2 ตอน บทนำ I ปฐมบทสู่เรื่องเล่าขาน
โดย ChaoSera
บทนำ I ปฐมบทสู่เรื่องเล่าขาน
ปีเทรเซนศักราช 5400
สายลมกระโชกแรงในค่ำคืนไร้หมู่ดาว เสียงฟ้าคำรามร่ำร้องราวเทพีแห่งนภากำลังพิโรธ ปลายกิ่งก้านของต้นไม้มหึมาแกว่งไกวไหวโยก ทว่าไม่ใช่กับโคนก้านและลำต้นหนา ซึ่งรองรับสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่เอาไว้
มันคือเอิร์กร่า ต้นไม้มหึมาสูงสองพันเมตร กล่าวกันว่า กาลครั้งหนึ่ง ต้นไม้นี้เติบโตขึ้นจากเมล็ดพันธุ์แห่งเทพเจ้ามานับแต่ปฐมกาล ณ จุดเริ่มต้นของการนับศักราช และจะยังคงดำรงต่อไป จนกว่าศักราชใหม่จะเริ่มนับหนึ่งอีกครา
กระทั่งเมื่อพันกว่าปีก่อนได้มีจอมขมังเวทคนหนึ่งสถาปนาโรงเรียนบนต้นไม้ขึ้น เพื่อตัดขาดจากเกมการเมืองของเหล่าผู้ไร้เวทมนตร์เบื้องล่างนั้น
นามของโรงเรียนแห่งนี้ก็คือ... เอเวนไฮด์
ในค่ำคืนนี้ไม่มีใครกล้าโผล่หัวออกจากที่พักอาคารเรียน อาณาเขตเวทมนตร์ทรงโดมถูกกางขึ้นปกป้องตัวโรงเรียนและบริเวณโดยรอบ แม้มีอสนีบาตฟาดลงมาก็ไม่สามารถทะลุผ่านโดมแสงเข้าไปได้ แต่ท่ามกลางลมแรงนอกสิ่งคุ้มกันนั้น ยังมีเด็กหนุ่มรูปงามผู้มีปีกขาวราวกับเทพบุตรยืนท้าทายพายุฝนฤดูแล้ง เงยมองท้องฟ้าเมฆมัวคล้ายว่ากำลังเฝ้าดูอะไรบางอย่าง
เปรี้ยง! อสนีบาตซึ่งผ่าจากพื้นขึ้นสู่หมู่เมฆเผยให้เห็นเงาของใครสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ณ ความสูงหลายพันเมตรเหนือผืนดิน
วันนี้คือวันจบหลักสูตรและวันอันตรายที่สุดในรอบปี
บอสติน อันทรอสตริกช์ เป็นนักเรียนเอเวนไฮด์ชั้นปีที่ 4 และเป็นเผ่าบาติส หรือที่เรียกกันติดปากว่าเผ่าเทวทูตซึ่งมีปีกนกสีขาวคู่ใหญ่ เขาครองตำแหน่งทั้งอันดับที่โหล่ของรุ่นและหัวโจกเด็กแสบที่ถูกพวกครูเพ่งเล็งความประพฤติเป็นพิเศษ
วันนี้คือวันตัดสินของเขา เข้าประลองฝีมือกับเพื่อนร่วมรุ่นแบบดวลเดี่ยวแพ้คัดออก ชิงชัยเป็น 1 ใน 4 ผู้ชนะเพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติยศและชื่อเสียงที่จะถูกจารึก ณ โรงเรียนแห่งเวทมนตร์ไปตราบนานเท่านาน ในขณะที่ผู้แพ้ก็จะถูกบันทึกลงในหออัปยศ ตราหน้าจนไม่สามารถปรากฏตัวต่อสาธารณชนได้อีกเลย
นักเรียนทั้งรุ่นมี 40 คน แต่คนที่สมัครเข้าประลองมีกันแค่ 32 คน ต้องประลองกันคนละ 3 รอบ บอสตินชนะไปแล้วสอง ในขณะที่กำลังรอดูผลการประลองของคู่ปัจจุบัน คนที่ชนะคือคู่ต่อสู้ของเขาในรอบต่อไป แต่คงเดาผลกันไม่ยากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อนักเรียนคนหนึ่งร่วงหล่นจากฟ้า ในขณะที่อีกคนยังคงขี่อยู่บนหลังมันติคอร์สีแดงอย่างสง่าผ่าเผย เด็กหนุ่มผมสีทองเข้มรูปงามซึ่งดีพร้อมไปทุกสิ่งสรรพ
เจ้าชายรูสตัน เอเวนดรอส ผู้ใช้เวทสายฟ้าที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยจดบันทึก โอรสองค์โตและรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งเอเวนเดรีย
บอสตินได้แต่กลืนน้ำลายกับคู่ต่อสู้มหาโหดคนต่อไป
รูสตันเป็นเจ้าชายรูปงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด หากเทียบเฉพาะเรื่องหน้าตา บอสตินยังพอสู้เจ้าชายได้บ้าง แต่ถ้ากับระดับในการเรียนแล้วละก็... เรียกได้ว่าหางหมากับหัวสิงโต
“คิดว่ายังไงบ้าง ครูกินรา” แม้โดมแสงจะยังไม่ถูกปลดลง แต่เหล่าคณาจารย์ผู้สร้างบาเรียก็เริ่มพูดคุยถึงการประลองในคู่ถัดไป
“ลูกชายคนโตของตระกูลอันทรอสตริกช์งั้นรึ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ารับบททดสอบนี้ด้วยซ้ำ เขาทำคะแนนวิชาของข้าได้แย่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย” สตรีผิวเผือกเอ่ยตอบ สิ่งเดียวที่ไม่ขาวบนร่างกายเธอก็คือดวงตาสีเลือด “หาเรื่องไปตายโดยแท้ เจ้าไม่น่ายอมให้เขาลงแข่งเลย ธารีส”
“ข้าให้โอกาสกับทุกคนอย่างเท่าเทียม หากปฏิเสธความฮึกเหิมนั่น แล้วข้าจะเป็นครูใหญ่แบบไหนกัน” ชายมาดเข้มถามกลับ “แล้วดูตอนนี้สิ เขากลายเป็นม้ามืดประจำปี”
“ก็เหมือนพวกหนูแมลงสาบ ไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ก็กำจัดได้ยาก” ครูกินราตอบ “ข้าเกลียดเด็กพวกนี้จริง ๆ”
“ข้าคิดว่าเข้าท่าดีนะ” ครูใหญ่เอ่ย
ความจริงแล้วควรจะมีช่วงเวลาให้นักเรียนที่พึ่งจบรอบสองได้พักก่อนประลองรอบที่สาม แต่ทันทีที่มันติคอร์สีแดงโฉบลงมาหาครูคนที่เป็นกรรมการ กลับได้ข้อสรุปออกมาว่าการประลองจะเริ่มต่อเนื่องไปเลย และทันทีที่กรรมการให้สัญญาณเริ่ม
เปรี้ยง~!!! เจ้าชายรูสตันก็ยิงสายฟ้าใส่บอสตินโดยไม่ต้องเสียเวลาร่าย ทิ้งร่องรอยไฟลุกท่วมบนกิ่งก้านนอกโดมแสงตลอดแนวที่สายฟ้ายิงไป
“แต่ทีเหลว” ครูใหญ่สรุป หรี่ตามองหาบอสตินในกองไฟพวกนั้น แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว “เอาล่ะ จบการประลองคู่เอกแล้ว ได้เวลาเก็บกวาด”
“ถ้าเขาเจอคนที่ฝีมือต่ำกว่านี้หน่อยก็คงรอดไปแล้ว” ครูกินราถอนหายใจ
“ไม่มีใครเลือกคู่ต่อสู้ได้หรอก ทั้งในการประลอง แล้วก็ในสนามรบ... ไม่โดนรุมแบบในการต่อสู้จริงก็ดีถมแล้ว” ครูใหญ่ธารีสยักไหล่อย่างไม่แยแส
ฉึก! ทว่าอยู่ ๆ เจ้าชายรูสตันที่เข้าใจว่าตัวเองชนะไปแล้วก็ถูกแทงเข้าที่สีข้าง เขาก้มลงมองด้วยความตื่นตระหนกก็เห็นมือซึ่งถือมีดยื่นออกมาจากช่องว่างเล็ก ๆ สีดำสนิทที่ลอยอยู่กลางอากาศ เขากัดฟันทนความเจ็บและช็อตไฟฟ้าใส่มือข้างนั้นทันทีที่ถอนมีด
“แว๊กก!!!” เสียงบอสตินร้องลั่นเปิดเผยตำแหน่งตัวเอง ซึ่งทำให้เหล่าครูผู้กางบาเรียถึงกับหันหลังไปมอง เพราะแทนที่การต่อสู้จะเกิดขึ้นแค่ด้านนอก บอสตินกลับใช้วิธีบางอย่างหลบเข้ามาอยู่ในโดมแสงแทน
“ไอ้ขี้โกง!” เจ้าชายรูสตันกุมบาดแผลตัวเองที่สีข้าง เลือดสีฟ้าไหลซึมออกมาตามร่องนิ้ว
“ไม่มีข้อห้ามนี่!” บอสตินร้องตอบ จริงอย่างเขาว่า เพราะกรรมการบอกให้งัดเวทมนตร์ทุกแขนงที่ใช้ได้ออกมาประลอง ขอแค่อย่าพังโรงเรียนไปด้วยก็พอ แต่เพื่อความมั่นใจ เหล่าคณาจารย์จึงร่วมกันสร้างโดมแสงเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งตามปกติแล้ว ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ หรือแม้แต่ธาตุอากาศก็ผ่านโดมนี้เข้าไปไม่ได้
ครูทั้งหลายถึงกับหันไปเช็กบาเรียของตัวเองอีกรอบ
“แทรกแซงมิติสินะ” ครูใหญ่ลูบคางตัวเอง
“แต่นั่นมันไม่มีในวิชาเรียน แล้วมันก็ผิดกฎหมายด้วย” ครูอมนุษย์ชายเอ่ยเตือน เขาดูคล้ายลิงชิมแปนซีสีครามสวมหมวกพ่อมด “ครูใหญ่ โปรดสั่งงดการใช้มนต์มิติเถิด โรงเรียนจะโดนตรวจสอบเอาได้นะ ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูราชวงศ์”
“ไม่ล่ะ” ครูใหญ่ธารีสเอ่ย “ข้าขอดูสักหน่อย”
เมื่อเห็นว่าครูไม่ลงโทษบอสติน เจ้าชายรูสตันจึงเริ่มยัวะและบริกรรมคาถาออกมาเป็นน้ำเสียงชวนขนลุก
“ครูใหญ่ธารีส... ” ครูหลายคนเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าโดมแสงจะเอาอยู่ เพราะเจ้าชายรูสตันกำลังร่ายมหาเวท ถ้าเป็นนักเรียนทั่วไปคงไม่ระคายผิว แต่กับเขาผู้เป็นอัจฉริยะ บางทีโดมแสงซึ่งเป็นแค่เวทมนตร์ชั้นกลางนี้อาจจะแตกออกก็ได้
“ข้าอยากเห็น” ครูใหญ่เอ่ย “ว่าระหว่างนักเรียนของข้ากับนักเรียนอัตตา ใครจะเก่งกว่ากัน”
นักเรียนอัตตา คำเรียกสำหรับนักเรียนที่ไม่ยอมเรียนเวทมนตร์ตามหลักสูตรที่กำหนดมาตามตัวบทกฎหมาย แล้วไปศึกษาด้วยตัวเองหรือศึกษาจากครูเถื่อน
ครูใหญ่ไม่พูดเปล่า จงใจเปิดช่องว่างของโดมแสงในส่วนที่ตัวเองควบคุม ทำให้นักเรียนคนอื่นที่กำลังนั่งดูการประลองอย่างสบายใจ ถึงกับอ้าปากเหวอและรีบหลบให้พ้นทาง
“สลักผืนฟ้า สลักปฐพี สลักวารี สลักกายา ขอหยิบยืมพลังแห่งซวาคาทรัจไหลผ่านสู่กายข้า รูสตัน เอเวนดรอส…”
“เดี๋ยวสิ...! เดี๋ยวโรงเรียนก็พังหรอก!” บอสตินร้อง เขาไม่คาดคิดว่าครูใหญ่จะเปิดช่องให้รูสตันโจมตีเขาไปพร้อมโรงเรียน ยิ่งเมื่อเห็นวงเวทที่ค่อย ๆ ผสานทับซ้อนกันทุกคำร่าย นั่นยิ่งทำให้แน่ใจว่าโรงเรียนนี้ต้องปลิวไปพร้อมกันแน่ “ครูครับ!”
“อย่าขี้ขลาดน่าบอสติน” ครูกินราเอ่ย “ถ้าไม่อยากให้โรงเรียนพัง เจ้าก็ควรออกไปเผชิญหน้า ไม่ใช่หลบอยู่หลังโล่ของพวกครู ศักดิ์ศรีของเจ้าหายไปไหนหมด”
บอสตินกัดฟันแน่น เขารู้ดีว่าตัวเองขี้ขลาดและสู้ด้วยวิธีขี้ขลาดขนาดไหน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เขาเก่งแค่กับมนต์มิติ ในขณะที่ห่วยแตกกับวิชาในหลักสูตร การสู้อย่างนักลอบสังหารคือวิธีของเขา ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงว่าที่จอมขมังเวทอัจฉริยะ เขายิ่งไม่เห็นโอกาสที่จะรอดตายจากการสู้อย่างมีศักดิ์ศรี
แต่เขาก็ก้าวออกไปผ่านรูบนโดมแสงนั้นจนได้ ก่อนที่ครูใหญ่ธารีสจะปิดช่องว่างนั้นลง บอสตินก้าวไปยืนตรงนั้นทั้งที่ขาสั่นเทา สบตากับเจ้าชายผู้มองเหยียดลงมาจากกิ่งไม้ที่สูงกว่า
“จากแสงสว่างสู่ความมืด จากความมืดสู่แสงสว่าง ข้าขอแทรกแซงหลักรูปธรรม นำทางเชื่อมบรรจงประจบ…” บอสตินเริ่มบริกรรมมหาเวทตามรูสตัน เร็วขึ้นและเร็วขึ้น เพื่อที่จะสามารถรับมือกับมหาเวทของอีกฝ่ายให้ทัน เหมือนเป็นการเสี่ยงกับทุกอย่าง เพราะหากร่ายพลาดหรือสมาธิขาดไปแม้เพียงครู่ นั่นอาจทำให้ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
ตอนนี้ใครร่ายจบโดยไม่กัดลิ้นตัวเองก่อนก็ชนะ
“...จงเปิดออก ประตูแห่งการนำทาง!”
“...จงทำลายล้าง หอกแห่งอสนีบาต!”
เพียงเสี้ยวน้ำเสียงที่ทับซ้อน รูสตันลากเอาฟ้าผ่าจากหมู่เมฆพายุฝนลงมา รุนแรงยิ่งกว่าที่ใช้เผด็จศึกคู่ต่อสู้คนก่อนหน้า ผสานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในร่างตัวเอง ก่อนจะยิงเข้าใส่บอสติน ทว่ามันกลับหายไปในหลุมสีดำขนาดใหญ่ที่เปิดออก แล้วไปปรากฏที่เหนือหัวของรูสตันเอง สายฟ้าผ่าใส่เจ้าชายไปพร้อมกับมันติคอร์คู่ใจของเขาและกิ่งสูงที่ยืนเหยียบ ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่ผืนพสุธาเบื้องล่าง
ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมแสงที่สว่างจ้าเกินกว่าใครจะทนมอง และเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีก่อนที่ใครจะทันเห็นแม้แต่บอสตินเอง เขาทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะเกิดมาไม่เคยใช้มหาเวทอย่างกระชั้นชิดเท่านี้มาก่อน และด้วยความที่ร่างกายของเขาไม่ได้มีพลังมากมายเท่าเจ้าชาย เขาทำมันได้สักครั้งก็เต็มกลืนแล้ว ในขณะที่รูสตันร่ายมหาเวทได้เรื่อย ๆ ทั้งที่พึ่งประลองรอบที่แล้วมาหยก ๆ ราวกับมีขุมพลังที่ไม่มีวันหมด
เหตุผลเดียวที่จะแพ้จึงมีเพียงความประมาทเท่านั้น
แล้วก็เป็นเหตุผลเดียวที่บอสตินแพ้ด้วย...
เปรี๊ยะ... สายฟ้าเส้นเล็ก ๆ ถูกยิงใส่บอสตินจากด้านหลัง ทำให้ร่างกายของเขาชาจนไม่สามารถขยับได้ ในขณะที่รูสตันค่อย ๆ ลอยกลับขึ้นมา โดยแทบไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
นั่นเพราะบอสตินไม่ได้ฟังให้ดีว่ามหาเวทที่อีกฝ่ายใช้คืออะไร การหยิบยืมพลังให้ไหลผ่านตัวเอง ทำให้พลังที่ยิงนั้นไม่ส่งผลกับตัวผู้ร่าย แม้ว่ามันติคอร์ของเจ้าชายจะตายทันทีและกิ่งไม้หักโค่น แต่รูสตันยังปลอดภัย แล้วพลังของเขาก็ยังไม่หมดเสียที
“ข้ายอมแพ้!” บอสตินร้องออกมาทันทีที่ลิ้นขยับได้
“เจ้าขี้ขลาด!” เจ้าชายรูสตันร้องคำราม เขาเสียสัตว์เลี้ยงตัวโปรดไปเพราะการโจมตีของตัวเอง แต่ในขณะที่กำลังจะมีโอกาสเอาคืน คู่ต่อสู้กลับยอมแพ้หนีการล้างแค้นไปเสียอย่างนั้น “สลักผืนฟ้า! สลักปฐพี! สลักวารี! สลักกายา!”
“หยุดได้แล้ว! รูสตัน!” เสียงครูกินราตะโกนลั่น เพราะเจ้าชายคิดจะสู้ต่อทั้งที่อีกฝ่ายยอมแพ้ แต่เสียงนั้นก็ไม่ช่วยอะไร รูสตันยังคงบริกรรมมหาเวทไม่เลิก ทำให้ครูใหญ่ต้องก้าวออกมาจัดการเอง
“สกัดธารา เวลาอายุขัย สิ้นเสียงหยุดนิ่ง วอนวิงกิ่งสาขา” ครูใหญ่ธารีสเริ่มร่ายบ้าง ทว่าเบาจนคนอื่นไม่ได้ยินว่าใช้เวทมนตร์บทไหน และทันทีที่เขาแตะลงบนบ่าเจ้าชาย ซึ่งจำต้องยืนปักหลักเวลาร่ายมหาเวท คำบริกรรมคาถาทั้งหมดของรูสตันก็หยุดนิ่งไป รวมทั้งปฏิกิริยาตอบสนองทั้งหมดไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะสลบเหมือดไปกับพื้น
บอสตินที่ยังนอนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้นถึงกับถอนหายใจโล่งอก หลังจากกลั้นหายใจอย่างเสียวไส้ไปครู่ใหญ่
“ข้าจะพาเจ้าชายกลับห้องพัก” ครูกินราอาสา ในขณะที่ครูทุกคนเริ่มละมือจากโดมแสงแล้ว
“ไม่เอาน่า” ครูใหญ่ธารีสเอ่ย พลางมองบอสตินด้วยหางตา “เจ้าก็รู้ ไม่มีใครเก็บกวาดได้ดีเท่าเจ้าอีกแล้ว”
ครูกินราทอดถอนหายใจ ก่อนจะหันไปช่วยดึงบอสตินให้ลุกขึ้นจากพื้น และพาเขาเดินตามครูใหญ่ไปรวมตัวกับนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ตกรอบจากการยอมแพ้
จากนักเรียนทั้ง 32 คนนั้นมีคนชนะ 4 คน คนที่ยอมแพ้ 4 คน คนที่แพ้เพราะสู้จนหมดสภาพอีก 19 คน และน่าเศร้า... มีคนที่ตาย 5 คนเพราะครูยื่นมือเข้าไปห้ามไม่ทัน ซึ่งคนที่หมดสภาพก็จะถูกนำตัวไปรักษา ในขณะที่คนเอ่ยปากยอมแพ้ต้องตามครูใหญ่กับครูกินราไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
หออัปยศ... สถานที่จารึกของคนขี้ขลาด
ไม่มีใครอยากมีชื่อในหอคอยแห่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น แต่หากต้องสู้กับศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะ กระทั่งหมดสภาพจนอาจจะถึงตาย นักเรียน 4 คนนี้จึงเลือกที่จะรักชีวิตไว้ก่อน
“แต่ข้าชนะไปสองรอบแล้ว ข้ายังต้องถูกจารึกชื่อที่นี่ด้วยรึ” บอสตินถาม หลังจากร่างกายหายชา เขาเป็นคนเดียวในที่นี้ที่ชนะไปไกลกว่าเพื่อน ส่วนคนอื่นที่เข้ารอบหลัง ๆ แบบเขาล้วนสู้ต่อไปจนกว่าจะหมดสภาพหรือตาย “ไม่ใช่ว่าต้องเป็นอันดับรองชนะเลิศอะไรแบบนั้นรึ”
“น่าเสียดายนะบอสติน แต่การประลองนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อหาผู้ชนะหรอก” ครูใหญ่ธารีสเอ่ยตอบ “มันมีไว้สำหรับคัดคนที่ยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อชัยชนะต่างหาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่า... ไม่ใช่พวกเจ้า”
คำตอบนั้นทำให้นักเรียนทั้งสี่หน้าสลด
“งั้นที่เหลือก็แค่... ถูกจารึกชื่อที่นี่ ไปร่วมพิธีจบการศึกษา แล้วก็ห้ามปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอีก... ใช่ไหม” บอสตินถามอย่างขอไปที เขาเองก็ไม่ได้อยากเด่นแบบพวกที่จบไปเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นอยู่แล้ว เขารับบททดสอบนี้ก็เพื่อหาคะแนนเสริมช่วยดึงเกรดปีสุดท้ายให้มากพอจะไม่ต้องซ้ำชั้นจนโดนไล่ออกก็เท่านั้น
“มันไม่ใช่แค่ถูกจารึกชื่อหรอก...” ครูกินราเอ่ยด้วยสายตาเศร้าสร้อย ก่อนจะเปิดประตูนำทางทุกคนเข้าไปสู่หออัปยศ สถานที่ซึ่งรวบรวมรูปสลักหินของเหล่าจอมเวทผู้หลงผิดเอาไว้ คอยเป็นสิ่งเตือนใจนักเรียนรุ่นหลังว่าจงทุ่มเทกับการเรียนให้เต็มที่เพื่อไม่ต้องกลายเป็นเช่นคนเหล่านั้นในอนาคต
“ช่วยรับช่วงต่อทีนะ ครูกินรา” ครูใหญ่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ดูไม่จริงใจ ก่อนจะเดินออกจากหออัปยศไป
และปิดประตูเพื่อไม่ให้เสียงใดเล็ดลอดออกมา
+++
“ข้าเชื่อเสมอว่าไม่มีใครทำหน้าที่นี้ได้ดีไปกว่าเจ้าอีกแล้ว ครูกินรา” ครูใหญ่ธารีสเอ่ยทัก เมื่อครูกินราเป็นคนเดียวที่กลับออกมา ไม่มีเสียงกรีดร้องหรือพูดคุย
เสียงพวกนั้นก็แค่... เงียบไป
“ข้าไม่ต้องการคำเยินยอกับเรื่องแบบนี้หรอกนะ” ครูกินราเอ่ยตอบ “น่าเสียดายเด็กมีพรสวรรค์โดยแท้”
“ไหนเจ้าว่าเขาเป็นเหมือนหนูแมลงสาบและเจ้าก็เกลียดพวกมัน” ครูใหญ่ธารีสแปลกใจ
“ก็แค่... ไม่ได้เกลียดขนาดจะมาทำอะไรแบบนี้” ครูกินราตอบ “แล้วอย่างไรต่อ เจ้ามีรายชื่อนักเรียนใหม่ที่นางหมายตาไว้อีกไหม ปีนี้ นอกจากองค์ชายกับพวกนี้ก็ดูไม่ค่อยได้เรื่องเลยสักคน”
“มี” ครูใหญ่เอ่ย “คัลลัค แวนธีส”
“หมายถึงคัลลัค ชากอล?” ครูกินราคุ้นอีกชื่อมากกว่า
“ปัญหาน่าปวดหัวเรื่องสายเลือดทางพ่อไม่ใช่เรื่องของเรา พลังอำนาจที่นางได้มาจากสายเลือดทางแม่ต่างหากที่น่าสนใจ” ครูใหญ่ธารีสว่า “เพชรน้ำงามเชียวล่ะ”
“ข้าเคยได้ยินข่าวลือว่าเด็กคนนั้นตายไปพร้อมกับแม่ของนาง” ครูกินราเอ่ยแย้ง
“ยังหรอก เด็กยังไม่ตาย” ครูใหญ่เอ่ย ก่อนจะหยิบเอาจดหมายหนึ่งในหลายฉบับออกมาจากในแขนเสื้อคลุม “จดหมายนี้คือสิ่งยืนยัน”
“ถึงอย่างไรเด็กคนนั้นก็ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าเรียนอยู่ดี อีกตั้ง 4-5 ปีกว่านางจะพร้อม” ครูกินราพูด
“ไม่เป็นไร มันไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” ครูใหญ่ยิ้มรับ “ข้ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือสำหรับการรอคอย”
ครูกินราขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก
“ไปกันเถอะครูกินรา ดวงอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว เดี๋ยวพวกเราจะร่วมพิธีจบการศึกษาสายเอานะ” ครูใหญ่พูดเร่ง ทำให้ครูกินราหลุดจากเรื่องที่กำลังกังวล ก่อนจะตามครูใหญ่กลับไปยังโถงประชุมกลางของโรงเรียนเอเวนไฮด์
ส่วนนักเรียนทั้ง 4 คนนั้น... ไม่มีใครพบพวกเขาอีกเลย
Comments (0)