“ถ้าจะให้พูดถึงบ้านหลังนั้น ขอบอกเลยว่าโคตรหลอน สวนหน้าบ้านก็ทั้งมืดทั้งรกอย่างกับบ้านร้าง แถมบ้านหลังอื่นแถว ๆ นั้นก็ไม่มีคนอยู่อีก คงจะกลัวจนย้ายหนีกันไปหมด นี่แค่บรรยากาศก็หลอนแล้วนะ ยิ่งพอเห็นเจ้าของบ้าน ฉันก็ยิ่งมั่นใจเลยว่านี่ต้องเป็นบ้านผีสิงแน่ ๆ ความรู้สึกตอนอยู่เบื้องหน้าผู้หญิงที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้น มันเหมือนกับกำลังจะถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง ขนาดโหด ๆ อย่างไอ้มีนยังช็อกจนเป็นลมไปเลย” เสียงทุ้มของชายหนุ่มผิวเข้มดังมาจากม้านั่งข้างตึกคณะศิลปศาสตร์ เสียงที่ดังและท่าทางประกอบที่ดูเกินจริงเรียกความสนใจจากนักศึกษาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บริเวณนั้นได้หลายคนเลยทีเดียว เขากำลังถ่ายทอดประสบการณ์ที่เพิ่งไปเจอมาเมื่อไม่กี่วันมานี้ให้เพื่อน ๆ กลุ่มหนึ่งฟังอยู่ ซึ่งเพื่อนของเขาแต่ละคนก็ทำหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรนัก

“ฉันเปล่าเป็นลมนะเว้ย” คนที่ถูกเอ่ยชื่อพูดแทรกพร้อมกับปั้นหน้าบึ้ง

“มีน แกไม่เห็นต้องเขินเลย ฉันไม่บอกใครหรอก” แทนเอามือตบไหล่มีนา แล้วเผยรอยยิ้มกวนประสาทจนหญิงสาวนึกหมั่นไส้

“แล้วที่แกกำลังทำอยู่นี่มันเรียกว่าอะไร หา!” มีนายกเท้าทำท่าทางจะถีบอีกฝ่าย เขาจึงรีบวิ่งไปหลบหลังเพื่อนอีกคน

“เฮ้ย ไอ้มีน เป็นกุลสตรีไล่เตะผู้ชายแบบนี้มันไม่งามนะเว้ย” เมื่อแทนพูดจบก็ต้องรีบก้มหลบขวดน้ำที่ลอยมา ทำให้มันลอยเฉียดหัวเขาไปตกที่พื้นหญ้าแทน

“นี่ ๆ ว่าแต่ที่มึงเล่ามาทั้งหมดนี่เรื่องจริงเหรอวะ” ก่อนที่ขวดน้ำขวดที่สองจะลอยตามไป เพื่อนผู้ชายตัวสูงโย่งที่ยืนฟังอยู่ในกลุ่มก็ถามขัดขึ้น

“ถ้ามึงไม่เชื่อก็ลองไปพิสูจน์เองก็ได้ แต่กูไม่ไปด้วยนะ”

“พวกแกก็กล้าเนอะที่ไปในที่น่ากลัวแบบนั้นกันสองคนน่ะ” หญิงสาวอีกคนในกลุ่มออกความเห็น

“ฉันก็ไม่ได้อยากไปนักหรอก ไอ้มีนอะดิ จะไปให้ได้”

“แล้วผีที่ว่านั่นมีลักษณะเป็นแบบไหนเหรอ ถึงทำให้มีนเป็นลมได้น่ะ” หนุ่มแว่นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แทนถามบ้าง

“ที่จริงก็เหมือนคนแบบพวกเรานั่นแหละ แต่...ไม่รู้สิ มันมีความรู้สึกไม่น่าเข้าใกล้เอาซะเลย” แทนนึกถึงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้วยังรู้สึกหลอนไม่หาย

“แล้วอย่างนั้นมันน่ากลัวตรงไหนล่ะ ถ้าเกิดดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปมีนคงไม่กลัวจนเป็นลมหรอก” หนุ่มแว่นคนเดิมพูดขึ้น ซึ่งในประโยคยังคงกระทบมีนาไม่เลิก จนทำให้เธอนึกอยากจะกระโดดถีบก้นเขาสักทีสองที

“มึงลองไปเห็นเองแล้วจะรู้สึก ผีนั่นถึงจะมีลักษณะเหมือนผู้หญิงธรรมดา ๆ แต่บรรยากาศรอบ ๆ ตัวมันไม่ธรรมดาเลยนะเว้ย” แทนว่า “แล้วกูก็เคยอ่านกระทู้เกี่ยวกับบ้านหลังนั้น มีคนบอกว่าเคยได้ยินเสียงบรรเลงเปียโนดังออกมาจากตัวบ้าน ซึ่งเสียงเพลงบรรเลงนั้นน่ากลัวกว่าเจอเจ้าของบ้านเป็นสิบเท่า โชคดีนะที่คืนนั้นเจ้าของบ้านไม่ได้มีอารมณ์มาเล่นดนตรีให้พวกกูฟัง”

พอแทนพูดมาถึงตรงนี้ มีนาก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เธอแอบไปบ้านหลังนั้นตามลำพัง เธอไม่ได้บอกกับแทนว่าเจ้าของบ้านที่เขาว่าได้เล่นเพลงอันน่าสะพรึงให้เธอฟังเรียบร้อยแล้ว

“เออ นี่...เราไปหาอะไรกินกันดีมั้ย เห็นว่าตรงซอยถัดจากมอเราไปมีร้านอาหารเปิดใหม่ด้วย” จู่ ๆ หัวข้อสนทนาก็ถูกเปลี่ยนกะทันหัน

“ก็ดีเหมือนกันกูก็เริ่มหิวแล้ว” สมาชิกในกลุ่มเห็นด้วย

“มีน แกจะไปมั้ย” แทนหันมาถาม เขาคาดว่าหญิงสาวไม่มีทางปฏิเสธแน่ ๆ เพราะปกติเธอจะไม่มีทางพลาดเรื่องพวกนี้เด็ดขาด แต่คำตอบที่เขาได้รับกลับผิดคาด

“ไม่ดีกว่า วันนี้ฉันว่าจะกลับเร็วหน่อย”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ทุกคนในกลุ่มร้องพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะนี่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติเอามาก ๆ

“ปกติแกไม่พลาดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอวะ” แทนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ซึ่งคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ก็วันนี้ฉันปวดหัวอะ เลยอยากกลับไปพักผ่อน”

“หรือว่า...” แทนหรี่ตามอง “แกไปแอบมีแฟนแล้วไม่ยอมเล่าให้ฉันฟัง เป็นใคร บอกฉันมาดี ๆ ผู้หญิงหรือผู้ชาย...ใช่พี่คนนั้นหรือเปล่าที่ชอบมาดักรอแกบ่อย ๆ พี่อะไรนะ...”

“พี่วิทย์ไง” หนุ่มแว่นรีบเสริม พร้อมกับเก๊กท่าหล่อเลียนแบบรุ่นพี่ที่ถูกพูดถึง

“บ้าเหรอ แฟนเฟินอะไร เมื่อคืนฉันอ่านหนังสือดึกต่างหาก เลยมึน ๆ นิดหน่อย” มีนารีบปฏิเสธทันควัน แต่ก็แอบโล่งอกที่แทนไม่สงสัยว่าเธอแอบไปบ้านหลังนั้นมาเมื่อวาน ไม่งั้นเธอและเขาคงต้องเถียงกันไม่จบไม่สิ้นแน่

“แกไม่ต้องอายหรอก ฉันรู้ว่าแกชอบอะไรแปลก ๆ แต่ถึงแฟนแกจะแปลกแค่ไหนพวกฉันก็รับได้น่า ฉันชินแล้ว นี่แกจะพาแฟนไปกินกับพวกเราด้วยก็ได้นะ” แทนแหย่ไม่เลิก จึงโดนขวดน้ำที่มีนาไปหยิบมาจากไหนไม่รู้มาปาใส่หัวเต็ม ๆ

“ก็ได้ แต่วันหลังห้ามพลาดนะโว้ย” แทนพูดเจือเสียงหัวเราะ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งโดนทำร้ายร่างกายไปหมาด ๆ

“เออ รู้แล้ว งั้นวันนี้แยกกันตรงนี้แล้วกัน” มีนาโบกมือลา แล้วก็ยิ้มกว้างให้เพื่อน ๆ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง ซึ่งเพื่อนแต่ละคนก็อดที่จะมองตามอย่างสงสัยไม่ได้

“ท่าทางแบบนี้ ไปหาแฟนชัวร์” เพื่อนผู้หญิงในกลุ่มพูดอย่างขำ ๆ

แทนมองมีนาที่ทิ้งระยะห่างไปจนกลายเป็นจุดเล็ก ๆ อย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ถึงท่าทางของเขาที่แสดงออกมาจะดูสบาย ๆ แต่ในใจเขารู้สึกกังวลไม่น้อย ดูจากสายตาเขาก็รู้แล้วว่ามีนามีเรื่องปิดบังเขาอยู่...ว่าแต่ เรื่องอะไรล่ะที่เธอไม่อยากบอกเขา มันก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เธอรู้ว่าถ้าบอกเขาไป เขาคงต้องค้านแน่ ๆ แต่มันจะมีสักกี่เรื่องกัน แล้วแทนย้อนคิดไปถึงเมื่อวันศุกร์ที่อีกฝ่ายชวนเขาไปบ้านคาลินิน...บ้านที่มีบรรยากาศน่ากลัวหลังนั้น

ขออย่าให้เป็นเรื่องนั้นเลย

.......................................................................

มีนาไม่ได้โกหก วันนี้เธอรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เธอไม่คิดว่าเสียงเพลงของปีศาจสาวจะทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวได้มากขนาดนี้ ความรู้สึกปวดบริเวณที่ถูกทำร้ายดูจะเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อวาน ประกอบกับความขมุกขมัวในใจที่ก่อขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุตั้งแต่ที่ได้ฟังเพลงอันน่าขนลุกนั่น มันทำให้เธออยากจะทิ้งตัวอันแสนหนักอึ้งลงเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอไม่อยากให้คนอื่น ๆ เป็นห่วงจึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด โชคดีที่เครื่องสำอางช่วยปิดบังใบหน้าอันซีดเซียวไว้ได้

หญิงสาวเดินเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ระหว่างที่กำลังกดชักโครก เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ส่งเสียงพูดคุยตามประสาผู้หญิง

“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกผู้ชายจะตาสว่างซะที” เสียงแหลมสูงแสดงถึงความกระแนะกระแหนดังมาจากบริเวณอ่างล้างหน้า

“นั่นสิ ยอมรับว่าสวย เรียนดี แต่ถ้าฉันเป็นผู้ชายก็คงไม่กล้ายุ่งด้วยหรอก”

“นี่ ๆ พวกแกจำฟางได้ไหม คนที่เรียนคลาสเดียวกับพวกเราตอนเทอมที่แล้วน่ะ

“จำได้ ฟางทำไมเหรอ”

“ฟางเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของยัยนั่น” คนพูดพยายามลดเสียงให้เบาลง แต่ก็ยังไม่พ้นหูของมีนา “แล้วฟางก็บอกว่าแม่ของยัยนั่นเป็นหมอผีด้วยล่ะ”

มีนาชะงัก ตอนแรกเธอก็ไม่ได้ใส่ใจบทสนทนาของคนกลุ่มนี้มากนัก แต่เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ เธอก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่เป็นหัวข้อสนทนาคือตัวเธอเองอย่างแน่นอน

“หมอผีมีจริง ๆ ในโลกเหรอ”

“มีสิ ก็เป็นพวกคนหลงงมงายยังไงล่ะ” กลุ่มสาว ๆ หัวเราะคิกคัก มีนาได้ยินดังนั้นก็กำหมัดแน่น

“มิน่าล่ะ สงสัยคงสอนลูกตัวเองให้หลงงมงายตาม นิสัยก็เลยแปลก ๆ ชอบทำตัวประหลาดแบบนั้น”

“แถมมีคนเคยบอกว่าตอนม.ปลายยัยนั่นเคยคบกับผู้หญิงด้วยนะ” อีกคนเสริม น้ำเสียงเหยียดอย่างเห็นได้ชัด

“นึกแล้วก็เสียดาย พี่วิทย์ไม่น่าไปติดกับเลย หล่อออกขนาดนั้น รู้ทั้งรู้ว่ายัยนั่นมีรสนิยมแปลก ๆ ยังจะไปชอบอีก น่าจะหาคนดี ๆ ได้มากกว่านี้”

“อย่างเช่นเธอน่ะเหรอ” อีกคนแหย่

“หรือว่า...” อีกคนพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบ “ยัยนั่นจะเล่นของ”

ปัง

ประตูห้องน้ำเปิดออกอย่างแรงจนไปกระแทกผนัง ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น กลุ่มสาว ๆ ที่กำลังจับกลุ่มนินทาอยู่ชะงักกึก พวกเธอหันหน้าไปมองผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างคาดไม่ถึง ดวงตาคมกริบของมีนากวาดมองสี่สาวอย่างไม่พอใจ เวลานี้ทั้งสี่คนไม่มีท่าทีอวดเก่งแบบเมื่อครู่แม้แต่น้อย

มีนาปรายตามองทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไป ไม่อยากเสียเวลาไปมีเรื่องกับพวกคนที่เอาแต่นินทาคนอย่างสนุกปาก เธอเดินเลี้ยวออกไปผ่านสนามกีฬาที่พวกผู้ชายชอบเตะฟุตบอลกัน วันนี้บรรยากาศค่อนข้างครึ้มเหมือนฝนจะตก จึงไม่ค่อยมีคนเล่นกีฬากันเท่าไรนัก ถ้าเดินผ่านไปตรงนี้ก็จะไปถึงรั้วหน้ามหาวิทยาลัยพอดี แต่ยังไม่ทันจะเดินถึงประตูรั้ว ก็มีร่างหนึ่งมาขวางทางไว้อย่างกะทันหัน มีนาซึ่งเดินก้าวยาว ๆ มาอย่างรวดเร็วเบรกตัวเองไม่ทันจึงชนอีกฝ่ายโครมใหญ่

หญิงสาวเกือบจะหงายหลัง แต่ฝ่ายที่โดนชนกลับเพียงเซไปข้างหลังไปเล็กน้อยและยังช่วยจับมือเธอไม่ให้ล้มลงไปอีก ในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึหึเบา ๆ ในลำคอของอีกฝ่ายที่ตัวสูงใหญ่กว่ามาก เธอจึงเกิดโมโหขึ้นมา กำลังจะเปิดปากว่า ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นกลับต้องชะงักค้างอยู่อย่างนั้น

“พี่วิทย์”

คนคนนั้นคือคนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาของกลุ่มผู้หญิงในห้องน้ำนั่นเอง

“ไงมีน” วิทยาทักทายอย่างสนิทสนม “เห็นพวกเพื่อนมีนออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน พี่นึกว่ามีนจะไปด้วยเสียอีก”

“เอ่อคือ มีนปวดหัวน่ะ เลยจะแยกกลับบ้านดีกว่า”

“อ้าว เป็นอะไรล่ะ ไม่สบายเหรอ ให้พี่ไปส่งโรงพยาบาลมั้ย”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คิดว่าแค่นอนพักก็หายแล้ว”

“งั้นพี่ไปส่งที่หอแล้วกัน มีนรอแป๊บนึงนะ” ไม่ทันที่มีนาจะทันได้ปฏิเสธ วิทยาก็วิ่งไปเอากระเป๋าสัมภาระที่กองไว้ข้างสนามกีฬา โบกมือลาเพื่อนที่กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่ ก่อนจะรีบวิ่งตรงกลับมาหาหญิงสาวเหมือนกลัวว่าเธอจะรีบหนีหากเขามัวแต่ชักช้า

“พี่วิทย์ ไม่ต้องไปส่งมีนหรอก” เธอพยายามพูดย้ำพลางก้าวขาไปข้างหน้าเรื่อย ๆ โดยไม่รอชายหนุ่ม

“พี่บอกแล้วไงว่าจะไปส่งไม่ต้องเกรงใจ” เขาคะยั้นคะยอจนมีนาเริ่มรำคาญ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ หอมีนก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง” เธอเปลี่ยนเส้นทางเป็นเดินทะลุสวนสาธารณะข้าง ๆ มหาวิทยาลัยแทน แต่เขาก็ยังเดินตามมาไม่เลิก

“แต่ถ้าเดินไปเองก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ยิ่งมีนไม่สบายแบบนี้ด้วยยิ่งแย่ใหญ่ นั่งรถพี่ไปจะเร็วกว่านะ” เขาคว้ากระเป๋าของมีนาไปถือพร้อมกับส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้ ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่ชอบท่าทางของเขาที่มีต่อเธอเอาเสียเลย ถึงแม้ปกติเขาจะปฏิบัติกับเธอดีจนผู้หญิงคนอื่นอิจฉา แต่บางครั้งเธอก็รู้สึกว่าสายตาที่มองมาดูไม่น่าไว้วางใจ อย่างเมื่อสักครู่เขาก็ยังแกล้งเข้ามาขว้างให้เธอเดินชน ทำไมเธอจะไม่รู้

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเธอไม่ได้ชอบผู้ชาย ความจริงเธอเคยบอกเขาตรง ๆ ไปตั้งแต่แรกแล้วตอนที่เขามาจีบเธอใหม่ ๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีความเชื่อแตกต่างจากเธอ เขาคิดว่าผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงทุกคนเมื่อได้ลิ้มลองผู้ชายจริง ๆ ก็ต้องเปลี่ยนกลับมาชอบเพศตรงข้ามกันหมด ซึ่งเธอไม่ชอบความคิดแบบนี้ของเขาเลย

ขณะที่มีนากำลังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนในสวนสาธารณะตรงจุดที่ห่างออกไปในมุมที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านนัก...ไม่สิต้องบอกว่าไม่ใช่คนถึงจะถูก

ผิวสีขาวซีดแทบกลืนไปกับสีของม้านั่ง เส้นผมสีน้ำตาลปลิวไสวไปกับแรงลม อีกฝ่ายไม่ได้หันมาที่เธอ แต่กลับนั่งเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่

มาทำอะไรที่นี่กันแน่นะ

แล้วมีนาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่อีกใจหนึ่งก็คอยสั่งห้ามไม่ให้ทำแบบนั้น

ไม่เอาน่า ปล่อยไว้แบบนี้ก็ดีแล้ว เดี๋ยวก็ซวยหรอก

“เบลล์!” แล้วการกระทำก็สวนทางกับความคิด เสียงตะโกนของเธอดังจนคนแถวนั้นหันมามอง ส่วนผู้ที่โดนเรียกก็หันมาหาเธอด้วยแววตานิ่งสนิท

นั่นไง ซวยแล้ว ต้องโกรธแน่ ๆ

ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ขาสองข้างก็ยังก้าวเข้าไปหา โดยไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าของเธอออกจากมือชายหนุ่ม

“มีนเจอเพื่อนแล้ว เดี๋ยวมีนกลับกับเพื่อนแล้วกัน ไปก่อนนะพี่วิทย์” เธอรีบโบกมือลาโดยไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไร ซึ่งเขาก็มองสำรวจเบลล์อย่างไม่แน่ใจนักแต่ก็ยอมกลับไปแต่โดยดี

หลังจากชายหนุ่มพ้นสายตาไปแล้วมีนาก็หันกลับทางเบลล์ เห็นอีกฝ่ายกำลังมองเธออย่างพิจารณาอยู่พอดีจนเธอเริ่มมีความคิดว่า ที่เบลล์มาอยู่แถวนี้ได้อาจเป็นเพราะเปลี่ยนใจต้องการกำจัดเธอไปให้สิ้นซากก็ได้จึงตามเธอมาถึงนี่ เมื่อคิดได้ดังนั้นหัวใจก็แทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม บางทีอยู่กับพี่วิทย์อาจจะปลอดภัยกว่า แต่จะวิ่งหนีตอนนี้คงไม่ทันแล้ว

“ผู้ชายคนนั้นไม่น่าไว้วางใจเลยนะ” จู่ ๆ ปีศาจสาวก็เอ่ยขึ้นขัดความคิดของเธอ

“ว่าไงนะ” มีนาประมวลผลไม่ทัน เพราะไม่คิดว่านี่จะเป็นประโยคแรกที่เบลล์ทัก

“ก็หมายความตามนั้นแหละ คุณนี่บื้อจัง” ว่าแล้วก็ลุกแล้วเดินหนีไปอีกทาง

“เดี๋ยวสิ” มีนารีบเดินตาม ตอนนี้ความรู้สึกอยากจะวิ่งหนีหายไปแล้ว บางทีเธออาจจะคิดมากไป จะว่าไปแล้วเธอก็เคยเจอเบลล์แถวนี้มาก่อน ปีศาจสาวอาจมีธุระต้องมาทำอะไรที่นี่ก็ได้

“คุณนี่น่ารำคาญจริง ๆ เลยนะ คงเป็นดวงซวยของฉันที่ต้องมาเจอคุณที่นี่อีก”

“เอ่อ ฉันก็แค่จะบอกว่า ฉันยังไม่ได้คืนชุดเธอเลย เธอกลับห้องพร้อมฉันไหม จะได้เอาชุดไปไง” หลังจากที่ทำใจกล้าพูดออกไปแล้ว เธอก็อยากโขกหัวตัวเองเดี๋ยวนี้เลย ไม่รู้คิดบ้าอะไรอยู่ถึงชวนปีศาจเข้าห้อง และเบลล์ก็คงยอมสละชุดเพียงชุดเดียวแทนที่จะกลับไปกับเธออยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนเธอจะคิดผิด

ปีศาจสาวทำท่าเหมือนจะเพิ่งนึกถึงเรื่องชุดได้เหมือนกัน ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงขณะมองมาที่เธอ ก่อนตอบว่า

“อืม นำไปสิ”

.......................................................................

มีนาไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้...วันที่มีปีศาจตนหนึ่งอยู่ในห้องของเธอ

เธอชำเลืองมองปีศาจสาวที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉยขณะกวาดตาไปรอบ ๆ ห้อง ดวงตาสีน้ำตาลแอบฉายแววสนใจเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนกับจะพยายามปกปิดร่องรอยความสนใจนั้นไว้ เมื่อมองนาน ๆ เบลล์นับว่าเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์น่าดึงดูด แม้จะมีผิวสีซีดกว่าปกติ แต่ก็มีโครงหน้าชัดเจนได้รูป ประกอบกับดวงตาสีน้ำตาลชวนมอง ถึงบางครั้งจะดูเย็นชา แต่ก็มีประกายบางอย่างที่ดูลึกลับน่าค้นหา ท่าทางที่พยายามซ่อนความรู้สึกบางอย่างภายใต้หน้ากากเย็นชานั้นทำให้หล่อนยิ่งดูน่าดึงดูดในสายตาของเธอ บางทีมีนาก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ ในครั้งแรกที่เจอ เธอรู้สึกตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นกับการได้พบบางอย่างที่ตามหามานาน ทว่าในตอนนี้เธอเริ่มจะรู้ตัวว่ามีความรู้สึกอย่างอื่นปะปนเข้ามาด้วย...

มีนาคิดว่าตนเองอาจกำลังหลงเสน่ห์ปีศาจสาวตนนี้แล้วก็ได้

“ไหนล่ะ ชุดของฉัน” จู่ ๆ เบลล์ก็หันมาพูดเสียงเรียบจนเธอหลุดออกจากภวังค์

“เอ่อ...คือ อยู่ในตู้น่ะ” เธอพูดตะกุกตะกัก ส่วนสมองก็พยายามคิดหักห้ามหัวใจตนเองไม่ให้คิดเลยเถิดไปมากกว่านี้

“คุณเป็นอะไรของคุณ”

“เปล่าสักหน่อย เลิกทำหน้าเย็นชาใส่ฉันสักทีได้ไหม ทำหน้านิ่งแล้วอยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาแบบนั้น ฉันเลยตกใจน่ะ” มีนาพยายามพูดให้เป็นปกติพลางหัวเราะกลบเกลื่อน ในใจแอบบอกกับตัวเองว่าให้เลิกคิดอะไรบ้า ๆ เสียที เธอได้แต่หวังว่าเบลล์จะอ่านใจเธอไม่ได้

“ก็คุณจะเอาชุดมาคืนฉันไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยืนเฉยล่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น มีนาจึงเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ทั้ง ๆ ที่การที่ทำให้เบลล์กลับไปเร็ว ๆ ก็น่าจะเป็นความคิดที่ดีกว่าการยื้อไว้จนหล่อนโมโห แต่เธอกลับไม่อยากทำแบบนั้นเอาเสียเลย

หญิงสาวถอยหลังจากตู้เสื้อผ้าแล้วหันมาทางเบลล์ด้วยสีหน้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือไม่

“อะไรของคุณอีก”

“เดี๋ยวก็จะถึงมื้อเย็นแล้ว กินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”

นี่เป็นครั้งแรกของมีนาเลยก็ว่าได้ที่ได้เห็นเบลล์ทำสีหน้าตกใจแบบคาดไม่ถึง แต่สีหน้านั้นอยู่เพียงครู่เดียวก็กลับมานิ่งสนิทเหมือนเดิม มีนาเริ่มชักจะหวั่น ๆ แล้วว่าอีกฝ่ายจะโมโหจนอยากฆ่าเธอขึ้นมาหรือไม่

“ก็ฉันจะทำให้เธอกินเป็นการขอบคุณเมื่อวันก่อนไงล่ะ ที่เธอให้ฉันยืมเสื้อผ้าและให้ที่หลบฝนด้วย แถมก่อนหน้านี้ก็ช่วยฉันจากคนร้ายสองคนนั่นอีก” เมื่อเห็นเบลล์ไม่ตอบ เธอจึงรีบพูดเสริม “หรือจะมองว่าเป็นการขอโทษก็ได้ ที่ชอบไปรบกวนให้เธอรำคาญอยู่บ่อย ๆ”

“ฉันจะบอกอะไรให้นะว่าแหล่งอาหารของปีศาจคือพลังชีวิตที่หล่อหลอมจากจิตใจด้านมืดของมนุษย์อย่างพวกคุณไงล่ะ เพราะฉะนั้นฉันไม่จำเป็นต้องกินของอะไรแบบนั้นหรอก” เบลล์พูดอย่างเย็นชา

“แต่ฉันทำอาหารเองเลยนะ”

“สำหรับฉัน อาหารแบบนั้นให้พลังงานไม่พอหรอก”

“ฉันทำอาหารอร่อยนะ” มีนาพยายามพูดโน้มน้าว

“ทำกินเองคนเดียวแล้วกัน” เบลล์ผลักมีนาออกไปให้พ้นทาง ด้วยความที่เป็นปีศาจ แรงจึงเยอะพอที่จะดันมีนาออกไปได้สบาย ๆ จากนั้นก็เดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า แต่เสื้อผ้าที่อัดแน่นอยู่ในตู้จนแทบล้นออกมาทำให้เบลล์พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด

“ระหว่างที่เธอรื้อตู้เสื้อผ้า เดี๋ยวฉันไปทำอาหารก่อนแล้วกันนะ” พูดจบเธอก็วิ่งเข้าไปยังห้องครัวแล้วปิดประตูทันที ก่อนที่เบลล์จะหงุดหงิดจนอยากฆ่าเธอลงตรงนี้

.......................................................................

เสื้อผ้าทั้งหมดของมีนาถูกนำมากองไว้ที่พื้น เบลล์เพ่งมองตู้ว่างเปล่าอย่างหมดปัญญา เธอสำรวจดูทุกซอกทุกมุมของตู้แล้วยังไม่พบชุดเดรสสีดำที่เธอให้มีนาใส่วันนั้นเลย ที่จริงเธออยากจะถอดใจแล้วหนีกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้ แต่เมื่อนึกได้ว่าชุดนั้นเคยเป็นของแม่มาก่อน จึงเปลี่ยนใจหาต่อ ทั้งยังลองเคาะแผ่นไม้ด้านในตู้ดูอีกครั้งเผื่อว่าจะมีช่องลับอะไรที่เธอไม่รู้ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นตู้ไม้ธรรมดา

ปีศาจสาวเริ่มคิดว่าบางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะกำลังหลอกเธออยู่ก็ได้ แต่พอนึก ๆ แล้ว ตอนที่มีนาบอกเธอก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะโกหกเลยนี่ น่าแปลกจริง ๆ รู้อย่างนี้ตอนนั้นเธอไม่น่าเผลอไปสงสารเลย ปล่อยให้หญิงสาวยืนตากฝนอยู่ข้างนอกเสียก็ดี

เบลล์รวบชุดต่าง ๆ ที่มีหลากหลายแบบเสียจนไม่คิดว่าคนคนเดียวจะใส่หมดได้ขึ้นมาแล้วยัดกลับเข้าไปในตู้เสื้อผ้าตามเดิม เธอหันไปมองสำรวจรอบ ๆ ความจริงห้องของมีนาก็ไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน ถ้าเข้ามาทางประตูหน้าก็จะเจอห้องครัวและห้องน้ำแยกออกไปก่อนถึงห้องนอน แต่เธอก็คิดว่ามีนาไม่น่าเก็บชุดแม่เธอไว้ที่อื่นนอกจากห้องนอน เมื่อคิดดังนั้น เธอจึงลองเดินไปดูที่ตู้ลิ้นชักข้างหัวเตียง

ไม่ทันที่เธอจะได้เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก กลิ่นหอมของอาหารร้อน ๆ ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ก็ลอยเข้ามาในห้องพร้อมกับมีนาที่ถือถาดอาหารเข้ามา

“อาหารเสร็จแล้ว เชิญคุณปีศาจมาชิมได้เลย” น้ำเสียงของคนพูดดูอารมณ์ดี แต่คนฟังกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ทำไมมนุษย์คนนี้ถึงไม่รู้จักสำนักหรือนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองบ้างเลย

“คุณกินไปคนเดียวเถอะ” เบลล์ตอบอย่างรำคาญ “แล้วเอาชุดคืนมาได้แล้ว”

“ไม่ลองแล้วเสียใจนะ” มีนาว่าขณะจัดวางอาหารบนโต๊ะเตี้ยที่เพิ่งเอาออกมากาง

เบลล์กวาดสายตาไปตามอาหารหลากหลายเมนูบนโต๊ะ มีทั้งต้มยำ ผัดกะเพรา ไข่เจียวหมูสับ และอาหารที่เบลล์ไม่รู้จักอีกหนึ่งอย่าง เป็นอาหารพื้นบ้านแบบไทย ๆ แต่กลิ่นของมันช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก ถึงแม้เธอจะเป็นปีศาจที่ไม่จำเป็นต้องกินอาหารของพวกมนุษย์ แต่การที่ได้มาอยู่ตรงหน้าอาหารกลิ่นเย้ายวนแบบนี้ มันก็ทำให้เธออดใจไม่ไหวได้เช่นกัน

“นั่งลงสิ” มีนาผายมือไปยังเบาะว่างเปล่า “โทษทีนะที่ให้นั่งพื้น พอดีไม่มีที่วางเก้าอี้น่ะ”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่กินของพวกนี้” ถึงแม้เบลล์อยากจะพุ่งไปหาอาหารตรงหน้ามากแค่ไหนก็ตาม แต่ปากกลับพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่เธอคิดโดยสิ้นเชิง

“งั้นตามใจ” มีนาไม่คะยั้นคะยอ เธอก้มหน้าก้มตากินอาหารที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่ได้เงยขึ้นมามองเบลล์อีก

ปีศาจสาวยืนมองมีนาที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ไม่อยากจะยอมรับว่าการที่อีกฝ่ายไม่สนใจมันทำให้เธอรู้สึกโหวงเหวงแปลก ๆ ในขณะนั้นเองดวงตาคมกริบก็ช้อนขึ้นมาสบกับดวงตาสีน้ำตาลของเธอ เบลล์จึงต้องรีบแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่น ทำให้ไม่เห็นว่ามีนากำลังแอบลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

“สรุปว่าฉันจะได้ชุดคืนไหม” เบลล์วกกลับไปถามเรื่องชุดอีกครั้ง

“กินก่อนสิ แล้วเดี๋ยวจะช่วยหาชุดให้” มีนาบอกไปโดยไม่กลัวที่จะโดนอีกฝ่ายฆ่าปิดปาก ที่จริงเธอค่อนข้างมั่นใจว่าเบลล์ต้องสนใจอาหารที่เธอทำ

เมื่อเบลล์ไม่มีท่าทีจะนั่งลงร่วมโต๊ะกันเสียที มีนาจึงทนไม่ไหวลุกขึ้นแล้วเดินไปลากแขนอีกฝ่ายมานั่งด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขัดขืน แม้ยังจะทำสีหน้าเมินเฉยอยู่ก็ตาม

“กินได้แล้ว ไม่เห็นต้องวางฟอร์มเลย” มีนาหัวเราะคิกคัก ซึ่งนั่นทำให้คิ้วสีน้ำตาลของเบลล์ขมวดเข้าหากัน

“คุณแกล้งยั่วโมโหฉันใช่ไหม” เบลล์ทำเสียงขู่

“เปล่านะ แค่อยากมีเพื่อนกินอาหารเฉย ๆ” มีนารีบปฏิเสธเสียงอ่อย

“ฉันไม่เคยเห็นใครแปลกเท่าคุณเลย”

“คงงั้นมั้ง คนอื่น ๆ ก็ชอบบอกว่าฉันแปลก”

“ไม่มีเพื่อนหรือไง ถึงได้มาชวนฉัน”

“จริง ๆ ก็มี แต่แค่อยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้” มีนาพูดจากใจจริง รู้ว่าตนเองกำลังโบยบินเข้าหาสิ่งที่ไม่รู้จัก สิ่งนั้นอาจจะเป็นดอกไม้แสนวิเศษที่พาเธอไปพบกับความสุขอันแปลกใหม่ หรือจะเป็นเปลวไฟที่โหมกระหน่ำที่แผดเผาตัวเธอจนวอดวาย หรือไม่ก็เป็นหุบเหวดำมืดที่กระชากให้เธอดำดิ่งลงไปอย่างไม่อาจหวนคืน...เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งนั้นจะทำให้เธอได้พบกับอะไรกันแน่ รู้แค่ว่าอยากจะลองเสี่ยงดู

เบลล์เม้มปากแน่นแล้วมองสบตามีนาตรง ๆ ในแววตาแฝงความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ริมฝีปากได้รูปให้คลายออก แล้วเอ่ยคำถามที่ค้างคาใจออกมา

“ทำไมคุณถึงไม่กลัวฉัน คุณก็รู้ว่าฉันไม่ใช่มนุษย์ และฉันก็สามารถฆ่าคุณเมื่อไรก็ได้”

“ถ้าเธอคิดจะฆ่าฉันจริง ๆ ป่านนี้เธอทำไปแล้ว แล้วอีกอย่างฉันคิดว่าสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ก็ไม่ได้จำเป็นต้องเลวร้ายเสมอไป บางทีนะพวกมนุษย์นั่นแหละที่ร้ายยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด”

คำตอบของมีนาทำให้เบลล์นิ่งอึ้ง เธอไม่เคยเจอใครที่มีความคิดแบบมีนามาก่อน พวกผู้คนที่เธอเคยเจอมักเอาแต่กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น จนลืมไปว่าบางครั้งตัวพวกเขาเองนั่นแหละที่เลวร้ายยิ่งกว่า ดวงตาคู่สวยเหลือบไปมองหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะทำในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำมานาน...

เบลล์กำลังยิ้ม

เธอยิ้มแบบที่ไม่ใช่เป็นการยิ้มเหยียดหรือแสยะยิ้ม แต่เป็นยิ้มอ่อนโยนแบบที่มีนาไม่เคยเห็นแบบตรง ๆ มาก่อน น่าเสียดายที่ตอนนี้มีนากำลังเบนความสนใจมาที่อาหารตรงหน้าแทนจึงพลาดโอกาสที่จะได้เห็นรอยยิ้มนั้นไป

“วันหลังถ้าอยากจะรู้จักคนอื่นน่ะ ไม่ใช่ว่าจะเดินดุ่ม ๆ ไปที่บ้านของคนนั้นแล้วถามนั้นถามนี่ได้ยังไงก็ได้หรอกนะ” จู่ ๆ เบลล์ก็พูดขึ้นมา “ถ้าไปเจอพวกที่ความอดทนต่ำ ป่านนี้เธอคงโดนหักคอไปแล้ว”

“งั้นฉันคงต้องชดใช้ที่ไปก่อความวุ่นวายให้เธอด้วยมื้ออาหารนี่แล้วล่ะ เชิญเธอรับประทานได้ตามสบายเลย” หลังจากพูดจบก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่เบลล์เปลี่ยนไปใช้สรรพนามที่เป็นกันเองมากขึ้น หญิงสาวจึงมองอีกฝ่ายด้วยตาเป็นประกาย ทว่าเบลล์กลับทำทีเป็นเมิน

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะลองชิมดูก็ได้ ถึงแม้อาหารมันจะดูห่วยแตกก็เหอะ แต่เธอต้องสัญญาว่าต้องเอาชุดมาคืนฉันทันทีที่อาหารหมด ไม่งั้นฉันจะฆ่าเธอซะ” เบลล์ขู่จนมีนากลืนน้ำลายดังเอี๊อก

มืดขาวซีดค่อย ๆ หยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักอาหารใส่ปาก รสชาติที่ผสมกันได้อย่างลงตัวค่อย ๆ ซึมซาบผ่านลิ้น เรียกความรู้สึกที่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำเมื่อนานมาแล้วกลับคืนมาใหม่ อันที่จริงก็ใช่ก็ใช่ว่าเธอไม่เคยลองอาหารฝีมือมนุษย์มาก่อน แต่ว่าครั้งสุดท้ายที่เคยลิ้มลองมันนานแค่ไหนแล้วนะ...

แล้วเบลล์ก็ย้อนคิดไปถึงเวลาที่เธอพบกับมีนาในแต่ละครั้ง ความจริงเธอสามารถทำเป็นไม่สนใจหญิงสาวคนนี้เลยก็ได้แต่กลับไม่ทำ แถมเธอยังแอบดูอีกฝ่ายตอนเดินออกจากซอยมืด ๆ คนเดียวในคืนนั้นอีก เธอเริ่มตระหนักได้ว่าลึก ๆ แล้วตัวเธอเองอาจกำลังโหยหาให้ใครสักคนมาช่วยเติมเต็มความว่างเปล่าในใจของเธออยู่ก็ได้...จนกระทั่งได้มาเจอผู้หญิงคนนี้

ไม่รู้ทำไมผู้หญิงตรงหน้าถึงมีความน่าดึงดูดอย่างประหลาด โดยเฉพาะเวลามองเข้าไปในแววตาคู่สวยสีดำคมกริบนั้น มันเหมือนกับกำลังดึงเธอเข้าไปให้เจอเรื่องที่ไม่คาดฝัน

“เป็นไงล่ะ อาหารฝีมือฉัน” มีนาถามขึ้นหลังจากเหลือเพียงจานว่างเปล่า

“ก็ไม่ได้แย่อะไรนี่”

“เออ จริงสิ” มีนาร้องเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะลุกเดินออกไปที่ระเบียง อีกไม่กี่วินาทีถัดมาก็กลับมาพร้อมชุดกระโปรงสีดำในมือ “ลืมไปว่าซักแล้วเอาออกไปตากน่ะ นี่ไงแห้งพอดีเลย”

ชุดสีดำถูกพับแล้วนำเอาใส่ถุงกระดาษ ก่อนจะถูกยืนให้เบลล์ที่กำลังมองมาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ หญิงสาวสัมผัสได้ว่ามีรังสีอำมหิตพุ่งตรงมา

“ฉันไม่ได้โกหกนะ! แค่ลืมเฉย ๆ นึกว่าเก็บเข้าตู้ไปแล้ว” เธอรีบพูดแก้ตัว

“อยากตายใช่ไหม มีนา!”

#####################################################

มีนาเป็นคนที่เจออะไรที่ชอบก็จะพุ่งเข้าใส่ทันที ขนาดปีศาจอย่างเบลล์ยังไม่เว้น ขนาดโดนขู่แล้วยังไม่หลาบจำอีก แต่สุดท้ายก็ทำเอาเบลล์เริ่มใจอ่อนจนได้ 

หลังจากที่เริ่มใกล้ชิดกันแล้ว เรื่องราวของทั้งคู่จะเป็นยังไงต่อไปอย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ