4 ตอน บทที่ 2 ใบหน้าในจดหมาย
โดย ChaoSera
บทที่ 2 ใบหน้าในจดหมาย
โรงละครร้างหลังตรอกอุโมงค์ เขตสลัม
น้ำแข็งไสนำทางเดธิเลียมาถึงสถานที่ห่างไกลผู้คนและความเจริญ ตรอกมืดไร้แสงนี้มีเสียงหนูวิ่งอยู่ตามพื้น แม้จะส่องคบเพลิงไปไม่ทันเห็นก็ยังทำให้เด็กสาวรู้สึกขยะแขยง
ทางเข้าโรงละครร้างนั้นถูกตอกปิดด้วยแผ่นไม้มากมาย น้ำแข็งไสที่ตัวใหญ่เกินไปจึงต้องรออยู่ด้านนอก ส่วนลอร์ดโรแวงอ้อมไปรอบ ๆ เพื่อดักทางหนีอื่น ในขณะที่เดธิเลียค่อย ๆ คลานเข้าไปอย่างไม่สบอารมณ์
ด้านนอกนั้นดูสกปรก แต่รูทางเข้านี้ไม่มีฝุ่นเลย แปลว่ามันถูกใช้อยู่ตลอด แม้ว่าที่นี่จะดูเหมือนร้างผู้คน
เดธิเลียชักกริชสีดำออกมาจากฝัก ย่างก้าวผ่านแนวเก้าอี้โรงละครฝุ่นเขรอะไปอย่างเงียบเชียบ เห็นแสงตะเกียงริบหรี่จากมุมหนึ่ง ข้าง ๆ นั้นมีใครบางคนซึ่งซุกตัวนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม
ลอร์ดโรแวงเอ่ยสั่งชัดเจนว่าห้ามฆ่า ทว่าความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยวในใจทำให้เดธิเลียกำอาวุธแน่น ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งชิงชัง ทั้งจากตัวตนที่อีกฝ่ายเป็นและจากสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับเธอ
ฉึก! กริชคมกริบแทงทะลุชั้นผ้าห่มลงไปอย่างง่ายดาย จนทำให้เดธิเลียรู้สึกได้ทันที ว่ามันไม่ได้แทงลงในเนื้อหนัง
“ไม่คิดบ้างรึว่าเจ้าอาจจะฆ่าผิดคน” เสียงทักทายดังแว่วจากมุมมืดสลัว คัลลัคนั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมด้วยมีดสั้นเล่มหนึ่งในมือ “แล้วเจ้าก็จะถูกแขวนคอในฐานะฆาตกร”
“ฆาตกรรึ” เดธิเลียดึงกริชกลับขึ้นมาเตรียมพร้อมทันทีที่รู้ตัวว่าถูกหลอก เธอรู้สึกขนลุกไปชั่ววูบ เพราะไม่รู้สึกตัวเลยว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้อย่างเปิดเผย ราวกับว่าก่อนหน้านี้ ตรงนั้นมีแต่เงามืด
ถ้าคิดจะลงมือ คัลลัคลอบฆ่าเธอได้เลยด้วยซ้ำ
“ผู้ทวงความยุติธรรมต่างหาก” เดธิเลียเอ่ยอ้าง “ข้ามาเอาเงินของข้าคืน ...แล้วก็ชุดข้าด้วย”
คัลลัคหัวเราะขบขันในความมืด
“หุบปาก” เดธิเลียคำรามอย่างหัวเสีย
“โทษที พอดีภาพเจ้าโดนขโมยเสื้อผ้าในโรงอาบน้ำยังติดอยู่ในหัวน่ะ” คัลลัคพยายามกลั้นขำ “แต่ที่ขำกว่าคือคนบ้าอย่างเจ้าที่กล้าบุกมาในรังโจรคนเดียวที่แหละ”
“เจ้าไม่รู้สินะว่าข้าเป็นใคร” เดธิเลียกัดฟันกรอด แต่เธอก็เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตัวเองจะปลอดภัย
เพราะคำว่ารังโจร... มักไม่ได้มีโจรแค่คนเดียว
ทีแรกเดธิเลียนึกว่าคัลลัคเป็นแค่เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่ลูบคมเธอด้วยตัวคนเดียว แต่ไม่มีทางที่ภาพพจน์เปลือกนอกจะเป็นตัวตนจริงของนักต้มตุ๋น
“เจ้าแนะนำตัวแล้ว” คัลลัคว่า ผละจากผนังที่ยืนพิงและก้าวเข้ามาหาเดธิเลีย “เจ้าคือ... ลูกสาวขุนนางจากแดนหิมะ เป็นนักสู้ อัศวิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เจ้าหลงคิดไปว่าตัวเองเก่งกาจจนไม่ต้องมีองครักษ์”
เดธิเลียฟันกริชตัดอากาศในแนวนอน ทำให้คัลลัคก้าวเข้ารัศมีต้องดีดตัวหลบออกไปและเดินเหยียบพนักพิงของเก้าอี้ผู้ชม เพื่ออ้อมรัศมีกริชไปแทน
“หรือแม้แต่คนรับใช้ที่จะหาเสื้อผ้าใหม่มาเปลี่ยนให้เจ้า” คัลลัคว่า ก่อนจะกระโดดหลบการโจมตีจากความโมโห เดธิเลียปีนขึ้นมาเหยียบบนที่นั่งผู้ชมบ้าง ก่อนจะกระโจนเข้าใส่พร้อมอาวุธ
แน่นอนว่าคัลลัคกระโจนหนีทันที เธอเป็นแค่หัวขโมย ถ้าให้ประมือกับคนที่ฝึกมาตรง ๆ คงไม่มีทางชนะ เพราะฉะนั้นด้วยความมืดและความคุ้นเคยกับสถานที่ คัลลัคจึงกระโดดข้ามเก้าอี้ที่ใกล้พัง แต่เดธิเลียเผลอเหยียบและมันก็หักทะลุลงไปดัง โครม!
ฉัวะ! คัลลัคกลับหลังหัน ฟันมีดเข้าที่มืออีกฝ่าย แม้ว่าอาวุธราคาถูกจะไม่ค่อยคม แต่ก็เรียกเลือดจากนิ้วอีกฝ่ายได้มากพอจะทำให้เผลอปล่อยกริชได้
“อ๊าก!” เดธิเลียร้องลั่น ใช้มืออีกข้างชกตรงสวนเข้าใส่ แต่อีกฝ่ายถอยหลบราวกับรู้ล่วงหน้า และเมื่อเธอเหยียบขึ้นเก้าอี้ หมายจะกระโจนตะครุบ คัลลัคก็ถีบขาเก้าอี้ผุ ๆ จนหัก ส่งเดธิเลียล้มหน้าคะมำไปกับพื้น
เมื่อลุกขึ้นมาอีกที คัลลัคก็หายตัวไปแล้ว
ตุ้ม! เดธิเลียทุบเก้าอี้เต็มแรงด้วยความหัวเสีย แต่ว่าเบาะของมันเต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้ง “ ...ฮ..ฮัดชิ่ว!”
+++
“นั่นมันบ้าอะไรน่ะ?!” เรสเทลร้องลั่น เพราะก่อนหน้านี้โรเดนร้องเตือนว่ามีหมายักษ์พยายามจะเข้ามาทางประตูหลัง พวกเธอจึงเตรียมหนีกันออกไปจากโรงละครร้าง แต่เดธิเลียดันเข้ามาดักอีกทางไว้เสียนี่ คัลลัคจึงอาสาถ่วงเวลาเอาไว้ เพื่อที่อีกสองคนจะได้หาทางหนีใหม่
นั่นคือปีนหนีกันไปตามหลังคา
“ลูกค้าอยากได้เงินคืน” คัลลัคว่า
“ทำไมเจ้าไม่เห็นบอกว่าคนที่เจ้าปล้นเลี้ยงหมายักษ์ไว้ด้วย!” เรสเทลร้องลั่น
“เออ เอาเถอะ จะหมายักษ์หรือสิงโตก็ไม่ปีนตามขึ้นมาบนหลังคาหรอก” โรเดนที่ปีนนำไปก่อนหันกลับมาตอบ พร้อมโยนเชือกสำหรับปีนหนีลงมาให้ พวกเธอกำลังปีนจากโรงละครร้างไปยังโกดังเก็บสินค้าเก่า
“นางออกมาข้างนอกแล้ว” เรสเทลเห็นเดธิเลียเตรียมคันธนูออกมา ระหว่างที่เธอกำลังโหนเชือกข้ามอาคาร “ถ้าเราคืนเงินนางไป นางจะเลิกตามเราไหม”
“ตอนนี้รึ” คัลลัคชะเง้อมองลงไปจากระเบียงชั้นสาม ก่อนจะต้องหมอบลงทันทีเพราะลูกธนูพุ่งขึ้นมาเฉียดหัว “ไม่มีทาง”
“คัลลัค! ข้ามมาเร็ว!” โรเดนร้องเรียก เพราะทั้งสองคนข้ามไปฝั่งโกดังได้แล้ว เหลือเพียงแค่คัลลัค...
เธอมองความสูงด้านล่างพลางกลืนน้ำลาย
“คัลลัค!” เรสเทลตะโกนเร่งเธออีกคน ในขณะที่คนโดนเร่งเริ่มปากสั่น
“ข... ” คัลลัคไม่กล้าปีนข้ามไป ต่อให้สูงน้อยกว่านี้สักชั้นก็ไม่กล้า ความสูงทำให้ขาของเธอสั่น “ข้าจะไปทางอื่น”
“ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวความสูง แต่นี่มันห่างแค่สามเมตรเองนะ เชือกโหนก็มี!” โรเดนร้อง
“ข้าจะไปช่วยนาง” เรสเทลทำท่าจะปีนกลับ แต่เมื่อเอื้อมมือออกไป ลูกธนูก็พุ่งแฉลบใส่มือเธออย่างแม่นยำ และจะโดนไปแล้ว ถ้าเธอไม่รีบชักมือหลบเมื่อครู่
“อย่า” คัลลัคร้องห้าม เหลือบมองลงยังจุดที่เดธิเลียยืนอยู่อย่างหวาด ๆ อีกฝ่ายยิงธนูได้แม่นมาก เห็นได้ชัดว่าจงใจปล่อยเพื่อนของเธอหนีไปก่อน เพื่อแยกเธอออกจากคนอื่น “ข้าจะหาทางหนีเอง แล้วกลับไปเจอกันที่ซากวิหาร”
“เยี่ยม!” โรเดนพ่นลมหายใจ “ข้าไปล่ะ”
ไม่ว่าเปล่า เขาโกยแนบไปก่อนใครเพื่อน
“โรเดน!” เรสเทลแยกเขี้ยวใส่เพื่อน ก่อนจะหันกลับมาและนิ่งค้าง “ ...คัลลัค วิ่ง!”
ด้านหลังคัลลัคคือน้ำแข็งไส มันพยายามปีนขึ้นมาตามบันไดโรงละครอย่างยากลำบาก ก่อนจะพยายามยื่นหัวทะลุประตูระเบียงออกมากัดเป้าหมาย
“เจ้าด้วย!” คัลลัคก้มหลบคมเขี้ยว โบกมือไล่ให้เรสเทลวิ่งหนี ก่อนที่ตัวเองจะวิ่งอ้อมไปยังประตูเชื่อมระเบียงโรงละครอีกทาง วิ่งลงบันไดหินอ่อน แล้วโหนตัวเองออกไปทางรูผุพังบนผนังชั้นหนึ่ง
น้ำแข็งไสไล่จับคัลลัคไม่ทัน เพราะตัวมันใหญ่เกินไปสำหรับโรงละครที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง เมื่อไล่ตามมาถึงรูบนผนังซึ่งเดธิเลียใช้มุดเข้ามาทีแรก ตัวของมันก็ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น
ฟ้าว~! คัลลัคก้มหลบทันทีที่เห็นลูกธนูพุ่งเข้ามา เธอคว้ากระดานโฆษณามาเป็นโล่ ปึก! แม้ลูกธนูจะรุนแรงจนเจาะกระดานเข้า แต่มันก็ยังเข้าไม่ถึงตัวเธอ
“งี้ด ๆ ๆ” คัลลัคหนีไปได้และเดธิเลียกำลังจะไล่ตาม แต่เสียงร้องครวญครางของหมาตัวโต ซึ่งมุดรูไม่ดูขนาดตัวเองทำให้เดธิเลียต้องหันกลับไปมองสัตว์เลี้ยงอย่างเวทนา
“นรกเถอะ” แวนธีสสาวถอนหายใจ ก่อนจะเข้าไปช่วยงัดน้ำแข็งไสออกจากรู เธอยอมปล่อยให้คัลลัคหนี เพราะรู้ว่ามีคนรอดักอยู่แล้ว ในเส้นทางที่อีกฝ่ายวิ่งไป
+++
คัลลัควิ่งมายังถนนสามแยก ซึ่งควรจะไร้ผู้คนในยามดึกดื่นเช่นนี้ แต่แทนที่จะเป็นแบบนั้น กลับมีชายคนหนึ่งขี่ม้าสีเทาถือคบเพลิงมาขวางเส้นทางที่เธอจะต้องไปเอาไว้
เด็กสาวพยายามทำเป็นเดินปกติ เพื่อจะผ่านอีกฝ่ายไปโดยไม่มองหน้า เพราะเธอไม่เคยเห็นชายคนนั้นมาก่อน และไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเคยเห็นเธอด้วย
“คัลลัค” ทว่าชื่อที่คนอื่นไม่ควรรู้กลับหลุดออกมาจากปากของชายคนนั้น ทำให้คัลลัคเผลอเงยหน้าอย่างลืมตัว
ใต้แสงคบเพลิงนั้น ผมสีเทาและดวงตาสีน้ำเงินแบบเดียวกับเดธิเลีย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นญาติกัน คัลลัคหยุดเดินทันที และเมื่ออาชาสีพายุก้าวเข้ามา เธอก็ก้าวถอยตามจำนวนก้าวของมัน
ด้านหน้ามีม้า ด้านหลังมีหมา แต่ด้านขวาไม่มีอะไร
“เดี๋ยวก่อน” ลอร์ดโรแวงเอ่ยเรียก เมื่อเห็นว่าคัลลัคกำลังจะหนีไปยังเส้นทางที่มืดสนิท “เจ้าอาจไม่รู้จักข้า”
“ลอร์ดแวนธีส” คัลลัคทาย ใช้นามสกุลเรียกเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่อยู่ในตระกูลเดียวกับเดธิเลียแน่
“ข้ารู้จักเจ้า” ลอร์ดโรแวงปีนลงจากหลังม้า
“เราไม่เคยพบกัน” คัลลัคยังคงทิ้งระยะจากลอร์ดโรแวงเท่าเดิม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะก้าวเข้ามาหาสักกี่ก้าว
“ข้าเคยพบเจ้า เราเคยพบกัน” ลอร์ดโรแวงเอ่ย “เพียงแต่ตอนนั้นเจ้าพึ่งจะเริ่มลืมตา”
“น้ำเน่าไปหน่อย ไม่น่าสนใจสำหรับข้า” คัลลัคว่า ก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ
“เจ้าเคยรู้ไหมว่าใครคือพ่อแม่ของเจ้า” ลอร์ดโรแวงถาม เริ่มก้าวช้าลง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางจะเข้าใกล้คัลลัคให้น้อยกว่าห้าเมตรได้
คัลลัคเริ่มสนใจ แต่เมื่อเธอลดการระวังตัวลง ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งออกมาจากถนนเส้นที่มืดสนิท ฉึก! แทงเข้าที่ต้นขาของคัลลัค เธอล้มลง กรีดร้อง ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทั้งเธอและลอร์ดโรแวง
ฟ้าว ๆ ๆ! ลูกธนูมากมายพุ่งตามมา แต่ลอร์ดโรแวงวิ่งเข้าไปและยกผ้าคลุมขนสัตว์ขึ้นบัง มันทำได้แค่บดบังเป้ายิง ลูกธนูหลายดอกยังคงยิงถูกตัวเขา
“ท่านพ่อ!” เดธิเลียขี่น้ำแข็งไสเข้ามาขวางทางธนูจากอีกทาง ลูกธนูเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ทิ่มหนังหนาของหมายักษ์ไม่เข้า และเมื่อเดธิเลียกระโดดลงมาเพื่อดูอาการผู้เป็นพ่อ น้ำแข็งไสก็วิ่งพุ่งออกไปตามทิศที่ธนูยิงมา ก่อนจะมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้นในความมืด
คัลลัคไม่รู้ว่าลอร์ดโรแวงโดนยิงไปเยอะแค่ไหน แต่ลูกธนูดอกเดียวที่เธอโดนนั้นกำลังเปลี่ยนเลือดของเธอเป็นสีดำ หัวของลูกธนูพวกนี้มีพิษ แม้จะพยายามฝืนลืมตา แต่สติของเธอก็ไม่เห็นด้วย เธอฟุบคว่ำไป ภาพสุดท้ายที่เห็นยิ่งทำให้นึกสงสัย ว่าสติของเธอหลอนไปเพราะพิษหรือภาพจริง
เพราะเธอเห็นหมายักษ์คาบโครงกระดูกถือธนูกลับมา
+++
คัลลัคตื่นขึ้นมาในห้องอวลกลิ่นธูป กำยานเปลือกไม้หอมและสมุนไพรแก้พิษ ความหรูหราภายในห้องบ่งบอกชัดว่าเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของเศรษฐี และดูจากทัศนียภาพผ่านหน้าต่างก็พอเดาได้ว่าเธอกำลังอยู่ในโรงแรมของชนชั้นสูง
แผลลูกธนูถูกแทนที่ด้วยผ้าพันแผลและสมุนไพร ความรู้สึกรอบแผลนั้นชาจนไม่รู้สึกเจ็บ ดูจากที่เลือดหยุดไหลและแสงตะวัน เธอก็คงสลบไปครึ่งค่อนวัน
ประตูทางออกถูกล็อกเอาไว้จากภายนอก คัลลัคใช้แท่งเหล็กเขี่ยเตาผิงต่างไม้เท้า พาตัวเองไปหาทางออกอื่น ซึ่ง... ไม่ชวนให้รู้สึกเป็นมิตรนัก
หน้าต่างห้องพักอยู่สูงกว่าพื้นดินไปสองชั้น นั่นทำให้คัลลัคยืนนิ่งไม่ไหวติง ต่อให้สภาพร่างกายพร้อมกว่านี้ก็คงทำใจกระโดดออกไปไม่ได้
แกร๊ก! เสียงประตูเปิดออกในจังหวะที่คัลลัคกำลังมองหาทางหนีอื่น เธอหันกลับไปก็พบเดธิเลียจ้องมองเธอด้วยสายตาเฉยชา มือข้างหนึ่งถือกุญแจ มืออีกข้างหนึ่งถือดาบ
“รู้ไหม โทษของหัวขโมยคือตัดมือทิ้ง ใช้มือข้างไหนขโมยก็ตัดมือข้างนั้น” เดธิเลียเอ่ย และก้าวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
คัลลัคยกแท่งเขี่ยเตาผิงขึ้นมาเป็นอาวุธ
เคร้ง! แคร้ง! ทว่าแค่ประดาบเพียงไม่กี่ครั้ง คัลลัคก็เผลอเหวี่ยงอาวุธเต็มแรง ด้วยความที่ไม่เคยถือโลหะหนัก มันจึงหลุดมือลอยออกไปทางหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงตกกระแทกพื้นและเสียงร้องตกใจของคนที่เดินอยู่ตามถนน คัลลัคทำหน้าเหยเกด้วยความรู้สึกผิดและกลัวว่าจะมีใครหัวแตก แต่เดธิเลียไม่สนใจ เข้ามากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายและลากออกไป เธอสูงและแข็งแรงกว่าคัลลัคมาก น้ำหนักของเด็กสาวผู้อดมื้อกินมื้อจึงไม่ใช่ปัญหาของเธอเลย
“เดี๋ยวก่อน! ข้าจะเอาเงินมาคืนให้! ข้าจะไปเอามาคืน เจ้าอยากได้เงินคืนใช่ไหม” คัลลัคร้อง ระหว่างพยายามดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ “ถ้าเจ้าตัดมือข้าก็อย่าหวังจะได้เห็นเงินพวกนั้นอีกเลย!”
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าคงเข้าใจอะไรผิดไป” เดธิเลียเอ่ย ก่อนจะโยนคัลลัคเข้าไปในห้องพักของโรงแรมอีกห้องหนึ่งที่ใหญ่โตและหรูหรากว่ามาก ข้างในมีองครักษ์ติดอาวุธในชุดคลุมหัวหมาป่าคนหนึ่งยืนเฝ้าประตู มีชายผู้ที่ขี่ม้าสีเทาก่อนหน้านี้นอนอยู่คนเดียวบนเตียงขนาดใหญ่ มีคนรับใช้คอยยกถังน้ำเปื้อนเลือดออกไปและกลับมาพร้อมน้ำสะอาด แล้วก็มีหมอสองคนผู้มีสีหน้าเคร่งเครียดกันทั้งคู่ “เงินที่เจ้าขโมยไปเป็นเพียงเศษเงินสำหรับพวกเรา ข้าไม่สนใจ แต่เจ้าหยามเกียรติข้า ทำให้ข้าอับอายในที่สาธารณะ รวมทั้งยังทำให้พ่อข้าบาดเจ็บจากการช่วยเจ้า”
คัลลัคมองหาทางหนี แต่เมื่อเจอสายตาดุดันจากใต้หน้ากากองครักษ์ก็ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น ระหว่างที่เดธิเลียเดินไปกระซิบคุยกับผู้เป็นพ่อที่ข้างเตียง
“ออกไปก่อน” ลอร์ดแวนธีสเอ่ย หมอและข้ารับใช้จึงพากันเดินผ่านคัลลัคออกไป แต่เดธิเลียกับองครักษ์ยังคงอยู่ “พวกเจ้าด้วยออกไป”
“ข้าด้วยรึ” เดธิเลียทำหน้าไม่เข้าใจ ในขณะที่องครักษ์เดินออกไปแล้ว “ข้าไม่ปล่อยท่านไว้กับนางสองคนหรอก”
“เดธิเลีย” ผู้เป็นพ่อส่งเสียงดุ แต่เดธิเลียก็ยังไม่ยอมออกไป “ขอเวลาเราหน่อย แค่ไม่กี่นาที”
ในที่สุดเดธิเลียก็ยอม แต่ก็ไม่วายมายืนนิ่งส่งสายตาอาฆาตให้คัลลัคอีกสักหน่อย แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่เงยขึ้นมาสบตาด้วยเลย เธอจึงเลิกสนใจ เดินออกไปและปิดประตู
“คัลลัค” ลอร์ดแวนธีสเอ่ยเรียก “เข้ามาใกล้ ๆ สิ”
คัลลัคค่อย ๆ ขยับเข้าไปนั่งข้างคนเจ็บ ระหว่างคนพ่อกับลูกสาวแล้ว ถือว่าเขาเป็นมิตรกว่าเดธิเลียเยอะ
“ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวสินะ” เขากระแอมเบา ๆ “ข้าคือลอร์ดโรแวง แวนธีส ดยุกแห่งกาเมซัน และเด็กสาวที่เจ้าพบก็คือลูกสาวของข้า เดธิเลีย แวนธีส”
“ว้าว ประหลาดใจมาก” คัลลัคเอ่ย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นมารยาทที่ไม่เหมาะ “ข้าหมายถึง... พวกท่านเหมือนกันมาก”
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องของข้าบ้างไหม คัลลัค” ลอร์ดโรแวงเอ่ยถาม “หรือเรื่องของดินแดนข้า”
“ข้าเคยได้ยินแค่จากละครเวที” คัลลัคตอบ “กาเมซัน ดินแดนแห่งเหมันต์ ยักษ์น้ำแข็ง แล้วก็ลำนำเพลงโศก”
“เจ้าไม่รู้จักข้าเลยสินะ” ลอร์ดโรแวงหลับตาทอดถอนหายใจ “เจ้าเคยรู้ไหม...ว่าพ่อของเจ้าเป็นใคร”
คัลลัคสั่นหัว
“พวกเราไม่มีพ่อแม่” คัลลัคยักไหล่ ราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่ “พวกเรากำเนิดขึ้นมาจากดินเหนียว ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเตรียมพร้อม เพื่ออารักขา”
ลอร์ดโรแวงนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนเขากับคัลลัคกำลังคุยกันคนละภาษา ทั้งที่พูดภาษาเดียวกันอยู่แท้ ๆ
“ข้าว่าเจ้าโดนเลี้ยงมาด้วยเรื่องหลอกเด็กนะ คัลลัค” ลอร์ดโรแวงพยายามอธิบาย เขาตั้งใจจะอยู่ในประเด็นสนทนา แต่คัลลัคก็ดูจะอยากพาออกทะเลเหลือเกิน
“ลุงกันตินี่ไม่เคยโกหก” คัลลัคตอบเสียงดังฟังชัดด้วยสายตาจริงจังเป็นอย่างยิ่ง “พวกเราถูกสร้างมาจากดิน!”
มีเสียงหัวเราะแว่วมาจากด้านหน้าประตู ดูเหมือนว่าเดธิเลียจะแอบฟังอยู่และกลั้นขำไม่ไหวแล้ว
“ขอโทษนะ แต่ข้าว่าสิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้าคงขัดกับความเชื่อของเจ้าน่าดู” ลอร์ดโรแวงยกมือข้างที่ไม่บาดเจ็บขึ้นมากุมขมับ “แต่เจ้าไม่ใช่ดิน คัลลัค เจ้าเป็นมนุษย์ เกิดมาจากพ่อและแม่เหมือน ๆ กับพวกเราทุกคน”
“ข้ารู้ ท่านไม่เข้าใจ พวกเราอาจดูเหมือนมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่ ก็แค่ใกล้เคียง...” คัลลัคยังคงเถียง “พวกเราเป็นโกเลม”
“คัลลัค! เจ้า - เป็น - มนุษย์!” ลอร์ดโรแวงขึ้นเสียง ก่อนจะรู้สึกเจ็บแผลขึ้นมาจนต้องหยุดตะเบ็ง
“ท่านจะไปรู้ได้ยังไง” คัลลัคเอ่ย
“เพราะข้าคือพ่อของเจ้า และแม่ของเจ้าก็เป็นมนุษย์ พวกเราทั้งหมด... เป็นมนุษย์” ลอร์ดโรแวงพูดออกมาในที่สุด “เจ้าไม่ได้เกิดมาจากดิน ไม่มีใครเกิดมาจากดินทั้งนั้น”
คัลลัคอ้าปากที่เตรียมเถียงค้างไว้ แต่ความรู้ใหม่นี้ทำให้เธอนึกหาคำโต้แย้งไม่ออกจึงยอมหุบปากลง
“แล้วทำไมข้าไม่รู้จักท่าน” คัลลัคถาม หลังจากดึงสติกลับมาแล้ว “ทำไม... ท่านไม่อยู่ ในเวลาที่ข้าต้องการท่านมากที่สุด ท่านไม่เคยอยู่... แล้วข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร”
ลอร์ดโรแวงได้แต่หรี่ตาลงอย่างหดหู่หัวใจ เขามีคำตอบให้กับคำถามนี้ แต่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าคำตอบนั้นไม่มากพอที่จะเติมเต็มช่องว่างทั้งหมดของคำถาม
“เพราะข้าไม่รู้... ว่าเจ้ายังมีชีวิต” เขาตอบได้แค่นี้ คำตอบเดียวที่ฟังดูเหมือนข้อแก้ตัวและไม่ช่วยอะไร “ข้าเสียใจ”
“แล้วทำไมอยู่ ๆ ท่านถึงรู้ขึ้นมาได้เล่า? ...ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” คัลลัคลุกขึ้นยืน มองต่ำลงมายังขุนนางผู้บาดเจ็บด้วยธนูอาบยาพิษ “ทำไมอยู่ ๆ ท่านก็หาข้าเจอ พร้อมกับศัตรูจากไหนก็ไม่รู้ที่ไม่เคยมารังควานข้าเลยสักครั้ง แต่พอท่านโผล่มา... พวกมันก็โผล่มาด้วย”
“ข้าไม่รู้เรื่องศัตรู แต่...นั่นอาจเป็นคำตอบให้เจ้าได้” ลอร์ดโรแวงเหลือบมองไปยังโต๊ะวางยา หนึ่งในของที่วางไม่เข้าพวกคือจดหมายสีดำ ซึ่งถูกแกะผนึกครั่งสีทองออกแล้ว
จดหมายเชิญจากโรงเรียนเวทมนตร์เอเวนไฮด์
แน่นอนว่าทุกคนย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของจดหมายนี้ จดหมายเชิญสำหรับเด็กผู้ถูกเลือก นักเรียนมากพรสวรรค์ที่จะถูกเรียกตัวเป็นกรณีพิเศษเพียงสองสามคนในหนึ่งรุ่น มันคือตั๋วสู่ถนนทองคำซึ่งโรยด้วยกลีบกุหลาบ และการันตีโอกาสที่จะกลายเป็นจอมขมังเวทมากชื่อเสียงแห่งยุค ขนาดที่คัลลัคเคยเชื่อว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าขายฝันของพวกนักมายากลข้างถนน ที่พยายามอ้างว่าตัวเองเคยได้รับจดหมายพวกนั้นมาแล้ว แต่เก่งเกินไปจนปฏิเสธไม่เข้าเรียน
แน่นอนว่าเรื่องปฏิเสธจดหมายคงโกหก แต่ ณ เวลานี้ ณ ที่แห่งนี้ คัลลัคไม่กล้าปฏิเสธว่าตัวเองกำลังถือจดหมายของจริงอยู่ ภายในซองจดหมายนั้นไม่มีจดหมายที่เขียนตามปกติ หากแต่เป็นการ์ดพับหนึ่งใบ ซึ่งเปิดออกมาเป็นกลุ่มละอองแสงสีฟ้าและทอง ก่อสร้างรูปร่างขึ้นมาเป็นใบหน้าสามมิติ
“สวัสดี คัลลัค แวนธีส” ใบหน้านั้นเอ่ย ทำเอาคัลลัคเผลอปล่อยจดหมายหลุดมือ ในขณะที่ลอร์ดโรแวงเองก็ตกใจไปด้วย เพราะตอนที่เขาเปิดอ่าน มันมีเพียงตัวหนังสือธรรมดาในการ์ดใบนั้น “เด็กสาวผู้มีพรสวรรค์... โอ้เซรียด้าโปรดเถอะ ช่วยถือจดหมายให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร”
อาจเพราะเสียงร้องตกใจของลอร์ดโรแวงหรือแสงที่ลอดผ่านช่องใต้ประตู เดธิเลียรีบเปิดประตูเข้ามา ก่อนจะชะงักตกใจไปอีกคน ยิ่งเมื่อคัลลัคหยิบการ์ดขึ้นมาถือใหม่ดี ๆ ให้เห็นใบหน้าในจดหมายชัด ๆ พวกเธอก็ยิ่งแน่ใจว่าส่งจดหมายให้ถูกคนแล้ว องครักษ์ที่ตามเดธิเลียเข้ามารีบหันกลับไปปิดประตู ก่อนที่จะมีใครมามุงประตูห้องไปมากกว่านี้
“อะแฮ่ม! เอาใหม่นะ... คัลลัค แวนธีส ธิดาแห่งลอร์ดโรแวง แวนธีส ดยุกแห่งกาเมซันและแกรนด์ดัชเชสคาฟาร์ เอไรออส เจ้าหญิงแห่งเฮรอนน่า เจ้าได้รับเชิญจากเอเวนไฮด์ โรงเรียนเวทมนตร์เพียงแห่งเดียวในทวีปแอซโทเปีย โดยครูใหญ่ธารีส เซย์ จอมขมังเวทผู้พิชิตสงครามอาณาจักรลาสเดธ... ” ตอนแรกที่ใบหน้าในจดหมายพูด คัลลัคก็ตื่นตาตื่นใจดี แต่พอมันพล่ามยาวไปถึงชื่อเสียงของโรงเรียนกับวีรกรรมของครูใหญ่ เธอก็เริ่มจะฟังบ้างไม่ฟังบ้าง รู้สึกเหมือนได้ฟังแต่น้ำ ๆ แทนที่จดหมายควรจะพูดถึงแต่เนื้อ ๆ “ ...เพื่อเป็นนักเรียนแห่งเอเวนไฮด์ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเกียรติยศอันเป็นนิรันดร์และตำนานที่ไม่มีวันลืมเลือน บลา ๆ ๆ โอ้ ข้าเกลียดการอ่านตามโพยจริง ๆ”
คัลลัคเหมือนจะลืมไปแล้วว่าประเด็นของข้อความในจดหมายคืออะไรกันแน่ แล้วดูเหมือนความสับสนนั้นจะแสดงออกผ่านสีหน้าจนใบหน้าในจดหมายรับรู้ได้
“เฮ้อ เอาเป็นว่า เจ้าต้องมารายงานตัวที่โรงเรียนเอเวนไฮด์ในวันสอบประจำปี วันที่ 6 เดือนที่ 6 หรือ ในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า กรุณาอย่ามาสาย โปรดเตรียมอุปกรณ์การเรียนและของใช้ส่วนตัวมาให้พร้อม เนื่องจากเอเวนไฮด์เป็นโรงเรียนกินนอน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนโดยตรง ลาก่อน!” ใบหน้าในจดหมายรวบรัดตัดตอนข้อมูลที่เหลืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะแวบหายกลับไปในกระดาษ
สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงหมึกดำในจดหมายแบบที่ลอร์ดโรแวงกับเดธิเลียได้อ่านในทีแรก พร้อมกับหมึกเวทมนตร์ที่ไหลได้ ซึ่งทำตัวประหนึ่งเข็มทิศ 2 เข็ม เข็มหนึ่งชี้เข้าตัวคัลลัค ส่วนอีกเข็มชี้ขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ หรือก็คือจุดหมายปลายทาง
ณ โรงเรียนเวทมนตร์ เอเวนไฮด์
“ ... ” คัลลัคได้แต่นิ่งเงียบด้วยความเงิบ มองลอร์ดโรแวงกับคนอื่น ๆ คล้ายจะอยากได้คำอธิบายเพิ่มเติม แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบเธอได้สักคน
“ดี” เดธิเลียเอ่ย “ไล่นางออกไปได้รึยัง”
Comments (0)