9 ตอน Chapter 8 บันทึกของเบลล์
โดย Lunar P.
“แผลแค่นี้ไม่เห็นต้องมาโรงพยาบาลเลย” เสียงบ่นของหญิงสาวดังสะท้อนกับทางเดินที่นำออกไปจากตัวอาคาร เรียกสายตาดุ ๆ ของพยาบาลรุ่นใหญ่ที่อยู่แถวนั้นได้เป็นอย่างดี
“ไม่ต้องทำเป็นบ่นเลย” ชายหนุ่มผิวเข้มที่เดินมาขนาบข้างเอ่ยปากว่า ก่อนจะลดมาเป็นเสียงกระซิบ “แผลที่เกิดจากอะไรแบบนั้นไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด นี่ถ้าฉันพาแกไปหาหมอผีได้คงพาไปแล้ว”
“มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นมั้ง นี่ฉันก็ยังปกติดีอยู่นะ แล้วเบลล์ก็ไม่ใช่ผีด้วย” พูดจบก็รีบตะครุบปากตัวเอง เธอยังไม่ได้เล่าให้แทนฟังว่าเบลล์เป็นปีศาจ ถ้าเขาเกิดอยากรู้ขึ้นมาแล้วมาคาดคั้นกับเธอจนรู้ความจริง เรื่องคงจะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก คำว่า ‘ปีศาจ’ ไม่ใช่คำที่มนุษย์ทั่วไปอยากได้ยินนัก
แทนมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังมองว่ามีใครจ้องมองอยู่ไม่ ก่อนที่จะกระซิบกับมีนาเบา ๆ “ฉันขอย้ำไว้เลยนะ ว่าแกควรระวังตัวเอาไว้ดี ๆ ไม่ว่าผู้หญิงนั่นจะเป็นตัวอะไร แกห้ามไว้ใจเด็ดขาด”
“เบลล์ไม่ได้เป็นอย่างที่แกคิด” มีนารีบแก้ตัวให้ปีศาจสาว
“แล้วนี่แกไปสนิทกันถึงขนาดรู้ชื่อตั้งแต่เมื่อไหร่” แทนขมวดคิ้วหันหน้าไปทางมีนา พยายามสบกับดวงตาคมที่ตอนนี้หลุบลงเหมือนกำลังหลบตาเขาอยู่
“ก็บอกไปแล้วไงว่าเบลล์เข้ามาช่วยชีวิตฉัน”
“แกไม่ควรจะเข้าไปสนิทสนมจนเกินไป ผู้หญิงนั่นอาจจะหลอกให้แกตายใจแล้วฆ่าทิ้งทีหลังก็ได้” แทนว่า “ดูอย่างวันนี้สิ ที่แกบาดเจ็บก็เพราะมัน”
“มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก”
“แกรู้ตัวไหมว่ากำลังเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตราย กรงเล็บนั่นฆ่าแกได้เลยนะ ยัยนั่นเป็นปีศาจเห็น ๆ”
“คือว่า...” มีนาตั้งท่าจะเถียง แต่แล้วก็กลืนคำพูดลงคอ เพราะไม่อาจแก้ตัวได้เต็มปาก สิ่งที่แทนคิดก็ไม่ไกลจากความเป็นจริงเลย หลักฐานคือแผลบนแขนขวาของเธอเอง
“ไม่ต้องมาแก้ตัวนะเว้ย ถ้าแกอยากจะบอกว่ายัยนั่นไม่อันตราย ฉันขอค้าน” เขาเหลือบมองผ้าพันแผลที่แขนขวาของเธอ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้าไว้ใจได้จริง แกจะไม่มีวันเจ็บตัวเพราะมัน”
มีนารู้สึกว่าถูกจี้ใจดำ เธอพยายามไม่มองเบลล์ในแง่ร้าย แววตาสีน้ำตาลคู่นั้นเธอรู้สึกได้ว่าภายใต้หน้ากากความเย็นชายังมีความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่ แถมสีหน้าที่ไม่ค่อยจะแสดงความรู้สึกนักกลับดูตื่นตระหนกเมื่อรู้ว่าเผลอทำร้ายเธอเข้า ทำให้เธอค่อนข้างแน่ใจว่าเบลล์ไม่ได้คิดร้าย เรื่องในวันนี้อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
แล้วมีนาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้าที่เบลล์จะเผลอทำร้ายเธอ ปีศาจสาวดูเหมือนจะกังวลเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ หรือไม่ก็กลัวอะไรสักอย่างจนกางกรงเล็บออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ อะไรกันนะที่ทำให้เบลล์มีสีหน้ากังวลได้ขนาดนี้ เป็นเพราะการเจอกันโดยบังเอิญกันแทนหรือเปล่า
หรือมันจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนปริศนาที่แอบคอยสะกดรอยตามเบลล์กันแน่
.......................................................................
หลังจากที่แทนพามีนามาส่งถึงหอและย้ำเป็นรอบที่สิบว่าห้ามติดต่อกับเบลล์อีก หญิงสาวก็เอาแต่นั่งเหม่อมองรอยหลุดลอกของสีบนกำแพงข้าง ๆ เตียงนอน ในหัวยังคงคิดทบทวนถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเบลล์ซึ่งคงเหมือนกับริ้วรอยบนกำแพงดังกล่าว ดูผ่าน ๆ เหมือนจะเข้ากันได้แล้ว แต่หากมองดี ๆ ก็จะเห็นว่ามันไม่ราบเรียบ เหมือนยังมีอะไรบางอย่างขาดหายไป
ระหว่างพวกเธอทั้งสองจะเรียกว่าสนิทถึงขั้นเป็นเพื่อนได้หรือเปล่านะ แม้เบลล์จะเปิดใจคุยกับเธอมากขึ้น แต่ก็ยังมีพื้นที่ส่วนตัวอีกมากมายที่ยังไม่อนุญาตให้เธอเข้าไปอยู่ มีนายังไม่รู้ว่าจะไว้ใจอีกฝ่ายได้อย่างที่คิดไว้ตอนแรกหรือไม่ รู้เพียงว่าอีกฝ่ายชอบแสดงสีหน้าอมทุกข์ที่มีให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราวซึ่งก็พอจะเดาได้ว่าทางเดินของเบลล์คงไม่ได้เรียบง่ายอย่างแน่นอน จะว่าไปทางเดินของปีศาจคงไม่มีทางเรียบง่ายอยู่แล้วสินะ
“เฮ้อ” มีนาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ครั้งแรกที่ไปบ้านหลังนั้นเพราะนึกสนุกแท้ ๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะไปติดใจเจ้าของบ้านจนต้องมาคิดหนักแบบนี้
มีนาพยายามสลัดความคิด แต่ดูเหมือนภาพใบหน้านิ่ง ๆ เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลจะไม่สามารถหลุดออกจากหัวไปได้เลย หญิงสาวจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็นึกถึงความจริงบางอย่างขึ้นมา
“เฮ้อ ติดต่อเบลล์ด้วยโทรศัพท์ไม่ได้นี่นา” มีนาเอามือก่ายหน้าผาก เทคโนโลยีสมัยนี้ช่วยให้การติดต่อง่ายขึ้นมากก็จริง แต่ถ้าจะให้ติดต่ออีกฝ่ายผู้ไม่สนใจโลกภายนอกและไม่มีโทรศัพท์พกติดตัวเลยคงเป็นไปได้ยาก ไม่รู้ว่าเบลล์เป็นอย่างไรบ้าง คงต้องเจอตัวเท่านั้นถึงจะรู้ เธอคิดว่าเบลล์คงยังไม่อยากกลับไปนั่งเหม่อที่ม้านั่งในมหาวิทยาลัยของเธอในตอนที่มีคนแปลก ๆ ตามรังควานแบบช่วงนี้ ดังนั้นเหลืออีกที่เดียวเท่านั้นที่เธอจะไปเจอเบลล์ได้ นั่นก็คือบ้านของอีกฝ่ายนั่นเอง
ทว่ามีนากลับลังเลขึ้นมา อุปสรรคจริง ๆ ไม่ได้อยู่ที่บรรยากาศวังเวงของบ้าน แต่เธอไม่รู้ว่าถ้าไปหาเบลล์รอบนี้จะมองหน้ากันติดอีกหรือไม่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจ
เอาวะ ถ้าไม่ไปคุยกันให้รู้เรื่อง คงนอนไม่หลับแน่คืนนี้
.......................................................................
ท้องฟ้ามืดสนิท วันนี้บ้านคาลินินมีบรรยากาศวังเวงและชวนหดหู่กว่าทุกครั้ง มีนารู้สึกว่าความกดดันถาโถมมามากกว่ารอบที่แล้วเสียอีก เธอไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม คิดว่าคงเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ นึกแล้วก็เป็นห่วงเบลล์ขึ้นมา ทั้งที่อยากจะพาไปเปลี่ยนบรรยากาศแท้ ๆ แต่กลับไปเจอเรื่องให้กังวลอีก
หญิงสาวเอื้อมมือไปกดกริ่งหน้าบ้านที่บัดนี้มีฝุ่นเกาะไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน เสียงออดดังกังวานทำลายบรรยากาศอันเงียบงันออกมาถึงหน้าบ้าน มีนาใจเต้นตึกตัก เดินวนเวียนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับคิดสรรหาคำว่าจะพูดกับเบลล์อย่างไรดีหากเจอหน้า
...ห้านาทีผ่านไป
...สิบนาทีผ่านไป
มีนาหวังว่าอีกไม่นานจะเห็นเบลล์จะออกมารับเธอด้วยสีหน้านิ่งเจือความไม่สบอารมณ์เหมือนทุกครั้ง ทว่าตอนนี้แม้เวลาจะล่วงเลยไปก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ที่มองหาเลย มีนายังคงเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้าน ในใจเริ่มว้าวุ่นว่าเบลล์จะไม่ยอมออกมาพบหน้าเธออีก ความอดทนของเธอค่อย ๆ หมดลง จนก่อนจะถึงนาทีที่สิบห้า เธอก็สังเกตว่าประตูเล็กที่อยู่ริมทางด้านซ้ายของรั้วไม่ได้ล็อกไว้
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างสงสัย เพราะหลังจากที่โดนคนสะกดรอยตาม เบลล์ก็ล็อกประตูอย่างแน่นหนาทุกครั้ง แถมตอนออกจากบ้านตอนที่เธอมารับพาไปที่ห้างสรรพสินค้า เธอก็เห็นกับตาว่าเบลล์ล็อกกุญแจเอาไว้อย่างดี แต่นั่นก็อาจจะหมายความว่าตอนนี้เบลล์อาจจะอยู่บ้านแล้วก็ได้...ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ยอมออกมาล่ะ
มีนาเปิดประตูเล็กนั้นเข้าไป แม้จะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่บุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่การที่ไม่เห็นเบลล์เดินออกมาทำให้เธอกระวนกระวายใจอย่างมาก จึงลองเข้าไปในบ้านอันเงียบเชียบ ทว่าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของปีศาจสาว
หรือว่าเบลล์จะออกไปไหนอีก
มีนาคิดในใจขณะที่สองขาก็ก้าวผ่านสวนรกเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงตัวบ้าน จากนั้นก็แง้มประตูไม้ด้านหน้าอย่างแผ่วเบา ภายในดูมืดสนิทเหมือนทุกครั้ง แต่ความรู้สึกคราวนี้ดูมืดมนกว่าปกติ
“เบลล์” เธอเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
“ไม่อยู่จริง ๆ เหรอเนี่ย” มีนาพึมพำกับตัวเอง รู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก นึกไม่ออกว่าเบลล์จะออกไปไหนได้บ้าง
มีนามีสองจิตสองใจว่าจะหันหลังกลับหรืออยู่ต่อดี แต่สุดท้ายก็ถือวิสาสะเดินขึ้นไปชั้นบนที่เป็นห้องของเบลล์ เมื่อขึ้นไปถึงเธอก็พบว่าประตูบานที่เป็นห้องของเบลล์เปิดทิ้งไว้เหมือนเจ้าของห้องรีบร้อนออกไปไหน
“เบลล์” มีนาลองเรียกอีกครั้งเผื่อว่าเบลล์จะอยู่ในห้อง ทว่ายังคงไร้เสียงตอบรับ
เธอผลักประตูเข้าไป พบว่าห้องนอนไม่มีใครอยู่ เธอถอนหายใจ รู้ตัวว่าต้องผิดหวังรอบสอง ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ เธอก็เหลือบไปเห็นกระดาษที่ถูกขยำตกอยู่ที่พื้นจึงหยิบขึ้นมาคลี่ออกอ่าน แล้วข้อความบนกระดาษก็ทำให้เธอต้องขมวดคิ้ว
‘เราควรมาจบเรื่องนี้กันได้แล้ว แกคงรู้ว่าเราจะมาเจอกันได้ที่ไหน’
ข้อความเขียนไว้แค่นี้ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นสารท้าประลองอะไรสักอย่าง เธอพลิกหน้ากระดาษเพื่อหาข้อความอื่น ๆ อีกแต่ก็ไม่เจออะไร ในใจเริ่มว้าวุ่นยิ่งกว่าเก่า เธอไม่รู้ว่าสถานที่ที่พูดถึงในข้อความนี้คือที่ไหน หรือจบเรื่องอะไรกัน แต่เธอรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง ผู้ที่เขียนข้อความนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นพวกที่แอบติดตามเบลล์อยู่ ตอนนี้สายตาของเธอจึงเริ่มกวาดมองรอบห้องเพื่อหาเบาะแสอื่น ๆ ที่พอจะเป็นคำตอบให้เธอได้
วูบ...
จู่ ๆ มีนาก็รู้สึกเสียวสันหลังเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องมองเธออยู่ เธอจึงหันหน้าไปทางประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ มีเงาดำเคลื่อนผ่านช่องประตูที่ปิดไม่สนิท
“เบลล์” มีนาส่งเสียงเรียก พลางก้าวเท้าไปยังประตูแล้วเปิดออกจนสุด เธอมองซ้ายมองขวาพบเพียงทางเดินโล่ง ๆ “เธออยู่แถวนี้หรือเปล่า”
ไม่มีเสียงตอบรับ มีนาคิดว่าเธอคงตาฝาดไปเพราะคิดมากเรื่องเบลล์ เธอจึงหันหลังกลับไปในห้อง มองกวาดบนโต๊ะไม้ที่ดูจะเป็นโต๊ะหนังสือของเบลล์ บนโต๊ะนั้นไม่มีของอยู่มากเท่าไรนัก มีเพียงนวนิยายไม่กี่เล่มซึ่งตั้งเรียงเป็นชั้น ๆ ตามแนวนอนและดูเหมือนจะไม่ได้ถูกเปิดอ่านมานานแล้ว และท่ามกลางกองนวนิยายนั่น เธอสังเกตเห็นว่ามีสองเล่มที่ดูจากสันแล้วไม่น่าจะเป็นหนังสือนวนิยาย เธอจึงดึงเล่มที่เยินกว่าออกมาดู
มันเป็นสมุดปกอ่อนสีครีมเล่มหนา...สมุดไดอารี่ของเบลล์
มีนาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าเบลล์จะมีสมุดไดอารี่กับเขาด้วย แล้วเธอก็เปิดอ่านหน้าแรก
1 มิถุนายน พ.ศ. 2524
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเริ่มเขียนไดอารี่ มันเริ่มจากที่แม่ของฉันพาไปเลือกซื้อดอกไม้มาประดับบ้าน ขณะที่ฉันกำลังนั่งรอแม่อยู่ก็เผอิญไปเห็นเด็กมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเขียนบางสิ่งบางอย่างอยู่คนเดียว ท่าทางเธอของดูเพลิดเพลินกับมันมาก มันทำให้ฉันนึกสงสัยจึงเดินไปดูใกล้ ๆ แม่ของฉันไม่ได้ว่าอะไรที่ฉันไปคุยกับมนุษย์ เพียงแต่เตือนให้ระวังว่าอย่าเผลอไปเปิดเผยตัวตนให้พวกมนุษย์รู้ก็เท่านั้น เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ในหมู่พวกเราว่าการเปิดเผยสถานะว่าเป็นปีศาจอาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมา พวกมนุษย์มักกลัวอะไรก็ตามที่อยู่เหนือการควบคุมหรือผิดจากความเชื่อดั้งเดิม ความกลัวของมนุษย์นี่เองที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมมานักต่อนักแล้ว พวกปีศาจอย่างเราเลยมักจะอยู่อย่างเงียบ ๆ ปะปนไปกับมนุษย์โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
ทันทีที่ฉันเดินเข้าไปใกล้ เด็กมนุษย์นั่นก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร คงเห็นว่าฉันน่าจะอายุพอ ๆ กันล่ะมั้ง ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมมนุษย์ถึงผูกมิตรกันง่ายนัก แต่ก็ฉันส่งยิ้มกลับไปเพราะไม่อยากทำตัวน่าสงสัย เธอชวนฉันคุย และบอกว่ากำลังเขียนไดอารี่ ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ จะเขียนคุยกับตัวเองทำไม มันดูแปลก ๆ พิลึก แต่เธอคนนั้นบอกว่ามันช่วยเก็บความทรงจำหลาย ๆ อย่างเอาไว้ ความทรงจำที่อาจลืมเมื่อนานวันไป ถ้าหยิบเรื่องราวนั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้งก็จะได้รู้ว่าประสบการณ์มันเยี่ยมยอดแค่ไหน นั่นแหละ...ก็เลยเป็นต้นเหตุให้ฉันมานั่งเขียนคุยกับตัวเองอยู่แบบนี้ไง ตลกดีใช่ไหมล่ะ แม่ของฉันต้องขำกลิ้งแน่ถ้ารู้เรื่องนี้ แต่จะว่าไปมันก็สนุกดีนะ มาดูกันว่าฉันจะเก็บความทรงจำดี ๆ ไว้มากแค่ไหน
เพียงหน้าแรกก็ทำให้มีนาเผลอยิ้มออกมา เธอนึกภาพเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลนั่งเขียนไดอารี่อยู่ วันที่ที่เบลล์เริ่มเขียนผ่านมาหลายปีแล้ว ก่อนเธอเกิดเสียอีก แต่ก็ไม่น่าแปลก ปีศาจอย่างเบลล์คงมีอายุยืนกว่าเธอมาก ถ้าเป็นมนุษย์คงเลยเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว มีนาคิดพลางพลิกหน้าถัด ๆ ไป
14 มิถุนายน 2524
วันนี้แม่พาฉันมานั่งในสวนสาธารณะเหมือนกับหลาย ๆ ครั้งที่เคยพามา แม่ต้องชอบที่นี่มากแน่ ๆ เพราะแม่จะมีรอยยิ้มบนใบหน้าทุกครั้งที่มา แม่บอกว่าพ่อเคยขอแต่งงานที่นี่ ฉันว่ามันเหมาะมาก ๆ เลยแหละ บรรยากาศก็ดูเงียบสงบ มีดอกไม้หลายชนิดขึ้นรอบ ๆ ฉันรู้ว่าแม่ของฉันชอบดอกไม้มาก โดยเฉพาะดอกไม้ของมนุษย์ แม่บอกว่ามันมีกลิ่นหอมต่างจากดอกไม้ปีศาจ ฉันก็ชอบเหมือนกัน และก็ชอบที่นี่มากด้วย ถึงจะมาบ่อยแค่ไหนก็ไม่เคยเบื่อเลย
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ มีนาก็พอจะรู้ว่าสถานที่ที่เบลล์พูดถึงคือที่ใด ถ้าเธอเดาไม่ผิดมันน่าจะอยู่ข้างมหาวิทยาลัยเธอเอง...ตรงที่นั่งที่เบลล์นั่งประจำ
หญิงสาวลองพลิกหน้าต่อไปเผื่อเบลล์ก็เขียนถึงสถานที่นี้อีก ใจหนึ่งเธอก็รู้สึกผิดที่แอบอ่านไดอารี่ส่วนตัวของเบลล์ แต่ด้วยความสงสัยในข้อความบนกระดาษที่เขียนถึงสถานที่นัดพบ ไม่รู้ว่าจะใช่ที่เดียวกันนี้หรือไม่ ประกอบลางสังหรณ์ที่คิดว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเบลล์ เธอจึงต้องโยนความรู้สึกผิดนั้นทิ้งไปก่อน
29 กันยายน 2526
วันนี้เป็นวันที่แย่มาก ๆ ฉันเข้าไปช่วยเด็กคนหนึ่งจากการถูกลุงตัวเองทำร้าย คุณลุงคนนั้นเลยจะเข้าทำร้ายฉันด้วย และฉันก็เผลอกางเล็บออกมา ลุงคนนั้นมองฉันเหมือนเป็นตัวประหลาด เด็กคนนั้นก็กลัวฉันด้วย ทั้ง ๆ ที่ฉันช่วยเขาไว้แท้ ๆ เลย ชักจะเริ่มเข้าใจแล้วสิ ว่าความกลัวของมนุษย์เป็นแบบไหน
1 ตุลาคม 2526
พอพวกปีศาจตนอื่น ๆ รู้เรื่องที่ฉันก่อไปเมื่อสองวันก่อนก็ยิ่งพากันเกลียดฉันมากขึ้นไปอีก ถึงไม่พูดฉันก็รับรู้ได้ แต่สิ่งที่ฉันกังวลไม่ใช่เรื่องที่พวกนั้นเกลียดฉันหรอก เพราะถึงยังไงพวกนั้นก็ไม่เคยชอบฉันอยู่แล้วเพราะฉันเป็นพวกไม่สมบูรณ์ สิ่งที่ฉันกลัวคือแม่จะลำบากไปมากกว่านี้ ฉันเคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนแม่มีบ้านอยู่อีกประเทศที่ไกลออกไป ที่นั่นมีพรรคพวกปีศาจอยู่เยอะกว่าที่นี่ แต่เป็นเพราะสิ่งที่แม่ทำผิดพลาด จึงต้องถูกเนรเทศออกมาจากกลุ่มใหญ่ จนสุดท้ายมาลงหลักปักฐานที่นี่ ฉันกลัวว่าพวกปีศาจที่นี่จะไล่ฉันกับแม่ไปที่อื่นอีก บางทีก็แอบคิดว่าปีศาจมีหลายอย่างเหมือนมนุษย์มากกว่าที่คิด คือไม่ชอบให้อะไรผิดไปจากความเชื่อดั้งเดิม
9 สิงหาคม 2528
บางครั้งฉันก็เหนื่อยที่จะต้องไปเจอกับปีศาจตนอื่น ๆ อยากหลบอยู่เงียบ ๆ ไม่ต้องเจอใคร แต่อย่างน้อยฉันก็ยังโชคดีที่ยังมีเอวากับอิริคคอยให้กำลังใจเสมอ นอกจากแม่ก็มีแค่ปีศาจสองตนนี้เท่านั้นที่มองว่าฉันเป็นพรรคพวกเหมือนกัน และยอมที่จะมองข้ามจุดบกพร่องของฉันไป
มีนารู้สึกจุกที่หน้าอกเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าคำว่า ‘ไม่สมบูรณ์’ ที่เบลล์พูดถึงหมายถึงอะไร และแม่ของเบลล์ทำผิดพลาดเรื่องอะไรไป แต่เธอก็เข้าใจดีกับการเป็นส่วนเกิน เบลล์คงผ่านเรื่องที่อัดอั้นตันใจมามาก เธอคิดไม่ถึงว่าปีศาจอย่างเบลล์ก็มีมุมที่อ่อนแอและอ่อนไหวแบบนี้ได้
เธอวางสมุดไดอารี่ไว้บนโต๊ะแล้วพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อย ๆ กวาดสายตาอ่านผ่าน ๆ เพื่อหาว่าเบลล์เขียนถึงสถานที่อื่นที่น่าสงสัยอีกหรือไม่ แต่เท่าที่ดูก็มีอ้างถึงเพียงสถานที่นั้นแค่ที่เดียว ซึ่งก็ไม่ได้เจาะรายละเอียดมากนัก เธอจึงฟันธงไม่ได้ว่าสถานที่ที่กระดาษแผ่นนั้นเขียนถึงใช่ที่ที่เธอคิดหรือเปล่า
เบลล์ไม่ได้เขียนเป็นประจำทุกวัน บางช่วงก็เขียนต่อเนื่อง บางช่วงก็เว้นระยะเวลานาน ส่วนมากเป็นการเขียนถึงชีวิตประจำวัน ไม่ก็เขียนถึงปีศาจอีกสองตนที่ชื่อเอวากับอีริค เธอสงสัยว่าปีศาจพวกนี้หายไปไหนกันหมด รวมถึงแม่ของเบลล์ด้วย นอกจากเบลล์ เธอก็ยังไม่เคยเห็นปีศาจตนอื่น ๆ เลย
ทันใดนั้นก็มีเสียงข้อความเข้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดในระหว่างที่เธอกำลังที่พลิกกระดาษไปจนเกือบถึงหน้าสุดท้าย เสียงนั่นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัวก่อนจะนึกได้ว่าเป็นเสียงจากโทรศัพท์มือถือของเธอเอง จึงควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็เห็นแอปพลิเคชันแจ้งเตือนว่ามีข้อความยังไม่ได้อ่านหนึ่งข้อความจากน้องออม
Ormmii: พี่มีน ไม่อยู่ห้องเหรอ
Princess_MEENA: พี่ออกมาหาอะไรกินข้างนอก มีไรเหรอ
Ormmii: ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีเห็นพี่แทนบอกว่าให้ช่วยดูพี่มีนให้หน่อย ออมเป็นห่วงคิดว่าพี่มีนไม่สบาย เลยไปหาที่ห้อง แต่พี่มีนไม่อยู่
มีนาแอบค้อนชายหนุ่มในใจ นี่ถ้าไม่ใช่หอพักไม่ได้ห้ามผู้ชายขึ้น เขาคงจะมาเฝ้าเธอไม่ให้คลาดแล้ว แต่ก็ว่าเขามากไม่ได้ เพราะเธอทำตัวให้น่าเป็นห่วงเอง
Princess_MEENA: เปล่า พี่ไม่ได้เป็นอะไร ไอ้แทนมันคงกลัวพี่เครียด เพราะอ่านหนังสือเยอะน่ะ
Ormmii: ค่อยยังชั่วหน่อย แต่วันหลังพี่มีนให้ออมไปเพื่อนก็ได้นะคะ ยังไงเราก็อยู่หอเดียวกัน
Princess_MEENA: จ้า เอาไว้วันหลังเนอะ
มีนาทำท่าจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แต่แล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเปิดหน้าแอปพลิเคชันนั้นขึ้นมาอีก แล้วพิมพ์ข้อความถัดไป
Princess_MEENA: น้องออม สวนสาธารณะที่อยู่ข้าง ๆ มหาวิทยาลัยเราเมื่อก่อนมีประวัติอะไรบ้างมั้ย
มีนาพิมพ์ถามสิ่งที่สงสัย ถ้าจะหาคนมาให้สืบเรื่องเก่าที่นานมาแล้ว หรือเรื่องลี้ลับต่าง ๆ ที่คนไม่ค่อยรู้ ก็คงมีแต่ออมเท่านั้นแหละที่เหมาะสมที่สุด เพราะชอบไปเจอกระทู้หรือเรื่องเล่าแปลก ๆ อยู่เสมอ มีนายังเคยแอบสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายได้ไปเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอะไรประหลาด ๆ หรือไม่ ถึงได้รู้เรื่องแบบนี้เยอะแยะ ขนาดที่เธอเองเป็นคนชอบเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่แล้วยังไม่รู้เลย ไม่ถึงหนึ่งนาที เธอก็ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนจากห้องสนทนา
Ormmii: เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ทำไมอยู่ ๆ ถึงสนใจเหรอคะ
Princess_MEENA: ก็แค่คิดเล่น ๆ น่ะ ว่าแถวมอเรามีเรื่องอะไรแปลก ๆ บ้างมั้ย แล้วบังเอิญเรื่องสวนสาธารณะก็แวบเข้ามาในหัว คิดว่าที่นั่นอาจจะมีเรื่องลี้ลับสักอย่างก็ได้
หลังจากที่พิมพ์จบ มีนาก็หวังว่าน้องออมจะไม่สงสัยหรือถามอะไรต่อ
Ormmii: แหม ในหัวพี่มีนมีแต่เรื่องลี้ลับตลอดเลยนะคะเนี่ย
Princess_MEENA: คิดเรื่องลี้ลับแล้วมันผ่อนคลายนี่ 555
Ormmii: เดี๋ยวขอออมนึกก่อน รู้สึกเหมือนจะเคยอ่านจากที่ไหนซักที่นี่แหละ
น้องออมพิมพ์มาแค่นั้นแล้วเงียบไป มีนาอดทนรออย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเวลาผ่านไปประมาณห้านาทีก็ยังไม่มีเสียงสัญญาณเตือนถึงข้อความใหม่ มีนาเริ่มร้อนรน ทันใดนั้นเองข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมา
Ormmii: ออมพอจะนึกออกแล้ว
มีนามองข้อความ เธอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
Ormmii: เมื่อนานมาแล้วมีอยู่ช่วงนึงที่อยู่ ๆ มันก็ปิดไป พี่มีนรู้ไหมว่าทำไม
Princess_MEENA: เคยได้ยินว่าเมื่อก่อนมีปิดปรับปรุงครั้งใหญ่อยู่เหมือนกัน
Ormmii: จริงอยู่ค่ะ แต่ที่บอกว่าปรับปรุงก็แค่เหตุผลบังหน้า
Princess_MEENA: แล้วจริง ๆ มันมีอะไรมากกว่านั้นเหรอ
Ormmii: ได้ยินมาว่ามันมีเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นที่นั่น
Princess_MEENA: เรื่องไม่ดีแบบไหนเหรอ
Ormmii: เรื่องนี้เกิดนานมาแล้ว ออมไม่ค่อยแน่ใจรายละเอียดเท่าไหร่หรอกค่ะ ที่รู้มาส่วนมากจะฟังดูค่อนข้างเกินจริงไปเยอะ บ้างบอกว่าเป็นคำสาปก็มี ออมว่าบางอย่างมันดูเป็นนิยายแฟนตาซีเกินไป เลยไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ในตอนแรก
ใจของมีนาเต้นตึกตัก แอบคิดว่าเรื่องเกินจริงที่ว่าอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ และไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเบลล์ ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ข้อความของออมก็เด้งขึ้นมาอีก
Ormmii: มีบางแหล่งข่าวบอกว่ามีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นั่น แต่ทางการไม่อยากให้เป็นข่าว เลยพยายามปกปิด และก็ถือโอกาสปิดปรับปรุงไปด้วยเลย เพราะกลัวคนสงสัยและแตกตื่นจนไม่กล้ามาที่สวนสาธารณะนั่น
Ormmii: เห็นว่าสภาพศพดูเหมือนไม่ใช่ฝีมือของคนด้วย ออมคิดว่าแบบนี้ล่ะมั้งเลยไม่กล้าเป็นข่าว และพอมีคนเล่าต่อกันเรื่อย ๆ มันเลยถูกบิดเบือนจนกลายเป็นเรื่องคำสาป ที่จริงออมก็อยากรู้เหมือนกันว่าสภาพศพที่บอกว่าเหมือนไม่ใช่ฝีมือคนเป็นแบบไหน
น้องออมพิมพ์เสียยาวเหยียด แม้จะไม่รู้ลึกถึงรายละเอียด แต่ก็ทำให้มีนามั่นใจมากขึ้นว่าเรื่องแปลก ๆ ของสวนสาธารณะนั่นต้องเกี่ยวข้องกับเบลล์อย่างแน่นอน เธอพอจะรู้แล้วควรจะไปตามหาเบลล์ที่ไหน จึงรีบพิมพ์ขอบคุณแล้วยัดโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าทันที ขณะที่กำลังจะเก็บสมุดไดอารี่เข้าที่สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นบันทึกในหน้าสุดท้าย
12 มกราคม 2530
แบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือเปล่านะ ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ได้อยู่ใกล้เขาแล้วรู้สึกเหมือนใจจะเต้นแรงยังไงไม่รู้ (แม้ว่าในความเป็นจริงอวัยวะชิ้นนั้นจะไม่อยู่ในอกของฉันก็เถอะ แต่เวลามนุษย์เจอเรื่องตื่นเต้นหรือมีความรัก มันจะเป็นแบบนี้ใช่ไหมล่ะ) ฉันพยายามไม่เข้าใกล้เขามากเกินไป กลัวว่าถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงหัวใจของฉันแบบที่ควรจะเต้นดังเหมือนในอกของคนทั่วไป แล้วเขาจะรู้ความลับเข้า
หญิงสาวปิดสมุดเล่มนั้นลง ดูเหมือนว่าในบันทึกหน้าสุดท้ายเบลล์กำลังเขียนถึงความรักของตนเอง...ความรักงั้นหรือ...ไม่น่าเชื่อเลยว่าเบลล์จะมีช่วงเวลาแบบนั้นด้วย คนคนนั้นคงโชคดีมากที่ได้รับสิ่งนั้นจากเบลล์ ในใจของมีนารู้สึกห่อเหี่ยวแบบแปลก ๆ แต่เธอก็พยายามสลัดความรู้สึกนั้นออกไปแล้วเก็บไดอารี่เข้าที่เดิม จัดวางเข้าคู่กับอีกเล่มที่เธอไม่ได้เปิดอ่านให้เรียบร้อยไม่ให้เป็นที่สังเกต
อันที่จริงก็อดสงสัยไม่ได้ว่าความรักของเบลล์จะดำเนินไปแบบไหน บางทีอาจจะเขียนบอกไว้ในไดอารี่อีกเล่มก็ได้ แต่เธอรู้ความลับของเบลล์เยอะเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าเบลล์จะรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าเธอแอบอ่านไดอารี่โดยไม่ได้รับอนุญาต และอีกอย่างเธอจะมาเสียเวลากับที่นี่มากไม่ได้ เบลล์อาจกำลังลำบากอยู่ มีนาคิดแล้วแล้วก็หันหลังกลับออกจากห้อง ไม่รู้เลยว่าการกระทำของเธอถูกจับตาอยู่ด้วยสายตาคู่หนึ่ง
###################################################
สวัสดีค่า นักอ่านทุกท่าน
พอมาถึงตอนนี้มีนาก็แอบไปเห็นความลับของเบลล์เข้าให้แล้ว ตอนต่อไปจะเป็นยังไง ใครแอบมองมีนาอยู่ อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ ฝากคอมเม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยน้าา
Comments (0)