9 ตอน บทที่ 7 คุณครูใจดีทุกคน
โดย ChaoSera
บทที่ 7 คุณครูใจดีทุกคน
คาบเรียนที่ 1 วิชาเวทมนตร์พื้นฐาน ::: ห้องเรียนปี 1
คัลลัคได้ตารางเรียนมาเมื่อวานนี้พร้อมรายชื่อของครูผู้สอน คนอื่นใช้เวลาวันเงาไปกับการทบทวนหนังสือก่อนเริ่มเรียน อาจจะไม่ทุกคน แต่อย่างน้อยริสต้า ไฮโอและร็อตก็ทำแบบนั้น เหมือนว่าบ้านบุหงาดำจะเป็นแหล่งรวมของหนอนหนังสือ อาจจะเพราะในบริเวณบ้านไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกจากการเดินฝ่าหญ้ารกชัฏ คัลลัคจึงหลิ่วตาตาม แต่ลองอ่านหนังสือของวิชาเวทมนตร์พื้นฐานยังไงก็ไม่เข้าใจเสียที
เธอจำได้ว่าอ่านอะไรไป แต่ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่อ่านจะช่วยให้เธอสามารถแสดงพลังเวทมนตร์ออกมาได้อย่างไร
คัลลัคยังไม่เคยใช้เวทมนตร์
คนอื่นเชื่อว่าคัลลัคใช้เวทมนตร์ได้มาก่อนแล้ว เพราะเธอเป็นนักเรียนรับเชิญแบบเจ้าหญิงซาร์ธีน แต่ความจริงแล้วเจ้าหญิงมีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง อันที่จริงก็มีพรเสวยด้วย เรียกได้ว่าคนที่มีพรสวรรค์อย่างเดียวจะไม่มีทางไล่เธอทัน แล้วมันก็เป็นปัญหาน่าดูสำหรับคัลลัค มาตรฐานที่ทุกคนมองเธอมันโดนซาร์ธีนดึงขึ้นจนสูงเกินไป
สิ่งเดียวที่ทำให้คัลลัคแน่ใจว่าตัวเองมีเวทมนตร์ก็คือเธอสามารถมองเห็นกระแสพลังเวทได้ชัดเจน ซึ่งลุงกันตินี่เคยบอกว่าคนที่ไร้เวทมนตร์จะไม่มีทางมองเห็น มันจะปรากฏออกมาเป็นละอองแสงเรืองรองในสีต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงลักษณะไปตามความเข้มข้น อารมณ์ ธาตุและความอันตรายของพลังนั้น
แต่เธอไม่กล้าบอกใครหรอกว่าตัวเองทำได้แค่นั้น
เมื่อบทเรียนเริ่มขึ้น คัลลัคจึงคาดหวังอย่างมากว่าครูผู้สอนจะช่วยให้เธอเข้าใจวิธีการใช้เวทมนตร์ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมกว่าในหนังสือ ทว่า... ครูกลับสอนจากหนังสือและให้จดตามบนกระดาน
“นรกอะไรเนี่ย” คัลลัคพยายามจดตามเหมือนกับคนอื่น
“ครูมาลินี่สอนเข้าใจง่ายดีนะ” ใครบางคนพูด ทำให้คัลลัคหันขวับไปส่งสายตาถมึงทึงใส่
ห้องเรียนปี 1 เป็นห้องสโลปขนาดใหญ่ที่จุนักเรียนทั้งหมด 54 คนได้ นักเรียนทั้งเก่งและอ่อนจึงเรียนรวมกันโดยไม่ถูกแยก และคนที่คุยกันท้ายห้องก็คือพวกเด็กฝาก ซึ่งเผลอ ๆ บางคนยังไม่เคยเห็นเวทมนตร์ด้วยซ้ำ
พวกเขาเข้าใจ... แต่คัลลัคไม่
ในทางทฤษฎี คัลลัคอ่านและจำได้ แต่เมื่อครูมาลินี่สั่งเก็บหนังสือและของติดไฟได้ลงไป แล้วให้นักเรียนเริ่มภาคปฏิบัติ โดยมอบโจทย์ง่าย ๆ อย่างการจุดและดับเทียน ซึ่งครูเตรียมไว้ให้แล้ว...
คัลลัคได้แต่จ้องเทียนโง่ ๆ โดยที่ทำอะไรไม่ได้
พรึ่บ! แม้ว่าเสื้อคลุมเวทมนตร์จะป้องกันความเสียหายจากสิ่งที่เกิดจากเวทมนตร์ได้ แต่เมื่อใครบางคนเผลอไปจุดไฟบนผมเพื่อนที่ไม่ได้คลุมฮู้ดเข้า
ความโกลาหลจึงบังเกิด
มีทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงหัวเราะเยาะและเสียงตะโกน ครูมาลินี่สามารถดับไฟบนหัวนักเรียนได้ด้วยการโบกมือครั้งเดียว แต่มันก็ยังทิ้งรอยไหม้เอาไว้บนหัวของเขา
ฮันนิบาล ครัสคอต หัวหน้าปี 1 บ้านหอกราตรี
เขาหันกลับไปมองคนที่เผาผมสีดำเงางามของเขาอย่างเอาเรื่อง ซึ่งผู้ต้องสงสัยก็หนีไม่พ้นกอริลลาที่นั่งอยู่ข้างหลังตรงแนวเดียวกัน
“ไม่ใช่ข้านะ” ร็อตเอ่ย เขานั่งอยู่ด้านหน้าคัลลัค เธอจึงไม่รู้ว่าร็อตทำสีหน้ายังไง แต่ที่แน่ ๆ คือฮันนิบาลโกรธมาก
“ร็อต โฮเธิร์ค ขอโทษเพื่อนด้วย” ครูมาลินี่ดุ
“แต่ข้าไม่ได้ทำ” ร็อตเถียง
“แล้วใครทำ” ฮันนิบาลกำมือแน่น คัลลัคเห็นกระแสพลังเวทไหลจากทั่วร่างของเขาไปรวมที่กำปั้นนั้นแล้ว “เฟรียส!”
เฟรียส เวทมนตร์ธาตุพื้นฐาน พระเพลิง
เมื่อฮันนิบาลยิงลูกไฟออกมาและร็อตหลบได้ คัลลัคจึงหลบตามเพราะเห็นแววจนเตรียมพร้อมมาแต่ไกล
ฟรูม!!!
“ว๊าก!” ส่วนคนที่นั่งข้างหลังคัลลัคก็คือ... เดธิเลีย
“โอ๊ยตายแล้ว” ครูมาลินี่สะดุ้งตกใจ เอาไม้ชี้กระดานเคาะฮันนิบาลลงโทษ แทนที่จะช่วยเดธิเลีย เพราะคิดว่าเสื้อคลุมเวทมนตร์จะกันไฟให้ได้
แต่เดธิเลียเป็นสาวแดนหิมะ เมื่อมาเจออากาศเมืองร้อนอย่างที่เอเวนไฮด์ เธอจึงถอดเสื้อคลุมป้องกันพาดเก้าอี้ ไฟของฮันนิบาลจึงลุกติดชุดนักเรียน
วูบ! กลับเป็นนักเรียนแถวหน้าสุดที่รีบโบกมือช่วยครั้งหนึ่ง ไฟที่เผาชุดของเดธิเลียอยู่ก็ดับลง
“ไอ้เวร!” ทันทีที่เดธิเลียรอดจากไฟ เธอก็ปีนโต๊ะสโลป กระโดดข้ามหัวคัลลัคกับร็อตไปตะครุบชกหน้าฮันนิบาลทันที
“อืม เละเทะ” เจ้าหญิงซาร์ธีนถอนหายใจ ไม่คิดว่าพอช่วยดับไฟให้เดธิเลียแล้วจะไม่ได้รับคำขอบคุณ แถมกลายเป็นความวุ่นวายได้ขนาดนี้
ในที่สุดครูมาลินี่ก็แยกเดธิเลียออกจากฮันนิบาลได้สำเร็จ แม้สุดท้ายจะไม่รู้ว่าร็อตเผาหัวเพื่อนจริงไหม แต่ทั้งฮันนิบาลทั้งร็อตต่างก็ถูกสั่งกักบริเวณในโพรงมืดหลังมื้อเย็นจนถึงเวลาดับไฟนอน ส่วนเดธิเลียโดนเรียกไปอบรมแค่ช่วงพักเที่ยง เพราะเธอไม่ได้ใช้เวทมนตร์ก่อปัญหาแบบอีกสองหน่อ
“โพรงมืดนี่มันเป็นยังไงเหรอ” คัลลัคถามขึ้น ระหว่างที่มานั่งกินมื้อเที่ยงกับริสต้าและไฮโอ
“พื้นที่กักบริเวณนักเรียนที่ทำผิดกฎ” ไฮโอตอบ “คนที่เข้าไปจะเห็นภาพหลอนของสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในนั้น”
“แต่ก็แค่ภาพ” ริสต้าพูดเสริม “อาจจะกลิ่นกับเสียงด้วย แต่มันไม่ใช่ของจริง ภาพลวงตาทั้งหมด”
“สงสารร็อตนะ” คัลลัคว่า
“เขาสมควรโดนแล้ว!” ริสต้าพูดขึ้น “ก็เขาเผาผมของเทพบุตรสุดหล่อเชียวนะ! ”
ไฮโอยกมือขึ้นปิดหน้า ทำเป็นว่าไม่รู้จักเพื่อนคนนี้ ดูท่าแล้วนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ริสต้าทำตัวบ้าผู้ชาย
“ตายแล้ว เห็นไหม?!” ริสต้าอุทานขึ้น คัลลัคก็หันตามสายตาเธอไปยังโต๊ะอาหารของเหล่าชายฉกรรจ์บ้านหอกราตรี ซึ่งมีฮันนิบาลรวมอยู่ด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง ผมของเขาถึงได้กลับมาดำเงางามเหมือนเดิมได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หยิกหย็องเพราะความร้อน
“เห็นอะไร” คัลลัคหันกลับมาถาม
“ฮันนิบาลไง เขามองข้าด้วยล่ะ~” ริสต้าม้วนตัวอย่างเขินอาย ในขณะที่ไฮโอหน้าบึ้งจนหน้าลิงจะกลายเป็นตูดลิงแล้ว
“เพราะเจ้าตะโกนโหวกเหวกเสียงดังไงเล่า ไม่ใช่แค่เขามองหรอก แทบจะทุกคนที่ได้ยินก็มองเจ้าหมดแล้ว” ไฮโอตักเตือน พลางผายมือไปรอบ ๆ
โต๊ะอาหารของนักเรียนปี 1 จะกระจุกกันอยู่ทางทิศใต้ แม้ว่าความจริงแล้วจะนั่งตรงไหนก็ได้ แต่ทุกคนเหมือนรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าแต่ละพื้นที่เป็นของใคร และภายในเขตปี 1 ก็แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มอีกด้วย
โต๊ะชายฉกรรจ์ คือ ทุกคนในบ้านหอกราตรี
โต๊ะสาวงาม คือ กลุ่มผู้หญิงในบ้านหัวใจสิงห์
โต๊ะอันธพาล คือ เดธิเลียกับพวกอสูรและยักษ์ ซึ่งเกิดและโตในเขตปกครองกาเมซัน เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่รักแต่พวกพ้องท้องถิ่นและกีดกันคนนอก ไม่ยอมหาเพื่อนใหม่ ซึ่งกิลด์นักล่าเองก็มีสภาพไม่ต่างกัน พวกนั้นรวมตัวกันจากชาวกาเมซันเป็นส่วนใหญ่
สามกลุ่มนี้คือกลุ่มใหญ่ที่นำเอาโต๊ะหลายตัวมาต่อกัน และไม่ชอบให้ใครเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ส่วนคัลลัคอยู่ในจำพวกกลุ่มย่อยที่ใช้โต๊ะเดียวนั่งกันแค่ไม่กี่คน กระจายกันไปและบางคนก็จับกลุ่มกันข้ามบ้าน
“แล้วไอ้เจ้าฮันนิบาลมันก็เป็นเผ่าอัลฟิสด้วยไม่ใช่ภูต มันไม่สนใจเจ้าหรอก” ไฮโอพูดเสริม
แต่คัลลัคเอะใจ
“เจ้าเป็นภูตรึ” เธอถามริสต้า
“ข้าเป็นนางพฤกษา” เด็กสาวผมแครอทเอ่ยตอบ “ข้าพรางตัวเป็นพืชได้ด้วยนะ อยากดูไหม”
คัลลัคยังไม่ทันตอบ ริสต้าก็ทำให้ดูเลย
“โอ้ว... แครอท” คัลลัคไม่รู้จะตอบสนองยังไงให้ดูไม่น่าผิดหวังดี เพราะอยู่ ๆ เพื่อนของเธอก็กลายสภาพเป็นแครอท ก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม “มันก็... เจ๋งดีนะ”
ในจังหวะที่อยากเปลี่ยนเรื่อง เพโลวีก็เดินผ่านมาพอดี
“เฮ้ เพโลวี มานั่งด้วยกันไหม” คัลลัคร้องเรียก แต่เพโลวีไม่แม้แต่จะหันมามองเธอ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ยิน...ได้ยินชัดเลยต่างหาก แต่อีกฝ่ายกลับก้มหน้ามองถาดอาหารของตัวเอง ก่อนจะรีบจ้ำไปยังโต๊ะอันธพาล ตอนนี้เธออยู่บ้านเดียวกับเดธิเลีย มันก็คงไม่แปลกที่จะไปนั่งด้วยกัน
“รู้จักนางรึ” ไฮโอถาม มองคัลลัคที่ค่อย ๆ เก็บมือตัวเองที่โบกเก้อลงมา “แต่นางเหมือนจะไม่รู้จักเจ้านะ”
“สงสัยนางจะเกลียดข้าเข้าแล้ว” คัลลัคว่า
“เจ้าไปทำอะไรให้นางเกลียดกันล่ะ” ริสต้าถาม
“ไม่รู้สิ” คัลลัคกุมผ้าปิดตาขวาของตัวเองอย่างลืมตัว เธอยังไม่กล้าบอกเพื่อนใหม่ของเธอเรื่องตาเงิน “สงสัยจะมีพรสวรรค์ด้านการทำให้คนเกลียด”
“ฮา ๆ ๆ มันมีไอ้ของแบบนั้นเสียที่ไหนกัน” ไฮโอหัวเราะ แต่มันดูเป็นการหัวเราะที่เสแสร้งสุดชีวิต “ริสต้า ทำไมเจ้าไม่ไปเดินดูอาหารเพิ่มเล่า เจ้าจะได้เข้าไปใกล้ ๆ พ่อเทพบุตรของเจ้าได้นาน ๆ ไง”
“จริงสินะ งั้นเดี๋ยวข้ามา” ริสต้าว่าจบก็รีบลุกออกไป
“ไม่ต้องรีบกลับมานะ” ไฮโอบอก ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้มองหน้าคู่สนทนาเลย กลับจ้องคัลลัคเขม็งจนแทบจะฉีกเลือดฉีกเนื้อกันอยู่แล้ว
“มีอะไร” คัลลัคเองก็รู้ตัวว่าถูกจ้อง
“ทำไมไม่บอกริสต้าไปเสียเล่า ว่าเจ้าถูกเพื่อนคนแรกเกลียดเพราะตาขวาของเจ้าเป็นตาเงิน” ไฮโอถาม มันเป็นอย่างที่คัลลัคทาย เขารู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นพวกตาเงิน แต่ก็ยังหุบปากเงียบ ไม่บอกใครและรอให้เธอพูดเอง “ตาเงินของเจ้าน่ะนำโชคร้าย ร็อตสอบเข้ามาด้วยคะแนนสูงลิ่ว ข้าไม่คิดว่าเขาจะมาพลาดอะไรง่าย ๆ กับแค่เวทมนตร์เบื้องต้นหรอกนะ”
“เจ้าจะโทษว่าข้าทำให้ร็อตโชคร้ายรึไง” คัลลัคถาม
“แล้วไม่จริงหรือไง” ไฮโอถามกลับ
“ไม่” คัลลัคไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ไฮโอทำตัวเป็นปกติมากเมื่ออยู่ต่อหน้าริสต้า แต่เมื่อลับหลัง เขาสงสัยคัลลัคเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ท่าทีที่เพื่อนควรจะมีให้กันเลย
“ข้าไม่อยากฉีกหน้ากากเจ้า” ไฮโอเอ่ย “ข้าไม่ได้มีอคติกับพวกตาเงิน อย่างน้อยก็ไม่เท่าพ่อของข้า”
“ครูดูโคน่ะรึ” คัลลัคถามให้แน่ใจ เพราะเธอกำลังจะเจอเขาในคาบบ่ายนี้ในวิชาปรุงยา “นี่ขนาดไม่อคตินะ”
“แล้วก็ไม่เท่าริสต้า” ไฮโอพูดต่อ “นางอาจจะอยากเป็นเพื่อนกับเจ้าในตอนนี้ แต่นางจะเกลียดเจ้าทันทีที่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นอย่าเสียเวลาเลย... เจ้าเป็นเพื่อนกับนางไม่ได้หรอก”
“เจ้าไม่ใช่ริสต้า” คัลลัคว่า “อย่าไปคิดแทนนางสิ”
“งั้นก็บอกไปสิ” ไฮโอยุยง “บอกไปว่าเจ้าเป็นตาเงิน ให้ความจริงพิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้วนางจะตอบสนองยังไง”
“แล้วทำไมเจ้าไม่เปิดโปงข้าเสียเลยเล่า” คัลลัคถาม เธอไม่อยากบอกริสต้า แม้จะเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่เกลียดเธอ แต่เพราะโดนเพโลวีที่เชื่อว่าจะเป็นเพื่อนกันได้เกลียดไปแล้วคนหนึ่ง เธอจึงไม่กล้ามั่นใจได้อีกแล้วว่าความคิดในหัวคนอื่นเป็นอย่างไร
เธอกลัว... กลัวที่จะถูกเกลียดชัง
“สมเพช” ไฮโอตอบ มองคัลลัคด้วยสายตาแบบนั้นจริง ๆ “แล้วก็เวทนา”
ริสต้าเดินกลับมาพร้อมจานไก่ย่าง 6 ปีก
“ตัดสินใจเอาเอง” ไฮโอเอ่ย “แต่เป็นข้าจะไม่เสียเวลา”
“คุยอะไรกันอยู่รึ” ริสต้าถาม เพราะดูบรรยากาศที่โต๊ะจะเคร่งเครียดเอามาก ๆ
“บ้านเกิดคัลลัคน่ะ” ไฮโอสุ่มเปลี่ยนเรื่องทันที “เจ้าบอกว่าเจ้าเกิดที่ไหนนะ คัลลัค”
“ปราสาทกาเมซัน” คัลลัคตอบโดยไม่ทันคิด เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ลอร์ดโรแวงเล่าให้เธอฟัง
“ฮะ?!” ทั้งไฮโอทั้งริสต้าอุทานลั่น
“ฮะ...?” คัลลัคอุทานตาม เพราะมัวแต่คิดเรื่องที่ไฮโอเตือน จนไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรผิดไป
“เจ้าเคยบอกว่า... เดี๋ยวนะ เจ้ายังไม่เคยบอกนามสกุลของเจ้าใช่ไหม” ไฮโอถามขึ้น “ใช่สิ ตอนนั้นมีข้าแนะนำตัวอยู่คนเดียว ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าสองคนรู้นามสกุลกันแล้ว”
“นามสกุลรึ ก็แวนธีส” คัลลัคตอบ แม้จะยังไม่ชินนามสกุลใหม่ แต่มันก็เป็นชื่อที่เธอคิดว่าควรใช้ที่นี่
ไฮโอกับริสต้ามองหน้ากัน
“โอ คัลลัค” ริสต้าอุทาน “ความจริงเจ้าไม่ควรบอกใครเรื่องนั้นเลยนะ ไม่ควรบอกเราด้วยซ้ำ”
“หือ ทำไมล่ะ” คัลลัคไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าถ้ามีชื่อเป็นลูกสาวขุนนางจะมีคนมาหาเรื่องน้อยลงหรอกเหรอ
“เจ้าควรจะรู้นะ เอาเป็นว่าพวกเราจะไม่บอกใคร แล้วเจ้าก็ไม่ควรบอกใครเรื่องนี้เพิ่มอีก เข้าใจไหม” ริสต้าทำหน้าเคร่งเครียดจนคัลลัคต้องพยักหน้ารับ แม้จะไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว “ดี ทีนี้รีบกินเลย จะหมดเวลาพักอยู่แล้ว”
+++
โพรงห้องสมุดแห่งเอิร์กร่า ใต้โรงอาหาร
คัลลัคไม่เข้าใจ
ทำไมเธอถึงถูกห้ามบอกว่าตัวเองเป็นแวนธีส แต่คนที่น่าจะรู้เหตุผลอย่างเดธิเลีย เธอก็ไม่กล้าไปถาม สุดท้ายเธอจึงแอบแวะไปที่ห้องสมุดหลังเลิกเรียนแทน
ในวิชาปรุงยานั้น คัลลัคได้เจอครูดูโคแล้ว เขาและไฮโอคือเผ่าบังกี้ ลิงบาบูน 2 แขน 4 ขาที่มีขนดกสีฟ้าคราม มีหางลิงยาวขนฟูฟ่องจนดูน่ารัก ไฮโอสวมเสื้อนักเรียนได้แบบคนอื่น แต่กางเกงท่อนล่างต้องตัดพิเศษและเจาะรูให้หางออกมาส่ายไปมาได้ ในขณะที่ชุดของครูดูโคต่างออกไป เขาสวมผ้าคลุมยาวสีขาวเลื่อมทองแบบนักบวช ห่มมิดชิดทั้งตัวปิดบังแม้แต่ใบหน้า
ศาสนาบริสุทธิ์ นั่นคือศาสนาของครูดูโค ไฮโอและริสต้า
คัลลัคเลี่ยงที่จะมองหน้าครูดูโคตลอดคาบ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอเป็นตาเงิน และต้องแปลกใจที่ครูเรียกเธอด้วยนามสกุล... แต่เป็นชากอล นามสกุลเก่าของเธอ ดูเหมือนว่าในรายชื่อนักเรียนของเธอก็เป็นชื่อนี้ ซึ่งไม่ตรงกับชื่อในจดหมายเชิญ
ค่อยมารู้ทีหลังว่าลอร์ดโรแวงแจ้งเรื่องขอเปลี่ยนนามสกุลของเธอกับครูใหญ่เอาไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง
ห้องสมุด... มันคือโพรงรอบนอก ถัดจากแกนลำต้นของมหาพฤกษาเอิร์กร่า ตั้งแต่ทางเข้าบนพื้นโดมโรงอาหาร ไล่ลงไปเรื่อย ๆ เหมือนบันไดวนที่ปิดทึบต่อกันเป็นห้อง ๆ โพรงมากมายบนผนังถูกอุดด้วยกระจกสีสวยงามและพื้นที่ที่ไม่ใช่รูก็ประดับด้วยกระเบื้องโมเสก บอกเล่าประวัติศาสตร์สำคัญตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ยิ่งเดินลงไปลึกก็จะยิ่งเป็นเรื่องราวที่เก่าแก่ลงไปเท่านั้น
เข้าทางเดียว ออกทางเดียว
หากต้องการจะลงไปถึงจุดต่ำสุดของห้องสมุดนั้นอาจกินเวลาหลายวัน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าก้นของมันจริง ๆ อยู่ลึกขนาดไหน เพราะจุดต่ำสุดที่ปลอดภัยใช้เวลาเดินเท้าหนึ่งสัปดาห์เต็ม จากนั้นจะถูกคั่นด้วยประตูโบราณขนาดใหญ่ ส่วนด้านหลังประตูก็เรียกได้ว่าเป็นดันเจี้ยนห้องสมุดเลยก็ว่าได้ และขุมสมบัติเดียวข้างในนั้นก็มีแค่หนังสือที่ไม่รู้ว่าเก่าจนยังอ่านได้อยู่รึเปล่าด้วย
คัลลัคจึงเมินขุมปัญญาในดันเจี้ยนที่ริสต้าพล่ามให้ฟัง แล้วมานั่งหาหนังสือประวัติศาสตร์อ่านแค่ในห้องสมุดชั้นบน ๆ ก็พอ เพราะสิ่งที่เธออยากรู้พึ่งผ่านไปแค่ 10 ถึง 15 ปีเท่านั้นเอง
“อ้าว เด็กปี 1 คนนั้นนี่ หาอะไรอยู่เหรอจ๊ะ” รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทัก เธอคือคนที่ดูแลนักเรียนรับเชิญในวันสอบ “คัลลัคใช่ไหมจ๊ะ”
“อ่า ค่ะ แล้วพี่ชื่อ...?” คัลลัคทิ้งช่วงเป็นคำถาม พอมานึกดูแล้วก็ไม่ใช่แค่ครอบครัวแวนธีสกับเพื่อนใหม่เธอที่รู้เรื่องนามสกุลแวนธีส เพราะคนที่รับจดหมายเธอไปอ่านก็คงรู้ด้วยเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรร้ายแรง
ไม่รู้พวกริสต้าจะตื่นตูมกันไปทำไม
“คิวแคน ลัตช์” รุ่นพี่เอ่ยตอบ
“ลัตช์... ” คัลลัคทวนคำ “เป็นญาติของเพโลวีเหรอคะ”
“อ้าว รู้จักเพโล่วด้วยเหรอ น้องสาวพี่เองแหละ” คิวแคนยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร “แล้วสรุปมาหาหนังสืออะไรรึเปล่า ถามได้นะ สัปดาห์นี้พี่มาทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์”
“คือหนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องหาเอาจากหนังสือเล่มไหน” คัลลัคยิ้มแหย ๆ “หนูแค่อยากรู้เหตุการณ์สำคัญช่วงปีที่หนูเกิด ปี 5389 น่ะค่ะ”
“หืม 5389 เหรอ รู้สึกว่าจะมีเรื่องการประท้วงให้ยุติสงครามกับดินแดนคนตาย” คิวแคนยกนิ้วแตะคางทำท่านึก “แล้วก็มีการลอบสังหารราชาองค์ก่อนโดยพ่อมดดำด้วยนะ”
“อ่า ไม่ใช่ค่ะ คือคิดว่าน่าจะเป็นพวกเหตุการณ์เฉพาะในเขตปกครองกาเมซันน่ะค่ะ” คัลลัคอธิบายเพิ่ม สิ่งที่ลอร์ดโรแวงเล่าให้เธอฟังระหว่างการเดินทางนั้นไม่ได้ละเอียดมาก แค่บอกเรื่องที่เขานึกว่าเธอกับแม่ตายไปแล้วจากเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งไม่ได้อธิบายต่อเพราะคนทั่วไปรู้ ๆ กันอยู่แล้วจากลำนำเพลงโศกที่แม้แต่คัลลัคเองก็เคยฝึกเล่นขลุ่ยแพด้วยเพลงนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง
“ราตรีมอดไหม้แห่งกาเมซัน... เหรอจ๊ะ? ” คิวแคนทาย
มันคือบทเพลงละครเวที ซึ่งเล่าถึงค่ำคืนที่ดยุกหนุ่มเดินทางออกห่างจากเหล่าผู้เป็นที่รัก เพื่อไปเผชิญหน้ากับโชคชะตา ทว่าพ่อมดชั่วร้ายได้ลอบแทงข้างหลัง เผาทุกคนที่หลับใหลในยามราตรี ทำลายปราสาทกาเมซันซึ่งตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลามานับพันปีลงจนพินาศ
“ค่ะ แต่ในเพลงมันทำมาเพื่อความบันเทิง ที่อยากรู้คือประวัติศาสตร์จริงน่ะค่ะ” คัลลัคตอบ
“งั้นก็ง่ายเลย ไม่ต้องไปเปิดหนังสือหรอก ข้ารู้จักคนที่รอดตายจากโศกนาฏกรรมนั้นอยู่ ตามข้ามาสิ” คิวแคนไม่ว่าเปล่า จับมือลากคัลลัคไปด้วยพละกำลังที่ขัดกับหน้าตา
“เอ๊ะ? เอ๋! เดี๋ยวนะคะ ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์นั้นไม่มีคนรอดหรอกเหรอ” คัลลัคท้วงถาม
“ใช่ ในปราสาทนั้นไม่มีใครรอด แต่มีคนหนึ่งที่ออกมาจากปราสาทก่อนเกิดเรื่องอยู่น่ะ” คิวแคนยิ้มตอบ และก่อนที่จะคัลลัคจะทายได้ว่าเป็นใคร เธอก็ถูกผลักเข้าไปในห้องติวหนังสือขนาดเล็กที่มีใครคนหนึ่งกำลังอ่านอะไรสักอย่างอยู่
บทละครเวทีแนวรักโรแมนติก...
คัลลัคแน่ใจว่าเคยอ่านหนังสือที่มีชื่อเดียวกันนั้นจากห้องสมุดของเมืองสเตลลาคาร์ต แต่เพราะพยายามจ้องชื่อเรื่องมากเกินไป ทำให้อีกฝ่ายรีบคว่ำหนังสือปิด เรียกสายตาผู้มาเยือนให้สบตากับเขา
เด็กหนุ่มซึ่งดูแล้วน่าจะแก่กว่าคัลลัคหลายปีอยู่ เขามีผิวขาวแบบคนเมืองหนาวและเอกลักษณ์อันโดดเด่นจนคัลลัคได้แต่อุทานฉิบหายในใจไปนับสิบรอบ
ผมสีเทาและดวงตาสีน้ำเงินเข้ม...
“คิวแคน ข้าบอกว่ายังไงเรื่องเคาะประตู” เขาเอ่ยดุ
“โทษที ๆ พอดีมีน้องปี 1 สนใจประวัติศาสตร์ช่วงราตรีมอดไหม้น่ะ” คิวแคนขอโทษกลับไปแบบงั้น ๆ
“งั้นรึ” เด็กหนุ่มที่น่าจะเป็นรุ่นพี่ปีเดียวกับคิวแคนขานรับ พลางเพ่งพินิจคล้ายจะจับผิดคัลลัค “เจ้าชื่ออะไร”
“ชากอล!” คัลลัคแทบจะตะโกนออกไปเลยด้วยความตื่นกลัว เธอแน่ใจว่าอีกฝ่ายคือใคร และไม่อยากให้เขารู้ตัวตนของเธอด้วย “ข้าชื่อคัลลัค ชากอล”
“ชากอลเหรอ แต่ข้าคุ้น ๆ ว่านามสกุลเจ้าไม่ใช่ชื่อนี้นะ” ดูเหมือนคิวแคนจะไม่ได้อ่านจดหมายละเอียด เธอจึงจำไม่ได้ว่าชื่อจริง ๆ ของคัลลัคในจดหมายเขียนว่าอะไร
“ชากอลถูกแล้วค่ะ” คัลลัคตอบ “ดูรายชื่อนักเรียนก็ได้”
“อยากรู้อะไร” เด็กหนุ่มถามอย่างขอไปที
“ม..ไม่เป็นไรค่ะ ไม่อยากรู้แล้ว” คัลลัคตอบ อยากจะออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่คิวแคนยังยืนขวางประตูอยู่
“แนะนำตัวหน่อยสิ เด็กกลัวเจ้าหมดแล้วเนี่ย เห็นไหม” คิวแคนคิดว่าคัลลัคกลัวเพราะอีกฝ่ายหน้าบึ้งไม่รับแขก แต่คัลลัคนึกอยากจะสั่นหัวรัว ๆ ว่าไม่ต้องแนะนำก็ได้ รู้จักชื่อเสียงรุ่นพี่คนนี้ดีอยู่แล้ว และต่อให้เขายิ้มต้อนรับก็ไม่อยากอยู่ต่อเช่นกัน
“เออ” เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ก็ได้”
คัลลัคได้แต่นึกด่าตัวเอง วีวี่ก็อุตส่าห์เตือนเธอแล้ว...
“ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
...ว่าอย่าเข้าใกล้ห้องสมุด
“ข้า... เมอดอร์ แวนธีส บุตรชายดยุกแห่งกาเมซัน”
Comments (0)