"พี่ไม่ได้เรียกเธอ" ฉันพูดกับเด็กคนนั้นอย่างหัวเสีย

เธอชื่อ 'มะลิ' ตายมาสิบกว่าปีแล้ว ฉันเห็นเธอตั้งแต่เด็กๆ และเธอก็ตัวเท่านี้มาตลอด

"เอ้า ไม่ได้เรียกหนูแล้วจะเรียกใคร"

"ไอ้คนที่มันเข้าสิงพี่ไง"

"...อีกแล้วเหรอ?"

"เออ"

ฉันนั่งลงบนเตียงอย่างหมดแรง เหนื่อยชะมัด ทั้งวิ่งขึ้นบันได เดินมาที่ห้อง ไหนจะตะโกนจนปากคอแห้งอีก วันนี้เผาผลาญไปกี่แคลแล้วเนี่ย

"ทำไมโดนอีกแล้วอ่ะ"

"พี่ก็ไม่รู้เหมือนก้น" ฉันพูดพร้อมกับหันไปมองข้างๆ ตัว "ช่วงนี้โดนบ่อยมากเลยด้วย"

ความจริง เด็กคนนี้ไม่ได้อยู่ในกระจกหรอก เธอนั่งก็อยู่บนเตียงข้างๆ ฉันเนี่ยแหละ

ความสามารถ (?) ของฉันมันมีข้อจำกัดอยู่อย่างหนึ่งคือ ฉันจะเห็นวิญญาณเฉพาะเวลาที่มีกระจกเท่านั้น ดังนั้น เวลาเดินอยู่ข้างนอก เรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระจก...ฉันจะไม่เห็นพวกเขา

ฉันคิดว่านี่เป็นโชคดีในโชคร้ายนะ เพราะถ้าให้ฉันเห็นวิญญาณตลอดเวลา ฉันคงต้องประสาทกินแน่ๆ และทั้งเพื่อนทั้งคนรู้จักก็จะมองว่าฉันเป็นบ้าหมด

"แย่จัง" มะลิล้มตัวลงนอนบนตักฉัน ซึ่งฉันไม่รู้สึกอะไรนอกจากความว่างเปล่า "แล้วครั้งนี้มันทำอะไรพี่อีกอ่ะ"

"...." ฉันควรตอบว่าฉันเสียซิงและไปจูบกับพี่รหัสตัวเองมั้ย?

แต่มะลิยังเด็กอยู่เลยนะ

ถึงเธอจะอยู่มานานมากแล้วก็เถอะ

"พี่คนโปรด?"

"ก็...ทำเรื่องไม่ดีอีกตามเคย"

"เรื่องไรอ่ะ?" เด็กนี่ทำไมอยากรู้อยากเห็นจัง

"เรื่องไม่ดี" ฉันมองเด็กน้อยผ่านกระจก "มะลิไม่ต้องรู้หรอก"

"โห่ อะไรอ่ะ" เธอทำหน้ามุ่ย "หนูไปโลกวิญญาณมาไม่กี่วัน พี่ก็เป็นแบบนี้แล้วเหรอ"

"อ้าว นี่ไปที่นั่นมาเหรอ?"

"ช่าย" มะลิลากเสียงยาวเหยียด "ทุกคนฝากความคิดถึงมาให้พี่ด้วยน้า"

และนี่คือเหตุผลที่ฉันมองเห็นวิญญาณ

เมื่อตอนเด็ก ฉันน่าจะอายุประมาณ 5 ขวบมั้ง วันนั้นฉันไปเที่ยวที่บ้านคุณย่า ที่นั่นใหญ่มาก ติดทะเลสาบด้วย ฉันจำได้ว่าฉันไปเล่นที่ทะเลสาบแล้วทำกำไลข้อมือที่คุณย่าให้มาตก ฉันก็เลยลงไปเก็บมัน แล้วหลังจากนั้น...

...ฉันก็จมน้ำ

คุณแม่บอกว่าฉันหลับไปเป็นอาทิตย์ และสัญญาณชีพของฉันต่ำมาก หมอบอกว่าโอกาสรอดน้อย แต่ฉันก็สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

หลังจากที่ฉันฟื้นขึ้นมา ฉันก็มองเห็นวิญญาณผ่านกระจกมาตลอด และทุกครั้งที่ฉันมองเห็นพวกเขา ฉันก็จะร้องไห้

ฉันพยายามบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าฉันเห็นวิญญาณในกระจก แต่เพราะพวกเขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ พวกท่านจึงคิดว่าฉันเห็นภาพหลอน อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์ที่จมน้ำในตอนเด็กหรืออะไรก็ช่าง พวกท่านจึงพาฉันไปพบจิตแพทย์

แน่นอนว่าพวกท่านเอากระจกทุกบานออกจากห้องของฉัน แต่ต้องแลกกับการที่ฉันทานยาระงับประสาทหรืออะไรทำนองนั้น

ถึงฉันจะรู้ดีว่ายาพวกนั้นไม่มีทางได้ผลก็ตาม

พอโตขึ้นอีกนิด ฉันจึงรู้ว่า...ฉันไม่ควรพูดถึงเรื่องวิญญาณอีก

เพราะยิ่งฉันพูด ฉันก็จะยิ่งถูกมอง ทุกคนจะหาว่าฉันเป็นโรคทางจิต และจะไม่มีใครเป็นเพื่อนกับฉัน

จากนั้นไม่นาน...ฉันก็พบทางออกที่ดีที่สุด

"เหรอ? พวกเขาสบายดีกันนะ?"

"อื้ม ถ้าไม่ได้พี่ พวกเขาต้องแย่แน่ๆ"

"...ดีแล้วล่ะ"

ทางออกที่ว่าคือการช่วยวิญญาณให้หลุดจากบ่วง

มะลิคือวิญญาณที่ฉันพบตนแรกผ่านกระจก เธอบอกฉันเรื่องบ่วงมาตลอด แต่ฉันพยายามไม่สนใจเธอ จนกระทั่ง...

...ฉันเผลอไปช่วยวิญญาณตนหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ

ฉันช่วยให้วิญญาณตนนั้นหลุดจากบ่วงที่พันธนาการเขาเอาไว้ และปลดปล่อยให้เขาไปสู่สุคติ ซึ่งในที่นี้คือโลกของวิญญาณ

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันก็บอกคุณพ่อคุณแม่ว่าฉันไม่เห็นภาพหลอนแล้ว ฉันหยุดกินยาและให้พวกท่านตั้งกระจกบานใหญ่เอาไว้ในห้องนอน จุดประสงค์หลักที่ทำแบบนั้นก็คือ

'สื่อสารกับวิญญาณ'

ฉันค้นพบว่ามันเป็นการกระทำที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ฉันช่วยพวกเขา จากนั้น...พวกเขาก็จะให้ของขวัญกับฉันก่อนจะหายไป

ของขวัญที่ว่าคืออัญมณีหลากสีที่ฉันไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไร แต่ฉันก็รับมันเอาไว้เป็นที่ระลึกทุกครั้ง ฉันเก็บพวกมันเอาไว้ในกล่องใส่ไว้ใต้เตียง ล็อกกุญแจ และเขียนโน้ต 'ห้ามเปิด' แปะไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครยุ่งกับมันและจับฉันส่งโรงพยาบาลบ้า

"แล้วมะลิไม่อยากไปอยู่กับพวกเขาบ้างเหรอ?" มะลิเป็นวิญญาณเพียงตนเดียวที่ไม่เคยบอกฉันว่าบ่วงของเธอคืออะไร เธอจึงติดอยู่กับฉัน ไม่ได้ไปโลกวิญญาณสักที

"ม่ายอ่ะ อยู่กับพี่ดีแล้ว" เธอพูดก่อนจะกอดฉัน ซึ่งฉันก็ไม่รู้สึกอีกตามเคย

นอกจากสัมผัสที่เหมือนอากาศแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้ฉันแยกระหว่างคนกับวิญญาณได้คือสีผิวและดวงตาของพวกเขา

สีผิวของวิญญาณจะขาวซีดเหมือนกับกระดาษ ดวงตาของพวกเขาจะเป็นสีดำสนิท ไม่มีตาขาว ใต้ตาจะดำคล้ำเหมือนคนอดนอนมาหนึ่งอาทิตย์ หรืออาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า 'ตาโบ๋'

แล้วถ้าคุณคิดว่าพวกเขาจะมีเลือด มีหนอง กลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากศพในหนังล่ะก็...คุณคิดผิดถนัด

วิญญาณพวกนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกเขาตัวสะอาด และไม่มีกลิ่นใดๆ

ซึ่งคุณสมบัติพวกนี้ก็ทำให้ฉันหายกลัวได้นิดหนึ่ง

"...ตามใจ" ฉันไม่รู้ว่าทำไมมะลิถึงไม่ยอมจากไปไหน แต่ถ้าเธอยืนยันที่จะอยู่ ฉันก็ไม่ว่าอะไร ตราบใดที่เธอยังไม่มายุ่งกับชีวิตของฉันเหมือนผีที่หน้าด้านเข้าสิงร่างฉัน

"ตกลงพี่จะไม่บอกจริงๆ เหรอว่าเขาทำอะไรพี่?"

"ไม่ใช่เรื่องที่เด็กควรรู้"

"หนูไม่เด็กแล้วนะ" มะลิลุกขึ้นนั่ง ท่าทางของเธอดูหาเรื่องไม่เบา "หนูก็อายุพอๆ กับพี่นั่นแหละ"

"แต่ตัวกระเปี๊ยก"

"บู่ๆ -3-"

ฉันยิ้มให้กับความน่ารักของมะลิ อย่างน้อยๆ ก็ยังมีวิญญาณตนหนึ่งที่ทำให้ฉันยิ้มได้ในวันแย่ๆ แบบนี้

"เฮ้อออออ" แต่พอนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายของที่ผ่านมาทั้งเมื่อคืนและวันนี้ ฉันก็อดถอนหายใจไม่ได้

"พี่เครียดมากเลยเหรอ?"

"เครียดสิ" ฉันหันไปมองมะลิ "ทำมาทุกทางแล้วก็ยังไม่หายไปสักที"

ฉันทำทุกวิธีแล้วจริงๆ ทั้งใส่พระ ถือไม้กางเขน สวดมนต์ เข้าวัด ทำบุญ

แต่ก็ไม่มีวิธีไหนที่ช่วยให้ฉันหลุดพ้นจากวิญญาณที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าเลย

ฉันไม่รู้ว่าวิญญาณตนนั้นต้องการอะไร และทำไมถึงสิงฉัน ทำไมถึงใช้ร่างของฉันไปทำแบบนั้นกับรามสูรซ้ำๆ ทั้งกอด ทั้งจูบ ทั้งบอกรัก แล้วนี่ถึงขั้นมีเซ็กส์ ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าจุดประสงค์ของเธอคืออะไร

"แต่ยังมีอีกวิธีที่พี่ยังไม่ได้ทำนะ"

"...วิธีอะไร?"

"พี่อยากให้เธอหายไปใช่มั้ย?"

"ใช่"

"งั้นพี่ก็ช่วยเธอให้หลุดจากบ่วงสิ"

จริงด้วย ถ้าฉันทำแบบนั้น เธอก็จะหายไปตลอดกาล แต่ว่า...

"แต่พี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยนะ ขนาดชื่อยังไม่รู้เลย"

"มันมีวิธีสื่อสารกับวิญญาณอย่างอื่นนอกจากกระจกนะพี่"

"อะไรล่ะ"

"ผีถ้วยแก้วไง"

.

.

.

จากนิยายรักกลายเป็นนิยายสยองขวัญ55555555