แสงแดดอ่อน ๆ ของพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้าช่างเป็นบรรยากาศที่น่านอนสำหรับเหล่านักศึกษาที่เพิ่งเสร็จจากชั่วโมงเรียนอันหนักหน่วง เสียงพูดคุยดังจอแจตลอดทางเดินที่พาไปสู่ทางออกของอาคาร นักศึกษาบางกลุ่มเริ่มนัดแนะสถานที่ที่จะไปเที่ยวต่อ บางกลุ่มก็แยกย้ายกันกลับหอพัก ในขณะที่บางกลุ่มต้องรีบเร่งไปรับประทานอาหารเย็นเพื่อให้ทันเรียนภาคค่ำ และหลังจากที่ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้สักพัก เสียงต่าง ๆ ก็เริ่มเบาบางลง แล้วทางเดินก็กลับมาสงบและไร้ผู้คนอีกครั้ง

ทางเดินอันเงียบสงบทำให้ดูเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่ในอาคารแล้ว แต่ที่จริงยังเหลือนักศึกษากลุ่มเล็ก ๆ อีกกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งเบียดเสียดกันอยู่ในห้องที่อยู่ริมสุดของทางเดิน ห้องที่พวกเขารวมตัวกันอยู่นั้นมีกระดาษ A4 สีขาวแปะไว้ตรงหน้าประตูเพื่อทำเป็นป้ายชั่วคราว เขียนว่า ‘The supernatural club’ ซึ่งมันก็มีความหมายตรงตัวเลยว่าเป็นชมรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติและสิ่งลี้ลับต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก ภูตผีปีศาจ สิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ที่วิทยาศาสตร์ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และแน่นอนว่าคนที่จะเข้ามาอยู่ในห้องนี้ ส่วนหนึ่งจะต้องสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติพวกนี้

“ตอนนั้นเป็นเวลาราว ๆ สามทุ่ม และเป็นกลางคืนที่เงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัด จะมีก็แต่เสียงฝีเท้ากับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวของผม ซึ่งในตอนนั้นมันก็น่าแปลก ในเมื่อตัวผมเองยังไม่รู้สึกถึงลมพัดเลย แต่ต้นไม้รอบ ๆ กลับสั่นไหวราวกับมีลมพายุ” คนพูดเป็นชายหนุ่มร่างท้วมที่กำลังถูกล้อมรอบไปด้วยนักศึกษาชั้นปีต่าง ๆ เขาพยายามสร้างบรรยากาศอันน่ากลัวให้กับคนฟังอย่างเต็มที่ หลอดไฟทุกดวงในห้องถูกดับจนหมดเพื่อบรรยากาศในการเล่าเรื่อง ภายในห้องที่มืดสนิทประกอบกับความหนาวเย็นของเครื่องปรับอากาศก็เพียงพอแล้วที่จะให้นักศึกษาบางส่วนขยับเข้ามานั่งเบียดกันแน่นและรอฟังอย่างลุ้นระทึก

“ผมแอบมองคุณยายคนนั้นเงียบ ๆ เห็นแกเดินเข้าไปในบ้าน และผมก็เห็นว่านี่แหละ โอกาสเหมาะที่จะบุกตามคุณยายคนนั้นเข้าไปโดยที่แกไม่ทันได้ตั้งตัว จะได้รู้กันสักทีว่าแกซ่อนความลับอะไรไว้ แต่แล้วเมื่อผมผลักประตูตามเข้าไป...ก็เจอเรื่องไม่คาดคิด” เขาหยุดพูด แล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟังก็เล่าต่อ “คุณยายคนนั้น...ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด และในมือก็ยังมีเครื่องในของสิ่งมีชีวิตอยู่ ผมช็อกจนทำอะไรไม่ถูก แต่ผมก็พยายามลากขาอันแข็งทื่อของตัวเองให้ก้าวออกจากบ้านได้สำเร็จ จากนั้นผมก็วิ่งสุดชีวิต เป็นโชคดีของผมที่คุณยายคนนั้นไม่ตามมา ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นแกอีกเลย”

เมื่อเขาเล่าจบก็ทำหน้าสยดสยองราวกับเห็นคุณยายในเรื่องเล่ายืนอยู่ใกล้ ๆ โดยมีบางคนในห้องยังคงมองมาที่เขาตาแป๋วเพราะคิดว่าเรื่องจะมีต่อ

“โห่! ไรวะ จบแล้วเหรอ แล้วยายคนนั้นไปไหนอะ” เริ่มมีบางคนโวยวายขึ้นมา

“เออ นั่นดิ มึงโม้หรือเปล่าไอ้นัท กูว่าถ้ามึงเจอจริง ๆ มึงคงไม่ได้กลับมาเล่าหรอก”

“ใช่ ๆ แต่กูว่าผียายปอบมันโบราณไปหน่อยว่ะ ถ้าจะแต่งเรื่องขึ้นมาก็น่าจะเอาที่ทันสมัยกว่านี้หน่อยสิวะ”

หลังจากนั้นคนในชมรมก็ออกความเห็นกันอย่างเมามัน ซึ่งแต่ละความคิดเห็นก็เริ่มออกทะเลและพิลึกกึกกือขึ้นเรื่อย ๆ จนบางคนที่ทำท่าจะกลัวเรื่องเล่าในตอนแรกพลอยหัวเราะไปด้วย เป็นเหตุให้ชายหนุ่มร่างท้วมหรือนัทเริ่มทำหน้าบึ้งเพราะเรื่องเล่าของเขาที่อุตส่าห์สร้างบรรยากาศให้น่ากลัวกลับกลายเป็นตลกคาเฟ่ไปเสียแล้ว

“เอาล่ะ เอาล่ะ” ก่อนที่เรื่องเล่าของนัทจะหลุดโลกไปมากกว่านี้ เสียงใสก็ดังแทรกเข้ามาขัดจังหวะพร้อมกับไฟในห้องที่เปิดขึ้นพร้อมกัน “เรื่องเล่าของน้องนัทน่าสนใจมากเลยนะคะ เมื่อกี้แอบเห็นหลาย ๆ คนกำลังอินเลยค่ะ”

เจ้าของเสียงเมื่อสักครู่เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพร้อมรอยยิ้ม เธอคือมีนา ธารสายชล หรือมีน นักศึกษาชั้นปีที่สาม ซึ่งเป็นประธานชมรมนี้ มีนาเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง เจ้าของดวงตาโตคมกริบและจมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูป เรือนผมสีดำขลับของเธอถูกรวบไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าเนียนรูปไข่ เธอจัดว่าเป็นสาวสวยอันดับต้น ๆ ของมหาวิทยาลัย ซึ่งความสวยของเธอทำให้ชายหนุ่มหลายคนที่ไม่ได้ชื่นชอบเรื่องเหนือธรรมชาติสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกของชมรมได้อย่างง่ายดาย

“พี่ต้องขอขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะคะที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้” มีนาพูดแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง “แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว พี่ว่าพวกเราแยกย้ายกลับกันเถอะก่อนที่จะมืดเสียก่อน ถ้ากลับช้าเดี๋ยวเจอแขกไม่ได้รับเชิญระหว่างทางไม่รู้ด้วยน้า”

“เจอก็ดีสิครับ จะได้มีเรื่องมาเล่าให้พี่มีนฟังไง” รุ่นน้องคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา เรียกเสียงโห่ร้องของบรรดาเพื่อนฝูงได้เป็นอย่างดี

ระหว่างที่เหล่าสมาชิกทยอยกันออกจากห้อง มีนาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่งเดินแทรกผ่านคนอื่น ๆ มาทางเธอ หญิงสาวคนนั้นคือออม รุ่นน้องปีสอง และเป็นสมาชิกที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในชมรมนี้ ออมจัดว่าเป็นหญิงสาวที่หน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโต ปากนิด จมูกหน่อย ไว้ผมตัดสั้นเลยบ่าขึ้นไปเล็กน้อย ซึ่งรับกับใบหน้าของเธอพอดี

“น้องออม มีอะไรจะคุยกับพี่หรือเปล่า” มีนาเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาหา

“เอ่อ...คือ” สาวตัวเล็กหน้าแดง “ออมแค่อยากช่วยพี่มีนเก็บกวาดห้องน่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ออมกลับก่อนก็ได้ พี่เก็บห้องแป๊บเดียวเอง แถมยังมีไอ้แทนอยู่เป็นเพื่อนอีก” เธอชี้ไปยังชายหนุ่มผิวสีเข้ม เจ้าของใบหน้าคมคายที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ตรงมุมห้อง แถมยังส่งเสียงกรนเบา ๆ ออกมาเป็นระยะ อีกต่างหาก ซึ่งนั่นทำให้คิ้วของเธอจะขมวดเข้าหากันทันที

“ไอ้แทน!” มีนาตะโกนเรียกพร้อมกับยกมือขึ้นเท้าสะเอว ซึ่งเสียงเรียกนั้นทำให้คนแอบหลับเริ่มรู้สึกตัว ลุกขึ้นมาทำหน้าสะลึมสะลือ

“อ้าว กิจกรรมจบแล้วเหรอ” แทนถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย แล้วหันหน้ามาทางสองสาวโดยที่เปลือกตาเพิ่งเปิดไปได้แค่ครึ่งเดียว ทำให้คนมองเกิดความหมั่นไส้ จึงเดินเข้าไปดึงหูของชายหนุ่มอย่างแรงจนเขาแทบจะตาสว่างทันที

“โอ๊ย! เจ็บนะเว้ย ทำไมโหดงี้วะ ไม่รู้พวกคนอื่นชอบผู้หญิงซาดิสม์แบบแกเข้าไปได้ยังไง”

“ก็ใครใช้ให้แกมานอนหลับในห้องชมรมของฉัน หา!”

“ห้องชมรมอะไรของแก ห้องนี้แกยืมใช้ชั่วคราวไม่ใช่เหรอ...แล้วนี่ทำไมยังไม่จัดโต๊ะกลับเข้าที่อีก เดี๋ยว’ จารย์มาเห็นก็ว่าเอาหรอก”

“รอแกมาช่วยอยู่ไง” หญิงสาวพูดหน้าตาเฉย

“ฉันก็เป็นสมาชิกในชมรมแกเหมือนกันนะเว้ย ถึงจะโดนแกบังคับเข้ามาก็เถอะ แกเป็นประธานก็ต้องดูแลสมาชิกอย่างฉันสิ ไม่ใช่ใช้ให้ทำงานเยี่ยงทาสแบบนี้” แทนโวยวาย “นอกจากจะเป็นสมาชิกแล้วยังเป็นผู้มีบุญคุณอีกนะเผื่อแกลืม แกต้องขอบคุณฉันด้วยที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชมรมแกไม่โดนปิดไปน่ะ”

“แกว่าไงนะ!” มีนายกขาทำท่าจะกระโดดถีบ “กิจกรรมในชมรมฉันมีประโยชน์จะตาย ไม่มีทางโดนปิดง่าย ๆ อยู่แล้ว”

“ฉันเห็นมีแค่ประกวดเรื่องสั้นสยองขวัญกับแลกเปลี่ยนกันเล่าเรื่องผี ไม่เห็นจะ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เขาก็ต้องรีบกระโดดหลบไม้กวาดที่พุ่งมาทางเขาก่อน เมื่อหลบพ้นแล้วก็หันกลับมาโวยวายอีก หาว่าอีกฝ่ายไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย แล้วมหกรรมการถกเถียงกันก็เริ่มขึ้น โดยมีสาวรุ่นน้องเป็นพยาน

ออมยืนมองทั้งสองคนเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา พวกพี่ทั้งสองมักมีเรื่องตลก ๆ ให้เธอขำได้อยู่เรื่อย เธอไม่เคยเบื่อเลยที่จะเข้ามาใกล้ชิดกับพวกพี่ ๆ โดยเฉพาะพี่มีน คนอะไรไม่รู้ ทั้งสวยและเก่ง ถึงแม้บางทีออกจะดูมั่นใจเกินเหตุ และมีความชอบแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ออมคิดว่านั่นเป็นเสน่ห์อีกอย่างของรุ่นพี่คนสวย

“เอ่อ...ออม” มีนาเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่ายังมีสาวร่างเล็กอีกคนในห้อง จึงหันกลับมาทำสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษที มัวแต่เถียงอยู่กับไอ้แทนมัน”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ออมตอบพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ทำให้เห็นลักยิ้มบุ๋มลงไปที่ข้างแก้มทั้งสองข้าง ขับให้ใบหน้าของเธอยิ่งดูน่ารักและน่าทะนุถนอมยิ่งขึ้นไปอีก “ถ้างั้นเดี๋ยวออมช่วยพี่มีนกวาดห้องนะคะ”

เมื่อพูดจบ ออมก็รีบไปหยิบไม้กวาดทันทีเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ ส่วนแทนก็เข้ามาช่วยจัดโต๊ะเข้าที่เดิมโดยที่ปากยังบ่นไม่หยุด ทั้งสามคนใช้เวลาไม่นานห้องเรียนก็กลับมาสะอาดเรียบร้อยดังเดิม แต่ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ ออมก็รั้งตัวมีนาไว้

“น้องออมมีอะไรอีกเหรอ”

“คือออมมีอะไรจะให้พี่มีนดูน่ะค่ะ” ว่าแล้วออมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วก็ละเลงนิ้วลงบนหน้าจอที่เป็นระบบสัมผัส เมื่อเจอสิ่งที่ค้นหาก็ยื่นให้มีนาดู แทนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็พยายามแทรกตัวเข้ามาดูด้วย

บนหน้าจอเป็นกระทู้เกี่ยวกับบ้านผีสิง ซึ่งวันที่โพสต์เป็นไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง เจ้าของกระทู้เล่าว่าได้ขับรถหลงเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ซอยหนึ่ง แล้วเขาก็สังเกตว่าในซอยนั้นเงียบและวังเวงมาก ไม่มีใครอาศัยอยู่เลย ทุกบ้านถูกล็อกและคล้องโซ่เอาไว้อย่างแน่นหนา สภาพบ้านเหมือนไม่มีคนอยู่มานาน แต่ในเมื่อเผลอขับเข้ามาแล้ว แถมจะกลับรถก็ลำบากอีก เขาจึงลองขับไปเรื่อย ๆ เผื่อว่าจะมีทางออกอีกฝั่ง แต่สุดท้ายก็เจอทางตัน

ก่อนที่จะทันได้ถอยรถออกไป เจ้าของกระทู้ก็เหลือบไปเห็นว่าที่ด้านในสุดของซอยมีบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ได้คล้องโซ่ไว้ ถึงอย่างนั้นสภาพก็ดูเหมือนบ้านร้าง และในตอนนั้นเอง เสียงเพลงอันน่าขนลุกเหมือนเสียงคนกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกมาจากตัวบ้านหลังนั้น เขาบอกว่ามันให้ความรู้สึกสยดสยองราวกับเป็นเสียงเพลงบูชาปีศาจ นอกจากนี้ยังเห็นเงาผู้หญิงซึ่งเขามั่นใจว่าไม่น่าใช่คนอยู่ตรงหน้าต่าง มันน่ากลัวเสียจนเขาเกือบเป็นลมสลบอยู่ตรงนั้นแล้ว

“น่าสนใจแฮะ” มีนาพึมพำพลางไล่สายตาไปตามตัวหนังสือ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงข้อความที่เขียนตำแหน่งที่ตั้งของบ้านหลังนั้น “อยู่ไม่ไกลมากด้วย รอดสายตาฉันไปได้ไงเนี่ย”

มีนาค่อย ๆ เลื่อนกระทู้ลงมาเรื่อย ๆ จนเจอรูปถ่ายของบ้านหลังที่เจ้าของกระทู้กล่าวถึง จากในรูปบ้านน่าจะมีประมาณสามชั้น หน้าบ้านมีเศษใบไม้ร่วงเกลื่อนกลาด มีต้นไม้ก็ขึ้นรกเหมือนกับเจ้าของบ้านไม่ได้ดูแลเอาใจใส่ และดูราวกับจะเป็นบ้านร้างมากกว่าเป็นบ้านที่มีคนอาศัยอยู่ เมื่อมีนาพิจารณารูปถ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน เธอก็มาสะดุดกับป้ายสีน้ำตาลเก่า ๆ ซึ่งติดอยู่นอกประตูรั้ว บนป้ายมีตัวหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเขียนไว้ว่า ‘Karlinin’

“เอ๊ะ! คาลินินเหรอ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องไปเจอกับผีฝรั่งเหรอเนี่ย”

“เดี๋ยวนะไอ้มีน แกหมายความว่ายังไงที่บอกว่าต้องไปเจอน่ะ” แทนรีบละสายตาจากกระทู้ แล้วหันมามองหญิงสาวอย่างไม่ไว้ใจ

“ขอบใจมากนะน้องออม” มีนาไม่ตอบ แต่หันไปขอบคุณสาวร่างเล็กแทน เป็นเหตุให้เจ้าตัวเขินจนหน้าแดง

“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ด้วยความเขินทำให้ออมตอบตะกุกตะกัก “งั้นออมกลับก่อนนะคะ”

เมื่อพูดจบ เธอก็รีบเอาโทรศัพท์คืนจากมีนา แล้วก็เดินก้าวขายาว ๆ เท่าที่จะก้าวได้ออกไปจากอาคาร ซึ่งท่าทางแบบนั้นทำให้มีนากับแทนอดที่จะขำไม่ได้

“เสน่ห์แรงจริง ๆ” แทนแซ็ว “ไหนจะน้องออม ไหนจะรุ่นพี่คนนั้นอีก”

“แหงล่ะ ก็คนมันทั้งสวยทั้งเก่งนี่” ว่าแล้วมีนาก็สะบัดผม พร้อมกับโพสต์ท่าเป็นนางแบบ

“จะถ่อมตัวสักหน่อยก็ได้นะ” แทนบ่นอุบอิบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “นี่ว่าแต่ไอ้ที่น้องออมเอามาให้ดูมันน่าสนใจตรงไหนเหรอ”

“แกไม่เห็นเหรอ ว่าบ้านหลังนั้นมีอะไรที่ไม่ธรรมดา ฉันเริ่มอยากรู้แล้วล่ะสิ ว่าใครอยู่ในบ้านหลังนั้น อาจจะเป็นผีก็ได้นะ”

“ฉันว่าแกดูจะกระตือรือร้นเรื่องนี้เกินไปแล้วนะ ถ้าเป็นผีจริง ๆ ก็ให้อยู่ส่วนผีไปเถอะ และก็ไม่แน่ มันอาจจะเป็นแค่เรื่องแต่งก็ได้ ฉันว่าไอ้เรื่องที่เจ้าของกระทู้เล่ามันก็ดูเวอร์ ๆ ยังไงไม่รู้ เรื่องอะไรแบบนั้นมันจะมีอยู่จริงได้ไง แกอย่าเพิ่งตื่นเต้นจนหลงเชื่ออะไรง่าย ๆ ไปหน่อยเลย” แทนพยายามหาเหตุผลที่จะทำให้มีนาเลิกสนใจเรื่องบ้านหลังนั้นเสียที แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

“สิ่งที่เราไม่เคยเจอก็ใช่ว่าจะไม่มีจริงสักหน่อย” มีนาเถียงขณะที่ทั้งคู่เดินออกมาจากอาคาร นักศึกษากลุ่มหนึ่งที่เดินสวนกันไปชำเลืองมองหญิงสาวพลางซุบซิบกันให้ได้ยินกันแค่ภายในกลุ่ม ซึ่งแม้มีนาจะไม่ได้ยิน แต่เธอก็พอจะรู้ได้ว่ากลุ่มเมื่อครู่ต้องกำลังนินทาเธออยู่แน่นอน เธอไม่ได้สนใจมากนักเพราะหากมีคนชอบ ก็ต้องมีคนไม่ชอบหรือเห็นว่าเธอเป็นของแปลกเป็นเรื่องธรรมดา

แทนแอบชำเลืองมองหญิงสาวที่มาด้วยกันเพื่อดูปฏิกิริยา แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงเดินเชิดหน้าไม่สนใจใคร เขาก็พูดต่อถึงเรื่องที่คุยกันค้างไว้ “นี่แกยังไม่เข็ดอีกหรือไง พวกบ้านที่แกไปคราวก่อนก็ไม่เห็นจะมีผีเลย แล้วไหนจะเรื่องรูปถ่ายติดวิญญาณนั่นอีก เป็นไงล่ะสุดท้ายก็รูปตัดต่อ” แทนพยายามยกตัวอย่างจากคราวก่อนมาอ้าง เผื่อมีนาจะยอมตัดใจจากเรื่องนี้สักที ถึงแม้ลึก ๆ เขาจะคิดว่าเป็นไปได้ยากก็ตาม เขารู้จักกับเธอมาตั้งแต่มัธยมต้น รู้ว่าเธอมีความชอบแปลก ๆ อย่างการศึกษาเรื่องผีสางและสิ่งลี้ลับต่าง ๆ หากมีโอกาสที่จะได้เจอสิ่งเหล่านี้ เธอก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือไปโดยเด็ดขาด ซึ่งเวลาที่เธอจะไปพิสูจน์เรื่องแบบนี้ทีไร เขาก็มักจะโดนลากไปเป็นเพื่อนอยู่บ่อย ๆ

“ถึงจะเป็นเรื่องไม่จริง แต่ทุกครั้งเวลาเราไปพิสูจน์ มันก็น่าตื่นเต้นไม่ใช่หรือไง”

“งั้นวันหลังฉันพาแกไปบ้านผีสิงในสวนสนุกแล้วกัน”

มีนาไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป เธอนิ่งไปสักพักก่อนที่มุมปากของเธอจะมีรอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้น พร้อมกับดวงตาที่มีประกายแวบเข้ามา เหมือนกับว่าเธอเพิ่งนึกอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้

“ไอ้แทน คืนนี้แกว่างไหม”

“มีอะไรเหรอ” ถึงจะถามไปอย่างนั้น แต่แทนก็รู้แล้วว่าประโยคต่อไปมีนาจะพูดว่าอะไร

“เราไปบ้านหลังนั้นกันเถอะ” แล้วมีนก็เอ่ยประโยคที่แทนกลัวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ให้อารมณ์ราวกับเมื่อกี้เธอเพิ่งพูดว่า ‘เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันเถอะ’

“นี่แกจะไปให้ได้ใช่ไหม” แทนรู้สึกเหนื่อยใจกับความชอบแปลก ๆ ของเพื่อนสนิท แต่เขาก็รู้สึกไม่ดีหากปล่อยให้หญิงสาวไปคนเดียว

“ก็ถ้าไม่ไปดูให้เห็นกับตา จะรู้ได้ไงล่ะว่าเรื่องจริงหรือเปล่า” ว่าแล้วริมฝีปากสีชมพูก็ยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้มแบบที่ใคร ๆ เห็นแล้วก็ต้องหลงใหล แต่ไม่ใช่สำหรับแทนเลยแม้แต่นิดเดียว

##############################################