายุปาเข้าไปเกือบสิบสามปีแล้ว คงจะดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว

 

“นี่ ๆ” เสียงหวานใสของเด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มดังขึ้น ดวงตาสีเฮเซลส่องแสงรปะกายวิบวับอย่างตื่นเต้น “เห็นเขาลือกันหนาหูเลยแหละว่าช่วงนี้มีคนหายไปในป่าเยอะ”

 

“ใช่” เควินเด็กเนิร์ดประจำกลุ่มเอ่ยตอบกลับไป เขาแทบจะเป็นสารานุกรมเคลื่อนที่ประจำกลุ่มเพราะความรอบรู้ของเขา “แม่ฉันเล่าให้ฟังอยู่ว่าช่วงนี้คนที่เข้าไปในหุบเขาเริ่มหายไปทีละกลุ่ม แถมยังมีข่าวลือของคนจากโรงงานผลิตกระป๋องอีก”

 

“โรงงานผลิตกระป๋องเหรอ” เสียงนุ่มของเด็กชายหน้าหวานท่าทางอ่อนโยนดังขึ้นอย่างสงสัย

 

“ใช่” เควินตอบ “พ่อนายไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอแรนดี้”

 

เด็กชายที่ถูกเรียกว่าแรนดี้สะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะส่ายหน้าเบา ๆ เป็นเชิงปฏิเสธ เควินมองเพื่อนด้วยสายตาเป็นห่วงอยู่ แวบหนึ่งก่อนที่เด็กที่ดูโตที่สุดจะตบไหล่ปลอบใจแรนดี้เบา ๆ

 

แรนดี้หันไปส่งยิ้มให้กับเดวิดผู้เป็นเสมือนผู้นำกลุ่ม แอนิตาผู้เป็นเด็กสาวคนเดียวจึงคาดคั้นให้เพื่อนเล่าต่อ “ข่าวลืออะไรน่ะ”

 

“ก็...” เควินจงใจพูดค้างเอาไว้เพื่อเรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งกลุ่ม เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากเดวิดได้ แต่เควินก็ไม่ได้สนใจ เขาปรับเสียงให้ต่ำลงและแหบแห้งเพื่อให้มันดูน่ากลัว

 

“เมื่อวันก่อน คุณสมิธที่เป็นพนักงานที่นั่นน่ะเขาเล่าให้ฉันฟังว่าเมืองนี้โดนผีสิงล่ะ”

 

เพื่อน ๆ ทั้งสามมองหน้ากันก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียจนหมวกไหมพรมบนหัวเกือบหลุดออกมา เควินมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัยก่อนจะพูดออกมาอย่างแปลกใจ “ไม่น่ากลัวเหรอ”

 

เดวิดใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีกลั้นขำและตอบเพื่อนออกไป “เควิน เวลานายจะเล่าเรื่องพวกนี้นายควรจะค่อย ๆ เล่า ไม่ใช่โผล่พรวดพราดมาแค่นั้นสิ”

 

“อ้าวเหรอ” เควินตอบเสียงซื่อ ๆ ก่อนที่จะหัวเราะออกมา “โทษที ๆ”

 

“แล้วทำไมคุณสมิธถึงคิดว่าเมืองนี้โดนผีสิงล่ะ” แอนิตาถามขึ้นอีกครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

เควินทำท่าครุ่นคิดก่อนที่จะตอบออกมา “เห็นเขาบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นมาคอยก่อกวนการทำงานน่ะ ทั้งย้ายของและก็มีเสียงแปลก ๆ ด้วย”

 

“ไม่ใช่ว่าคุณสมิธลืมเองเหรอ” เดวิดพูดกลั้วหัวเราะ “ใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณสมิธขี้ลืมจะตาย”

 

“ฉันจะฟ้องคุณสมิธ” แอนิตาเอ่ยขำ ๆ หวังจะแกล้งเดวิดเล่น

 

“แรนดี้ ช่วยฉันทีสิ แอนิตาขู่จะแบล็กเมล์ฉันแหละ” เดวิดแสร้งทำท่าหวาดกลัวก่อนจะวิ่งไปหลบหลังเพื่อนหน้าหวานซึ่งตัวเล็กกว่าเขาเกือบสิบเซนติเมตรได้

 

แรนดี้ส่งเสียงหัวเราะออกมา “เหมือนฉันจะช่วยนายได้แหละเดวิด นายตัวใหญ่กว่าฉันอีกนะ”

 

แล้วทุกคนก็หัวเราะออกมาอย่างเป็นสุข

 

 

 

 

 

แสงตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำเป็นสัญญาณให้เด็ก ๆ ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน พวกเขาเดินไปด้วยกันเรื่อย ๆ บนถนนเส้นใหญ่ เสียงเจื้อยแจ้วของเควินกำลังเล่าเรื่องราวตำนานต่าง ๆ ที่อ่านจากหนังสือให้เพื่อน ๆ ฟังอยู่

 

“และก็ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าด้วยนะ เห็นเขาบอกว่าตำนานนี้มันมีที่มาจากฝรั่งเศสแหละ”

 

“ฝรั่งเศสเหรอ” แอนิตาถามอย่างสงสัย “เมืองที่ดังเรื่องน้ำหอมอ่ะนะ”

 

“ใช่” เควินตอบลากเสียงยาว “มันเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากเลยแหละ ผู้คนตกเป็นเหยื่อมากกว่า 113 รายในช่วงเวลาเพียงแค่ 3 ปี และด้วยความกลัวเนี่ยทำให้คนในพื้นที่ล่าตัวหมาป่ามากว่า 100 ตัวเพื่อหาสัตว์ร้ายตัวนี้เลยแหละ”

 

“...หมาป่า” แรนดี้พูดอย่างหวาดหวั่น ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างจ้องมองไปที่เควิน

 

“ใช่ หมาป่า” เควินพูดต่อ “แต่ฉันว่ามันก็น่าสงสารนะ...”

 

“ไม่เควิน” แรนดี้พูดต่อด้วยแววตาที่หวาดกลัวก่อนที่จะชี้ไปด้านหลัง “หมาป่า!

 

เควินหันไปด้านหลังทันที เช่นเดียวกับเดวิดที่ออกมายืนเบื้องหน้าเพื่อน ๆ ราวกับเป็นเกราะป้องกัน ดวงตาสีน้ำตาลมะฮอกกานีจ้องมองหมาป่าตัวใหญ่ที่มีขนสีดำสนิทอย่างข่มขู่ แต่มันไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย มันยังคงจ้องมองเด็ก ๆ ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

 

แรนดี้ตาดีชะมัด เดวิดคิดในใจหลังจากที่หาสาเหตุเจอว่าทำไมตนถึงไม่เห็นสิ่งมีชีวิตตัวนี้เลยแม้แต่น้อย ขนสีดำสนิทของมันกลืนไปกับร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ในป่าเสียจนแทบจะแยกไม่ออก ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาสีอำพันสดที่เด่นออกมาแล้วล่ะก็ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครเห็นมัน

 

“อย่าจ้องตามัน” เสียงของเควินดังออกมาจากเบื้องหลัง แต่สายไปเสียแล้วเพราะเดวิดจ้องตามันเต็ม ๆ เลย

 

“ไม่ทันแล้วล่ะเควิน” เขาพูดเสียงเบา ดวงตายังคงจับจ้องมันอยู่ “นายพอรู้วิธีเอาตัวรอดจากหมาป่าไหม”

 

“เอ่อ รู้แค่หมาธรรมดาอ่ะ” เสียงกระวนกระวายของเควินตอบขึ้น

 

“มันก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ” แรนดี้ตอบกลับไป

 

“ก็ ค่อย ๆ เดิน อย่าวิ่ง”

 

“งั้นพอฉันนับถึงสามแล้วเราลองเดินไปข้าง ๆ ช้า ๆ นะ” เดวิดเอ่ยเสียงเข้ม

 

ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันถึงแม้ว่าเดวิดจะไม่เห็นก็ตาม

 

แต่ยังไม่ทันที่จะได้นับเลขอะไรก็ตาม หมาป่าสีดำตัวใหญ่ก็หนีหายไปในป่าเสียก่อน

 

“มันไปแล้วเหรอ” เสียงหวานของแอนิตาถามขึ้นก่อนที่เธอจะยื่นหน้าออกมาจากแผ่นหลังของเดวิด

 

แรนดี้กับเควินยื่นหน้าออกมาไม่ต่างจากเพื่อนสาวก่อนที่จะพบว่าพื้นตรงที่หมาป่าตัวใหญ่เคยยืนอยู่นั้นว่างเปล่าไปเสียแล้ว

 

“นี่ เควิน”

 

“ว่า”

 

“หมาป่าแสยะยิ้มด้วยเหรอ”

 

คิ้วของเพื่อน ๆ ทั้งสามคนที่อยู่ข้างหลังเดวิดมาโดยตลอดเลิกขึ้นพร้อม ๆ กันอย่างฉงนสงสัย ก่อนที่เควินจะตอบกลับไป “ไม่รู้แฮะ”

 

“ฉันคิดว่าฉันเห็นมันแสยะยิ้ม” เดวิดพูดในขณะที่สายตายังคงจับจ้องพื้นที่ที่ว่างเปล่านั้นอยู่อย่างหวาดระแวง

 

“แปลกแฮะ” แอนิตาพูด

 

“แปลกมากเลยแหละ” แรนดี้พูดขึ้น “ฉันไม่เคยเห็นหมาป่าที่เมืองพอร์ตล็อคมาก่อนเลย โดยเฉพาะตัวที่ใหญ่ขนาดนั้นน่ะ”

 

“พอร์ตล็อคไม่มีหมาป่า” เควินพูดขึ้น เรียกความสนใจจากเพื่อน ๆ ได้ในทันที “มันไม่เคยมีหมาป่า”

 

ทันทีที่สิ้นสุดคำพูดของเควิน ทุกคนก็หันกลับไปมองพื้นที่ในป่าโดยพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่เดวิดจะพูดสิ่งที่เป็นคำถามอยู่ในใจของทุกคนออกมา

 

“แล้วไอ่ตัวนั้นมันมาจากไหนกันล่ะ”

 

 

 

 


 

 

 

 

Talk : ฮู่ววววววว สำหรับใครที่สนใจหรือมีอะไรอยากจะพูดคุยกับไรท์ คอมเมนต์มาได้เลยน้าาาา