ในความคิดของมีนา พวกสิ่งที่วิทยาศาสตร์หาข้อสรุปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผีสาง หรือปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีโอกาสที่จะพบได้ง่าย ๆ ดังนั้นเธอจึงรู้สึกว่าการพบสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากกว่าจะน่ากลัว

ทว่าในเวลานี้ ขณะที่กำลังยืนมองรั้วสีดำที่กั้นตัวเธอออกจากสวนรก ๆ เธอกลับมีความรู้สึกแตกต่างออกไป ถึงแม้ว่าจะตื่นเต้นที่ได้มาถึงที่หมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้วเธอก็แอบหวาดหวั่น รั้วบ้านสีดำที่แสนจะธรรมดานั้นให้ความรู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาด ประกอบกับบรรยากาศรอบด้านที่ทั้งเงียบและมืดสนิทก็ยิ่งทำให้รู้สึกวังเวงมากขึ้นไปอีก เมื่อมองไปรอบตัวก็เห็นแต่บ้านหลังอื่นที่น่าจะบ้านร้าง บ่งบอกว่าบริเวณนี้ไม่มีคนอาศัยอยู่เลย แม้แต่บ้านตรงหน้าที่พูดถึงในกระทู้เองก็ดูไม่เหมือนที่อยู่อาศัยของ ‘คน’ เลยสักนิด

มีนายืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสะกด เธอรู้สึกปั่นป่วนในท้อง แถมเหงื่อก็ผุดออกมาตามหน้าผากทั้ง ๆ ที่อากาศรอบด้านก็เย็นแถมยังมีลมพัดเอื่อย ๆ เธอรู้ตัวว่าตนเองกำลังกลัว แต่ก็พยายามผลักดันความกลัวนั้นให้ลงไปอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ

“ไอ้มีน” แทนสะกิดเรียก มีนาจึงละสายตาออกจากตัวบ้านแล้วหันมาทางเพื่อนหนุ่มที่ตอนนี้หน้าซีดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

“มีอะไรเหรอ” เธอถามไปทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าแทนต้องการจะบอกอะไร

“ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยว่ะ” แทนเหลือบมองไปที่รั้วอย่างหวาด ๆ มือทั้งสองข้างของเขาสั่นจนต้องกำเอาไว้ หัวใจก็เต้นถี่รัวจนแทบจะหลุดออกมานอกอก “ฉันพอจะรู้แล้วว่าทำไมในซอยนี้ไม่มีคนเข้ามาอยู่เลย”

“บ้านหลังนี้จะต้องเป็นบ้านผีสิงจริง ๆ แน่”

“ฉันก็ว่างั้นแหละ ถ้างั้นเรากลับกันเถอะ ขืนอยู่ต่อมีหวังไม่ได้กลับไปสภาพปกติแน่ ๆ สิ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้อาจจะเป็นพวกวิญญาณอาฆาตก็ได้นะ ไม่อย่างนั้นบรรยากาศคงไม่กดดันขนาดนี้หรอก” แทนพูดเสียงสั่นอย่างปิดไม่มิด

“แต่ถ้าอยู่ต่อ เราอาจได้เจออะไรดี ๆ ก็ได้นะ” มีนาพูดแล้วก็ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาที่นี่ ถึงแม้ว่าข้างในจะแอบหวาดหวั่น แต่เธอก็ไม่ชอบให้ใครรู้ว่าเธอกำลังกลัว อีกอย่างหนึ่งเธอก็มีความสนใจในเรื่องลี้ลับมากพอที่จะกลบความกลัวเอาไว้ก่อน

“แกจะไปทำรายการโกสต์ วาไรตี้หรือไง หา!...นี่แกไม่ได้อ่านที่เจ้าของกระทู้นั่นโพสต์เหรอว่าบ้านหลังนี้มันน่ากลัวแค่ไหน” แทนมองเข้าไปในตัวบ้านอย่างหวาด ๆ ในหัวนึกถึงแต่สิ่งที่เขาอ่านมาจากกระทู้ โดยลืมไปแล้วว่าในตอนแรกตัวเขาเองนี่แหละที่ไม่ยอมเชื่อกระทู้นั่น

“ไหน ๆ ก็มาแล้ว จะกลับเลยก็เสียดายแย่สิ หรือถ้าแกกลัวขนาดนั้นก็กลับไปก่อนก็ได้นะ”

“แกบ้าไปแล้วเหรอ ใครจะทิ้งแกไว้คนเดียว...เอ่อ ถ้าแกอยากรู้ขนาดนั้นค่อยมาพรุ่งนี้เช้าก็ได้นะ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันเสาร์นี่ แล้วฉันคิดว่าบรรยากาศตอนที่มันยังสว่างอยู่น่าจะดีกว่านี้นะ” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมกลับ เขาจึงเริ่มหาทางต่อรอง

มีนากำลังจะโต้ตอบกลับไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะจู่ ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความกดดันที่มีมากขึ้นกว่าตอนแรก เมื่อสบตาเข้ากับแทน เขาก็ส่งสายตาสื่อว่าเขาเองก็รับรู้ถึงความกดดันนี้เช่นเดียวกัน

เมื่อทั้งคู่หันกลับไปมองที่ตัวบ้านก็เห็นเงาดำราง ๆ อยู่ตรงพุ่มไม้ภายในสวน ซึ่งเงานั้นก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาหาอย่างช้า ๆ จนกระทั่งมองเห็นเป็นรูปร่างของผู้หญิง

“ระ...เรากลับตอนนี้ยังทันนะ” แทนพูดตะกุกตะกักและพยายามดึงแขนมีนาให้วิ่งไปด้วยกัน แต่เธอก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับตามเลย

ผู้หญิงในรั้วสีดำขยับเข้ามาจนอยู่ที่ตำแหน่งห่างจากตัวรั้วประมาณหนึ่งเมตรก่อนจะหยุดอยู่กับที่ ซึ่งเป็นตำแหน่งพอดีกับที่แสงสีเงินของดวงจันทร์ส่องลงมากระทบ เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดภายใต้เรือนผมสีน้ำตาลยาวและหยักเป็นลอน หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนอายุจะไล่เลี่ยกับมีนา แต่ในความเป็นจริงก็ไม่สามารถคาดเดาอายุได้อยู่ดี และถ้าหากจะพูดถึงสิ่งที่ดึงดูดตามากที่สุดของผู้หญิงในรั้วนั้นก็คงเป็นดวงตาสีน้ำตาลคู่งามที่ทั้งมีเสน่ห์ เยือกเย็น และแลดูเศร้าสร้อยภายในเวลาเดียวกัน

“มีธุระอะไร” ถึงแม้จะสามารถมองออกได้ว่าหญิงสาวผมสีน้ำตาลคนนั้นมีเค้าโครงหน้าออกไปทางตะวันตกอยู่บ้าง แต่เธอก็เปล่งภาษาไทยออกมาได้ชัดทุกถ้อยคำด้วยน้ำเสียงที่ราวกับต้องการจะแช่แข็งแขกผู้มาเยือน

มีนายืนนิ่งราวกับถูกสะกด ทั้งเธอและแทนยังไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกไปเนื่องจากหาคำตอบที่ยังเหมาะสมไม่ได้ ทำให้บรรยากาศในเวลานี้ตกอยู่ในความเงียบสงัด ทุกอย่างดูเหมือนหยุดนิ่ง มีเพียงรังสีกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

“เอ่อ...เราแค่อยากจะมาทำความรู้จักน่ะ” ในที่สุดมีนาก็ตอบออกมาเพราะทนความกดดันไม่ไหว แต่เมื่อตอบออกไปแล้ว หญิงสาวกลับรู้สึกหงุดหงิดตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอคิดว่านั่นเป็นคำตอบที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเธอเลย ไม่มีใครที่ไหนที่อยู่ดี ๆ ก็บุกไปที่บ้านของคนอื่นแล้วมาบอกว่าอยากรู้จักหรอก ไม่ว่าเจ้าของบ้านนั้นจะเป็นคนหรือผีก็ตาม

“ความจริงเราก็จะกลับแล้วล่ะ” แทนรีบพูดแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าบรรยากาศกดดันมากขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเจ้าของบ้านจะยังคงมองด้วยสายตาราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าเธอคนนั้นต้องไม่พอใจอย่างมาก

“ไอ้แทน นี่เราเพิ่งมากันเองนะ” มีนาหันไปกระซิบ

“ฉันไม่สนแล้วว่าเราจะเพิ่งมาถึงหรือเปล่า แต่ว่าเราอยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัยแน่” แทนกระซิบตอบพร้อมกับดึงแขนเพื่อนสนิทแรงขึ้นจนเธอเซออกห่างจากตัวรั้ว แต่หญิงสาวก็สะบัดแขนตนเองออกจากชายหนุ่ม พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ และยืดตัวตรงเพื่อเรียกความมั่นใจของตนเองกลับมา ก่อนจะพูดว่า

“ฉันชื่อมีนา เป็นประธานชมรมเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่มาที่นี่ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องกลัวพวกเราหรอกนะ” มีนาพูดอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่าคำพูดของเธอออกจะแปลก ๆ ไปบ้างตรงที่บอกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าอย่ากลัวพวกเธอ

แทนฟังเพื่อนของตนพูดแล้วอยากจะกุมขมับ เพราะเขาก็ไม่เคยเห็นใครพูดกับสิ่งที่เขามั่นใจแล้วว่าเป็น ‘ผี’ ด้วยคำพูดแบบนี้มาก่อน ความจริงเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่สติดีกล้าทำแบบมีนาด้วยซ้ำ

“กลับไปซะ” แล้วหญิงสาวผมสีน้ำตาลก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นอีกครั้ง พร้อมกับแผ่รังสีความกดดันเพิ่มขึ้นจนทั้งสองคนที่อยู่นอกรั้วแทบหน้ามืด แต่นั่นก็ยิ่งทำให้มีนามั่นใจมากขึ้นว่าผู้หญิงตรงหน้าต้องไม่ใช่มนุษย์

“แต่ว่า...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค มีนาก็ต้องรีบกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป เพราะถูกสายตาคมกริบจ้องกลับมา

ผู้หญิงเจ้าของบ้านค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนเกือบติดรั้ว มีนาเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่อีกฝ่าย ซึ่งดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยนั้นก็จ้องตอบกลับมา ในชั่วเวลาที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน มีนารู้สึกว่าจิตวิญญาณของเธอกำลังถูกฉุดกระชาก และรู้สึกราวกับว่ามีกลุ่มก้อนอันดำมืดจากไหนไม่รู้ก่อตัวขึ้นมาเกาะกุมจิตใจของเธอไว้ วินาทีนั้นเธอรู้สึกถึงความกลัว แต่ในขณะเดียวกันก็มีความหลงใหลแปลก ๆ เกิดขึ้นในใจเธอ

“อย่ากลับมาที่นี่อีก” เมื่อสิ้นเสียงของเจ้าของบ้าน มีนาก็รู้สึกเหมือนตัวหนักอึ้ง จิตวิญญาณของเธอถูกรบกวนอย่างหนัก และดวงตาก็เริ่มจะปิดเพราะทนความกดดันไม่ไหว เธอพยายามจะฝืนตัวเองให้ยืนอยู่ต่อ แต่สุดท้ายก็ต้องล้มพับไปต่อหน้าต่อตาแทน ทำให้เขาต้องรีบเข้ามารับไว้ก่อนที่เธอจะล้มฟาดไปกับพื้น

“พาเพื่อนของคุณกลับไป และอย่ามาที่นี่อีก” ผู้หญิงในรั้วเอ่ยกับแทน ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้านโดยที่ไม่แม้แต่จะเหลือบมามอง ส่วนแทนเองก็ไม่คิดจะอยู่ต่ออยู่แล้ว เขารีบอุ้มเพื่อนของเขาออกไป ในใจก็ภาวนาว่าอย่าได้มีโอกาสมาเหยียบที่นี่อีกเลย

.......................................................................

ในเวลานี้ทุกอย่างถูกย้อมเป็นสีดำ ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า พื้นดิน หรือสิ่งของรอบ ๆ กายก็ล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น ราวกับว่าที่ที่เธอยืนอยู่คือดินแดนไร้อาณาเขต

สิ่งที่แตกต่างออกไปเพียงหนึ่งเดียวคือ สตรีในชุดขาวตรงหน้า ริมฝีปากของหล่อนขยับเหมือนกำลังคุยกับคนบางคนอยู่ซึ่งไม่ใช่เธอ

“แม่คะ คุยกับใครอยู่เหรอคะ”

เด็กหญิงวัยสิบขวบวิ่งผ่านความมืดมิดเข้าไปหาผู้เป็นแม่ ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบรับเสียงเรียกของเธอเลย

“แม่” เด็กหญิงพยายามเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ไม่ตอบ เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายให้หันมาสบตาเธอ

ความพยายามของเด็กหญิงสำเร็จผล แม่ของเธอหันมาช้า ๆ ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกาย คาดหวังว่าจะได้สบตากับแม่ของเธอ แต่สิ่งที่ได้เห็นกลับทำให้ตาของเธอเบิกโพลง

แม่ของเธอยังเหมือนเดิมทุกอย่าง...

ทว่าส่วนที่เป็นใบหน้าที่หายไป เหลือแต่เพียงหลุมสีดำกลวงโบ๋

“กรี๊ด!”

เด็กหญิงกรี๊ดลั่น ขาเล็ก ๆ ก้าวถอยหลังจนไปสะดุดกับบางอย่างทำให้ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ผู้หญิงที่เธอเชื่อว่าเป็นแม่ก้าวขามาทางเธอ ก่อนจะเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา

เมื่อเริ่มได้สติ เด็กหญิงก็ยันกายลุกขึ้นแล้ววิ่งตามผู้หญิงในชุดขาวไป มือเล็ก ๆ คว้าแขนอีกฝ่ายสำเร็จ...แต่แล้วมันกลับทะลุผ่านไปราวกับว่าแม่เธอเป็นเพียงอากาศ

“แม่!” เด็กสาวร้องลั่นเมื่อพบว่าเธอจับตัวแม่ไม่ได้อีกแล้ว “แม่ อย่าทิ้งหนูไป”

เธอกระโดดคว้าเอวของแม่เอาไว้ ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่แตกต่างจากเดิม...เด็กหญิงทะลุผ่านตัวแม่ของเธอไปอีกครั้งจนเสียหลักล้มคะมำ

ผู้เป็นแม่ค่อย ๆ เดินห่างไป พร้อมกับลำตัวที่ค่อย ๆ ถูกสีดำดูดกลืนหายไปช้า ๆ เด็กหญิงมองอย่างตื่นตระหนก เธอไม่อยากเสียแม่ไปอีกคน ยังไงเธอก็จะเอาแม่กลับมาให้ได้!

เด็กสาวพยายามไล่ตามแม่ของเธอไปอีกครั้ง แต่ทันทีที่ไปถึง แม่เธอก็หายไปต่อหน้าต่อตา และอาจหายไปตลอดกาล

.......................................................................

“แม่!”

มีนาสะดุ้งตื่น เหงื่อไหลโทรมกาย และหายใจหอบถี่ เมื่อตั้งสติได้ เธอก็พบว่าตัวเองกำลังนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงหนานุ่ม แสงแดดที่ส่องผ่านผ้าม่านสีเข้มเข้ามาบ่งบอกว่าเช้าวันใหม่มาถึงแล้ว

ฝันเหรอ

ความฝันเมื่อครู่นี้ทำหัวใจของเธอเต้นระส่ำระส่าย เมื่อเอามือยกขึ้นลูบหน้าก็พบว่าแก้มของเธอชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา จึงรู้ว่าตนเองเผลอร้องไห้ในความฝัน

ฝันพิลึกชะมัด

หญิงสาวยังไม่ยอมลุกในทันที สายตาจับจ้องไปที่เพดานสีขาวขณะพยายามสลัดความฝันนั้นออกไป แล้วก็คิดทบทวนถึงเรื่องราวเมื่อคืนก่อน เธอจำได้ว่าหลังจากที่เธอสบตากับผู้หญิงคนนั้น เธอก็เกิดอาการตัวหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุและก็จำเหตุการณ์ต่อจากนั้นไม่ได้อีกเลย

พอคิดมาถึงตรงนี้เธอก็เด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นก็กวาดตาไปรอบ ๆ ห้อง ไล่ไปตามสิ่งของหลายอย่างที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบ จนกระทั่งสายตามาหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผิวเข้มที่กำลังนอนกรนอย่างสบายใจอยู่บนพื้นข้าง ๆ เตียง

“ไอ้แทน” มีนาสะกิดเรียก แต่ชายหนุ่มก็แค่พลิกตัวแล้วก็นอนกรนต่อ ทำให้เธอต้องเปลี่ยนจากสะกิดมาเป็นเขย่าอย่างแรง ซึ่งก็ได้ผลเมื่อเขาลุกขึ้นมานั่งทำตาปรือใส่เธอ

“อะไรของแกวะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยที่ถูกปลุกให้ตื่น

“แกเล่ามานะว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ฉันมานอนบ้านแกตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็แกอะดิ อยู่ ๆ ก็เกิดล้มพับไปต่อหน้าฉัน ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น เลยต้องพามาที่บ้านฉันก่อนเนี่ย นี่ฉันอุตส่าห์เสียสละเตียงนอนอันแสนล้ำค่าให้แก โดยที่ตัวฉันต้องมาทนนอนอย่างน่าสงสารบนพื้นแข็งๆ แถมยังถูกปลุกขณะกำลังนอนหลับสบายอีกด้วย นี่ยังไม่นับที่ก่อนหน้านี้ต้องโดนแกลากไปบ้านลึกลับที่มีเจ้าของบ้านเป็น...โอ๊ย” ยังพูดไม่ทันจบ แทนก็ถูกฟาดด้วยหมอนอย่างแรง เนื่องจากคนฟังเริ่มหมั่นไส้ที่เขาทำท่าประกอบเกินจริง ถึงแม้สิ่งที่เขาพูดจะไม่มีอะไรเกินจริงเลยแม้แต่น้อย

“แล้วผู้หญิงคนนั้นทำอะไรกับฉันกันเนี่ย” มีนาพูดแล้วทำท่าครุ่นคิด ไม่สนใจแทนที่กำลังโวยวายเรื่องที่เธอชอบใช้ความรุนแรง

“ฉันจะไปรู้เหรอ แต่เท่าที่รู้ ผู้หญิงนั่นดูไม่น่ายุ่งด้วยเลยนะ”

“นี่เท่ากับที่ไปเมื่อคืนไม่ได้เรื่องอะไรเลยสินะ” มีนาบ่นอย่างเสียดาย ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจลึก ๆ ก็แอบหวั่นอย่างไรชอบกล เธอยังจำความรู้สึกที่เหมือนกับถูกกระชากวิญญาณได้อย่างดี

“ได้เรื่องสิ อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่ควรไปที่นั่นอีก”

“แต่เมื่อคืนผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับพวกเราเลยนี่” มีนาพยายามพูดให้ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรต้องกังวล ทั้งที่จริงแล้วเธอก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นอาจอันตรายสำหรับเธอ

“เมื่อคืนพวกเราอาจจะโชคดี แต่ถ้าไปอีกครั้งอาจจะไม่โชคดีแบบครั้งแรกก็ได้ ใครจะไปรู้ และยังไงฉันก็ไม่มีทางไว้ใจพวกผีหรือวิญญาณเด็ดขาด เพราะฉะนั้นฉันจะห้ามไม่ให้แกไปบ้านหลังนั้นอีก”

“แต่ ถ้าเราไม่ไป ก็เสียฟอร์มแย่น่ะสิ แค่คิดก็น่าหงุดหงิดแล้ว”

“นั่นมันก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอวะที่คนเราจะกลัวเรื่องพวกนี้น่ะ คนปกติที่ไหนจะมานั่งกังวลเรื่องจะเสียฟอร์มให้ผีกันล่ะเว้ย!” แทนยกมือกุมขมับ สิ่งที่เจอเมื่อคืนทำเขาแทบสติแตก แต่เพื่อนสนิทของเขากลับพูดแบบนี้ออกมาได้หน้าตาเฉย เขาชักเริ่มสงสัยแล้วว่ามีนามีความกลัวเหมือนคนทั่วไปบ้างหรือเปล่า “ฉันว่าตอนนี้แกตัดชื่อบ้านคาลินินออกจากรายชื่อที่ต้องแวะไปเยี่ยมได้เลย เพราะถึงแกอยากจะกลับไปแค่ไหน ฉันก็ทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางแก”

มีนาได้แต่ทำหน้าเซ็ง ๆ เป็นคำตอบก่อนจะลุกออกจากเตียง เมื่อแทนเห็นดังนั้น เขาก็รีบเข้าไปขวางทางเอาไว้ทันที

“นี่แกกำลังจะไปที่นั่นอีกใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอ ฉันจะไปล้างหน้าล้างตา แล้วก็กลับหอของฉันสิยะ จะให้อยู่บ้านแกไปตลอดหรือไง”

เมื่อได้ยินดังนั้น แทนก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วก็หลีกทางให้เธอ หลังจากที่เสร็จธุระส่วนตัวและจัดเสื้อผ้าหน้าผมเรียบร้อยแล้ว ก็พากันลงไปชั้นล่าง ซึ่งพอลงมาถึง กลิ่นอาหารเช้าก็หอมโชยเข้ามาปะทะจมูก ทำให้ท้องของคนทั้งคู่เริ่มร้องครวญคราง

“แม่ เช้านี้มีอะไรกินบ้างอะ” แทนตะโกนถามขณะก้าวเท้าเข้าไปดูในครัว แล้วเขาก็เห็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบกำลังยกชามแกงจืดไปวางบนโต๊ะอาหาร

“ตื่นสายอีกแล้วนะ ลูกคนนี้” แม้ปากจะบ่น แต่รอยยิ้มอบอุ่นก็ยังประดับอยู่บนใบหน้า

“โถ่ แม่ ก็ผมต้องอ่านหนังสือสอบจนดึกนี่” เขารีบพูดแก้ตัว “พอดีว่ามีนมาช่วยติวให้น่ะ” ว่าแล้วก็พยักพเยิดไปที่หญิงสาวที่กำลังเดินลงบันไดมาทีหลัง

“อ้าว หนูมีน มาตั้งแต่ตอนไหนทำไมป้าไม่เห็นรู้เลย” แม่ของเขามองหญิงสาวที่ยังใส่ชุดนักศึกษาอยู่อย่างแปลกใจ เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ไม่น่าจะมีคลาสเรียน

“ก็เมื่อคืนไงแม่ ตอนพวกผมกลับมา แม่หลับไปแล้วนี่”

“ทำไมเราไม่รู้จักทบทวนบทเรียนตั้งแต่เนิ่น ๆ ล่ะ จนต้องมารบกวนเพื่อนดึก ๆ ดื่น ๆ เนี่ย” ดลพร ผู้เป็นแม่บ่นยาวเป็นชุด และยังบ่นต่ออีกว่ามีนาเป็นผู้หญิง พาให้มาค้างแบบนี้ได้อย่างไร แทนที่ฟังจนหูชาจึงต้องหันมาขอความช่วยเหลือจากตัวต้นเหตุซึ่งกำลังแอบขำอย่างไม่รู้สำนึกเอาเสียเลย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า เพราะยังไงก็เป็นการทบทวนไปด้วย” หญิงสาวพูดไปตามน้ำ

“เห็นมั้ย เพราะหนูมีนคิดแบบนี้ไงถึงเรียนเก่ง” ดลพรหันไปพูดกับลูกชายจนเจ้าตัวทำหน้ามุ่ย

“โธ่ ผมก็เรียนดีน่า แม่เคยผิดหวังไหมล่ะ” เขาบ่นอุบอิบ

“เออนี่ หนูมีนทานอะไรก่อนกลับนะ แม่ไม่รู้ว่าหนูมีนมา เลยเตรียมกับข้าวไว้ไม่กี่อย่างเอง”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีนทานไม่เยอะหรอก” คำพูดช่วงสวนทางกับความเป็นจริงจนแทนหันมาทำตาโตใส่ ซึ่งหญิงสาวก็ทำท่าทีไม่สะทกสะท้าน

ทุกคนนั่งประจำที่ที่โต๊ะอาหาร กินข้าวไปคุยไป มีนามักจะถูกดลพรถามด้วยคำถามเกี่ยวกับเรื่องเรียน แล้วก็ความสัมพันธ์ของเธอกับแทนว่าเมื่อไหร่จะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งสักที ซึ่งทำให้ทั้งคู่ต้องรีบปฎิเสธเป็นพัลวัน

หลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ขอตัวกลับ แต่ดลพรก็ยืนยันว่าจะให้แทนไปส่งถึงที่

“อย่าลืมดูแลหนูมีนเค้าให้ดี ๆ ล่ะ” ดลพรพูดขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินมาที่รถ แล้วก็ส่งสายตาที่สื่อความหมายบางอย่างไปให้ลูกชาย

“แม่ ผมบอกแล้วไง ว่าผมกับมีนเป็นเพื่อนกัน” แทนพยายามจะเถียง แต่ก็ถูกแม่ของเขาดันให้เข้าไปนั่งที่นั่งคนขับ

“งั้นหนูลานะคะ” มีนายกมือไหว้ดลพร ก่อนจะขึ้นไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่ม

“ดูคุณป้าอยากให้เราเป็นแฟนกันจังเนอะ แต่ลองคิดดูดิ ฉันกับแกเนี่ยนะ แค่คิดก็ฮาแล้ว” มีนาพูดขึ้นหลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกมาสักพักแล้ว

“ก็แม่ฉันปลื้มแกจะตาย แต่ไม่แน่นะ ถ้าแม่ฉันรู้ว่าแกซาดิสม์ขนาดไหน แล้วแถมยังชอบของแปลกๆ อีก ก็อาจจะเลิกคิดให้แกมาเป็นลูกสะใภ้ไปเลยก็ได้” เมื่อแทนพูดจบ ทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เป็นเพื่อนกับแกอย่างนี้น่ะดีแล้ว สนุกจะตาย” ว่าแล้วมีนาก็เอากำปั้นชกไปที่แขนของแทน

“ใช่แล้ว และในฐานะเพื่อนนะ ฉันจะขัดขวางแกทุกวิถีทางถ้าแกจะคิดจะไปข้องเกี่ยวบ้านหลังนั้นอีก”

“นี่แกยังไม่เลิกกังวลเรื่องนั้นอีกเหรอเนี่ย” มีนาทำหน้ามุ่ย

“ก็แกทำตัวให้ฉันเลิกกังวลได้ซะที่ไหนล่ะ”

แล้วสองคนก็ถกเถียงกันตลอดทางที่ไปหอพักหญิงใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะแยกกันแทนก็ยังหันมาย้ำกับมีนอีกเป็นครั้งสุดท้าย

“แกคงไม่ไปแล้วนะ”

“เออ รู้แล้วน่า นี่แกพูดมาเป็นสิบ ๆ รอบแล้วนะ แล้วแกก็กลับไปได้แล้วด้วย ฉันจะขึ้นไปนอนพักสักหน่อย เถียงกับแกทีนี่เหนื่อยกว่าตอนเรียนอีก” ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินหายเข้าไปในหอพัก ปล่อยให้แทนมองตามอย่างอ่อนใจ

.......................................................................

หลังจากที่กลับเข้ามาในห้อง มีนาก็ไม่ได้นอนพักอย่างที่บอกกับแทน แต่กลับหยิบเอาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาออกมาเปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับบ้านคาลินินต่อ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมมากนัก เพราะนอกจากกระทู้ที่น้องออมเอามาให้อ่าน ก็ไม่มีกระทู้อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกเลย

“หายากจังแฮะ” เธอบ่นอยู่คนเดียวในห้อง ความจริงลึก ๆ แล้วเธออยากจะไปบ้านหลังนั้นอีกครั้งให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่อีกใจเธอก็คิดว่าถ้ามีข้อมูลอะไรดี ๆ แล้วค่อยไปน่าจะรับมือง่ายกว่า

“เฮ้อ...” ในเมื่อหาเท่าไรก็ไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติม หญิงสาวจึงถอนหายใจพร้อมกับปิดเครื่อง เธอเริ่มจะคิดว่าผู้หญิงในบ้านหลังนั้นอาจเป็นแค่คนธรรมดาที่เก็บตัว ส่วนเจ้าของกระทู้นั่นอาจจินตนาการไปเอง แล้วเธอก็ดันไปอ่านมันจนคิดเรื่องราวเป็นตุเป็นตะขึ้นมา

แต่แล้วภาพดวงหน้าขาวซีดภายใต้เรือนผมสีน้ำตาลหยักเป็นลอนก็ผุดขึ้นมาให้หัว ไม่ว่าจะพยายามสลัดภาพนั้นออกไปเท่าไร มันกลับยิ่งฝังแน่นไม่หายไปไหนเสียที โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำตาลที่แสนเย็นชาคู่นั้น ดวงตางดงามที่มีแววความเศร้าสร้อยแฝงอยู่ภายใน ต้องเป็นคนประเภทไหนกันนะที่จะมีดวงตาแบบนี้ได้ หรือหากคนที่เจอเมื่อคืนเป็นผีอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ตอนมีชีวิตอยู่ต้องเจออะไรมาบ้างนะ

อันที่จริงความรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกฉุดกระชากวิญญาณยังคงอยู่ไม่หายไปไหน แต่ในความกลัวนั้นมันมีกลิ่นอายของความหอมหวานที่เชื้อเชิญให้เธอพุ่งเข้าไปหา เธอไม่รู้ว่าพอตัวเองพุ่งเข้าไปหาแล้วจะได้เจอกับอะไร รู้แต่เพียงว่ามีอะไรบางอย่างที่น่าดึงดูดจนแม้แต่ตัวเธอเองก็ถอนตัวไม่ขึ้น เธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นแมลงเม่ากำลังบินเข้ากองไฟ หลงความสวยงามของเปลวไฟจนเผลอปล่อยให้มันแผดเผาร่างกายและสุดท้ายก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

หลังจากความคิดต่าง ๆ วนเวียนอยู่ในหัวมาได้สักพัก มีนาก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มดำดิ่งไปกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียวมากเกินไปแล้ว จึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ น้ำเย็น ๆ จากฝักบัวช่วยให้สมองผ่อนคลายได้บ้าง หลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จ เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดรสสั้นเหนือเข่า และสะพายกระเป๋าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก

พักเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วออกไปช้อปปิ้งดีกว่า

.......................................................................

สีของท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม บ่งบอกว่าอีกไม่นานเวลาค่ำก็จะมาเยือน แต่การจราจรยังคงหนาแน่น ส่งผลให้ใครหลาย ๆ คนที่อยู่ในรถที่ติดแหงกอยู่บนท้องถนนเริ่มอารมณ์เสีย รวมถึงหญิงสาวที่นั่งรถแท็กซี่กลับมาจากห้างสรรพสินค้าด้วย

“เดี๋ยวลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ” ในเมื่อเห็นว่ารถไม่มีท่าทีจะขยับเลย มีนาจึงตัดสินใจขอลงก่อน เพราะแค่เดินต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงหอของเธอแล้ว

มีนาเดินหอบถุงเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาเข้าไปในซอยแคบ ๆ ซอยหนึ่งเพราะเห็นว่าเป็นทางลัด แต่พอเดินไปเรื่อย ๆ เธอก็เริ่มรู้สึกว่าตนคิดผิดที่มาทางนี้

ในซอยที่มีนาเดินเข้ามาดูเปลี่ยวและร้างผู้คน แถมท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลงทีละน้อย ผู้หญิงแบบเธอเดินคนเดียวแบบนี้ไม่ปลอดภัยแน่ ตอนแรกเธอคิดว่าจะเดินกลับไปทางเดิม แต่เมื่อเห็นว่าตนเองเดินมาจนถึงครึ่งทางแล้ว เธอจึงกลั้นใจเดินต่อ จากที่เดินปกติ ก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นก้าวขายาว ๆ เพื่อให้ถึงปากซอยเร็ว ๆ ในใจก็ภาวนาว่าอย่าให้มีคนเดินผ่านมาทางนี้เลย ในความคิดของเธอ คนยังน่ากลัวกว่าผีเสียอีก

...ทว่าดูเหมือนคำภาวนาจะไม่เป็นผล

“จะไปไหนเหรอ น้องสาว” เสียงของผู้ชายดังขึ้นข้างหลัง แต่เธอก็ไม่คิดจะหันกลับไปมอง ขาของเธอเริ่มก้าวเร็วขึ้น เพื่อจะได้รีบพ้นตรงนี้ไป แต่ดูท่าจะหนีไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังไล่หลังมา และจากเสียงที่ได้ยิน เธอค่อนข้างมั่นใจว่ามีมากกว่าหนึ่งคน

จากการเดินก้าวยาว ๆ ก็เปลี่ยนเป็นวิ่ง เสียงส้นสูงกระทบพื้นดังกึกก้องในซอยที่เงียบสงัด ซึ่งถึงแม้เธอจะใส่ส้นสูง แต่ก็ยังสามารถวิ่งได้โดยไม่หกล้มถึงอย่างนั้นความเร็วของเธอก็ยังสู้ผู้ชายแปลกหน้าที่ตามเธอมาไม่ได้ มือหยาบกร้านคว้าแขนของเธอไว้แล้วกระชากอย่างแรงจนเซถลาไปด้านหลัง และยิ่งเธอสะบัด มือนั้นก็ยิ่งจับแน่นขึ้น

“จะรีบไปไหน มาคุยกันก่อนสิ” ผู้ชายที่ดึงแขนเธอไว้พูดขึ้นพร้อมกับแยกยิ้มอย่างหื่นกาม เขาเป็นคนรูปร่างผอมแห้งเหมือนติดยา ไม่คิดว่าจะมีแรงเยอะขนาดนี้

“สวยด้วยนี่หว่า” ผู้ชายอีกคนที่มาด้วยกันให้ความเห็น พร้อมใช้สายตาโลมเลียไปตามร่างกายของหญิงสาวจนเธอนึกรังเกียจ

“เฮ้ย คนนี้กูขอก่อนเว้ย” คนที่จับแขนมีนาอยู่รีบพูดขึ้น ซึ่งในตอนนั้นเองมีนาก็ใช้ส้นรองเท้าเหยียบไปที่เท้าของเขาอย่างแรงจนถึงกับร้องลั่นและเผลอปล่อยมือจนเธอหลุดออกไปได้

“โอ๊ย...นังนี่”

ทางด้านมีนาเมื่อเป็นอิสระก็พยายามวิ่งหนี แต่ก็ถูกเพื่อนของคนที่จับเธอไว้ตอนแรกดักไว้ได้ทัน เขาเอามือสองข้างบีบไหล่ของเธอแน่น

“ปล่อยนะ” มีนาพยายามสะบัด แต่กลับถูกบีบแรงขึ้นจนเธอต้องปล่อยข้าวของที่เพิ่งไปซื้อมากระจัดกระจายเกลื่อนพื้น ความเจ็บปวดที่จู่โจมเข้ามาทำให้เธอคิดว่าป่านนี้กระดูกที่ไหล่ทั้งสองข้างของเธอคงแหลกละเอียดไปแล้ว

“ช่วย...โอ๊ย” มีนากำลังจะตะโกนร้องให้คนช่วย แต่ยังไม่ทันจะจบคำเธอก็ถูกผลักไปติดกำแพง และโดนเอามือปิดปากไว้

“ดูท่าทางจะแสบใช่ย่อย...จัดการที่นี่เลยดีไหมวะ”

ในเวลานั้นมีนารู้สึกตื่นตระหนกและหมดหวัง ในหัวคิดแต่ว่าต่อไปเธอจะโดนสองคนนี้ทำอะไร เธอเคยเห็นข่าวเกี่ยวกับฆ่าข่มขืนมามาก แต่ครั้งต่อไปคนที่จะตกไปอยู่ในข่าวคงเป็นตัวเธอเอง พอคิดมาถึงตรงนี้น้ำตาก็เริ่มเอ่อออกมา

ทว่าในขณะที่กำลังสิ้นหวังนั้น จู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนอุณหภูมิรอบด้านกำลังติดลบ นอกจากนี้ยังรู้สึกถึงรังสีบางอย่างพุ่งตรงเข้ามาจนเธอเสียวสันหลังวาบ บรรยากาศรอบด้านก็กดดันขึ้นเป็นทวีคูณจนแทบอยากจะสำรอกออกมา

ความรู้สึกแบบนี้มัน...

พวกผู้ชายที่จับเธออยู่ก็คงรู้สึกถึงความผิดปกติเหมือนกัน เพราะพวกเขาหยุดชะงักในสิ่งที่กำลังจะทำและหันไปทางด้านหลังพร้อมกัน

มีนาเงยหน้าขึ้นแล้วมองข้ามไหล่ของผู้ชายสองคนไป สิ่งที่เห็นคือร่างของผู้หญิงในชุดสีดำสนิทกำลังยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าสีซีดภายใต้เรือนผมสีน้ำตาลที่เธอจำได้ไม่ลืมเลือนดูสงบนิ่ง แต่ดวงตากลับดูเยือกเย็น มีนารู้สึกว่ามือที่จับเธออยู่กำลังสั่น เมื่อเธอเหลือบมองสีหน้าของผู้ชายสองคนนั้น ก็เห็นว่าตาของพวกเขาเบิกโพลง และยิ่งผู้หญิงผมสีน้ำตาลเริ่มขยับเข้ามาใกล้ ทั้งสองก็ร้องลั่นและพยายามตะเกียกตะกายหนีจนเผลอปล่อยมือที่จับเธออยู่

หญิงสาวค่อย ๆ ถอยห่างออกมา ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเธอแล้ว เพราะผู้ชายทั้งสองก็มัวแต่หวาดกลัวผู้มาใหม่ ส่วนผู้ที่มาใหม่นั้นเดินผ่านเธอไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวแล ดวงตาสีน้ำตาลอันแสนเยือกเย็นยังคงจับจ้องไปที่ผู้ชายทั้งสอง และสิ่งที่ทำให้มีนาแทบจะหยุดหายใจคือเล็บแหลมคมที่ยาวงอกออกมา เธอแทบจะกรีดร้องเมื่อเห็นเล็บแหลมนั้นทาบไปที่อกของสองคนที่กำลังแตกตื่นอยู่ ทำท่าเหมือนกับกำลังจะคว้านเข้าไป แต่ก็ไม่ได้ทำจริง ๆ

เมื่อผู้หญิงผมสีน้ำตาลดึงเล็บกลับมา พวกเขาก็ทรุดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น ตอนแรกมีนาคิดว่าทั้งสองต้องตายแน่ ๆ แต่อกของพวกเขาก็ไม่ได้มีบาดแผลหรือแม้แต่รอยขีดข่วนเลย แถมยังขยับขึ้นลงแสดงว่ายังหายใจอยู่ด้วย

หลังจากผู้มาใหม่จัดการผู้ชายสองคนเรียบร้อยแล้วก็หันมาทางเธอ ถึงแม้จะไม่เยือกเย็นเหมือนกับตอนมองสองคนนั้น แต่ก็ทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง มีนาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยสำหรับเธอนัก บางทีผู้หญิงเบื้องหน้าของเธอนี้อาจจะเปลี่ยนใจตามเธอมาเพื่อฆ่าปิดปากก็ได้ และถึงรังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากผู้หญิงผมสีน้ำตาลจะเริ่มลดลงไปบ้างแล้ว แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะปล่อยเธอไปแบบครั้งก่อนหรือไม่

“คุณคงเป็นพวกชอบหาเรื่องใส่ตัวสินะ” ผู้หญิงผมสีน้ำตาลพูดขึ้นมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาที่นี่ น้ำเสียงยังคงเย็นชาเช่นเดิม แต่มีนากลับรู้สึกว่าแอบมีความเห็นใจอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่มองมา

“เมื่อกี้เธอทำอะไรผู้ชายพวกนั้นน่ะ” มีนาตัดสินใจถามออกไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาทำร้าย

“คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”

“เอ่อ...แล้ว...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบ มีนาก็ถูกสายตาเย็นชาจ้องมา จนคำพูดที่เหลือต้องหยุดชะงักลง

“คุณไปได้แล้ว ฉันหวังว่าจะไม่เจอคุณอีกนะ”

“คือฉันแค่จะบอกเธอว่า...ขอบคุณนะ” ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายผ่านมาได้อย่างไร และจริง ๆ แล้วเป็นใครกันแน่ แต่มีนาก็ขอบคุณจากใจจริง เพราะถ้าไม่ได้ผู้หญิงเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลมาช่วย มีนาก็ไม่รู้ว่าตนเองจะมีชะตากรรมเช่นไร

“ฉันแค่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นโชคดีของคุณ แต่ถ้าคุณยังคงยืนอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วมีคนแบบสองคนนี้ออกมาอีก คุณคงไม่โชคดีแบบนี้แล้ว เพราะฉันคงไม่เดินย้อนกลับมาอีก” พูดจบก็เดินหันหลังกลับหายไปในทางที่มีนาเพิ่งเดินผ่านมา

บนใบหน้าของหญิงสาวปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ เธอแอบแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าหลังจากที่ผ่านสถานการณ์แบบนี้มาแล้วยังจะสามารถยิ้มออกมาได้อีก

เหมือนจะเจอเรื่องน่าสนใจซะแล้วสิ

เธอคิดในใจพร้อมกับเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มพื้นขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปในทิศทางตรงข้ามกับผู้หญิงผมสีน้ำตาลผู้ลึกลับ แล้วก็เดินออกจากซอยไปได้อย่างปลอดภัย

###################################################

สวัสดีค่านักอ่านทุกท่าน ดูเหมือนมีนาจะเจอกับเรื่องไม่คาดฝันเข้าแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมีนากับผู้หญิงลึกลับที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นจะเป็นยังไงต่อ โปรดติดตามกันด้วยนะคะ ?