ทันทีที่มีเสียงร้องดังขึ้น มีนาก็แทบจะลืมหายใจไปชั่วขณะ เสียงนั้นทำให้เธอรู้สึกหายใจติดขัด มันให้ความรู้สึกถึงเสียงของภูตผีปีศาจที่เคยดูในภาพยนตร์ไม่มีผิด มันกำลังถ่ายทอด ทั้งอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ มาให้เธอ แต่เมื่อตั้งสติได้ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเสียงนั้นเป็นของเบลล์

“เบลล์! เกิดอะไรขึ้น เปิดประตูให้ฉันหน่อย” มีนาทุบประตูเรียก

ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงกรีดร้องก็หยุดลง มีนาที่ยืนอยู่หน้าห้องรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นทันที ประตูไม้ค่อย ๆ เปิดออกมาช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดโผล่ออกมา มีนาเห็นริมฝีปากของเบลล์สั่นระริก ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโพลงเหมือนเพิ่งไปเจอเรื่องร้าย ๆ มา

“กะ...เกิดอะไรขึ้นเหรอ” มีนาพูดตะกุกตะกัก

เบลล์ไม่ตอบ เธอหันไปมองรอบ ๆ ตัวเหมือนเพิ่งได้สติ แล้วใบหน้าที่ฉายแววตื่นกลัวค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“มีอะไรหรือเปล่า” มีนาถามอย่างเป็นห่วง

“ฉันฝันร้ายน่ะ” เบลล์พูดเสียงแผ่ว ก่อนจะตรงไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างอีกครั้ง เธอเปิดม่านออกแล้วมองไปยังหน้าประตูรั้วสีดำ...พื้นที่ตรงนั้นยังคงว่างเปล่า

ปีศาจก็ฝันร้ายได้ด้วยงั้นเหรอ

มีนาแอบคิดในใจแล้วเดินตามมาสมทบ พยายามมองไปยังจุดที่เบลล์มองอยู่ แต่พอเห็นแต่ความว่างเปล่า เธอก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“เมื่อกี้มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น” เบลล์พูดขึ้นมา เหมือนรู้ว่ามีนากำลังจะถาม

กลุ่มหนึ่ง...แปลว่ามีมากกว่าหนึ่งคนงั้นเหรอ

“เธอเห็นเหรอ”

“เปล่า แต่ฉันรู้สึกได้”

“แล้วเธอรู้จักพวกนั้นหรือเปล่า”

“เป็นพวกเดียวกับคนที่สะกดรอยตามฉัน”

มีนาแอบเห็นว่าในระหว่างที่เบลล์พูด ดวงตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเหมือนมีเงาดำแวบผ่านไป นั่นทำให้มีนารู้สึกขนลุก คนที่ตามเบลล์มาต้องไม่ธรรมดาแน่ ถึงทำให้ปีศาจอย่างเบลล์ลำบากใจได้ขนาดนี้

“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามคนคนนั้นต้องการอะไรจากเธอแน่ ถึงได้ตามไม่เลิกขนาดนี้” มีนาชักเริ่มคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากลมากกว่าที่คิด

เบลล์กลับไปสู่โหมดนิ่งเงียบอีกครั้ง มีนาสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย เธอรู้ว่าเบลล์มีเรื่องบางอย่างที่ยังเก็บไว้ในใจ ซึ่งเธอก็ไม่กล้าที่จะเซ้าซี้ถามอะไรออกไป เพียงแต่สังเกตท่าทีของเบลล์เป็นระยะ ๆ เห็นปีศาจสาวทำหน้าเรียบเฉย แต่ในแววตาแอบมีประกายบางอย่างที่มีนาเองก็อธิบายไม่ถูก

“ขอโทษนะที่ทำให้ตื่นมากลางดึก ฉันไม่น่าชวนเธอมาค้างที่นี่เลย” จู่ ๆ เบลล์ก็พูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน

“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอก ที่จริงฉันยังไม่ได้นอนเลย” มีนายิ้มแห้ง ๆ “และฉันก็เต็มใจนอนที่นี่ด้วย”

“ถ้างั้นตอนนี้เธอก็ไปนอนได้แล้ว” เบลล์เดินไปส่งมีนาที่หน้าห้อง “ฉันก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”

เบลล์หันหลังกลับกำลังจะเดินกลับห้อง แต่มีนาก็เรียกไว้

“เบลล์...เธออยากเล่าอะไรให้ฉันฟังหรือเปล่า”

ปีศาจสาวชะงักฝีเท้า เธอหันกลับไปเห็นแววตาจริงใจที่มีนาส่งมาให้ ในอกอันว่างเปล่าของเบลล์มีความรู้สึกถึงบางอย่างวาบผ่าน มันเป็นความรู้สึกที่หายไปจากเธอนานมาก จนเกือบลืมไปแล้วว่าความรู้สึกแบบนี้มันเรียกว่าอะไร แต่แล้วเธอก็สลัดความรู้สึกนี้ทิ้ง ก่อนจะตอบกลับไป

“อยู่ห่าง ๆ เรื่องนี้ไว้แหละดีแล้ว มันไม่เกี่ยวกับเธอเลย” เมื่อพูดจบ เธอก็ทำท่าจะเดินกลับไปอีกรอบ แต่ก็ถูกมีนารั้งแขนเอาไว้

“ถ้าเธอไม่เล่าให้ฟังก็ไม่เป็นไร แต่ฉันอยากให้เธอรู้ไว้ว่าฉันจะพร้อมฟังในเวลาที่เธออยากเล่านะ” มีนาหยุดลง เหมือนกำลังคิดว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ “ถ้าเธอไม่สบายใจก็ย้ายมาพักกับฉันชั่วคราวก่อนก็ได้นะ”

เบลล์นิ่งอึ้งไป ไม่คิดว่ามีนาจะเอ่ยปากชวน แต่แล้วก็ปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก ลำบากเปล่า ๆ ”

“เอางี้ไหม วันมะรืนฉันว่างทั้งวัน เธอออกไปข้างนอกกับฉันนะ การออกไปข้างนอกอาจทำให้เธอหายฟุ้งซ่านก็ได้” คำชวนอย่างกะทันหันทำให้เบลล์ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจอีกรอบ ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีก

“เธอไม่เข้าใจหรือไง ถ้าเราออกไปด้วยกันคุณจะยิ่งไม่ปลอดภัยเปล่า ๆ” ปีศาจสาวคิดว่ามีนาคงจะเสียสติไปแล้วแน่ ๆ

“ถ้าออกไปข้างนอกกับเธอ ฉันจะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นต่างหาก อย่างเมื่อวันนั้นถ้าไม่ได้เธอ ฉันคงแย่แน่” มีนานึกถึงวันที่เจอเบลล์ในซอยเปลี่ยว “แล้วอีกอย่างจะได้รู้กันไปเลยว่าพวกคนโรคจิตนั่นจะยังตามเธอมาอีกไหม ถ้ายังจะมาอีกจะถามไปเลยว่าเป็นใคร และต้องการอะไรกันแน่ มีฉันอยู่ด้วยเธอไม่ต้องกลัวหรอกนะ”

ท่าทางจริงจังของมีนาทำให้เบลล์เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มีนาคงจะลืมไปแล้วว่ากลุ่มคนปริศนา หรือ ‘พวกคนโรคจิต’ ที่เธอเพิ่งตั้งให้ไปหมาด ๆ เป็นพวกที่ทำให้เบลล์ลำบากใจขนาดไหน แล้วคนธรรมดาอย่างมีนาจะรับมือได้อย่างไร

“เธอนี่มันจริง ๆ เลยนะ เพิ่งรู้จักฉันไม่ไม่เท่าไรก็ทำเป็นพูดดีแบบนี้”

“ถึงอย่างนั้นฉันก็อยากช่วยเท่าที่ทำได้นี่”

“แต่คราวนี้ฉันอาจจะช่วยอะไรเธอไม่ได้นะ ขอบอกไว้ก่อน”

“ยังไงมีสองหัวก็ต้องดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้วสิ” แววตาจริงจังของมีนาทำให้เบลล์ไม่อาจปฏิเสธอีกฝ่ายได้เลย จึงได้แต่ตอบเสียงเบาว่า

“ชวนแล้วก็อย่าคืนคำแล้วกัน”

.......................................................................

รุ่งเช้ามีนาออกจากบ้านเบลล์อย่างอารมณ์ดี เธอกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกจากจากบ้านอีกครั้งพร้อมกล่องของขวัญขนาดพอดีมือ วันนี้ก็เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ใจของเธอพองโตเมื่อนึกถึงคนที่อยากเจอ

หญิงสาวนั่งรถแท็กซี่มาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งดูร่มรื่น สบายตา แถมยังดูใหม่มากเมื่อเทียบกับบ้านที่เบลล์อยู่ เมื่อเธอก้าวออกจากรถ ใจของเธอก็เต้นระส่ำระสาย เธอบอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ จริงอยู่ที่ใจหนึ่งเธออาจจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจ แต่อีกใจเธอก็ห่อเหี่ยวแปลก ๆ เมื่อนึกว่าเธออาจจะโชคร้ายพบคนที่ไม่อยากเจอก็ได้

“พี่มีน!” ยังไม่ทันที่เธอจะได้กดกริ่งหน้าบ้าน เสียงทุ้มก็ดังลอดออกมาจากข้างใน พร้อมกับร่างเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นคนร่างสูง ผิวขาว ดวงตาคมเหมือนมีนา เมื่อเขาเห็นหญิงสาวยืนอยู่หน้าบ้าน รอยยิ้มมีเสน่ห์ก็เผยออกมา

“กาย!” มีนาเรียกชื่ออีกฝ่ายพร้อมกับโบกมือ และส่งยิ้มกลับไปให้ เมื่อกายเปิดประตูให้เธอเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็เอื้อมไปกอดคอเด็กหนุ่มทันที แต่เนื่องจากอีกฝ่ายสูงกว่า เธอจึงทำได้ค่อนข้างทุลักทุเลเล็กน้อย

“นี่พี่มีของจะให้” เธอยืนกล่องของขวัญให้กาย ก่อนจะยีหัวเขาเล่นจนผมยุ่งไปหมด “สุขสันต์วันเกิดนะไอ้ตัวแสบ”

“ผมโตแล้วนะ ปีหน้าก็จะเข้ามหา’ ลัยแล้ว เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ สักทีสิ” เขาจับมือหญิงสาวที่กำลังยีหัวออก แล้วยิ้มกว้าง “อีกอย่าง คนที่เป็นไอ้ตัวแสบน่ะคือพี่ ไม่ใช่ผม”

เมื่อได้ยินลูกพี่ลูกน้องของตนพูดย้อนมาเธอก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะถามถึงอีกคน “แล้วนี่อาภัทรอยู่ไหม”

อาภัทร หรือ ภัทรวดี คือผู้มีพระคุณของเธออีกคน หลังจากที่ทั้งพ่อและแม่ของเธอเสียชีวิต มีนาก็ไม่เหลือใครนอกจากภัทรวดีผู้ซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อ ตอนนั้นอาภัทรรับเธอที่ยังอายุเพิ่ง 10 ขวบมาอยู่ที่กรุงเทพมหานครด้วยกัน ซึ่งก็ทำให้มีนากลายเป็นสมาชิกในครอบครัวของอาภัทรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กายผู้เป็นลูกชายคนเดียวของอาภัทรจึงเปรียบเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของเธอไปด้วย

“แม่อยู่ในบ้านน่ะ ส่วนพ่อน่าจะกลับมาเย็น ๆ” กายรับรู้ได้ว่ามีนามีท่าทีผ่อนคลายขึ้น เมื่อรู้ว่าพ่อของเขาไม่อยู่บ้าน ซึ่งเขาก็รู้เหตุผลอยู่แล้วว่าทำไม...

“อ้าวมีน จะมาทำไมไม่โทรมาก่อนล่ะ อาจะได้เตรียมทำกับข้าวไว้เยอะ ๆ” เสียงหวานดังแทรกเข้ามาขัดบทสนทนาของลูกพี่ลูกน้องทั้งสอง ตามมาด้วยร่างเพรียวก้าวกระฉับกระเฉงตรงมายังจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่

“ไม่ต้องลำบากก็ได้ค่ะอาภัทร มีนแค่จะแวะมาแป๊บเดียว”

“ได้ไงล่ะ นาน ๆ จะแวะมาที อยู่ทานข้าวกันก่อนสิ” อาภัทรพูดพลางจูงมีนาเข้าไปด้านใน

“นั่นสิ พี่มีน ปกติพี่ก็หนีไปอยู่หอ ไม่ยอมกลับมานอนบ้านบ้างเลย” กายพูดสมทบ จนมีนาไม่อาจปฏิเสธได้ เธอปล่อยให้อาภัทรพาเข้าไปในบ้าน แต่สายตาชำเลืองมองกายอย่างไม่สบายใจนัก

“พี่ไม่ต้องกังวลหรอกน่า พ่อไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้หรอก” เขากระซิบอย่างรู้ทัน

มีนาไม่ได้ตั้งใจจะแสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนั้น แต่เธอก็โล่งใจมากขึ้นที่ได้รับคำยืนยันจากกาย

“มีนคุยกับกายไปก่อนนะ พอดีอาทำกับข้าวทิ้งไว้ในครัว” ว่าแล้วอาภัทรก็เดินหายไปจากห้องรับแขก

“ช่วงนี้พี่มีนยังได้เข้าชมรมเกี่ยวกับพวกเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรของพี่อยู่หรือเปล่า” เมื่ออาภัทรหายไปทำกับข้าวแล้ว กายก็ชวนพี่สาวคุยต่อ

“ก็ไม่ค่อยได้เข้าแล้วล่ะ ช่วงนี้มีรายงานต้องทำเยอะด้วย” มีนาพูดอ้อมแอ้ม เธอไม่อยากบอกว่าความจริงว่าเธอเป็นประธานชมรมเลยล่ะ

“ผมก็ไม่ได้อยากห้ามพี่หรอกนะ แต่ผมคิดว่าการที่พี่ชอบไปพิสูจน์เรื่องอะไรพวกนี้น่ะ มันอันตรายเกินไป” กายทำสีหน้าจริงจังจนมีนาหลุดขำ

“นี่ อย่าบอกนะว่าไม่เลิกกลัวผีน่ะ” มีนาแซ็ว

“เปล่า ใครกลัวผีกัน” คราวนี้กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มที่โดนไล่ต้อนแทน เขารีบเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาเธอ

“กาย คราวที่แล้วที่ซื้อพริกไทยมา เราไปเก็บไว้ไหนจำได้ไหม” เสียงภัทรวดีดังออกมาจากในห้องครัวช่วยชีวิตกายที่กำลังโดนมีนาไล่ต้อนได้ทันพอดี

“เดี๋ยวผมไปหยิบให้นะแม่ สงสัยมันไปอยู่ปนกับถุงอื่นน่ะ” กายพูดจบก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน ห้องนี้จึงเหลือมีนาคนเดียว

เมื่อถูกปล่อยไว้คนเดียวเธอจึงเดินดูรอบ ๆ บ้าน ทุกอย่างยังไม่เปลี่ยนแปลงทั้งตู้โชว์ เก้าอี้ โต๊ะ โซฟา และ ตำแหน่งการจัดวาง จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปหาอาภัทรในห้องครัวเผื่อว่าจะมีอะไรให้เธอช่วยได้บ้าง

“หอมน่าทานจังเลยอาภัทร” มีนาทัก

“หลานสาวมาหาทั้งทีก็ต้องทำกับข้าวอร่อย ๆ สิ”

“มีอะไรให้มีนช่วยไหม มีนก็ทำอร่อยนะ”

“รู้จ้ะ ก็อาเป็นคนถ่ายทอดวิชาให้เองนี่”

สองสาวต่างวัยหัวเราะคิกคัก พลันสายตาของมีนาก็เหลือบไปเห็นประตูอีกบานที่อยู่บนผนังตรงข้ามห้องครัว มันคือประตูไม้ดูเก่าผุพังซึ่งล็อกกลอนไว้อย่างแน่นหนา ช่างเป็นประตูที่ไม่เข้ากับอย่างอื่นในบ้านเลยแม้แต่น้อย

ประตูบานนี้ก็ยังอยู่เหมือนเดิม

มีนามองประตูเก่า ๆ นั่นขณะที่เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำ

.......................................................................

10 ปีก่อน...

“กายรู้ไหมว่าข้างในนี้มีอะไร” มีนาในวัยสิบเอ็ดปีเอ่ยถามเด็กชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขณะที่มองประตูไม้เก่าผุพังด้วยสีหน้าสงสัย ปกติประตูบานนี้จะต้องถูกลงกลอนเอาไว้ แต่วันนี้มันถูกปล่อยไว้โดยไม่ได้ล็อก

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อะไรกัน อยู่มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยเข้าไปข้างในเหรอ”

เด็กชายส่ายหัว “จะเข้าทำไมดูน่ากลัวจะตาย” เขามองประตูเก่าผุพังตรงหน้า พร้อมทำหน้ายู่

“มีอะไรน่ากลัวล่ะ” เด็กหญิงพูดพลางเอื้อมมือกำลังจะไปแตะประตูบานนั้น

“อย่านะพี่มีน” เด็กชายตัวน้อยร้องห้าม พลางเกาะแขนลูกพี่ลูกน้องของเขาเอาไว้ไม่ให้เดินไป

“กาย มันไม่มีอะไรหรอกน่า” มีนาดันตัวเขาออก “ไม่อยากรู้จริง ๆ เหรอว่ามีอะไรข้างใน”

“ไม่อยาก” เด็กชายรีบตอบทันควัน

“แต่พี่อยากนี่ อยู่มาตั้งปีกว่าแล้วไม่เคยเข้าไปสำรวจเลย” เธอว่าพลางเดินเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้น ความจริงนอกจากอยากรู้อยากเห็นแล้ว เธอยังอยากทำอะไรบางอย่างที่ขัดคำสั่งสามีของภัทรวดีที่เป็นพ่อของกายบ้าง เนื่องจากเธอไม่ชอบใจที่เขาชอบพูดจาค่อนแคะแม่ของเธออยู่บ่อย ๆ

“ไม่ได้นะ” กายวิ่งไปขวางหน้า เขากางแขนออกจนสุด พร้อมเขย่งเท้าเพื่อที่จะทำให้ตัวสูงเท่าพี่สาวให้ได้มากที่สุด “พ่อห้ามไว้”

“แต่วันนี้อาทศไม่อยู่นี่”

“พ่อจะล็อกกุญแจไว้ทุกครั้ง พี่มีนเข้าไม่ได้หรอก”

แทนที่มีนจะทำหน้าผิดหวัง เธอกลับเผยรอยยิ้มซุกซนออกมา เด็กหญิงจับไหล่น้องชายแล้วหมุนตัวเขาให้หันหน้าไปทางประตู

“ไม่เห็นเหรอ ว่าวันนี้มันไม่ได้ล็อก” มีนาชี้ไปตรงตำแหน่งที่ปกติจะมีแม่กุญแจแขวนเอาไว้ ทว่าวันนี้กลับว่างเปล่า “สงสัยวันนี้คุณอาจะรีบมากเลยลืม นี่ถ้าวันนี้เราไม่เข้าไปดู ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกหรือเปล่า”

“แต่ว่า...” กายทำท่าคิดหนัก “ถ้าข้างในมีผี มันอาจจะจับตัวพวกเราไปก็ได้นะ พ่อบอกว่าพวกผีเป็นสิ่งชั่วร้าย”

“นั่นก็แค่คำพูดหลอกเด็กน่ะ คนบางคนน่ากลัวกว่าผีอีก” มีนาออกความคิดเห็น “แล้วอีกอย่าง ถ้าเป็นอย่างที่กายว่าจริง ๆ ป่านนี้คุณอาก็ต้องโดนจับตัวไปแล้วสิ เพราะคุณอาลงไปออกบ่อย”

กายเริ่มมีสีหน้าลังเล เขาไม่อยากให้พี่สาวเข้าไปในทางมืด ๆ นั่นเลย

“พ่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว อาจมีวิธีรับมือก็ได้”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าพี่ก็โตแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวเข้าไปดูแป๊บเดียวก็ออกมาแล้ว กายดูต้นทางด้วยแล้วกัน เผื่ออาทศกลับมา” ว่าแล้วเด็กหญิงก็เดินไปยังประตู

แอ๊ด...

ประตูเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นบันไดที่นำไปสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง

ชั้นใต้ดินเหรอ

มีนาแอบแปลกใจเล็กน้อยที่มีชั้นใต้ดินอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขาลงไป มีนาก็รู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ที่กำชายเสื้อเธอไว้แน่น

“นะ...น่ากลัว” กายตัวสั่น เหงื่อไหลชุ่มเต็มมือ “พี่มีนจะลงไปจริง ๆ เหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“ผมไม่ปล่อยพี่ไปคนเดียวหรอก” เด็กชายพยายามทำตัวกล้าหาญ แต่ก็ยังกลบเสียงสั่นไว้ไม่มิด

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า อยู่ใกล้ ๆ พี่เอาไว้” กลับกลายเป็นมีนาที่ต้องปลอบขวัญอีกฝ่ายแทน

“ผมเคยดูในหนัง มันมีผีน่ากลัว ๆ มาตามล้างแค้นด้วยนะ”

“พี่ไม่ได้ไปทำให้โมโหถึงขนาดต้องตามมาล้างแค้นนี่...หรือว่า...กายจะเคย”

กายรีบส่ายหน้าดิ๊ก “มะ...ไม่เคย”

“ไม่เคยก็ดีแล้ว งั้นก็คงไม่มีใครมาตามล้างแค้นแบบในหนังหรอก” เธอดีดหน้าผากน้องชายเบา ๆ ก่อนจะเดินไปสู่ความมืดด้านหน้าโดยไม่บอกกล่าว ทำให้กายผวากลัวโดนทิ้งไว้คนเดียว จึงรีบตามไปเกาะแขนเธอไว้

“แย่จัง ตรงนี้ไม่มีสวิตช์ไฟด้วย กายระวังตกบันไดนะ” มีนาคว้ามือร่างเล็กมาจับไว้ เนื่องจากทางเดินค่อนข้างมืด ถ้าทิ้งระยะห่างมากเกินไป มีหวังกายคงสติแตกแน่

เสียงไม้ดีดตัวดังตามจังหวะการเดิน ประกอบกับทางเดินที่มืดไม่มีแสงไฟ ทำให้บรรยากาศยิ่งดูวังเวงเหมือนกับฉากในหนังผีที่ทั้งคู่เคยดู กายเดินตัวสั่นเกาะแขนมีนาแน่น

เมื่อเดินลงมาถึงบันไดขั้นล่างสุดมีนาก็เห็นว่ามีทางเข้าไปยังห้องอีกห้องหนึ่งที่มีลูกกรงขวางกั้นอยู่ ภายในบริเวณนี้ไม่มีช่องระบายอากาศ แต่จู่ ๆ เธอก็รู้สึกหนาววาบไปทั่วทั้งตัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ เด็กชายข้าง ๆ เธอก็คงรู้สึกแบบเดียวกับ เขาจึงพยายามกระตุกแขนในมีนาพากลับขึ้นไปข้างบน

ยังไม่ทันที่เธอได้พูดอะไรออกไป หางตาเธอก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในห้องห้องนั้น เด็กหญิงผงะถอยหลังออกไปโดยอัตโนมัติจนไปชนกายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เข้า พอได้สติเธอก็รีบเอามือปิดปากน้องชายไม่ให้ส่งเสียงดังออกมา

เนื่องจากในที่ที่มีนากำลังยืนอยู่มืดมาก เธอจึงเห็นไม่ชัดว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในอีกห้องหนึ่งมันคืออะไร เธอตาฝาดไปเองหรือไม่

“อะ...อะไรอยู่ในนั้นน่ะพี่มีน” แล้วประโยคที่หลุดออกมาจากปากของกายก็เป็นคำตอบว่าเธอไม่ได้คิดไปเองคนเดียว ถึงเธอจะเห็นไม่ชัดในความมืด แต่เธอพอจะจินตนาการภาพออกว่าขณะนี้กายกำลังทำสีหน้าแบบใด

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” เธอกระซิบ ก่อนที่จะค่อย ๆ ย่องไปโผล่หน้าดูตรงลูกกรง แล้วดวงไฟสีแดงสองดวงก็ปรากฏแก่สายตา

“พี่มีน กลับเหอะ” สองมือเล็ก ๆ ขยุ้มชายเสื้อของเด็กหญิงจนเป็นรอยยับ

“ขอพี่ดูอีกนิดนึงน่า” เธอพยายามเพ่งมองดวงไฟนั้น

ทันใดนั้นแสงไฟสว่างจ้าก็สาดส่องจากทางหัวบันไดมายังเด็กทั้งสอง วินาทีนั้นหัวใจของมีนาแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในใจของเธอภาวนาว่าอย่าให้เป็น ‘คนนั้น’ เลย

แต่คำภาวนาของเด็กหญิงก็ไม่เป็นผล

เบื้องหน้าของเด็กทั้งสองคือชายวัยกลางคนรูปร่างใหญ่กำลังถือกระบอกไฟฉายแล้วส่องมาที่พวกเธอ แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นใบหน้าบูดบึ้ง และคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ทำให้ใบหน้าที่เดิมก็ดูดุอยู่แล้วยิ่งดูหน้ากลัวมากขึ้นไปอีก

“อาทศ”

“พ่อ”

เสียงมีนากับกายประสานขึ้นมาพร้อมกัน แต่พูดออกมาได้เพียงเท่านี้ทั้งสองคนก็โดนมือหยาบกร้านฉุดกระชากขึ้นไปชั้นบนทันที มีนาได้ยินเสียงกายร้องอย่างเจ็บปวดตลอดทางที่ถูกลากขึ้นไป

เมื่อออกมาจากห้องใต้ดินได้ เขาก็หันกลับไปล็อกประตูไว้อย่างแน่นหนา ขณะที่มีนายกแขนตัวเองดูก็เห็นรอยแดงเถือกเป็นรูปนิ้วมือ

“นี่ถ้าฉันไม่กลับมาก่อน พวกแกสองคนก็คงลงไปถึงไหนต่อไหนแล้วใช่ไหม” ทศวรรษหรืออาทศที่มีนาเรียกตะคอกเสียงดัง ก่อนจะชี้นิ้วมายังเด้กหญิง “แกน่ะตัวดี ชอบทำตัวประหลาดเหมือนแม่ ลูกชายฉันคงไม่กล้าขัดคำสั่งหรอกถ้าไม่มีแก”

มีนารู้สึกได้ถึงหยาดน้ำอุ่น ๆ ไหลออกมาจากดวงตาของเธอ ปกติเธอไม่อยากใส่ใจคำพูดของอาทศที่ไม่ค่อยชอบเธอและแม่ของเธออยู่แล้วมากนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเผลอคิดถึงคำพูดเสียดสีเหล่านั้นทุกครั้งไป

“เกิดอะไรขึ้นคะ” ภัทรวดีวิ่งออกมาจากห้องนอน เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นไปถึงชั้นบน

“ก็หลานสาวคุณน่ะสิ ก่อเรื่องอีกแล้ว สอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่อง”

“คุณคะ! สงบสติอารมณ์ก่อนค่ะ แล้วช่วยอธิบายให้ฉันฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้น” ภัทรวดีเริ่มขึ้นเสียงเมื่อเห็นว่าเขาทำท่าจะมีเรื่องกับหลานสาว

ฝ่ายทศวรรษ เมื่อเห็นภรรยาของตนไม่พอใจแถมยังเข้าข้างหลานสาวตัวแสบ เขาก็ยิ่งหงุดหงิด “คุณก็ถามหลานสาวตัวดีของคุณเองแล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินตึงตังขึ้นไปชั้นบน

มีนาเหลือบไปมองน้องชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ บนแขนของเขามีรอยแดงเถือกเช่นเดียวกับเธอ ตาของเขาแดงก่ำจากการร้องไห้มาอย่างหนัก มีนาเห็นดังนั้นจึงดึงเขามากอดไว้

“พี่ขอโทษนะ ไม่น่าพากายลงไปด้วยเลย”

กายไม่ตอบอะไร เขากอดมีนาแน่น พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน

“มีน กาย มาทายาก่อนเร็ว ดูสิแขนแดงไปหมดแล้ว” ภัทรวดีพูดอย่างอ่อนโยน เธอไม่ถามถึงเรื่องที่ทั้งคู่ทำอะไรให้ทศวรรษไม่พอใจ เพราะคิดว่าเด็กทั้งสองคงไม่อยากเล่าในเวลานี้ และอีกอย่างเธอก็รู้ว่าสามีของเธอเป็นคนใจร้อน มักใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเสมอ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีโอกาสทำให้เขาหัวเสียได้เช่นกัน

แม้ในตอนนั้นทศวรรษจะต่อว่ามีนาอย่างรุนแรงและเธอก็จำได้ทุกคำพูด แต่สิ่งที่เข้าไปฝังอยู่ในความทรงจำของเธออย่างแน่นลึกไม่ใช่คำพูดของเขา แต่กลับดวงไฟสีแดงและเงาดำทะมึนที่เคลื่อนไหวอยู่ในชั้นใต้ดิน

.......................................................................

ในเวลาปัจจุบัน...

ประตูไม้แบบเมื่อสิบปีก่อนยังอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าทศวรรษแทบไม่ค่อยจะได้เข้าไปในประตูบานนั้นแล้วนับตั้งแต่ที่เธอกับเขาแอบเข้าไป แต่เธอก็อดสงสัยทุกครั้งที่เห็นมันไม่ได้ว่าปกติแล้วทศวรรษทำอะไรในหลังประตูบานนั้นกันแน่

เมื่อคิดไปก็ไม่ได้คำตอบ มีนาจึงหันไปช่วยภัทรวดีกับกายจัดโต๊ะอาหาร จานกับข้าวหลากหลายอย่างชวนน้ำลายสอถูกลำเลียงมาไว้ที่โต๊ะ ขณะที่อาคนสวยกำลังตักข้าวใส่จานสามใบ ประตูรั้วหน้าบ้านก็เปิดอีกครั้ง มีนารู้ทันทีว่าใครกลับมา

ร่างสูงใหญ่ที่มีนาไม่อยากเจอนักเดินเข้ามาในครัว หญิงสาวรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่จ้องมองมาราวกับเธอเป็นส่วนเกินในบ้านหลังนี้ กายแอบชำเลืองมองพี่สาวอย่างเห็นใจ

“ทำไมกลับเร็วจัง” ภัทรวดีถามอย่างสงสัย พลางเหลือบมองนาฬิกาติดผนังที่บอกเวลาเที่ยงห้านาที ซึ่งเร็วกว่าเวลาที่เขาบอกว่าจะกลับไปเยอะมาก

“พอดีเสร็จธุระเร็วน่ะ” เขาหันไปยิ้มให้ภรรยาที่กุลีกุจอไปหยิบจานอีกใบในครัวมาตักข้าวให้เขา ก่อนจะหันหน้ามาทางมีนา “ไม่เห็นหน้าเห็นตาเลยนะเดี๋ยวนี้”

“ช่วงนี้มีนมีโปรเจคหลายอย่างต้องทำในมหา’ ลัยเลยอยู่แต่ในหอน่ะค่ะ” ความจริงแล้วเธออยู่แต่ในหอเพราะไม่อยากกลับบ้านมาเจอเขาต่างหาก

ทศวรรษพยักหน้ารับรู้ไปส่ง ๆ อย่างไม่ยินดียินร้าย เขาไม่ได้สนใจหรอกว่าหญิงสาวจะออกจากบ้านไปนานแค่ไหน มีนาคิดว่าเขาคงจะดีใจด้วยซ้ำที่เธอไม่อยู่บ้านให้รกหูรกตา

อาหารมื้อกลางวันผ่านไปอย่างน่าอึดอัด แม้ภัทรวดีจะชวนทุกคนคุยเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย แต่มีนาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินอยู่ดี ครั้นจะหนีกลับหอก็คงไม่ทันแล้ว ในเมื่ออาภัทรอุตส่าห์ทำของโปรดให้เธอเพิ่ม หากเธอขอตัวกลับก่อนคงเสียใจแย่

“ที่มหาวิทยาลัยเป็นไงบ้าง” จู่ ๆ คนที่ไม่เคยสนใจว่าชีวิตเธอจะเป็นอย่างไรก็เอ่ยปากถามขึ้น

ทุกคนหันไปมองอย่างแปลกใจ เพราะเป็นที่รู้กันว่าทศวรรษไม่เคยชอบมีนา อาจถึงขั้นที่ว่าจะเป็นจะตายอย่างไรก็คงไม่สน เหตุผลที่ยอมให้เธอมาอยู่บ้านนี้ก็เพราะว่าเกรงใจภรรยา และอีกอย่างพ่อของมีนาก็มีญาติเพียงคนเดียวคือภัทรวดีผู้เป็นน้องสาว ส่วนแม่ของมีนาก็ไม่มีญาติใกล้ชิดคนอื่นสักคนเดียว

“ก็ปกติดีค่ะ” มีนาตอบอย่างระมัดระวัง พลางดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย “ช่วงนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ส่วนใหญ่จะเพิ่งสอบเสร็จกัน”

ทศวรรษเพียงพยักหน้า แล้วพูดสั้น ๆ “ก็ดี”

แล้วมื้อกลางวันก็ดำเนินต่อไป เขาไม่พูดอะไรกับเธออีก ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติของเขา อย่างน้อยก็ดีกว่าตอนที่เขาค่อนแคะเธอเรื่องทำตัวประหลาดเหมือนแม่

กลับกลายเป็นว่าการที่อยู่ดี ๆ เขามาสนอกสนใจเรื่องที่เรียนของเธอทำให้ยิ่งรู้สึกอึดอัดแบบแปลก ๆ ถ้าเป็นครอบครัวอื่น เธอคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ดี แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับทศวรรษนับวันยิ่งแย่ลง การที่เขาหันมาสนใจเธอคงเป็นเพราะมีเรื่องอะไรสักอย่างมากกว่า...ทว่ามีนาก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของเขาเกิดจากอะไร

######################################################

สวัสดีค่า ตอนนี้จะเป็นตอนที่เริ่มเปิดเผยเรื่องราวของมีนากันแล้วนะคะ พร้อมกับแนะนำตัวละครใหม่ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของมีนา...น้องกายนั่นเอง ตัวละครนี้จะมีบทบาทยังไงต้องรอติดตามกันค่ะ