6 ตอน บทที่ 4 พรแสวง
โดย ChaoSera
บทที่ 4 พรแสวง
ตู้ม!!! ซ่า...
คัลลัคพยายามว่ายกลับขึ้นไปบนผิวน้ำด้วยความตื่นตระหนก เห็นเงาพวกเงือกแหวกว่ายมาที่หางตา ทั้งสำลักทั้งแสบตา แต่ทันทีที่ขึ้นมาหายใจได้สักเฮือกก็เจอใบพัดของเรือกลไฟตีกลับลงไป
บุ๋ง ๆ ๆ ๆ
เดธิเลียยืนมองคนตกเรืออย่างพึงพอใจ ก่อนจะสั่งลูกเรือกลับไปประจำตำแหน่ง ไม่มีใครอยากช่วยคัลลัค เพราะชาวเรือเชื่อเรื่องโชคลางยิ่งกว่าใคร และตาเงินของคัลลัคก็ไม่ใช่ตัวพาโชคดีมาให้เลย
“ช่วยด้วย!” คัลลัคร้อง
“มีพรสวรรค์เรื่องเวทมนตร์มิใช่รึ?!” เดธิเลียอ่านปากคัลลัคและตะโกนกลับไป “ช่วยตัวเอง!”
คัลลัคถูกกัดเข้าที่ขา ก่อนจะโดนลากลงไปใต้น้ำ เธอดึงมีดออกมาจากเอว ก่อนจะแทงตรงใส่หน้าเงือก มันปล่อยเธอทันที เลือดที่ฟุ้งออกมาเริ่มเปลี่ยนน้ำเป็นสีแดงจนเห็นได้จากผิวน้ำ ทำให้ข้ารับใช้บนเรือเริ่มจะเป็นกังวล
“คุณหนูขอรับ ท่านลอร์ดกำชับเอาไว้ชัดเจนนะว่านางต้องไปถึงเอเวนไฮด์” เด็กรับใช้คนหนึ่งบอกเดธิเลียพร้อมภาษามือ
“นางอุดหูไม่ดีและกระโดดลงน้ำไปเอง เป็นความสูญเสียที่ช่วยอะไรไม่ได้” เดธิเลียทำภาษามือตอบ ด้วยคำโกหกที่น่าจะเตรียมเอาไว้ตอบทางโรงเรียน
“คนที่ได้รับจดหมายเป็นคนมีพรสวรรค์ เหมือนสิ่งล้ำค่าสำหรับโรงเรียน ท่านลอร์ดจะถูกลงโทษหากปล่อยให้นางตายระหว่างการเดินทาง” เด็กรับใช้ให้เหตุผล
“ไม่ใช่ความผิดเขา” เดธิเลียทำมือปัด
“แต่ท่านลอร์ดพร้อมจะรับผิดแทนคุณหนูนะขอรับ” เด็กรับใช้เกลี้ยกล่อม “ต่อให้มันไม่ใช่ความผิดใครเลย ทางโรงเรียนก็คงพยายามหาแพะให้ได้สักคน”
เดธิเลียกัดฟันอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะถอนหายใจ
“น้ำแข็งไส” เธอเรียกหมายักษ์ของเธอ เพราะพวกเงือกก็เหมือนฉลาม พวกมันจะไม่กล้ายุ่งกับสิ่งมีชีวิตที่ตัวใหญ่กว่าตัวเอง ส่วนน้ำแข็งไสที่ไม่ได้อุดหู แต่หอนแข่งกับเสียงเงือกอยู่ก็หันมากระดิกหางให้ทันที “ไปคาบมา”
+++
ท่าเรือเมืองเออร์เกรีย นครฐานรากแห่งเอเวนไฮด์
คัลลัคขึ้นฝั่งมาพร้อมผ้าพันแผลกับหวัดลงคอ ในขณะที่เดธิเลียขี่น้ำแข็งไสเข้าเมืองอย่างสบายใจเฉิบ อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกผิดกับการผลักคัลลัคตกเรือเลย ไม่มีใครเห็นนอกจากตัวคัลลัคเองกับเดธิเลีย แม้แต่ตอนที่ช่วยขึ้นมาแล้ว เดธิเลียก็ยังพูดอยู่เลยว่าน่าเสียดายที่ปล่อยให้ตายไม่ได้ คัลลัคจึงเดินทางแยกกับอีกฝ่ายทันทีที่รู้จักเส้นทาง
“พวกเรามาถึงก่อนวันลงทะเบียนหนึ่งวัน วันนี้เราก็ควรจะเตรียมตัวสำหรับการเข้าเรียนนะขอรับ คุณหนู” เด็กรับใช้วิ่งตามคัลลัคต้อย ๆ เขาคือลูกชายองค์รักษ์ของลอร์ดโรแวง คนที่พยายามกล่อมเดธิเลียให้ช่วยเธอบนเรือ
“ขนลุกน่า เลิกเรียกข้าว่าคุณหนูเสียที ข้าชื่อคัลลัค เรียกแค่คัลลัคก็พอ” คัลลัคขมวดคิ้ว “เจ้าชื่ออะไร”
“วีวี่ขอรับคุณหนู” เด็กรับใช้ไม่เลิกเรียกง่าย ๆ
“โอเควีวี่ ข้าต้องเตรียมอะไรไปเรียนบ้าง” คัลลัคถาม
“ชุดหนังสือเรียนเอเวนไฮด์สำหรับนักเรียนปี 1 เครื่องแบบนักเรียน 4 ชุด เสื้อคลุมป้องกันเวทมนตร์ 1 ตัวกับอาวุธเวทมนตร์ 1 อย่างสำหรับวิชาพลศึกษา” วีวี่ทำตัวราวกับห้องสมุดเคลื่อนที่ ร่ายรายการสิ่งของทั้งหมดที่ต้องซื้อ “แล้วก็นกส่งสารสำหรับติดต่อกับคนข้างล่าง...”
“คนข้างล่าง...? ” คัลลัคทวนคำ
“คุณหนูรู้ใช่ไหมขอรับ ว่าโรงเรียนเอเวนไฮด์ตั้งอยู่ที่ไหน” วีวี่ถามขึ้น ก่อนจะทำนิ้วชี้ขึ้นฟ้าเฉียงไปทิศเหนือ คัลลัคมองไปก็กลืนน้ำลายเมื่อเห็นเงาทะมึนของมหาพฤกษาที่เป็นสีคราม คล้ายกับเวลามองภูเขาที่อยู่สุดสายตา “บนนั้นขอรับ”
“ข้าจะกลับบ้าน! ” คัลลัคร้องออกมาทันที แค่ตึกสองชั้นเธอยังไม่กล้ากระโดดข้าม แต่มหาพฤกษานี่สูงขนาดว่ากิ่งที่ต่ำที่สุดก็ยังสูงกว่าก้อนเมฆ
“คุณหนูกลัวความสูงรึขอรับ” วีวี่ถาม แต่ไม่ต้องตอบก็เดาจากสีหน้าได้ “คุณหนูเคยขึ้นภูเขาไหมขอรับ เมื่อเราขึ้นไปอยู่ข้างบน ถ้าไม่ได้อยู่ตรงขอบของมัน เราก็ไม่รู้ตัวหรอกขอรับ ว่าตรงนั้นมันสูงขนาดไหน”
“แล้วตอนขึ้นไปบนนั้นล่ะ?! ” คัลลัคหวาดผวาไปก่อนแล้ว “ไหนจะตอนลงมาอีก! ”
“มีประตูเวทมนตร์ให้ใช้ขอรับ” วีวี่ตอบ
“เอ๊ะ” คัลลัคเริ่มกลัวน้อยลง
“คุณหนูไม่ต้องปีนต้นไม้หรอกขอรับ” วีวี่ย้ำ
“อ..แหะ ๆ ๆ งั้นคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ” คัลลัคพูดแก้เก้อ “จะว่าไป เจ้าเหมือนจะรู้วิชาที่ข้าต้องเรียนเลยนี่ ใช่ไหม ยังไม่ได้ลงทะเบียนก็รู้ตารางเรียนได้แล้วเหรอ”
“ถามเจ้าของร้านหนังสือเรียนเอาก็ได้ขอรับ แต่รู้แค่วิชา ยังไม่รู้ตารางเวลานะขอรับ” วีวี่ตอบ ก่อนจะร่ายวิชาทั้งหมดที่ต้องเรียนในหนึ่งสัปดาห์ให้ฟัง
ใน 1 สัปดาห์นั้นมีอยู่ 5 วัน มีวิชาเรียน 4 วันคือวันดิน วันน้ำ วันลมและวันไฟ เรียนวันละ 2 วิชา ช่วงเช้ากับช่วงบ่าย ส่วนวันเงาเป็นวันหยุดพักผ่อนสุดสัปดาห์ ซึ่งนักเรียนสามารถรับภารกิจจากส่วนกลางหรือกิลด์ที่สังกัดได้
วิชาเวทมนตร์พื้นฐาน ::: เสื้อคลุม ตำราเวทมนตร์
วิชาปรุงยา ::: เสื้อคลุม ตำราปรุงยา
วิชาภาษาเอลธันคา ::: หนังสือเรียนบทกลอนกวี
วิชาภาษาไอดัส ::: พจนานุกรม หนังสือต่างทวีป
วิชาสังคมศึกษา ::: ตำราประวัติศาสตร์ หนังสือกฎหมาย
วิชาพลศึกษา ::: เสื้อคลุม อาวุธเวท
วิชาศิลปศึกษา ::: หมึกเวทมนตร์กับกระดาษ
วิชาการงานอาชีพ ::: บัตรนักเรียน
“บัตรนักเรียน...? ” คัลลัคทวนคำ
“จะได้ในวิชาเรียนขอรับ ใช้รับภารกิจส่วนกลางจากทางโรงเรียน วิชาการงานอาชีพได้ยินว่าเป็นการแนะแนวเส้นทางการหารายได้ในอนาคต กับมอบภารกิจให้ฝึกประสบการณ์ แต่ได้ค่าแรงน้อย ส่วนมากเลยกลายเป็นวิชาปล่อยว่างไม่ต่างจากวันหยุด” วีวี่อธิบาย
“ทำไมเจ้าถึงรู้เยอะนักนะ” คัลลัคถาม
“ข้าเคยเป็นเด็กเสิร์ฟ เวลาคุณชายน้อยเล่าเรื่องโรงเรียน ข้าก็จะได้ยิน” วีวี่ตอบ
“หมายถึงเมอดอร์สินะ...” คัลลัคเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน หนึ่งในนักเรียนมากพรสวรรค์ที่ได้รับจดหมายเชิญจากเอเวนไฮด์เมื่อสองปีก่อน แต่เธอพึ่งมารู้จากปากลอร์ดโรแวงนี่แหละว่าเขาคือพี่ชายต่างมารดาของเธอ “พูดถึงพี่ชายสุดที่รักแล้ว... เขาเป็นคนยังไง”
“เขาเป็นคนที่ชอบมีความลับ พูดคุยเรื่องที่โรงเรียนแค่กับท่านลอร์ด นอกจากนั้นจะชอบอยู่คนเดียวในห้องสมุด” วีวี่ตอบ “แต่เรื่องที่ไม่เป็นความลับแน่ ๆ คือเขาเกลียดคุณหนูคัลลัคยิ่งกว่าที่คุณหนูเดธิเลียเกลียด เพราะฉะนั้นหากเป็นไปได้ ข้าแนะนำให้คุณหนูเลี่ยงการไปห้องสมุดนะขอรับ”
คัลลัคได้แต่ยิ้มแหย ๆ
+++
ย่านร้านค้าเวทมนตร์ เขตโรงเรียนเอเวนไฮด์
โรงเรียนเอเวนไฮด์ถูกแยกเป็นสองส่วนคือบนต้นไม้กับบริเวณโคนราก ซึ่งบนพื้นนี้ก็จะมีแยกเขตโรงเรียนไว้ในกำแพงหินอ่อนสีขาว กับย่านร้านค้าเวทมนตร์ที่อยู่ในพื้นที่วงแหวนรอบนอก ล้อมรั้วด้วยกำแพงอิฐเตี้ย ซึ่งจะบรรจบกับประตูเมืองทั้ง 4 ของนครรากฐาน เออร์เกรีย
การซื้อหนังสือเรียนไม่ใช่เรื่องยาก เพราะร้านขายหนังสือ กระดาษและเครื่องเขียนที่จำเป็นต้องใช้นั้นเรียงรายอยู่ในพื้นที่เดียวกันหมด รวมทั้งร้านตัดเสื้อทั้งชุดนักเรียนและเสื้อคลุมป้องกันเวทมนตร์ด้วย จึงเหลือเพียงอาวุธเวทมนตร์เท่านั้นที่แยกตัวออกไป เนื่องจากความร้อนและเสียงรบกวนในขั้นตอนการผลิต
“ไม่เหมือนร้านขายอาวุธที่สเตลลาคาร์ตเลยแฮะ” คัลลัคเอ่ย เพราะตะแกรงวางอาวุธนั้นไม่ตกแต่งอะไรเลย เหมือนไม่คิดจะจัดแสดงให้ดูดีตั้งแต่แรก แล้วไปเน้นพื้นที่สำหรับการผลิตด้านหลังแทนมากกว่า
“วัสดุเวทมนตร์เป็นของหายาก เพราะอย่างนั้นพวกช่างทำอาวุธที่ไม่มีทุนจึงต้องแน่ใจว่าของที่ทำออกมาจะขายออก ปกติพวกเขาจึงรอให้มีคนมาสั่งทำมากกว่า ส่วนพวกของที่ทำออกมาวางขายจะไม่ใช่ของดีเท่าไหร่” วีวี่เดินนำผ่านถนนดินสายเล็กไป ก้มเอี้ยวเอียงตัวหลบสิ่งกีดขวางได้อย่างช่ำชอง ในขณะที่คัลลัคหลบไอร้อนเตาหลอมแบบไม่ระวังก็เดินชนราวตากหนังสัตว์เข้าอย่างจัง “โปรดระวังฝีเท้าด้วยขอรับคุณหนู ของพวกนั้นมีมูลค่ามากกว่าอัญมณีเสียอีก”
“พูดก็ง่ายสิ” คัลลัคบ่น ก่อนจะรีบก้มหลบอาวุธจำพวกหอกที่ช่างตีดาบแบกตัดหน้าไป และพอเห็นว่าทางเดินโล่งขึ้นกว่าเดิม เธอก็รีบวิ่งนำวีวี่ออกไปจากแยกวุ่นวายพวกนี้เลย
“คุณหนูระวัง!” วีวี่ร้องเรียก แต่นั่นทำให้คัลลัคหันกลับไปมองเขาโดยไม่มองทางข้างหน้าแทน เมื่อหันกลับไปอีกทีจึงชนเข้ากับก้นของม้าศึกพันธุ์ใหญ่ดัง โครม! “อึ๋ย ซวยแล้ว”
คัลลัคลงไปนอนมึนอยู่บนพื้น เธอกระแทกเข้ากับเกราะหนังห่มก้นม้าที่แข็งมาก เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นชายหนุ่มผมทองขี่อยู่บนอานทองคำ เมื่อคลานถอยออกมาจึงเห็นว่าไอ้ม้าตัวที่ว่านั้นกำลังมองเธอกลับมาด้วยหางตา
สายตาเหยียดหยามกันทั้งคนทั้งม้าเลย ให้ตายสิ
“ถนนก็เล็กจี๊ดเดียว ใครมันบ้าเอาม้าศึกมาเดินเพ่นพ่านกันเนี่ย” คัลลัคลูบจมูกตัวเอง พลางหันไปบ่นกับวีวี่ที่วิ่งตามมา
“นรกแล้ว คุณหนูอย่าเอ็ดไป เขาคนนั้นคือ...”
“รูสตัน เอเวนดรอส” วีวี่พูดยังไม่ทันจบก็โดนเจ้าของม้าศึกพูดแทรก “คิดว่าข้าไม่ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเจ้ารึอย่างไร”
วีวี่รีบคุกเข่าลงพื้นทันที แต่คัลลัคไม่ยอม แม้จะถูกดึง
“แล้วจะทำไม” คัลลัคพยายามเขย่งอย่างท้าทาย ทำเอารูสตันหัวเราะขบขันกับความจองหองไม่ดูความสูงของเธอ แต่ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อสังเกตเห็นดวงตาสีเงินข้างขวาของคัลลัค
“น่ารังเกียจ” สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน และหลีกเลี่ยงที่จะแตะตัวอีกฝ่าย “ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า พวกตาเงิน”
“คิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหนกัน รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” คัลลัคไม่ว่าเปล่า คว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าของรูสตัน
อะไรกัน ไม่ได้ผล? เธอก็แค่อยากเลียนแบบคำพูดของเดธิเลียเท่านั้นเอง นึกว่ามันจะได้ผลบ้าง แต่กลับถูกสลัดออกพร้อมสายตาสะอิดสะเอียน นั่นทำให้คัลลัคถอยออกทันที
คัลลัคสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม ตอนที่อยู่สเตลลาคาร์ต เธอเคยเจอคนที่เกลียดดวงตาของเธอ แต่เพราะที่นั่นเป็นเมืองหน้าด่าน ผู้คนจึงค่อนข้างชินกับการเจอพวกตาเงิน ทว่าไม่ใช่ที่นี่ สถานที่แห่งความเจริญที่หลายคนรังเกียจผู้เป็นพาหะคำสาปยิ่งกว่าหนอนแมลง
หยาดน้ำจากท้องฟ้าหยดแหมะลงบนแก้มคัลลัค ก่อนที่ละอองฝนพรำจะเริ่มโปรยลงมาเบา ๆ เพื่อลดอุณหภูมิที่คุกรุ่นบริเวณนี้ แต่เมื่อเสียงฟ้าร้องแว่วลอยตามมา
คัลลัคก็รู้ตัวทันทีว่าตนหาเรื่องได้ผิดที่ผิดคนเสียแล้ว
+++
คัลลัควิ่งเต็มฝีเท้าโดยมีรูสตันเหาะไล่กวดตามมา เธอเคยเชื่อว่าการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหน้าด่านติดชายแดนอย่างสเตลลาคาร์ตจะเสี่ยงตายแล้ว แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับการโดนจอมขมังเวทหนุ่มไล่ยิงกระสุนไฟช็อตใส่อย่างคึกคะนอง
แต่ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีเล็ก ๆ คัลลัคหนีมาจนถึงตลาด ซึ่งร้านแผงลอยต่างกางร่มบดบังทัศนวิสัยของคนที่กำลังเหาะไล่จี้มา ทำให้คัลลัคสลัดหลุดได้ในเวลาไม่นาน
คัลลัคหนีมาจนเหนื่อยหอบอยู่บริเวณทางเข้าลานน้ำพุหน้าประตูกำแพงหินอ่อน ฝนเริ่มตกมากขึ้นจากเดิมทีละเล็กทีละน้อย ผู้คนจึงเริ่มหลบเข้าไปใต้หลังคาและปล่อยให้ลานเปิดโล่ง เหลือไว้เพียงเด็กสาวคนหนึ่ง
“หืม” คัลลัคหันไปสนใจเด็กสาวคนนั้น เธอมีผมสีทองยาวเป็นลอนและดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์ แต่เสื้อผ้าของเธอกลับไม่เปียกเลย แม้จะยืนอยู่กลางสายฝน เหมือนมีโดมที่มองไม่เห็นกันน้ำฝนให้ไหลออกไปด้านข้าง เธอผายมือขึ้นฟ้าและปรากฏละอองแสงสีฟ้าจาง ๆ ออกมาจากฝ่ามือ
ในห้วงเวลานั้น มันดูราวกับสายฝนหยุดนิ่ง ไม่ใช่คำเปรียบเปรย แต่สายฝนหยุดนิ่งกลางอากาศจริง ๆ คัลลัคแทบไม่หายใจกับสิ่งที่ได้เห็น เธอเคยเห็นมายากลมาก่อน แต่นี่ไม่ใช่ มันเด่นชัดกว่านั้น เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่ากลปาหี่พื้น ๆ มาก
มัน... คือ เวทมนตร์
พริบตานั้นเด็กสาวผมทองหันมาสบตากับคัลลัค ทำให้เธอพึ่งรู้ตัวว่าจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบขนาดไหน และรีบหลบตา เพราะไม่อยากให้ใครเห็นตาเงินของตัวเองจนเกิดเรื่องอีก
แต่แล้วเจ้าชายรูสตันก็เหาะลงมายังลานน้ำพุ สายฝนกลับมาเทราวกับฟ้าถล่ม แต่มันก็ยังไม่สามารถทะลุผ่านโดมล่องหนที่คลุมเด็กสาวกับรูสตันเอาไว้อยู่ดี คัลลัคอยากจะหลบ แต่ขยับไม่ได้เพราะยืนนิ่งนานไปจนขาแข็ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่เห็นเธอ เพราะเด็กสาวคนนั้นเรียกความสนใจไปอีกทาง
ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวย่างไปบนอากาศ ราวกับร่างกายพวกเขาไร้ซึ่งน้ำหนัก สวนทางกับสายฝนที่หลั่งริน
คัลลัคจึงสรุปว่า บางทีรูสตันอาจจะแค่ตามหาเด็กสาวผมทองอยู่ เลยสนใจเธอคนนั้นมากกว่าการไล่ล่าคัลลัค และอีกฝ่ายก็คงไม่ใช่แค่สามัญชนธรรมดา
“คุณหนู!” วีวี่หอบแทบตายกว่าจะวิ่งตามทัน เขาออกจะตัวสูงแท้ ๆ แต่กลับตามเด็กสาวขาสั้นอย่างคัลลัคไม่ไหว เพราะชีวิตทรหดฝึกให้คัลลัคมีสกิลเกียร์หมามากกว่าทักษะอื่นทั้งมวล “โอขอบคุณ เซรียด้า คุณหนูปลอดภัย”
“นี่วีวี่” คัลลัคเอ่ย “เจ้ารู้ไหมว่านั่นใคร”
“หือ” วีวี่มองตามสายตาไปจนถึงเด็กสาวผมทองที่ลับสายตาไปพร้อมกับรูสตัน “ได้โปรดเถอะคุณหนู อย่าบอกนะว่าไปหาเรื่องนางอีกคน”
“เปล่านะ ข้าแค่รู้สึกว่านางสวยดี” คัลลัคตอบ
“แน่ล่ะ ราชวงศ์เอเวนดรอสก็ขึ้นชื่อเรื่องรูปโฉมงดงามทุกคนอยู่แล้ว” วีวี่ตอบ ทำให้คัลลัคหันมาทำหน้าเหมือนจะอุทานว่า ฉิบหาย เพราะเธอพึ่งรู้ว่านามสกุลเอเวนดรอสคือนามราชวงศ์ นึกว่าแค่ขุนนางสักตระกูลที่ระดับต่ำกว่า เพราะลอร์ดโรแวงเป็นถึงดยุก มียศต่ำกว่าแค่ราชวงศ์สายตรงเท่านั้น “นางคือเจ้าหญิงซาร์ธีน เอเวนดรอส น้องสาวของเจ้าชายรูสตันที่คุณหนูพึ่งไปกระตุกหนวดเสือมานั่นแหละขอรับ”
“เหอะ ไอ้เจ้าชายนั่นไม่เห็นมันจะรูปงามตรงไหนเลย” คัลลัคพาลเหมือนเด็กขี้แพ้ “กลับกันเถอะ”
“แล้วอาวุธเวทล่ะขอรับ” วีวี่ถาม
คัลลัคทุบมือตัวดัง แปะ... เธอลืมทุกอย่างไปเสียสนิท
+++
วันลงทะเบียนและสอบเข้า ::: โรงเรียนเอเวนไฮด์
ประตูปราการหินอ่อนเปิดต้อนรับผู้มาเยือนตั้งแต่เช้าตรู่ท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำ แต่พื้นในเขตโรงเรียนกลับแห้งสนิทด้วยโดมเวทมนตร์ขนาดมหึมา น้ำฝนไหลบ่าข้ามโดมไปยังขอบกำแพง และถูกระบายออกมาทางปากของรูปสลักหัวมันติคอร์ ลงไปยังคูเมืองกว้างเกือบสิบเมตร
คัลลัคกับผู้สมัครสอบคนอื่นพากันเดินข้ามสะพานเถาวัลย์ไปภายใต้การดูแลของนักเรียนปีโต ในขณะที่ผู้ติดตามทั้งหลายรวมทั้งวีวี่ต้องรออยู่ด้านนอก
ที่นี่มีประตูเวทมนตร์อย่างที่วีวี่บอกจริง ๆ แต่มันดูเหมือนจานทองเหลืองสูงเท่าบ้านสองชั้นมากกว่า ประตูทั้งหมดมี 4 บาน ประจำแต่ละทิศที่เชื่อมถนนถึงเมืองข้างเคียง ฝั่งที่คัลลัคมาคือทิศใต้ ถูกตกแต่งอย่างดีราวกับประติมากรรมเทพเจ้า แต่ก่อนที่ใครจะได้ผ่านประตูบานนั้นไปเพื่อการทดสอบสุดท้าย พวกเขาต้องผ่านการสอบ 2 อย่างแรกไปให้ได้เสียก่อน
หรือไม่ก็แค่ยื่นจดหมายแล้วเดินเข้าได้เลยแบบคัลลัค
“ข้าอยู่ดูการสอบได้ไหม” คัลลัคถาม เมื่อเห็นว่ามีตัวเองเพียงคนเดียวที่มายื่นจดหมาย ทั้งที่ในแต่ละปีควรจะมีคนได้รับจดหมาย 2-3 คน
“ตามสบาย” รุ่นพี่เอ่ยตอบ ก่อนจะมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย “ตาขวาเจ้าไปโดนอะไรมา”
“เป็นแผลน่าเกลียดน่ะค่ะ” คัลลัคก้มต่ำ เธอใช้ผ้าพันแผลปิดตาเงินของตัวเองไว้ เพราะเห็นจากการตอบสนองของเจ้าชายรูสตันแล้ว ว่าชาวเมืองใหญ่รังเกียจดวงตาต้องสาปของเธอขนาดไหน เรียกได้ว่าคนละระดับกับชาวสเตลลาคาร์ตที่เกลียดเธอที่สุดเลย
ช่วงเวลาหลังจากนี้ เธออาจจะต้องแกล้งทำเป็นตาบอดข้างหนึ่ง อย่างน้อยก็จนกว่าจะหาเพื่อนที่ยอมรับตัวตนเธอได้สักคน เพราะความลับไม่เคยตาย สักวันก็ต้องมีคนรู้
แล้วหนึ่งในผู้เข้าสอบก็รู้มาก่อนแล้วด้วย
คัลลัคมองเดธิเลียอยู่ห่าง ๆ เธอไม่อยากให้อีกฝ่ายจับได้ว่าตัวเองกำลังแช่งให้พี่สาวสุดที่รักสอบตกอยู่ในใจ เพราะถ้าเดธิเลียสอบผ่านไม่มีทางเลยที่คัลลัคจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ในโรงเรียนนี้
แต่คำสาปแช่งเหล่านั้นก็หายไป เมื่อเด็กสาวผมทองที่คุ้นเคยเดินเข้ามายื่นจดหมายให้รุ่นพี่ที่ดูแลคัลลัค
“องค์หญิงซาร์ธีน” ครั้งนี้คัลลัคเรียนรู้จากวีวี่มาแล้วว่าเวลาเจอเชื้อพระวงศ์ต้องคุกเข่าคำนับ
แต่กลายเป็นว่าซาร์ธีนขมวดคิ้วใส่เธอเสียอย่างนั้น
“นักเรียนรับเชิญสินะ” เจ้าหญิงเอ่ยถาม แต่เธอไม่ได้ถามคัลลัค หันไปมองหน้ารุ่นพี่ที่รับดูแลเรื่องจดหมายแทน
“เพคะ” รุ่นพี่ผู้หญิงตอบ
ซาร์ธีนหันมามองคัลลัคอีกครั้ง ก่อนจะพ่นลมหายใจ ราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรค่าให้ใส่ใจ ทำให้คัลลัคหน้าเสีย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
“การสอบแรกคืออะไร” ซาร์ธีนถามรุ่นพี่
“สอบข้อเขียนเพคะ” รุ่นพี่ตอบ
“ดี” ซาร์ธีนเอ่ย “เพิ่มข้าเข้าไป”
“แต่องค์หญิง คนที่ได้รับจดหมายไม่ต้องสอบเพื่อเข้าเรียนนะขอรับ” รุ่นพี่ผู้ชายเอ่ยบอก เขาคงเป็นฝาแฝดของรุ่นพี่ผู้หญิงคนนี้ เพราะหน้าตาคล้ายกันมาก
“แล้วห้ามสอบไหม” ซาร์ธีนถาม รุ่นพี่ผู้ชายอ้ำอึ้ง ก่อนจะส่ายหน้าและหยิบกระดาษข้อสอบให้เจ้าหญิงไป ปล่อยให้ซาร์ธีนไปร่วมการสอบพร้อมกับคนอื่น ๆ
“เชื่อเขาเลย” รุ่นพี่ผู้ชายเอ่ย “นึกว่าเป็นแค่ข่าวลือเสียอีก”
“ข่าวอะไรเหรอคะ” คัลลัคถาม
“เจ้าหญิงซาร์ธีนไงล่ะ ลือกันว่านางเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์แบบที่อาจจะเทียบกับเจ้าชายรูสตันได้” รุ่นพี่ผู้หญิงอธิบายให้ “แต่ประเด็นคือนางชอบอวดความสามารถของตัวเองเป็นที่สุด”
การสอบข้อเขียนกินเวลาครึ่งวัน หัวข้อก็คือเขียนทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ลงไป ไม่สามารถลอกกันได้เพราะเป็นกระดาษเวทมนตร์ที่คนไม่ใช่เจ้าของจะมองไม่เห็นตัวอักษรที่เขียนลงไป สนามสอบจึงเงียบสนิทตลอดครึ่งวันเช้าและฮือฮาทันทีที่พักเที่ยง ผู้เข้าสอบทุกคนได้รับการต้อนรับอย่างดีในโถงอาหารบริเวณย่านร้านค้า อาหารทุกอย่างดูแปลกตาราวกับถูกนำมาจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขาจะกินอะไรก็ได้และเติมเท่าไหร่ก็ได้ ความตึงเครียดจากการสอบข้อเขียนจึงเริ่มเบาบางลง
คัลลัคไม่รู้จะไปนั่งกับใคร เพราะเธอไม่ได้เข้าสอบและไม่มีเรื่องจะไปคุย รุ่นพี่แฝดทั้งสองจึงชวนเธอไปนั่งด้วยชั่วคราว ได้แต่เฝ้ามองบรรยากาศครึกครื้นอยู่ไกล ๆ
แต่เมื่อคะแนนสอบข้อเขียนถูกประกาศ บรรยากาศก็กลับไปเคร่งเครียดอีกครั้ง ผู้เข้าสอบเกินครึ่งถูกคัดออก ในขณะที่ผู้สอบผ่านก็ไม่รู้จะปลอบเพื่อนใหม่ของพวกเขาอย่างไร ได้แต่เอ่ยคำอำลาและอวยพรให้ปีหน้าโชคดีกว่านี้
คนที่สอบได้คะแนนเต็มรอบนี้ก็คือร็อต โฮเธิร์ค
นอกจากนั้นทั้งซาร์ธีนและเดธิเลียล้วนสอบผ่านด้วยคะแนนลำดับต้น ๆ คัลลัคจึงได้แต่ภาวนาให้พี่สาวไม่ผ่านในการสอบต่อ ๆ ไป
การสอบในรอบบ่ายคือการโจมตีเป้าไม้ ให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อจะทำลายมันในหนึ่งชั่วโมง ไม่สนวิธีการ เหมือนจะเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกายธรรมดา แต่ก็มีผู้เข้าสอบอีกครึ่งถูกคัดทิ้งในรอบนี้ น่าเศร้าสำหรับคัลลัค เดธิเลียยังคงผ่านมาได้ ส่วนซาร์ธีนนั้นไม่ลำบากกับการสอบเลย เธอทาบมือบนเป้าหลายอึดใจ ก่อนที่เป้าจะลุกติดไฟและเผาตัวเองจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน ทว่าคนที่ได้คะแนนสูงที่สุดในรอบนี้กลับไม่ใช่เธอ
แต่เป็นฮันนิบาล ครัสคอต ผู้ทำลายเป้าได้เร็วที่สุด
“เดธิเลีย แวนธีส อืม พี่สาวเจ้าเหรอคนนั้น” รุ่นพี่ผู้ชายเอ่ยถามระหว่างที่นำทางผู้เข้าสอบคนที่เหลือไปยังประตูทองเหลือง “นางดู... มีความพยายามดีนะ”
“ใช่ ข้ารู้ พรสวรรค์รึจะสู้พรแสวง” คัลลัคถอนหายใจและทำใจไว้แล้วว่าเดธิเลียต้องได้เข้าเรียนแน่
“ถ้าตามปกติก็คงจะเป็นเช่นนั้น แต่น่าเสียดาย ตรรกะนั้นใช้ไม่ได้สำหรับจอมเวท” รุ่นพี่ผู้หญิงเอ่ย “การมีความพยายาม มีพรแสวงนั้นเป็นเรื่องดี แต่ระหว่างคนที่มีกับไม่มีพรสวรรค์ หากขยันเท่ากัน สุดท้ายคนไร้พรสวรรค์ก็จะไล่ไม่ทัน”
“เจ้าเห็นคะแนนขององค์หญิงใช่ไหม” รุ่นพี่ผู้ชายเอ่ยถาม คัลลัคก็พยักหน้า แม้จะไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่ก็เป็นอันดับสองทุกการสอบ คะแนนรวมจึงอยู่อันดับหนึ่ง ทิ้งห่างทั้งร็อตและฮันนิบาล ไม่ต้องพูดถึงเดธิเลียที่คะแนนอยู่ลำดับกลาง ๆ เลย “นั่นคือตัวอย่างของเด็กมีพรสวรรค์ ที่ไม่ว่ายังไงก็คงไม่มีใครตามทัน”
“แล้วหากพูดถึงพรสวรรค์สำหรับจอมเวท เราก็หมายถึงพลังเวทที่ร่างกายสร้างขึ้นมาตามธรรมชาติ” รุ่นพี่ผู้หญิงพูดเสริม “หากไม่มีมัน ต่อให้พยายามอย่างไร ต่อให้พยายามทั้งชีวิต... พวกเขาก็จะไม่มีวันได้กลายเป็นจอมเวท”
คัลลัคพยักหน้าเข้าใจ มันคงเป็นความรู้สึกที่สิ้นหวังน่าดู หากผ่านการสอบมาถึงด่านสุดท้ายแล้ว แต่กลับต้องเจอทางตัน กำแพงสูงใหญ่ที่เรียกว่า การสอบวัดพลังเวท
หากไร้พลัง พรแสวงก็ไม่ช่วยให้ข้ามกำแพงนี้ไปได้
Comments (0)