บรรยากาศภายในร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้าเงียบสงบ การตกแต่งไม่หรูหรา ค่อนข้างไปทางเรียบง่าย มองแล้วดูสะอาดสะอ้านสบายตา แถวที่กำลังต่อซื้อกาแฟไม่ยาวมาก แต่ก็มีลูกค้าเดินเข้าออกอยู่เรื่อย ๆ กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วร้าน ตรงที่นั่งในสุดริมหน้าต่างมีหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งผมสีดำตรงยาวถึงกลางหลัง ใส่เสื้อผ้าสีชมพูสว่างสดใส กางเกงยีนเข้ารูปมีรอยขาดเล็กน้อยแบบแฟชั่น ส่วนอีกคน...หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคืออีกตนหนึ่งใส่ชุดกระโปรงยาวสีดำตลอดทั้งตัว ผมสีน้ำตาลเป็นลอนปล่อยสยายไว้เช่นเคย ดูจากภายนอกก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ผิวซีดขาวกว่าปกติ ดวงตาสีน้ำตาลมองไปที่หญิงสาวที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเป็นพัก ๆ ทว่าอีกฝ่ายซึ่งกำลังเหม่อลอยไม่รู้ตัวเลยสักนิด

“เป็นคนชวนมาแท้ ๆ ยังจะมานั่งเหม่ออยู่อีก” ปีศาจสาวว่า

“ขอโทษที พอดีคิดอะไรเพลิน ๆ” มีนาหัวเราะแก้เขิน

“เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ดูแปลก ๆ นะ” เบลล์รู้สึกว่าวันนี้คนตรงหน้าดูเงียบผิดวิสัย

“เปล่าสักหน่อย”

“ไม่จริงหรอก” เบลล์ดูออกว่ามีนามีเรื่องอะไรบางอย่างที่กวนใจอยู่ “เธอเอาแต่บอกว่าให้ฉันเล่าปัญหาให้ แต่ตัวเธอเองกลับเก็บเงียบ”

“เรื่องเล็กน้อยน่า แค่ปัญหาที่บ้าน..ที่จริงอาจไม่นับว่าเป็นปัญหาด้วยซ้ำ ไม่ต้องสนใจหรอก”

เบลล์หรี่ตามองอีกฝ่ายพลางคิดว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น

“หยุดอ่านใจฉันได้แล้ว ไม่มีอะไรหรอกน่า” มีนาพยายามบ่ายเบี่ยง เธอไม่ค่อยอยากพูดถึงที่บ้านมากนัก เมื่อวานกว่าจะกินอาหารมื้อนั้นเสร็จ เธอก็รู้สึกอึดอัดแทบแย่ แต่ก็ไม่อยากกลับหอทั้ง ๆ ที่กับข้าวที่อาภัทรอุตส่าห์ตั้งใจทำยังไม่หมด

“ฉันอ่านใจไม่ได้สักหน่อย”

“งั้นเหรอ” มีนาแอบโล่งอกเล็กน้อย เธอไม่อยากให้เบลล์รู้ว่าตนคิดอย่างไรกับอีกฝ่ายกันแน่ “ถ้าอย่างนั้นเธอรู้ได้ไงว่าคนไหนมีด้านมืดที่เธอ..เอ่อ...กินได้” มีนาเปลี่ยนเสียงเป็นกระซิบเมื่อถึงประโยคหลัง

“ฉันรับรู้แค่พลังด้านบวกด้านลบของคนคนนั้น” เบลล์อธิบาย “ส่วนมากพวกมนุษย์จะมีทั้งสองด้าน แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นด้วยว่าด้านไหนจะเยอะกว่ากัน”

“พวกด้านลบนี่อย่างเช่นอะไรบ้าง”

“เอาเป็นว่ารู้ว่าคนไหนควรหรือไม่ควรเข้าใกล้ หรือคนไหนเหมาะกับการเป็นอาหาร” เบลล์แกล้งกดเสียงต่ำแล้วจ้องไปที่มีนาจนอีกฝ่ายเผลอกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “ปกติสำหรับปีศาจแล้ว พลังด้านลบจะอร่อยกว่า”

“อย่างฉันคงไม่น่ากินใช่ไหม” มีนาถามเพื่อความแน่ใจ “แล้วถ้าด้านลบหรือด้านมืดที่เธอว่าโดนกินหมดไป คนคนนั้นจะเหลือแต่ด้านดีหรือเปล่า”

เบลล์เพียงแค่ยิ้มมุมปาก ไม่ตอบคำถาม ปล่อยให้มีนาจินตนาการเอาเอง แอบรู้สึกพอใจอยู่หน่อย ๆ ที่ได้แกล้งให้อีกฝ่ายมัวแต่คิดจนเหงื่อตก ขณะนั้นกาแฟที่สั่งก็มาเสิร์ฟพอดี ถ้วยกระเบื้องสีครีมถูกวางลงตรงหน้าเบลล์ ไอสีขาวลอยขึ้นมาพร้อมกลิ่นหอมหวนชวนสัมผัส เธอยกถ้วยขึ้นจิบโดยไม่เติมน้ำตาลหรือนม ความขมของกาแฟแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น เป็นรสชาติแบบใหม่ที่เคยลิ้มลองเป็นครั้งแรก

มีนายกกาแฟเย็นขึ้นดูด พลางมองน้ำสีเข้มในแก้วของเบลล์ “เติมน้ำตาลหน่อยไหม”

“ฉันไม่ชอบอะไรหวาน ๆ”

“เคยกินของหวานหรือไง”

“ทำไมจะไม่เคยล่ะ”

“ตอนแรกคิดว่าเธอไม่ชอบอาหารแบบฉันกินเสียอีก”

“เมื่อก่อนฉันก็กินอาหารมนุษย์อยู่บ่อย ๆ นะ”

“จริงเหรอ” มีนาทำท่าทางสนใจขึ้นมาทันที “ไหนบอกว่ามันให้พลังงานน้อยไง”

“ก็จริง ฉันถึงได้เลิกกินไง” เบลล์ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มจนหมดถ้วย มีนามองแล้วอมยิ้ม

“แต่ฉันว่าดูเธอชอบอาหารมนุษย์นะ” พูดจบก็โดนเบลล์ถลึงตาใส่ มีนาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ ปกติปีศาจออกไปช้อปปิ้งบ้างไหม คือมันก็ต้องมีซื้อของจำเป็นบ้างถูกไหม แล้วเวลาจะซื้อของนี่ต้องทำไงเหรอ”

“ปีศาจส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตแบบเดียวกับมนุษย์นั่นแหละ ยังไงก็มีรูปลักษณ์คล้าย ๆ กันอยู่แล้ว ส่วนมากก็จะอยู่ปะปนกับพวกมนุษย์โดยที่พวกมนุษย์ไม่รู้ บางตนก็อาจจะทำงานหาเงินแบบเดียวกันกับมนุษย์เลยก็ได้ แต่ก็ต้องระวังอย่าใกล้ชิดเกินไป ถ้าใกล้ชิดมาก ๆ อาจจะถูกจับได้ก็ได้ เพราะร่างกายของปีศาจจะแตกต่างกับมนุษย์ แถมปีศาจยังแก่ช้า อาหารการกินก็ต่างกัน”

“แสดงว่าอย่างฉันนี่ถือว่าเป็นคนพิเศษได้ไหม ที่รู้ว่ามีปีศาจปะปนอยู่กับเราน่ะ เธอก็ดูไม่ได้อยากปิดบังเรื่องปีศาจขนาดนั้นนี่นะ”

“ฉันไม่รู้ว่าจะปิดบังไปเพื่ออะไรแล้วล่ะ” เบลล์มองเหม่อเมื่อคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ มีนาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบถามคำถามอื่นต่อ

“งั้นแปลว่าบางทีฉันอาจจะเคยเจอปีศาจมาก่อนแต่ไม่รู้ตัวก็ได้จริงไหม...แต่ที่บอกว่าบางตนทำงานหาเงินน่ะ เธอไม่ต้องทำเหรอ”

“ฉันพอจะมีทรัพย์สมบัติอยู่เลยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้น่ะ”

“เธอรวยสินะ”

“ไม่ใช่ซะหน่อย ฉันแค่ไม่ค่อยใช่จ่ายเยอะต่างหาก...นี่เธอหลอกสัมภาษณ์ฉันอีกแล้วใช่ไหม”

มีนาหัวเราะคิกคักแล้วทำทีหันออกไปมองนอกหน้าต่างเพื่อหลบสายตาพิฆาตของปีศาจสาว พลันเหลือบไปเห็นโปสเตอร์โฆษณาหนังสยองขวัญเข้าใหม่ เธอจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้น

“เบลล์ ดูหนังกันไหม”

“ว่าไงนะ”

“เอ่อ...ภาพยนตร์น่ะ” มีนาไม่แน่ใจว่าเบลล์จะรู้จักสิ่งที่เธอพูดหรือไม่

“ฉันรู้ว่ามันหมายถึงอะไร” เบลล์พูดแล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าลังเล “แต่ไม่เคยดูมาก่อน”

มีนาฉีกยิ้ม “งั้นเธอก็จะได้ดูครั้งแรกกับฉัน”

“ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ” เมื่อพูดจบก็เห็นมีนาทำหน้ามุ่ย จึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ไหน ๆ ก็มาแล้ว งั้นลองดูก็ได้”

หญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนสีหน้าเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เห็นแล้วอยากจะกลับคำเสียจริง แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายเบลล์ก็ยอมตามใจอีกฝ่ายโดยที่ไม่เข้าใจตนเองอยู่เหมือนกัน กว่าจะรู้ตัว เธอก็เผลอปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ก้าวข้ามกำแพงที่เคยก่อเข้ามาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว

.......................................................................

“หนังเรื่องเมื่อกี้ดีมากเลยเนอะ ฉันนี่นั่งลุ้นแทบแย่” เสียงเจื้อยแจ้วของหญิงสาวผมดำดังขึ้นทันทีที่เธอกับเบลล์ก้าวเท้าออกมาจากโรงหนัง ส่วนเบลล์หันซ้ายหันขวารู้สึกตาลายไปกับจำนวนคนมากมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มาชมภาพยนตร์ซึ่งดูเหมือนสัปดาห์นี้จะมีหนังที่น่าสนใจเข้าหลายเรื่อง ปกติเธอไม่ค่อยได้ออกไปในที่ที่มีคนเยอะขนาดนี้เท่าไรนัก แม้แต่ที่ประจำในสวนสาธารณะก็ยังเป็นมุมที่เงียบสงบไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเท่านี้ อย่างเมื่อสักครู่ระหว่างที่เดินอยู่ก็มีเด็กสองคนวิ่งมาชน เบลล์จึงแยกเขี้ยวใส่จนเด็กพวกนั้นวิ่งหนีกลับไปฟ้องแม่ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งจะมารังแก ผู้เป็นแม่ทำทีจะมาเอาเรื่อง แต่เมื่อเจอสายตาพิฆาตพร้อมกับรังสีอำมหิตหล่อนก็รีบพาลูกเดินไปทางอื่นทันที

“นี่ เธอจะเที่ยวไปทำอย่างนั้นกับทุกคนไม่ได้นะ” มีนารีบปราม เมื่อรู้สึกเสียวสันหลังวาบขณะที่เบลล์กำลังแผ่รังสีอำมหิตใส่คนที่เดินสวนมาจนทุกคนถอยห่างจากพวกเธอออกไปหมด

“ไปที่ที่คนน้อยกว่านี้ได้ไหม”

“ก็ได้” มีนาจูงเบลล์เดินไปอีกทางที่จำนวนคนเบาบางลง ปีศาจสาวมองมือของอีกฝ่ายที่จับมือเธออยู่ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ไม่มีใครเคยกุมมือเธอแบบนี้มานานแล้ว ครั้งสุดท้ายคือแม่ของเธอ และ...

“ไม่ต้องจับมือหรอก” เบลล์พูดพร้อมกับดึงมือออก

“ขอโทษที ลืมตัวน่ะ” แล้วทั้งสองก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ วันนี้เป็นวันอาทิตย์จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงผู้คน เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาในวันหยุดเดินห้างสรรพสินค้ากัน แต่มีนาก็พยายามพาเบลล์ลัดเลาะไปตรงบริเวณที่มีคนน้อยที่สุด เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยชิน ขณะที่กำลังเดินเธอก็ยังไม่เลิกพูดเรื่องหนังเสียที

“ฉันนึกว่าเธอปิดตาตลอดเรื่องเสียอีก ไม่นึกว่าจะเล่าได้ยาวขนาดนี้” เบลล์พูดบ้าง

“บ้าเหรอ ฉันไม่ได้ปิดตาสักหน่อย”

“ฉันได้ยินเธอกรี๊ดลั่นโรงด้วย”

“ฉันตกใจเฉย ๆ”

“ไม่คิดว่าคนชอบเรื่องลี้ลับอย่างเธอจะกลัวผี”

“ไม่ได้กลัวนะ” มีนารีบปฏิเสธ “แค่ในหนังมันทำจังหวะออกมาดีต่างหาก เลยแอบหลอนนิดหน่อย”

“ท่าทางของเธอบ่งบอกว่าไม่ได้นิดหน่อย” เบลล์ชักเริ่มมีความสุขกับการแกล้งแหย่อีกฝ่ายเล่น ที่จริงเธอแอบสนุกที่ได้เห็นผู้ที่ทำเป็นอวดเก่งในตอนเจอกันครั้งแรกทำท่าหวาดกลัวให้กับภาพยนตร์ที่เป็นแค่เรื่องแต่ง แถมยังรู้สึกพอใจที่ได้เห็นใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินเพราะโดนแซ็วของอีกฝ่าย ความจริงการได้อยู่กับมีนาก็ไม่ได้แย่เท่าไรนัก

“วันหลังถ้ากลัวผีขนาดนี้ก็อย่าไปบุกบ้านใครที่ไหนเพราะคิดว่าเป็นผีสิงอีกล่ะ” เบลล์ว่าต่อ

“เธอไม่เคยได้ยินหรือไง ว่ายิ่งอะไรที่น่ากลัวและดูท้าทายเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าดึงดูดให้เข้าหามากเท่านั้น” มีนาจ้องเบลล์ด้วยดวงตาคมสวยแบบที่ใครเห็นก็ไม่อาจละสายตาได้ เบลล์รู้สึกทำตัวไม่ถูกจึงหลบหน้าไปทางอื่น

“ก็พอรู้อยู่ว่าในตัวมนุษย์มักจะมีความขัดแย้งกันแบบนี้ รู้ว่าสิ่งนั้นน่ากลัวแต่ก็ชอบเข้าไปสัมผัส...แต่ฉันว่าสำหรับเธอมันค่อนข้างมากเกินพอดีไปหน่อยนะ”

ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ถกเถียงอะไรกันต่อ หางตาของมีนาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายผิวเข้มดูคุ้นตากำลังเดินสวนมา เมื่อเธอหันไปหาก็ได้สบตากับเขาพอดี

“แทน!”

“มีน!”

ทุกคนต่างยืนจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ในสมองของแต่ละคนกำลังประมวลผลแตกต่างกัน มีนาคิดว่าเรื่องยุ่งยากกำลังจะเกิดขึ้น เธอรู้ว่าแทนคอยต่อต้านเธอไม่ให้เข้าไปยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติมากเกินไป โดยเฉพาะผู้หญิงท่าทางอันตรายในบ้านที่เขาและเธอไปมาเมื่อครั้งล่าสุด ถ้าแทนรู้ความจริงว่าเธอแอบติดต่อกับเบลล์ เขาต้องขัดขวางทุกวิถีทางแน่ ส่วนแทนก็กำลังสับสน ตอนแรกเขาแค่รู้สึกคุ้นหน้าผู้หญิงผิวซีดที่มากับเพื่อนของเขา แต่แล้วก็นึกออก ดวงตาของเขาจึงเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะคว้าแขนมีนาให้มายืนอยู่ใกล้ ๆ

“นี่มันอะไรกัน แกต้องอธิบายให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้” แทนกระซิบ พลางเหลือบมองเบลล์อย่างระแวง

“ก็...ฉันมาเดินเที่ยวไง” มีนาตอบไม่เต็มเสียง

“แล้ว...” เขาชำเลืองมองเบลล์ ก่อนจะหันมาคาดคั้น “มาด้วยกันเหรอ”

มีนาพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์น่าอึดอัด บางทีถ้าเธอบอกไปว่าเบลล์เป็นเพื่อนเก่า เขาอาจจะเชื่อก็ได้ เพราะจากตอนที่แทนเจอกับเบลล์ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว และตอนนั้นก็มืดมาก เขาน่าจะเห็นหน้าไม่ชัด

“มีน” แทนทำเสียงจริงจัง “ทำไมแกถึงมากับผู้หญิงในบ้านหลังนั้น”

น้ำเสียงของแทนบ่งบอกว่าเขามั่นใจว่าจำไม่ผิด มีนารู้ดีว่าถ้าเขามั่นใจเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่มีทางที่จะหลอกเขาหรือโน้มน้าวให้เป็นอย่างอื่นได้ง่าย ๆ แน่ เมื่อคิดว่าโกหกไปก็ฟังไม่ขึ้น เธอจึงจำต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก

“แค่มาเดินเล่นด้วยกันเฉย ๆ”

“แกแอบไปสนิทสนมกันแต่เมื่อไหร่” เขาซักต่อทันที “ที่พักหลัง ๆ แกชอบหายตัวไปบ่อย ๆ เพราะแอบไปบ้านหลังนั้นเองเหรอ”

“เปล่านะ ไม่ใช่อย่างที่แกคิด” มีนารีบปฏิเสธ “หลังจากวันนั้น เราบังเอิญเจอกันข้างนอกน่ะ”

แทนรู้สึกไม่ไว้วางใจปีศาจสาวมากขึ้นกว่าเก่า “มันตามแกมาข้างนอกใช่หรือเปล่า บางทีอาจจะตามมาจัดการแกก็ได้ แกควรจะระวังตัวไว้ให้ดี”

“ไม่ใช่นะ!” มีนาขึ้นเสียง เธอไม่พอใจกับสรรพนามที่แทนใช้เรียกเบลล์ “ผู้หญิงที่แกพูดถึงเข้าไปช่วยฉันจากคนร้ายสองคนที่กำลังทำร้ายฉันต่างหาก”

“อะไรนะ นี่แกโดนทำร้ายเหรอ ทำไมไม่บอกฉัน” เขาเบิกตากว้างเมื่อได้ฟัง ก่อนจะหันกลับไปมองตรงที่ที่เบลล์ยืนอยู่ แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน

มีนามองตาม แล้วก็พบแต่พื้นที่ว่างเปล่า

เบลล์หายไปแล้ว

.......................................................................

หลังจากที่เจอชายหนุ่มผิวเข้มโดยบังเอิญ เบลล์ก็ได้แต่มองตามมีนาที่โดนลากไปยืนอยู่ข้าง ๆ ชั้นวางของกระจุกกระจิกซึ่งห่างจากที่เธอยืนพอสมควร ผู้ชายคนนั้นดูไม่ชอบเธอเอามาก ๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเธอเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นมิตรเท่าใดนักตอนเจอกันครั้งแรก เธอเห็นสองคนนั้นมีปากเสียงกันเล็กน้อย ซึ่งหัวข้อที่เป็นประเด็นคงไม่พ้นเรื่องของเธอ

เบลล์หมุนตัวเดินไปอีกทาง ปฏิเสธไม่ได้ว่าในอกของเธอมันโหวงเหวงอย่างไรชอบกล ทั้ง ๆ ที่ปกติบริเวณนั้นมันควรจะว่างเปล่าอยู่แล้วเพราะไม่มีเสียงเต้นตึกตักของหัวใจ แต่คราวนี้มันช่างว่างเปล่ากว่าทุกครั้ง

เธอเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงประตูทางออกของห้างสรรพสินค้า บานประตูเลื่อนอัตโนมัติเมื่อปีศาจสาวก้าวเท้าไปใกล้ ลมร้อนและแสงแดดจ้าผ่านเข้ามาปะทะใบหน้า เธอไม่ได้กลัวแดดเหมือนปีศาจบางสายพันธุ์ ดังนั้นแดดร้อนแสบผิวยามบ่ายแบบนี้จึงไม่ได้เป็นปัญหากับเธอนัก

วูบ

ทันใดนั้นเอง เบลล์ก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างพุ่งมาจากทางด้านหลัง เธอรู้จักมัน มันเป็นรังสีของความอาฆาตที่พบเจอบ่อย ๆ เวลาพวกมนุษย์เกลียดกัน แต่คราวนี้มันพุ่งมาทางเธอ

สัญชาตญาณของเบลล์ตื่นตัว เล็บกางงอกออกมา ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบ ๆ เธอรู้ว่าต้องเป็น ‘คนคนนั้น’ แน่ และตอนนี้บุคคลที่ว่าก็อยู่บริเวณใกล้ ๆ นี้เอง

คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินผ่านเข้าประตูที่เธอเพิ่งออกมา เธอจึงรีบซ่อนกรงเล็บและแฝงตัวไปกับผู้คนกลับเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เธอรู้ว่าเขาไม่น่าลงมือเวลานี้เพราะคนเยอะเกินไป คงจะสะกดรอยตามเพื่อจับตาดูเธอก่อน ซึ่งเธอปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ต้องหาวิธีทำให้เขาให้หลุดจากการติดตามเธอ

เมื่อรู้สึกว่ารังสีอาฆาตที่สัมผัสได้เมื่อสักครู่นั้นหายไป เบลล์ก็หยุดฝีเท้าแล้วมองไปรอบ ๆ ตอนนี้บริเวณที่เธอยืนอยู่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านเท่าใดนัก เขาคนนั้นอาจจะคลาดกับเธอแล้วก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ลดความระแวงลง เพราะบางทีเขาอาจจะเห็นว่าเธอรู้ตัวจึงซ่อนความรู้สึกไม่ให้รังสีความเกลียดชังที่ว่าแผ่ออกมามากเกินไป

แล้วในขณะที่เบลล์กำลังหวาดระแวง ก็มือมือหนึ่งเอื้อมเข้ามาจับแขนเธอไว้ เบลล์สะดุ้งเฮือก เล็บแหลมกางออกมาอีกครั้งโดยอัตโนมัติ ก่อนจะตะปบไปที่แขนของเจ้าของมือนั้น

“โอ๊ย!” เสียงคุ้นหูร้องดังขึ้นขนเบลล์ชะงัก เมื่อได้สติเธอก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันคุ้นเคย ก่อนจะหันไปเห็นใบหน้าของหญิงสาวสวยที่แฝงความตื่นตระหนกและส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมาที่เธอ เบลล์รีบปล่อยมือและเก็บกรงเล็บทันที ทิ้งรอยแผลกับเลือดที่ไหลซิบ ๆ ไว้ที่แขนข้างขวาของมีนา

“ฉันขอโทษ” เสียงของเธอแผ่วเบาจนเกือบกลายเป็นเสียงกระซิบ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลังของมีนา พร้อมกับร่างชายหนุ่มผิวเข้มปรากฏตัวขึ้น เมื่อเห็นรอยแผลนั่นเข้าก็หน้าถอดสี ก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้บาดเจ็บด้วยสีหน้าเป็นห่วง เบลล์อยากจะเข้าไปดูบ้าง เธอไม่ได้ตั้งใจให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มคนนั้นก็รีบดึงมีนาออกห่างทันที

เบลล์รู้สึกตัวเบาหวิว เธอแทบจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรและเกิดจากอะไรกันแน่ รู้แค่ว่ามันเหมือนกับหมดแรงไปดื้อ ๆ ราวกับโดนสูบพลังชีวิตออกไปจนหมด เบลล์หันหลังกลับ ไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว เธอได้ยินเสียงของมีนากำลังเรียกชื่อเธอ แวบหนึ่งเธอรู้สึกยินดีอย่างน่าประหลาด แต่แล้วภาพรอยแผลบนแขนเรียวสวยก็ผ่านเข้ามาให้หัว มันตอกย้ำตัวตนของเธอและทำลายความรู้สึกนั้นไปจนหมดสิ้น

บางทีเธอกับผู้หญิงคนนั้นไม่ควรจะรู้จักกันตั้งแต่เลยด้วยซ้ำ

#########################################

ตอนที่ 7 มาแล้วค่า ฝากคอมเม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยนะคะ