“กรี๊ด!” เบลล์กรีดร้องอย่างเจ็บปวด แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดสวดคาถาง่าย ๆ ยิ่งเห็นปีศาจสาวแสดงท่าทีทุรนทุรายมากเท่าไร เขาก็ยิ่งตาเป็นประกายด้วยความพอใจมากเท่านั้น

“แกสมควรแล้วที่ต้องโดนแบบนี้” หลังจากสวดคาถาจบ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างขณะมองปีศาจตรงหน้าทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง “มันสมแล้วกับสิ่งที่แกทำลงไป”

ฉันเคยทำอะไรด้วยงั้นหรือ มีแต่คนพวกนี้ที่คอยแต่จะเล่นงานฉันอยู่ฝ่ายเดียว

ดวงตาสีน้ำตาลที่ตอนแรกฉายแววสับสนและเจ็บปวดเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว รังสีกดดันแผ่ออกมาจากร่าง เล็บยาวแหลมงอกยาวออกมาจากนิ้วทั้งสิบ เธอตวัดกรงเล็บฝากรอยแผลไว้ที่ข้อเท้าของคนชุดดำคนหนึ่งที่เผลอเหยียบเข้ามาในวงเวท ส่งผลให้เขาและคนชุดดำอีกหลายคนที่ล้อมเธออยู่เริ่มผงะถอยหลัง ดูจากท่าทางแล้ว ในกลุ่มนี้ส่วนมากน่าจะเป็นพวกมือใหม่

“หึ เริ่มเผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ” ชายวัยกลางคนผู้เป็นคู่อริของเธอพูดพลางล้วงมือเข้าไปในชุดคลุม จากนั้นก็หยิบมีดเล่มหนึ่งออกมา เธอสังเกตเห็นว่าบนไปมีดก็มีอักขระโบราณอยู่เช่นกัน

เบลล์มองของในมือของอีกฝ่ายอย่างระวังตัว สถานการณ์ของเบลล์ในขณะนี้ตกเป็นรองอยู่มาก เพราะเธอยังอยู่กึ่งกลางสัญลักษณ์ดาวห้าแฉกบนพื้น แถมร่างกายของเธอก็หนักอึ้งจนขยับตัวไปไหนไม่ค่อยได้ ทำได้เพียงแค่ตั้งรับเท่านั้น

แล้วความเจ็บปวดแบบเดิมก็ถาโถมเข้ามาโดนไม่ทันตั้งตัวเมื่อเหล่าคนชุดดำที่รายล้อมเริ่มสวดคาถาอีกรอบ คราวนี้ชายวัยกลางคนตรงหน้าไม่ได้ร่วมสวดด้วย แต่เขาค่อย ๆ เดินเยื้องย่างเข้ามาหาเธออย่างใจเย็น ราวกับจะประวิงเวลาของความทรมานให้นานยิ่งขึ้นไปอีก สายตาที่มองมาฉายแววพอใจที่ได้เห็นสภาพในตอนนี้ของเธอ

“เตรียมตัวรับกรรมที่แกก่อไว้ซะ” เขายกมีดขึ้น

เบลล์ฟังคำพูดของอีกฝ่ายอย่างเจ็บแค้น เขาหมายความว่าอย่างไรกันที่บอกว่าเธอไปทำกรรมอะไรไว้ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายทำลายชีวิตเธอ เบลล์นึกภาพตนเองกางกรงเล็บแล้วพุ่งเข้าใส่เขา ฝังเล็บแหลมคมเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ในลำคอ ปล่อยให้ของเหลวสีแดงพุ่งสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ ทว่าในความเป็นจริงเธอทำได้เพียงกระถดหนีไปทีละนิดเท่านั้น เพราะไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืน

ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย จู่ ๆ ภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมา ภาพใบหน้าของ ‘เขา’ ที่มีรอยยิ้มอบอุ่นซ้อนทับกับใบหน้าของคนตรงหน้าที่กำลังแสยะยิ้ม มันทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่โดนคาถาอาคมนี้เสียอีก

ทำไมล่ะ...ทำไมเรื่องมันต้องลงเอยแบบนี้ด้วย

“หืม อะไรกัน อยู่ ๆ ก็ยอมแพ้แล้วงั้นหรือ” น้ำเสียงของเขาเจือความแปลกใจ เขามองลงมาเหมือนเห็นของประหลาด มีดที่ถือยังคงเงื้อค้างไว้ “หรือคิดว่าทำแบบนั้นแล้วฉันจะใจอ่อน”

ตอนแรกเบลล์ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่แล้วเธอก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ใบหน้า เธอถึงได้รู้ตัวว่าน้ำตากำลังไหลทะลักมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

นี่เธอร้องไห้งั้นหรือ

“คิดจะมาไม้ไหนกันแน่ อย่าคิดว่าฉันจะหลงกลแกล่ะ” เขาชูมีดขึ้นอีกครั้ง

ปีศาจสาวหลับตาลงอย่างอ่อนล้า เธอเบื่อที่จะอยู่แบบนี้แล้ว ดิ้นรนไปก็มีแต่จะยิ่งทุกข์ทรมานมากขึ้นไปอีก พอเสียทีกับเรื่องแบบนี้

แต่จะว่าไป ยัยมนุษย์นั่นจะคิดอย่างไรกันนะถ้ารู้เรื่องเข้า ไม่หรอก...คงไม่รู้หรอก เพราะปกติถ้าปีศาจตาย ร่างกายจะสูญสลายไปในทันที ยัยมนุษย์มีนาก็คงแค่สับสนที่ว่าจู่ ๆ เธอก็หายไปเสียเฉย ๆ ผ่านไปสักพักก็คงลืมไปเอง

เวลาผ่านไป ความเจ็บปวดก็ยังมาไม่ถึงเสียที ในขณะนั้นเบลล์ถึงรู้สึกได้ว่ามีความวุ่นวายเกิดขึ้น มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังรอบ ๆ ตัวเธอ รวมถึงน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวจากผู้ชายคนนั้น เบลล์ลืมตาขึ้นและพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ความเจ็บปวดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ทำให้หัวของเธอวิงเวียน แถมดวงตาก็พร่ามัวจนเธอต้องทรุดตัวลงอีกครั้ง

เบลล์นั่งรอจนความเจ็บปวดเริ่มบรรเทาลง เมื่อเธอมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าพวกคนชุดดำหันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนชายผู้ต้องการสังหารเธอก็หายไปจากที่ที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งดึงความสนใจของคนพวกนี้ไปชั่วขณะ เธอยังเห็นอีกด้วยว่ามีคนในกลุ่มบางคนที่ดูท่าว่าจะเป็นมือใหม่ขยับตัวไปมาเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี มีคนหนึ่งที่เผลอถอยหลังจนทำเทียนล้มไปสองเล่ม

เมื่อเปลวไฟจากเทียนสองเล่มนั้นดับลง สัญชาตญาณความต้องการเอาตัวรอดก็ทำให้เธอเอื้อมมือออกไปตรงช่องที่เคยมีเทียนวางอยู่แล้วคว้าขาของคนชุดดำคนหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ไม่ทันที่คนอื่น ๆ จะรู้ตัวแล้วจุดเทียนขึ้นมาใหม่ ผู้โชคร้ายคนนั้นพยายามตะเกียกตะกายออกไปให้ห่างเธอด้วยท่าทางตื่นตระหนก แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างยิ่งพังลงเมื่อเขาเผลอปัดป่ายจนเทียนเล่มอื่น ๆ ล้มระเนระนาด แถมด้วยพลังกำลังของเขาก็ไม่อาจจะสู้ปีศาจได้

เบลล์ล็อกคออีกฝ่ายเอาไว้แล้วเอากรงเล็บแหลมจ่อไปตรงตำแหน่งเส้นเลือดใหญ่ เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นแววตาตื่นตระหนกหลายคู่กำลังจ้องมองมา เธอพอใจที่เห็นว่าหนึ่งในเจ้าของแววตานั้นเป็นของชายที่คิดจะสังหารเธอ แต่เมื่อเธอเลื่อนสายตาไปที่ร่างที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาคนนั้น กลับเป็นเธอเองที่ตื่นตระหนก

“เบลล์!” หญิงสาวต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องตื่นตระหนกร้องเรียกก่อนทำท่าจะวิ่งมาหา

“กลับมานี่!” คนข้าง ๆ รีบคว้าตัวหญิงสาวไว้

“อาทศ ปล่อยมีนนะ!” เธอร้องโวยวาย

เบลล์มองมีนาสลับกับเขาคนนั้นอย่างสับสน จนเกือบไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าพวกคนรอบ ๆ กำลังเตรียมจุดเทียนเพื่อนำมาวางรอบวงเวทอีกครั้ง

“หยุดนะ!” เธอคำราม “ถ้าคิดจะทำอะไรล่ะก็ ผู้ชายคนนี้ไม่รอดแน่”

ขณะที่พูดเธอก็รู้สึกว่าตัวประกันของเธอกำลังตัวสั่นด้วยความกลัว สายตาของเขาเหลือบมองมาที่กรงเล็บอย่างหวาด ๆ พวกคนที่ล้อมรอบตัวเธออยู่ต่างหยุดชะงัก รวมถึงหญิงสาวผู้มาทีหลังด้วย เมื่อเห็นสีหน้าของมีนาที่ดูเหมือนจะแสดงความหวาดกลัวออกมา เธอก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก แต่หากไม่ทำแบบนี้เธอก็ไม่รู้ว่าจะรอดตัวไปได้อย่างไร

“ดับไฟทั้งหมดซะ” เธอออกคำสั่ง

พวกคนชุดดำที่เหลือหันหน้าไปมองเขาคนนั้นซึ่งเป็นหัวหน้าอย่างลังเล ทีแรกเบลล์กลัวว่าเขาอาจจะอยากฆ่าเธอจนไม่สนความเป็นความตายของพรรคพวก แต่แล้วเขาก็ออกคำสั่ง

“ทำตามที่มันบอก” เขาพูดอย่างเจ็บใจ

เมื่อแสงไฟที่เหลือค่อย ๆ มอดลงทีละจุดจนดับไปทั้งหมด เบลล์ก็ออกคำสั่งให้ทุกคนถอยออกไป เธอแอบชำเลืองมองมีนาที่ยืนอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ ใบหน้าของหญิงสาวแสดงความสับสนปนหวาดกลัว แขนข้างหนึ่งโดนเขาคนนั้นจับเอาไว้ ซึ่งเขาก็ดูไม่ได้คิดร้ายกับมีนาแต่อย่างใด แม้จะแสดงความโกรธออกมาอย่างปิดไม่มิด เบลล์ก้าวขาออกจากวงเวทโดยที่ลากตัวประกันไปด้วย เมื่อคนอื่น ๆ คิดจะเดินตาม เธอก็ตวัดสายตาใส่จนพวกเขาต้องถอยห่าง เมื่อระยะระหว่างเธอกับพวกคนชุดดำเริ่มห่างพอสมควรแล้ว เธอก็ผลักตัวประกันไปข้างหน้าแล้วก็พุ่งตัวหายไปในความมืด

พวกคนชุดดำบางส่วนเข้าไปดูอาการของคนที่เพิ่งรอดจากการเป็นตัวประกันเมื่อสักครู่ ในขณะที่บางส่วนทำท่าจะวิ่งไปในทิศทางที่ปีศาจหายไป แต่ชายผู้เป็นหัวหน้ากลับร้องห้าม

“ไม่ต้องตาม วันนี้ยกเลิกภารกิจแค่นี้” เมื่อพูดจบก็หันมามองมีนาอย่างโกรธเกรี้ยว “ส่วนแกตามฉันมาที่บ้าน”

.......................................................................

เบลล์หลบออกมาจากสวนสาธารณะได้สำเร็จ ทว่าเธอเองก็ยังคงสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอไม่รู้ว่ามีนามาที่นี่ได้อย่างไร แล้วทำไมถึงทำท่ารู้จักกับเขาคนนั้นด้วย ความรู้สึกของปีศาจสาวผสมปนเปกันไปหมด เธอกังวลถึงความปลอดภัยของมีนาจนอยากจะหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไป แต่แล้วก็มีอีกความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นมา มันคือความหวาดระแวง เธอเกลียดตนเองที่ต้องรู้สึกแบบนี้กับหญิงสาว ตอนวินาทีที่สายตาของเธอประสานกับมีนาตอนที่ยังอยู่ในวงเวท เธอก็สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่หญิงสาวมีให้ แต่ถึงกระนั้นความหวาดระแวงกลับงอกเงยขึ้นมากลืนกินทุกสิ่ง

จะว่าไป ตอนนั้นนอกจากความเป็นห่วงเป็นใยแล้วยังมีความกลัวแฝงมาด้วยนี่นา จากประสบการณ์ของเบลล์ ความกลัวนั้นอันตรายว่าทุกสิ่งอื่นใด มันทำให้คนเราหันมาทำร้ายกันเองได้ และที่เธอโดนตามล่าแบบนี้ก็เพราะความกลัวของมนุษย์ที่มีต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ใช่หรือ นอกจากนี้การที่มีนาดูเหมือนจะรู้จักคนคนนั้นก็ทำให้ความหวาดระแวงของเธอเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นไปอีก

ทันใดนั้นเอง ก็มีมือข้างหนึ่งโผล่มาคว้าแขนของเบลล์แล้วลากเธอไปยังมุมมืดข้างเสาไฟต้นหนึ่ง ตอนแรกเธอกระชากแขนกลับโดนอัตโนมัติ แต่น่าแปลกที่อีกฝ่ายดูจะแข็งแรงกว่าเธอ และเมื่อหันไปสบตากับเจ้าของมือนั่น เธอกลับต้องเป็นฝ่ายแปลกใจ

“เดินเหม่ออยู่ได้ เดี๋ยวพวกนั้นก็ตามมาทันหรอก” ดวงตาสีเขียวมองมาอย่างดุ ๆ

“เอวา!”

“ก็ใช่น่ะสิ รีบตามมาเร็วเข้า” ปีศาจสาวที่มีนาเพิ่งเจอเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้านี้ หรือที่เบลล์รู้จักในนามเอวารีนเดินนำไปในทิศทางตรงข้ามกับสวนสาธารณะ

“เธอมาที่นี่ได้ยังไง”

“ก็มาตามหาเธอไง”

“รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”

“ไปที่บ้านแล้วไม่เจอ แล้วฉันก็ดันไปเห็นข้อความบ้า ๆ นั่น เลยเดาว่าเธอน่าจะอยู่ที่นี่ ไม่นึกว่าจะมาเห็นว่าเธอกำลังโดนเล่นงานเข้าจริง ๆ” เอวารีนว่าพลางแอบเหลือบตามองเบลล์ที่เดินตามมาติด ๆ แต่ก็ดูพะวงกับอะไรบางที่อยู่เบื้องหลัง

“หึ โดนมนุษย์หลอกเข้าอีกจนได้นะ”

“ว่าไงนะ”

“ระหว่างทางที่จะถึงฉันเห็นยัยมนุษย์นั่นกำลังมาที่นี่เหมือนกัน บังเอิญได้ยินยัยนั่นกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนที่น่าจะเป็นหนึ่งในพวกนั้นด้วย ยัยนั่นบอกว่าให้พวกนั้นถ่วงเวลาไว้ก่อนอย่าเพิ่งรีบฆ่าเธอ เพราะอยากไปเห็นด้วยตัวเอง ได้ยินแล้วฉันก็อยากจะรีบจัดการยัยผู้หญิงนั่นเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็อยากตามมาดูให้แน่ใจว่ายัยนั่นพูดถึงเธอหรือเปล่า สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ” แน่นอนว่าเอวารีนโกหก ตามความเป็นจริงแล้วเธอก็ยอมรับว่าผู้หญิงคนนั้นดูเป็นห่วงเบลล์จริง ๆ ทันทีที่เห็นเบลล์อยู่ในวงล้อมของกลุ่มคนชุดดำ ผู้หญิงคนนั้นก็พุ่งเข้าไปกลางวง ก่อนจะทำหน้าสับสนเมื่อเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนที่กำลังเงื้อมีดเข้าหาเบลล์ หลังจากนั้นหญิงสาวก็โดนชายคนนั้นลากออกมาแล้วก็มีปากเสียงกันท่ามกลางความสับสนอลหม่าน

เอวารีนไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเข้ามาสนิทสนมกับเบลล์เพื่ออะไร แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ทำให้เธอไม่สบายใจ โดยเฉพาะเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเบลล์ที่มีต่อผู้หญิงคนนั้น หลังจากได้ยินคำโกหก เบลล์ก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ นี่เบลล์เชื่อใจมนุษย์มากกว่าเธอได้อย่างไรกัน เธอจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด

“นี่เบลล์ เธอก็รู้ว่าพวกมนุษย์ชอบตีหน้าซื่อ เธออย่าไปเชื่อท่าทางซื่อ ๆ ของยัยนั่นนะ”

“แต่...” เบลล์รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่สมเหตุสมผล

“ใจของมนุษย์น่ะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย” เอวารีนมั่นใจว่าความจริงลึก ๆ แล้วเบลล์ก็แอบระแวงผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว จึงพยายามพูดให้อีกฝ่ายอยากตัดความสัมพันธ์ผู้หญิงคนนั้นให้ได้ โชคดีที่ปกติร่างกายของปีศาจเองก็อัดแน่นไปด้วยพลังด้านลบอยู่แล้ว ปีศาจด้วยกันจึงไม่อาจสัมผัสถึงความรู้สึกนึกคิดของกันและกันได้ หากเธอเป็นมนุษย์เบลล์อาจจะรู้ถึงเจตนาที่ไม่ดีของเธอแล้วก็ได้

“จริงสิ แล้วต่อจากนี้เธอจะเอายังไงต่อ” เอวารีนเปลี่ยนเรื่องคุย เมื่อเห็นว่าเบลล์ทำหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น

“ก็กลับบ้านของฉัน”

“นี่เธอยังคิดจะไปอยู่ที่นั่นอีกเหรอ! พวกนั้นรู้ที่อยู่ของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง”

“แต่ฉันไม่มีที่ไปแล้วนะ” ใบหน้าของเบลล์หมองลง

“ไปอยู่กับฉันสิ หลังจากครอบครัวของฉันย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ชีวิตก็ดีขึ้นเยอะ รู้ไหมว่าที่นั่นดีมากเลย มีพรรคพวกเยอะกว่าที่นี่” เอวารีนรีบบอก “ความจริงที่ฉันมาหาเธอครั้งนี้ก็เพราะว่าจะมารับเธอไปอยู่ด้วยนั่นแหละ”

“ไม่ล่ะ” เบลล์ตอบอย่างไม่ลังเล

“ทำไม!” เอวารีนขึ้นเสียงสูง เธอจ้องหน้าเบลล์อย่างไม่อยากเชื่อ “ฉันไม่อยากให้เธอต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้อีกแล้วนะ! ถ้ามีปีศาจตนอื่น ๆ อยู่ด้วย คนพวกนั้นคงทำอะไรมากไม่ได้แน่ อิริคเองก็คงดีใจถ้าเราได้มาอยู่ด้วยกันอีก”

“ปีศาจตนอื่น ๆ เกลียดฉันจะตาย ฉันทนไม่ได้หรอกถ้าต้องทนอยู่แบบนั้น”

“แต่ฉันกับอิริคจะดูแลเธอเอง”

“เธอกับอิริคทำเพื่อฉันมามากพอแล้วนะ”

“ฉันไม่เข้าใจ! เธอจะแบกความเจ็บปวดไว้ทำไม อย่างครั้งนี้ก็เหมือนกัน ทำไมต้องพุ่งเข้าหาอันตรายทั้ง ๆ ที่น่าจะรู้ว่าเป็นกับดักด้วย”

“นั่นสินะ” เบลล์พูดเหมือนไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน “ที่ผ่านมาฉันก็คิดจะพยายามลืมความเจ็บปวดแล้วก้าวเดินต่อไปนะ และฉันเองก็ชอบตอนที่ได้อยู่กับเธอกับอิริค แต่จะให้ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือทำเป็นไม่สนใจว่าพวกเธอจะเดือดร้อนเพราะฉันยังไง ฉันก็ทำไม่ได้หรอก”

เบลล์เงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“แต่ถึงจะบอกแบบนี้ ฉันเองก็เบื่อกับที่จะอยู่แบบนี้แล้วเหมือนกัน จนบางครั้งก็รู้สึกว่าถ้าทำให้ทุกอย่างมันจบ ๆ ไปเลยน่าจะดีกว่า”

“เธอนี่นะ” เอวารีนทำท่าเหนื่อยใจ “บางครั้งก็เข้าใจยากเหมือนมนุษย์เลย”

เบลล์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “เธอคงจะลืมไปแล้วสินะ ว่าในตัวฉันก็มีสายเลือดมนุษย์ปนอยู่เหมือนกัน”

.......................................................................

มีนาพอจะรู้ชะตาของตัวเองว่าจะต้องเจอกับอะไรเมื่อถึงบ้าน ซึ่งมันก็ไม่ผิดจากที่คาดเดานัก เพราะทันทีที่ก้าวขาพ้นประตูบ้านเข้ามาไม่กี่ก้าว ทศวรรษก็เหวี่ยงร่างเธออย่างแรงจนตัวของเธอเซถลาไปชนกับชั้นวางของก่อนจะล้มลงกับพื้น ส่งผลให้พวกกรอบรูปและของตกแต่งหล่นลงมากระทบพื้นเสียงดังโครมคราม เขายกมือเตรียมที่จะตบหน้าเธอแล้ว แต่ก็ยับยั้งชั่งใจไว้ได้ทัน

ไม่นานนักภัทรวดีกับกายที่อยู่ในชุดนอนก็วิ่งลงมาจากชั้นบน กายรีบเข้าไปประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้น ส่วนภัทรวดีที่ยังไม่หายตกใจรีบเข้าไปถามผู้เป็นสามีทันที

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

“คุณก็ลองถามหลานสาวตัวแสบของคุณดูสิ ว่าก่อเรื่องอะไรไว้”

ภัทรวดีจ้องสามีพลางประเมินเหตุการณ์ เธอเหลือบมองกายที่พยุงมีนาขึ้นไปชั้นบน เมื่อเห็นว่าทั้งคู่พ้นสายตาไปแล้ว เธอก็พูดด้วยนำเสียงเรียบเย็น

“เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือเปล่าคะ งานของคุณน่ะ”

ทศวรรษเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ทำท่าไม่อยากคุยเรื่อง’ งาน’ ที่ว่าในเวลานี้

“คุณให้ความสำคัญกับมันมากเกินไปหรือเปล่าคะ ฉันว่าตอนนี้เรื่องราวมันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้วนะ แล้วฉันก็ไม่อยากให้มีนมายุ่งกับเรื่องแบบนี้”

“คุณไปบอกหลานสาวของคุณเถอะ!” เขาไม่พอใจ “ผมก็ไม่อยากให้ยัยมีนมายุ่งนักหรอก แต่หลานสาวตัวดีของคุณดันชอบยุ่งไม่เข้าเรื่อง จนภารกิจของผมพังหมดแล้ว สงสัยคงได้เลือดแม่มาเยอะล่ะมั้ง ถึงได้ชอบเอาตัวเข้าไปพัวพันกับของแบบนี้”

“แล้วตัวคุณล่ะคะ เมื่อไหร่จะเลิกสักที!”

“ตราบใดที่ ‘พวกมัน’ คงปะปนอยู่กับพวกเราแบบนี้ ผมก็เลิกไม่ได้หรอก” เขากำหมัดแน่น “พวกมันน่ะชั่วร้าย ถ้าไม่มีคนคอยกำจัดมัน มนุษย์อย่างเราก็คงไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแบบนี้หรอก”

ภัทรวดีฟังแล้วก็เม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าจะออกความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ดี ความจริงเธอรู้เรื่อง ‘งาน’ ของสามีตั้งแต่แรกและก็ไม่ได้รังเกียจมัน เมื่อก่อนเธอก็ไม่เคยไม่ห้ามปรามในตอนที่สามีเธอใช้ห้องใต้ดินเป็นที่กักขังและศึกษาพฤติกรรมปีศาจ จะว่าได้อย่างไรก็ในเมื่อบ้านหลังนี้เดิมก็เป็นบ้านของสามีอยู่ก่อนแล้ว อีกอย่างสามีของเธอก็ทำเพื่อให้มนุษย์ปลอดภัยจากปีศาจ

จนกระทั่งเมื่อครั้งที่มีนากับกายแอบลงไปชั้นใต้ดิน เธอก็เริ่มตระหนักว่างานที่ว่านี้อาจนำอันตรายมาสู่ลูกกับหลานเธอก็ได้ และยิ่งนานวันเธอก็ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าอะไรน่ากลัวกว่ากัน...ระหว่างปีศาจหรือมนุษย์

“ทศ” เธออยากจะพูออะไรบางอย่าง แต่แล้วอีกฝ่ายก็พูดขัดขึ้น

“ผมเจอมันแล้ว”

“อะไรนะ”

“ปีศาจตนที่ฆ่าพี่ผม” คำพูดของเขาฟังดูเดือดดาล “ผมหาปีศาจตนนั้นมาหลายปี แล้ววันหนึ่งผมก็ได้เบาะแสจนตามไปเจอตัวมันจนได้ ผมเลยให้คนของผมคอยสังเกตพฤติกรรมและแอบสะกดรอยตามมัน รู้ไหมว่ามันยากแค่ไหน เพราะมันเหมือนจะรู้ตัวและระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายคนของผมก็หาที่อยู่ของมันเจอ ต้องใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะได้โอกาสแอบเอาข้อความไปเข้าไปวางไว้ในบ้านมันเพื่อล่อให้มันออกมาติดกับ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนจนกระทั่งยัยมีนโผล่มา! ทำให้ตอนนี้มันรอดไปได้และคงระวังตัวกว่าเดิมแน่”

ทศวรรษหันกลับมาจ้องเข้าไปในดวงตาของภัทรวดี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หลานสาวคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย”

ภัทรวดีเอามือปิดปาก ดวงตาฉายแววตื่นตระหนก ทศวรรษพูดต่อ

“ยัยมีนก็ดันเข้าไปยุ่งกับปีศาจตนนั้น ไม่รู้ว่าไปโดนหลอกอะไรมา และผมก็กลัวว่าปีศาจตนนั้นจะใช้ยัยมีนเป็นเครื่องมือในการเล่นงานพวกผม ถ้ายิ่งหาทางกำจัดปีศาจตนนั้นได้เร็วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสน้อยลงที่ยัยมีนจะได้รับอันตราย”

“คุณจะช่วยยัยมีนใช่ไหมคะ” ภัทรวดียังไม่หายกังวลใจ

“คุณไม่ต้องห่วง ยังไงผมก็ไม่มีทางปล่อยให้ปีศาจที่ฆ่าพี่ชายผมรอดไปได้ง่าย ๆ แน่”

.......................................................................

ห้องนอนของมีนายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนักนับตั้งแต่ที่เธอออกจากบ้านไปอาศัยอยู่ที่หอพักใกล้มหาวิทยาลัย แม้เธอจะไม่ค่อยได้แวะมาเยี่ยมเยียนที่บ้านหลังนี้เท่าไรนัก ภัทรวดีก็เคารพในเหตุผลของเธอ แต่ถึงกระนั้นผู้เป็นอาก็ยังจัดเตรียมห้องไว้รอเธอกลับมาเสมอ เธอกวาดตามองรอบห้องที่ดูสะอาดสะอ้านไม่มีหยากไย่หรือเศษฝุ่นเกาะตามข้าวของเครื่องใช้เลยแม้เจ้าของห้องจะไม่กลับมานอนเป็นเวลาเกือบสามปีแล้ว

มีนานั่งรอกายอยู่บนเตียง มองรอยแผลขีดข่วนบนนิ้วชี้ข้างขวาซึ่งได้มาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ คงเป็นตอนที่เธอเซไปชนกับชั้นวางของล่ะมั้ง ผู้ที่สังเกตเห็นรอยแผลนี่คนแรกก็คือกาย เขาจึงบอกว่าจะไปเอาปลาสเตอร์ปิดแผลมาให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ขณะนั่งรอ ในหัวของมีนาก็พยายามทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทุกอย่างมันถาโถมเข้ามาจนเกินจะรับไหว ทั้งเรื่องของเบลล์ ปีศาจสาวปริศนาที่ดูอันตราย กลุ่มคนแปลก ๆ ที่ทศวรรษเข้าไปยุ่งด้วย แถมยังดูเหมือนจะรู้เรื่องของเบลล์ดีอีก และแววตาคู่นั้น...แววตาของเบลล์ในแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงแม้เธอจะเคยสัมผัสความเย็นชาจากแววตาคู่นั้นมาแล้ว แต่เธอไม่คุ้นเคยกับแววตาโหดเหี้ยมพร้อมด้วยจิตสังหารแบบนี้จากเบลล์

ในขณะที่กำลังจมอยู่กับความคิด เธอก็ได้ยินเสียงภัทรวดีกับทศวรรษคุยอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอยู่ชั้นล่าง ด้วยความที่อยากรู้ เธอจึงเดินออกมาจากห้องตรงไปที่ชานบันได แต่ก็แอบอยู่ในเงามืดไม่ให้ทั้งสองคนมองเห็น

“คุณจะช่วยยัยมีนใช่ไหมคะ” เธอได้ยินเสียงภัทรวดีพูดด้วยความกังวล

“คุณไม่ต้องห่วง ยังไงผมก็ไม่มีทางปล่อยให้ปีศาจที่ฆ่าพี่ชายผมรอดไปได้ง่าย ๆ แน่” คำพูดถัดมาของทศวรรษทำให้มีนาแทบลืมหายใจ สมองของเธอเหมือนกับจะหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ

ปีศาจที่ฆ่าพี่ชาย...

เขาหมายถึงใคร

เบลล์งั้นหรือ

ถึงที่ผ่านมามีนาจะรู้เบลล์นั้นอันตราย หากปีศาจสาวคิดจะฆ่าเธอย่อมทำได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกปลอดภัยด้วย มีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เธอเชื่อใจปีศาจอย่างเบลล์ เบลล์ที่เธอรู้จักมีด้านที่เป็นมนุษย์มากกว่าปีศาจเสียอีก แต่แล้วภาพเหตุการณ์ในวันนี้ก็แล่นเข้ามา ภาพแววตาคู่นั้น รวมถึงสิ่งที่ได้ยินจากทศวรรษ หรือว่าความจริงแล้วเธอคิดผิด หรือความจริงเบลล์จะเป็นปีศาจแบบเดียวกับปีศาจอีกตนที่เธอเจอ...เป็นประเภทอันตรายและไม่ควรเข้าใกล้

“นี่ยังดีนะที่มีคนหวังดีคอยช่วยบอกข่าวเรื่องปีศาจนั่นให้ผม”

“ใครหรือคะ”

“ผมไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเป็นพวกนักล่าปีศาจอีกกลุ่ม แต่ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าผมตามหาปีศาจตนนั้นอยู่ ซึ่งเขานั่นแหละที่เป็นคนบอกว่าจะไปตามหาปีศาจนั่นได้ที่ไหน”

รู้สึกว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตกว่าที่เธอคิดไว้มาก วันนี้สมองของเธอรับอะไรหลาย ๆ อย่างไว้เยอะเกินไปแล้ว ตอนนี้ภัทรวดีกับทศวรรษจะยังคุยกันไม่จบ แต่เธอไม่อยากฟังต่อแล้ว หญิงสาวเตรียมกลับเข้าห้อง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหันมาเจอกายยืนอยู่ด้านหลัง เขามองมาที่หญิงสาวอย่างสงสัย

มีนาพยายามทำท่าทางปกติและยิ้มกลบเกลื่อน รีบเดินนำกลับเข้าไปในห้องทันที ในใจก็ตั้งคำถามว่าเขารู้เรื่องพวกนี้หรือไม่ แล้วเขายืนอยู่ด้านหลังเธอนานแค่ไหน จะได้ยินสิ่งที่ทศวรรษพูดหรือเปล่าก็ไม่รู้

“ขอโทษที ไปนานเพราะตอนแรกหาไม่เจอน่ะ แต่ก็ค้นจนเจอของใหม่เชียวนะ” เขาพูดพลางแกะพลาสติกห่อกล่องปลาสเตอร์ปิดแผลออก ในขณะที่มีนาเอาแต่แอบลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ซึ่งทุกอย่างก็ดูปกติดี บางทีกายอาจจะยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็ได้

“ขอบใจ วางไว้ที่โต๊ะนั่นแหละ ที่เหลือพี่จัดการเอง” เธอชี้ไปที่โต๊ะเล็ก ๆ ข้างหัวเตียง

“พี่มีนจะเอาอะไรอีกไหม”

“ไม่เป็นไร” เธอโบกมือ แต่แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เออ นี่”

กายเลิกคิ้ว หญิงสาวเลียริมฝีปากเหมือนไม่แน่ใจว่าจะถามดีไหม

“กายรู้หรือเปล่า ว่าอาทศมีพี่น้องอีกไหม”

กายทำท่าครุ่นคิด “คุ้น ๆ ว่าพ่อเคยบอกว่ามีนะ รู้สึกจะชื่อ...ลุงนพมั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกัน เห็นพ่อบอกว่าลุงประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตั้งแต่พวกเรายังไม่เกิดแล้ว ถามทำไมเหรอ”

“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก อยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้เลยถามน่ะ” มีนาทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่แท้จริงก็แอบสงสัยว่าลุงนพคนนี้จะใช่คนเดียวกับพี่ชายคนที่อาทศบอกว่าถูกฆ่าหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นทศวรรษก็คงไม่อยากให้กายมายุ่งกับเรื่องนี้จึงหลอกว่าลุงนพเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ

กายก็ดูไม่ได้ติดใจอะไร เขาเป็นประเภทที่ไม่ชอบซักไซ้ให้มากความ เมื่อเห็นว่ามีนาไม่ต้องการอะไรเพิ่มเขาก็บอกเพียงให้หญิงสาวพักผ่อนเยอะ ๆ แล้วออกจากห้องไป มีนามองตามญาติผู้น้องไปอย่างโล่งอก เพราะเธอเองก็ไม่อยากให้กายต้องมากังวลกับเรื่องพวกนี้เหมือนกัน

###############################################

สวัสดีค่า ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามจนมาถึงตอนนี้นะคะ เนื้อเรื่องเริ่มเผยอดีตของเบลล์ออกมาเรื่อย ๆ แล้ว...ว่าแต่คนที่ชื่อลุงนพคือใคร และมีความสัมพันธ์กับเบลล์อย่างไร ต้องติดตามกันต่อไปค่ะ