4 ตอน Chapter 3 หญิงสาวผู้ไม่ใช่มนุษย์
โดย Lunar P.
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของมีนาจนกระทั่งเวลานี้เธอกลับมายืนอยู่หน้าประตูรั้วสีดำสนิทอีกครั้ง เธอไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกหรือไม่ที่กลับมาที่บ้านหลังนี้อีก แต่กว่าจะรู้ตัว เธอก็ตื่นแต่เช้าและโบกแท็กซี่ให้มาส่งถึงที่นี่แล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานตอนเย็น เธอก็สนใจผู้หญิงผมสีน้ำตาลคนนั้นมากขึ้นไปอีก ทั้งยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ทำร้ายเธอ
หญิงสาวมองลอดรั้วบ้านเข้าไปข้างใน รังสีความกดดันที่แผ่ออกมาจากบ้านหลังนี้ยังคงอยู่ แต่อาจจะเพราะว่าเป็นช่วงเวลากลางวัน ความกดดันที่ว่าจึงลดลงไปมาก เธอเอื้อมมือไปกดออดหน้าบ้านที่มีฝุ่นจับหนา พลางชะเง้อมองหาเงาของเจ้าของบ้าน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แวว เมื่อรออยู่หน้าบ้านจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เธอก็เริ่มหงุดหงิด
“หายไปไหนนะ...หรือว่าจะไม่อยู่บ้าน” มีนาบ่นกับตัวเองพลางเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้า เมื่อเห็นเมฆสีดำเริ่มตั้งเค้า เธอก็กระวนกระวาย คิดว่าตัวเองจะต้องกลับไปโดยที่ไม่รู้อะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว และในระหว่างที่เธอกำลังหาทางว่าจะทำอย่างไรต่อไป จู่ ๆ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวก็มีความกดดันเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นมาเจอแบบนี้ก็คงรู้สึกหวาดผวาและรีบออกจากที่นี่ไปแล้ว แต่มีนากลับยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงผมสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ภายในรั้วสีดำ
“นึกว่าจะไม่ยอมออกมาแล้ว”
“กลับมาอีกทำไม” อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเดิม
“ฉันเคยบอกแล้วไงว่าฉันอยู่ชมรมเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ฉันมาที่นี่เพราะอยากจะศึกษาสิ่งที่หลาย ๆ คนคิดว่าไม่มีจริง” มีนาพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ โดยพยายามไม่สนใจบรรยากาศกดดันรอบๆ ตัว
“แต่ฉันไม่ต้อนรับ!” อีกฝ่ายเริ่มขึ้นเสียง พร้อมกับแผ่รังสีความกดดันให้เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว
“นี่ฉันมาดีนะ แล้วอีกอย่างฉันก็อยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานด้วย เธอทำอะไรกับผู้ชายพวกนั้นเหรอ”
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าฉันทำอะไร แต่เห็นแค่นั้นคุณก็คงน่าจะรู้นะว่าคุณไม่ควรมายุ่งกับฉันอีก” เธอยกมือขึ้น เล็บแหลมคมงอกยาวออกมา จากนั้นก็ยื่นมือไปอยู่ในระดับตำแหน่งหัวใจของหญิงสาวด้านนอก เพียงแค่ยังไม่ได้ลอดรั้วออกไป “เพียงแค่มือของฉันลอดผ่านรั้วนี้ออกไป ก็สามารถปลิดชีวิตคุณได้สบาย ๆ”
มีนาผงะถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว เธอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหายใจติดขัด เล็บสีดำน่ากลัวนั่นแหลมคมพอที่จะฉีกร่างเธอให้เป็นชิ้น ๆ แต่แทนที่จะวิ่งหนี เธอกลับพยายามทำใจกล้าพูดออกมาว่า
“แต่เธอก็ไม่ได้ฆ่าพวกนั้นนี่” สิ่งที่มีนาพูดทำให้อีกฝ่ายหยุดชะงัก “ฉันรู้ว่าเธอพยายามขู่ให้ฉันกลัว จริงอยู่ที่เธอทำให้ฉันตกใจอยู่หลายครั้ง แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะยอมแพ้ง่าย ๆ น่ะ แล้วอีกอย่าง ถ้าเธอทำให้ฉันสลบไปแบบคราวก่อน พอฉันตื่นขึ้นมา ฉันก็จะมาที่นี่อีก”
เมื่อฝ่ายเจ้าของบ้านได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจและเก็บกรงแหลมเข้าไปเหมือนเดิม คราวนี้เธอมองมีนาอย่างพิจารณา ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยแปลกอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ท่าทางมั่นใจและรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของคนตรงหน้าดึงดูดเธออย่างประหลาด แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้เธอหงุดหงิดขึ้นมาด้วย เธอจึงตัดสินใจหันหลังกลับและเดินเข้าบ้านไป
“อ้าว จะเข้าไปแล้วเหรอ เดี๋ยวสิ นี่ฝนก็จะตกแล้วด้วย ฉันขอเข้าไปหลบฝนในบ้านหน่อยได้ไหม” มีนาโวยวายยังไม่ทันไร ฝนก็เริ่มเทลงมา
“แย่จัง ไม่ได้เตรียมร่มมาด้วย” เธอบ่น พร้อมกับมองซ้ายมองขวาเพื่อหาที่หลบฝน แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่พอจะให้เข้าไปหลบได้ บ้านหลังอื่น ๆ ก็มีโซ่คล้องพร้อมกับล็อกกุญแจไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งถ้าจะเข้าไปหลบในบ้านเหล่านั้นก็มีอยู่หนทางเดียวคือ ต้องปีนรั้วสูงที่มีเหล็กแหลมเข้าไป ซึ่งมีนาเห็นว่ามันไม่คุ้มที่จะเสี่ยง
ในเมื่อเห็นว่าฝนทำท่าจะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ แถมฟ้ายังแลบแปล๊บ ๆ ดูน่ากลัว มีนาจึงตัดสินใจว่าจะกลับหอพักไปก่อน แต่ทันทีที่หันหลังให้รั้วสีดำก็ได้ยินเสียงดังครืด ๆ เหมือนประตูกำลังเลื่อน เธอจึงหันกลับไปมองอย่างงง ๆ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเป็นสวนรกๆ ที่ไม่มีประตูรั้วขวางกั้นก็ยิ้มออกมา แล้วก็รีบก้าวขาเข้าไปข้างในทันทีก่อนที่เจ้าของบ้านจะเปลี่ยนใจ
“ขอบคุณนะที่ให้เข้ามา” มีนาเอ่ยคำขอบคุณหลังจากที่วิ่งผ่านสวนรก ๆ เข้าไปถึงตัวหญิงสาวผมสีน้ำตาลที่กำลังยืนรออยู่ตรงระเบียง เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่ามีนาเข้ามาแล้ว เธอก็หันไปกดปุ่มบนกำแพงข้าง ๆ กับประตูหน้าบ้าน ไม่กี่วินาทีต่อมารั้วสีดำก็เลื่อนมาปิดอัตโนมัติ
“หูย ตอนแรกนึกว่าใช้พลังจิตเปิดประตูให้ฉันซะอีก” มีนาพูดแบบทีเล่นทีจริง
“แค่ให้หลบฝนเท่านั้นนะ” เจ้าของบ้านไม่สนท่าทีของมีนาเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่บอกด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปข้างในบ้าน ซึ่งมีนาก็รีบเดินตามเข้าไปเพราะกลัวโดนทิ้งไว้ด้านนอก
บรรยากาศข้างในบ้านให้ความรู้สึกว่างเปล่าและไร้ชีวิตชีวา เจือความรู้สึกหดหู่ด้วยเล็กน้อย ต่างจากที่มีนาจินตนาการไว้อย่างลิบลับ ตอนแรกเธอคิดว่าบ้านหลังนี้จะต้องน่ากลัวและให้อารมณ์คล้ายกับบ้านผีสิงเสียอีก มีนามีความเชื่อว่าบรรยากาศภายในบ้านจะบ่งบอกความรู้สึกของคนที่เป็นเจ้าของบ้าน ในเวลานี้ยิ่งมองไปรอบ ๆ เธอก็ยิ่งนึกสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีนิสัยอย่างไรและไปเจอเรื่องอะไรมาถึงทำให้บรรยากาศภายในบ้านเป็นแบบนี้ ในระหว่างที่เธอกำลังสงสัยอยู่นั้น น้ำเสียงเย็นชาก็ดังเข้ามาขัดจังหวะความคิดของเธอ
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ” น้ำเสียงนั้นทำให้หญิงสาวต้องละสายตาจากสิ่งของต่าง ๆ ในบ้าน แล้วหันไปหาเจ้าของบ้านที่กำลังยื่นเสื้อผ้ามาให้เธอ ดวงตาสีน้ำตาลแอบเหลือบมองที่เสื้อยืดสีขาวของมีนาที่ตอนนี้เปียกชุ่มจนเห็นความโค้งเว้าของทรวดทรงข้างในชัดเจน สงสัยคงกำลังแอบคิดในใจว่าเธอช่างไม่ระวังตัวเอาเสียเลย
“ขอบคุณนะ ไม่ว่าเธอจะเป็นผีหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ฉันคงแย่แน่ถ้าไม่ได้เข้ามาหลบฝนที่นี่” มีนารับเสื้อผ้ามาพร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้ว รู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของหญิงสาว
“ฉันไม่ใช่ผี” ในน้ำเสียงนิ่ง ๆ เจือความไม่พอใจไว้เล็กน้อย
“งั้นเป็นอะไรล่ะ” มีนาค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องไม่ใช่คนแน่นอน
คราวนี้เจ้าของบ้านหรี่ตามามองมาที่เธออย่างครุ่นคิด จากนั้นก็เหยียดยิ้มออกมาก่อนจะถามเธอกลับ “รู้จักปีศาจไหมล่ะ”
“ก็เคยเห็นในหนังกับนิยาย”
“งั้นเหรอ แล้วในนั้นพูดถึงปีศาจว่ายังไงบ้างล่ะ” บรรยากาศรอบตัวทั้งสองเริ่มกดดันขึ้นมาอีก หญิงสาวผมสีน้ำตาลขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาฉายแววเหมือนกับกำลังคิดจะเล่นอะไรสนุก ๆ กับผู้มาเยือน
“ก็มีนิสัยชั่วร้าย” ขณะพูดเธอก็ก้าวถอยหลังไปด้วย เริ่มจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะบอกอะไรเธอ “แต่นั่นก็เรื่องแต่งอะนะ ถ้าสมมติว่ามีปีศาจบนโลกนี้จริง ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ชั่วร้ายเท่าคนบางคนก็ได้”
“คิดอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ” คราวนี้ดวงตาสีน้ำตาลแปรเปลี่ยนเป็นให้ความสนใจ หญิงสาวตรงหน้าช่างนิสัยประหลาดนัก จะว่าไม่กลัวเลยก็ไม่ใช่ เพราะยังได้กลิ่นความกลัวจาง ๆ ล่องลอยอยู่รอบ ๆ ตัวเธอคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นกลับพูดจาโต้ตอบได้ปกติเหมือนว่าตัวเองเดินไปทักเพื่อนบ้านแล้วถามสารทุกข์สุกดิบอย่างนั้นแหละ
“สรุปว่าเธอเป็นปีศาจเหรอ” ความกลัวและความสนใจในสิ่งลี้ลับกำลังตีกันอยู่ภายในตัวเธอ
“ถ้าใช่แล้วคุณจะว่าไง” เจ้าของบ้านอยากรู้เหมือนกันว่าหญิงสาวจะสะกดกลั้นความกลัวไว้ได้นานแค่ไหน หรือว่าจะตัดสินใจเผ่นแน่บไปทันทีที่เริ่มตระหนักได้ว่าตนอยู่ในบ้านของปีศาจผู้ชั่วร้ายแบบในนิยาย
“อย่างนั้นเหรอ” อีกฝ่ายตอบมาแค่สั้น ๆ ซึ่งค่อนข้างผิดคาดเลยทีเดียว นึกว่าจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้เสียอีก
“คุณนี่แปลกเนอะ”
“เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่เห็นชั่วร้ายเหมือนปีศาจที่เคยได้ยินเลย”
“หึ ดูมั่นใจจังเลยนะ ทำอย่างกับรู้จักฉันดีพอแล้ว”
“ถ้าชั่วร้ายจริงแล้วจะช่วยฉันไว้ทำไม แถมยังให้หลบฝนและให้ยืมชุดอีก” เมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ความกลัวก็ค่อย ๆ เจือจางลง ในขณะที่ความสนใจในตัวอีกฝ่ายก็เพิ่มพูนขึ้น
“จะไปตัดสินใจว่าใครดีไม่ดีเพราะเรื่องแค่นั้นไม่ได้หรอกนะ”
“แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ บอกให้ฉันรู้ได้ไหม จะได้รู้จักเธอมากขึ้นไง” มีนาตัดสินใจถามโดยไม่คาดหวังที่จะได้รับคำตอบ
“เบลล์” แต่แล้วคำตอบที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับก็เปล่งออกมาจากปากของอีกฝ่าย จนมีนาต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
ในขณะเดียวกัน ปีศาจสาวก็แปลกใจตนเองอยู่เหมือนกันที่บอกชื่อกับอีกฝ่ายไปง่าย ๆ แบบนี้ แต่ก็คิดว่าเพื่อที่ผู้หญิงคนนี้จะได้ไม่ต้องมาก่อกวนหรือเรียกเธอด้วยชื่อแปลก ๆ อีก หลังจากบอกชื่อเสร็จก็เดินรีบหนีขึ้นบันไดไปชั้นบนทันที เพราะเริ่มเบื่อที่จะยุ่งกับหญิงสาวนิสัยประหลาดคนนี้แล้ว ทำให้ไม่ได้ยินคำพูดต่อไปของหญิงสาวที่ถูกทิ้งอยู่ด้านล่าง
“เบลล์งั้นเหรอ เธอน่าสนใจกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะ”
.......................................................................
มีนาในชุดเดรสสีดำยาวคลุมเข่านั่งรออยู่บนโซฟาสีอ่อนในห้องรับแขก อันที่จริงจะว่าเป็นสีอ่อนก็ไม่ถูก เพราะบนตัวโซฟามีฝุ่นจับหนาจนสีของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา แต่ในเวลานี้เธอก็ไม่ได้สนใจฝุ่นบนโซฟาหรือบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเลย เนื่องจากสายตาของเธอกำลังจับจ้องไปที่บันได ราวกับว่าการนั่งจ้องบันไดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะสามารถเปลี่ยนใจเจ้าของบ้านให้มาพบเธอได้ เพราะหลังจากที่เอาชุดมาให้เปลี่ยนแล้ว ปีศาจสาวก็หายเข้าไปในห้องของเธอที่อยู่ชั้นบน ทิ้งให้มีนาอยู่ที่ชั้นล่างตามลำพัง
ผ่านไปได้สักพักมีนาเริ่มคิดได้ว่าการนั่งจ้องบันไดไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากจะทำให้เสียเวลาเปล่า เธอก็ถือวิสาสะเดินสำรวจบริเวณชั้นล่าง ซึ่งแบ่งเป็นห้องรับแขก ห้องครัว ห้องกินข้าว และห้องน้ำ แต่ดูเหมือนว่าห้องที่ชั้นล่างทั้งหมดจะไม่ได้ถูกใช้งานเลย เพราะทุกห้องเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะหนา ห้องครัวกับห้องกินข้าวยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมีข้าวของกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดราวกับกำลังกลายเป็นห้องเก็บของ จนทำให้มีนาที่กำลังเดินสำรวจอยู่เกือบสะดุดล้มหน้าทิ่มพื้นอยู่หลายครั้ง
หลังจากเดินดูห้องต่าง ๆ ในชั้นล่างจนครบเกือบทุกซอกทุกมุม มีนาก็กลับมาในห้องรับแขก ซึ่งห้องนี้ถือว่ามีฝุ่นน้อยกว่าห้องอื่น ๆ ในบริเวณชั้นล่างแล้ว
“อยู่เข้าไปได้ยังไงเนี่ย บ้านแบบนี้ หรือว่าพวกปีศาจคิดว่าบ้านที่มีฝุ่นเยอะ ๆ ถือว่าเป็นบ้านที่มีบรรยากาศดีกันนะ” มีนาตั้งข้อสังเกต พลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องรับแขก ซึ่งนอกจากจะมีบรรยากาศชวนหดหู่แล้ว ยังจะมีสภาพอากาศที่ไม่ดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย
แล้วสายตาของเธอก็มาสะดุดอยู่ที่ตู้โชว์ที่เธอมองข้ามไปในตอนแรก บนตู้โชว์นั้นมีกรอบรูปขนาดต่าง ๆ วางเรียงรายกันอยู่ แต่กลับไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่ารูปถ่ายที่อยู่ในกรอบรูปนั้นเป็นรูปอะไรบ้าง เนื่องจากมีฝุ่นจับกันหนาจนบดบังรูปถ่าย
มีนาหยิบกรอบรูปกรอบหนึ่งขึ้นมาแล้วปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนรูปถ่ายจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปในอากาศ เป็นเหตุให้เธอจามออกมาอยู่หลายรอบ ดวงตาคมที่แฉะไปด้วยน้ำตาจากการจามเพ่งไปที่รูปถ่ายสีซีดในมือ เมื่อเห็นรูปถ่ายนั้นเต็มตาก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ในรูปถ่ายนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเบลล์ มีนายังจำใบหน้าซีด ๆ ภายใต้เรือนผมสีตาลยาวเป็นลอนนั้นได้ดี ใบหน้าที่ปกติก็ดูซีดอยู่แล้ว พอมาอยู่ในรูปที่สีมีจางแบบรูปถ่ายสมัยเก่าก็ทำให้ผิวยิ่งดูซีดราวกับกระดาษ แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือ รอยยิ้มละมุนกับแววตาที่เปล่งประกายแห่งความสุขที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้า จนขับให้ใบหน้าซีด ๆ ดูเจิดจรัสขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทำให้คนที่กำลังมองรูปถ่ายนี้อยู่อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
หลังจากที่ชื่นชมรูปถ่ายรูปแรกเสร็จแล้ว มีนาก็เอื้อมไปหยิบกรอบรูปที่วางอยู่ถัดไป เมื่อปัดฝุ่นออกก็พบเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลกำลังยิ้มยิงฟันขาวอยู่ในรูปถ่าย เธอกำลังนั่งอยู่ในอ้อมกอดของผู้หญิงผมสีเดียวกันที่ตัดสั้นจนเห็นคอระหง มีนาเดาว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นแม่ของเบลล์ เพราะดูจากสีผม สีตา ผิวซีด ๆ และโครงหน้าที่ดูเหมือนชาวตะวันตก เพียงแต่เค้าโครงหน้าของเบลล์มีความเป็นเอเชียปนอยู่ด้วย ซึ่งน่าจะได้มาจากพ่อของเธอ
ระหว่างที่กำลังจะหยิบกรอบรูปถัดไป มีนาก็รู้สึกเหมือนมีรังสีกดดันพุ่งตรงเข้ามา เธอจึงละสายตาจากกรอบรูป แล้วหันไปเผชิญหน้ากับต้นเหตุของความกดดันที่ว่านั้น
“ไม่ต้องมองเหมือนกับโกรธฉันมาเป็นร้อย ๆ ชาติขนาดนี้ก็ได้นะ” มีนาเอ่ยขึ้นก่อนจะวางกรอบรูปลงที่เดิม เพราะเห็นสายตาของอีกฝ่ายจ้องมาที่กรอบรูปที่เธอถืออย่างไม่ค่อยพอใจนัก
เมื่อเห็นหญิงสาววางกรอบรูปลงที่เดิมแล้ว เบลล์ก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง มองสายฝนที่เริ่มซา “คุณกลับไปได้แล้ว”
“ใจคอเธอจะให้ฉันกลับไปทั้งแบบนี้เหรอ ฝนยังไม่หยุดตกดีเลยนะ แถมอากาศข้างนอกก็แปรปรวนจะตาย นี่ถ้าฉันออกไปฝนอาจจะตกหนักอีกก็ได้” มีนาพยายามทำเสียงให้ดูน่าสงสารที่สุด แต่เบลล์ก็ยังมีความรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นช่างเสแสร้งเสียจริง
“คุณต้องการอะไรอีก” เบลล์พูดอย่างเย็นชา พลางปรายตามองหญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสสีดำซึ่งใส่ได้เกือบพอดีตัว จนทำให้เบลล์เริ่มคิดถึงเจ้าของชุดนี้ขึ้นมา
“ก็ตั้งแต่เข้ามาเรายังไม่ได้คุยอะไรกันเลยนะ” มีนากลับมาทำน้ำเสียงแบบปกติ เมื่อเห็นว่าทำน้ำเสียงน่าสงสารไปก็ไม่ได้ผล
“แล้วตอนนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ล่ะ”
“ฉันหมายถึงพูดคุยแบบจริงจังต่างหาก”
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” เบลล์พูดจบก็หันหลังเตรียมจะเดินหนี
“เดี๋ยวสิ” มีนารีบก้าวขายาว ๆ ไปดักทางเอาไว้ “เอะอะก็จะเดินหนี ไม่เบื่อบ้างหรือไง”
“ถ้าเบื่อก็กลับไปสิ” เบลล์เริ่มขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ
“ไม่มีทางหรอก เธอยังไม่รู้หรอกว่าฉันน่ะตื๊อขนาดไหน ถ้ายังไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ ฉันไม่กลับไปแน่ เพราะฉะนั้นถ้าเธออยากให้ฉันกลับ เราต้องมาสัมภาษณ์กันก่อน” มีนาพูดพลางหยิบสมุดปกสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าสะพาย บนหน้าปกของสมุดมีตัวอักษรเขียนด้วยปากกาเมจิกไว้หวัด ๆ ว่า ‘บันทึกเรื่องราวลี้ลับ...ของมีน’
“เรามาเริ่มด้วยคำถามที่ว่า วิถีชีวิตของเธอเป็นแบบไหน” มีนาเริ่มถามคำถามแรก พร้อมกับกำมือแล้วยื่นไปที่ปากของเบลล์แทนไมโครโฟน
เบลล์มองสมุดปกสีน้ำตาลในมือของอีกฝ่ายด้วยท่าทางราวกับมันเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดในชีวิตของเธอเลย ขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยว่าเธอคิดถูกหรือไม่ที่เผลออนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้านด้วยความเห็นใจที่ต้องเปียกฝน
“ฉันไม่ตอบอะไรทั้งนั้น” เบลล์พูดเสียงแข็ง
“ฉันถามไม่เยอะหรอกน่า ถ้าเธออยากให้ฉันรีบกลับ เธอก็แค่ตอบคำถามของฉัน ฉันแค่อยากรู้ทัศนคติแบบปีศาจของเธอเอง สัญญาว่าจะไม่ไปเผยแพร่ที่ไหน” ว่าแล้วมีนาก็ชูนิ้วมือขึ้นสามนิ้วแบบลูกเสือสามัญ
เบลล์ขมวดคิ้ว เธอมีความรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้ารับมือยากกว่าที่คิด ถ้าเป็นคนอื่น ๆ คงทนไม่ได้ตั้งแต่ได้สัมผัสรังสีความกดดันของเธอแล้ว แต่มีนากลับเห็นเธอเป็นของหายาก ขณะที่กำลังมองหญิงสาวจอมตื๊ออย่างหมดปัญญา ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ก่อนที่จะมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับดวงตาสีน้ำตาลเริ่มมองคนตรงหน้าราวกับราชสีห์ที่กำลังจะจ้องจับเหยื่อ
“ถ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อก็ตามใจ” ประโยคสั้น ๆ ที่หลุดออกมาจากปากของเบลล์ทำให้มีนาทำตาโตอย่างประหลาดใจ แต่เธอก็ไม่ได้ดีใจในทันที เพราะท่าทีของเบลล์ทำให้เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล และขณะที่กำลังคิดว่าอีกฝ่ายมีแผนอะไรอยู่นั้น เบลล์ก็พูดอีกประโยคหนึ่งขึ้นมา “แต่ไม่รู้ว่าเธอจะทนได้หรือเปล่านะ”
ประโยคที่กำกวมทำให้มีนาเริ่มคิดหนักว่าเบลล์จะทำอะไร ซึ่งเบลล์ก็ไม่ได้รอให้เธอถาม เดินนำขึ้นไปชั้นสอง ก่อนจะหันกลับมาส่งสายตาว่าให้เธอตามขึ้นมา ซึ่งเธอก็ตามไปอย่างไม่รอช้า ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าท่าทางแบบนี้ดูไม่น่าไว้ใจ แต่มีนาก็ไม่อยากกลับไปอย่างค้างคาใจ และอีกอย่างเธอก็อยากรู้ด้วยว่าเบลล์จะสามารถทำอะไรได้อีก
ชั้นสองไม่มีฝุ่นมากมายเท่าชั้นแรก แต่บรรยากาศหดหู่กลับมีมากกว่าเป็นเท่าตัว ตรงด้านหนึ่งของกำแพงมีเปียโนสีดำหลังใหญ่ตั้งอยู่ เบลล์เดินตรงไปยังเปียโนหลังนั้นทันที ก่อนจะนั่งลงแล้วยืดหลังตรง นิ้วมือเรียวยาวสีซีด ๆ ของเธอวางเตรียมไว้บนคีย์บอร์ดสีขาวดำ
“ไหน ๆ ก็อุตส่าห์มาหาฉันถึงที่ ฉันจะมอบเพลงให้คุณเป็นของแถมแล้วกัน”
ยังไม่ทันที่มีนาจะถามอะไร นิ้วมือซีด ๆ ก็เริ่มกรีดกรายไปตามคีย์เปียโน แล้วเสียงเพลงก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณชั้นสอง ท่วงทำนองที่ออกมามันช่างไพเราะและน่าลุ่มหลง ทำให้คงฟังต้องหยุดคิดเรื่องทุกอย่างแล้วปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับภวังค์แห่งเสียงเพลง มีนาเริ่มลืมเรื่องทุกอย่าง ลืมว่าตนเองอยู่ที่ไหน และมาทำอะไร จิตใจของเธอกำลังถูกเสียงเพลงอันไพเราะหลอกล่อให้จมอยู่กับมัน ก่อนจะถูกฉุดกระชากเธอให้ดิ่งลงไปในหลุมมืดไร้ก้น
ภาพความทรงจำเก่า ๆ ที่มีนาตั้งใจฝังไว้ไหลทะลักออกมาไม่หยุด ภาพเหล่านั้นเป็นภาพของผู้หญิงที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับเธอ บนใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นมีรอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่ตลอดเวลา ขับให้เธอคนนั้นดูงดงามยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่าจะมีร่องรอยที่บ่งบอกถึงอายุที่ไม่น้อยแล้วก็ตาม
มีนายื่นมือไปแตะภาพของผู้หญิงคนนั้น แต่ยิ่งเธอพยายามไขว่คว้ามันมาเท่าไร มันก็ยิ่งดูห่างไกลมากขึ้นเท่านั้น รอยยิ้มอบอุ่นที่อยู่ในความทรงจำเริ่มจางหายไปและหลงเหลือแต่ความเย็นชา แต่เธอยังไม่ยอมแพ้ที่จะวิ่งตามรอยยิ้มที่แสนคุ้นเคยเหล่านั้น แม้ว่าสิ่งที่เธอตามหากำลังพาเธอสู่อุโมงค์ที่มืดมิดและหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจจนอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ
แต่ก่อนที่มีนาจะจมดิ่งเข้าสู่ความมืดมิดไปพร้อมความทรงจำเก่า ๆ มากกว่านี้ เสียงเพลงก็หยุดลง สติของเธอเริ่มค่อย ๆ กลับมาทีละน้อย เบลล์เดินเยื้องย่างเข้ามาหาหญิงสาวที่กำลังยืนหน้าซีดอยู่ตรงบันได ถึงแม้เพลงจะจบลงแล้ว แต่ความรู้สึกที่มีนาได้เผชิญเมื่อสักครู่ยังคงอยู่
“พวกปีศาจทั้งหลายมักจะบอกต่อ ๆ กันมาว่าเสียงดนตรีมีพลังอันน่าประหลาด สามารถทำให้เข้าถึงจิตใจมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม มนุษย์ด้วยกันเองอาจจะใช้ดนตรีช่วยในการบำบัดจิตใจและลดความเจ็บปวดได้ แต่สำหรับปีศาจน่ะมักจะใช้ดนตรีในการดึงความเจ็บปวดและความชั่วร้ายที่อยู่ในภายใต้จิตสำนึกของมนุษย์ออกมา” มีนาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็พบว่าเบลล์ยืนแสยะยิ้มอยู่อย่างเหนือชั้น “หวังว่าจะไม่ถูกความชั่วร้ายอันดำมืดที่ว่ากลืนกินไปซะก่อนนะ คุณมีนา”
ปีศาจสาวไม่ได้รอดูปฏิกิริยาของมีนาต่อจากนี้ แต่กลับขึ้นไปยังห้องของเธอที่อยู่ชั้นสามโดยไม่หันกลับมามองอีกฝ่ายที่กำลังยืนอึ้งอยู่ที่เดิมอีกเลย พร้อมกับมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าต่อไปนี้จะไม่มีหญิงสาวนิสัยประหลาดมาคอยถามคำถามแปลก ๆ กวนใจเธออีกแน่นอน
#########################################
สวัสดีค่าา
ตอนที่ 3 มาแล้วนะคะ เจอแบบนี้ไปมีนาจะยังกล้าตื๊อต่ออีกไหม เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ ฝากติดตามตอนต่อ ๆ ไปกันด้วยนะคะ
Comments (0)