10 ตอน บทที่ 8 เด็ก ๆ ก็ไม่ซุกซน
โดย ChaoSera
บทที่ 8 เด็ก ๆ ก็ไม่ซุกซน
ช่วงหัวค่ำ ::: ห้องของคัลลัค บ้านบุหงาดำ
คัลลัคกลับมาขังตัวเองอยู่แต่ในห้องด้วยความหวาดระแวง เธอได้คำตอบสำหรับสิ่งที่ตนสงสัยจากปากเมอดอร์แล้ว และมันก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีเลย
ในปีเทรเซน 5390 ซึ่งคัลลัคยังอายุได้ไม่กี่เดือน ชาวเมืองคนหนึ่งอ้างว่าเห็นพ่อมดชั่วร้าย ศัตรูเก่าของลอร์ดโรแวงได้บุกทำลายปราสาทและเผาทุกคนในปราสาทจนตายทั้งเป็น ไม่เหลือรอดแม้สักคน ยกเว้นเมอดอร์ที่แอบหนีออกไปเที่ยวงานเทศกาลในตัวเมือง แล้วยังมีเดธิเลีย วีวี่และองครักษ์แม่นมที่อาสาพาเด็ก ๆ ไปเปิดหูเปิดตา
คัลลัคพึ่งรู้ตอนเมอดอร์บอกนี่เองว่าวีวี่เป็นลูกชายแม่นมของเดธิเลีย เนื่องจากแม่ของเดธิเลียตายเพราะเสียเลือดจากการทำคลอด แม้บางคนจะเชื่อว่าตรอมใจตาย และคัลลัคเองก็เคยเจอแม่นมแล้ว อีกฝ่ายเป็นองครักษ์สวมเกราะหัวหมาป่าอยู่ข้างกายลอร์ดโรแวง เพราะอย่างนี้เดธิเลียจึงพอจะฟังคำพูดวีวี่บ้าง และยอมช่วยคัลลัคขึ้นจากน้ำก่อนโดนเงือกกิน บางทีลอร์ดโรแวงอาจจะเดานิสัยเสียของลูกสาวได้อยู่แล้วจึงส่งวีวี่มาด้วย
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอกังวล...
พ่อมดชั่วร้ายที่ว่าต่างหาก คนอื่นไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของพ่อมดตนนั้น แต่เมอดอร์รู้...
กันติเนล ชากอล
“ลุงกันตินี่” คัลลัคเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะเชื่อใคร เพราะชื่อนั้นคือชื่อของชายผู้อุปการะเลี้ยงดูเธอ โรเดนและเรสเทลมาตั้งแต่จำความได้ “ลุงทำอะไรลงไป”
แล้วตอนนี้ นามสกุลที่คัลลัคกำลังใช้ก็เป็นนามสกุลของเขา พ่อมดมนต์ดำผู้เป็นภัยร้ายแรงในสงครามระหว่างคนเป็นและคนตาย เธอเคยอ่านเจอเรื่องพ่อมดชั่วร้ายในตำราจากห้องสมุด แต่ไม่มีการบันทึกชื่อ ราวกับมีคนจงใจลบมันออกจากหน้าประวัติศาสตร์ คนที่รู้ชื่อพ่อมดดีจึงเป็นคนที่เคยเผชิญและรู้จักกันมาตั้งแต่อดีตอย่างลอร์ดโรแวง และเขาก็บอกต่อลูกชายลูกสาวของเขาด้วย
เมอดอร์รู้จักชื่อสกุลนี้ดี แต่เพราะพ่อมดกันติเนลเป็นพวกแหกคอก ชื่อของเขาอาจทำลายวงศ์ตระกูล แต่ตระกูลของเขาก็ยังมีอยู่โดยที่ไม่ควรต้องมารับผิดชอบสิ่งที่เขาก่อ ได้แต่เนรเทศลูกชายนอกคอกและประกาศให้ผู้อื่นรับรู้ว่าตระกูลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เมอดอร์จึงคิดว่าคัลลัคอาจจะแค่เป็นญาติกับคนอื่นในตระกูลที่แยกตัวไม่ข้องเกี่ยว
ถ้ามีคนอื่นรู้ว่าคัลลัคเกี่ยวข้องกับพ่อมดชั่วร้ายโดยตรง... พวกเขาคงปฏิบัติกับเธออย่างเลวร้ายเลยทีเดียว
แล้วนั่นก็ไม่ใช่แค่ปัญหาเดียว เพราะเธอกลับไปใช้นามสกุลแวนธีสไม่ได้ด้วย ไม่ใช่เพราะจะโดนเมอดอร์ยำเละ แต่เพราะในคืนนั้นที่เมอดอร์รอดมาได้ แม่นมองครักษ์บอกกับลอร์ดโรแวงว่าเห็นกลุ่มคนลอบเข้าไปในปราสาทด้วย
มีนักฆ่าถูกส่งเข้าไปในปราสาทนั้น
แม่นมไม่ได้เข้าไปช่วยใครเพราะตนติดพันมีเด็กชายกับทารกทั้งสองที่ต้องดูแล ลอร์ดโรแวงไม่กล่าวโทษเธอ ไม่ประกาศใด ๆ กับเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นข่าวลือไร้มูล ก่อนจะสืบหาร่องรอยของนักฆ่าด้วยตัวเอง
“แล้วหาเจอไหม” คัลลัคถามเมอดอร์ตอนนั้น
“จะเจอหรือไม่... ” เมอดอร์เริ่มแสดงความเป็นปรปักษ์ “มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สายเลือดพ่อมดชั่วแบบเจ้าต้องรู้”
คัลลัค แวนธีส ใครบางคนต้องการลบชื่อนี้ออกไป โดยเล็งเธอแค่คนเดียวเท่านั้น ตราบใดที่เธอไม่กลับไปใช้ตัวตนจริง บางทีนักฆ่าในเงามืดเหล่านั้นอาจจะยอมปล่อยให้เธอมีชีวิตต่อไป
เมอดอร์โดนคิวแคนดุหลังจากนั้นเพราะทำให้น้องกลัว แต่เขาก็ยังคงไม่ชอบหน้าคัลลัคตั้งแต่แนะนำนามสกุลจนถึงตอนนี้ ราวกับว่าเธอจะไม่สามารถญาติดีกับชายคนนี้ได้ ไม่ว่าจะใช้นามสกุลใด
จะชากอลหรือแวนธีส สองพี่น้องคู่นี้ล้วนเกลียดเธอ
+++
กลางดึก ::: บ้านหอกราตรี
คัลลัคไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะมาที่นี่จริง ๆ แต่เธอจำเป็นต้องรู้และต้องติดต่อกับลุงกันตินี่ให้ได้
เอเวนไฮด์มีพื้นที่โรงเรียนกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่จะมีได้สำหรับโรงเรียนเวทมนตร์ เรียกได้ว่าเป็นเมืองขนาดย่อม แต่มันก็ยังไม่กว้างพอจะไม่เอะใจกับกฎเหล็กของเอเวนไฮด์ได้
กฎข้อที่ 1 คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า
มันเป็นกฎข้อบังคับที่มีโทษหนัก นักเรียนและบุคลากรล้วนไม่สามารถออกจากเขตกำแพงโรงเรียนได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากครูใหญ่ธารีส เช่นเดียวกับคนนอกที่เข้ามาไม่ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากเขาเสียก่อน มีเพียงพื้นที่ย่านร้านค้าเท่านั้นที่คนจากทั้งสองฝั่งจะเชื่อมถึงกัน แต่ก็มีการตรวจคนเข้าออกด้วยเหมือนกัน
แล้วการขออนุญาตเพื่อเข้าออกไปไกลกว่านั้นก็ง่ายเสียที่ไหน หากไม่มีเหตุจำเป็นคอขาดบาดตายหรือคนขอมีอิทธิพลจริง ๆ ก็ไม่มีทางเลยที่จะได้รับการอนุมัติ
“ทำได้ใช่ไหม” คัลลัคเอ่ยถามผ่านรั้วลูกกรงของบ้านหอกราตรี คุยกับใครบางคนที่กำลังหน้าบึ้งในความมืด
“ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก” อิลตอบ เขาทำเป็นวางท่า แม้จะมีรอยช้ำบวมบนใบหน้า เหมือนพึ่งไปมีเรื่องชกต่อยกับใครมา “ก็แค่ติดต่อพ่อมดชั่วร้ายแห่งศตวรรษโดยไม่ให้ผู้ผดุงความยุติธรรมจับได้ แค่นั้นใช่มะ”
“ข้าอยากเจอเขาต่อหน้าด้วย ไม่ใช่แค่ติดต่อผ่านจดหมาย” คัลลัคพูดเสริม
“เรียกร้องขนาดนี้นี่มีอำพันพอจ่ายใช่ไหม” อิลถาม
“ถ้าข้าจ่ายเป็นสิ่งของแทนได้ไหม” คัลลัคถามกลับ
“เช่น...? ” อิลแสดงสีหน้าไม่พอใจเล็ก ๆ
“เช่น... แก้ปัญหาให้เจ้าในบางเรื่อง” คัลลัคตอบ พลางพยักพเยิดไปที่รอบช้ำ “หน้าเจ้าโดนอะไรมา”
“โดดรับน้องบ้าน แต่โดนลากออกมาจากห้องนอน” อิลส่งเสียงคำรามอย่างหัวเสีย “รุ่นพี่นรก พวกมันคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าบ้าน แล้วจะเป็นเจ้าของทุกอย่างในบ้านด้วย”
“งั้นข้าก็โชคดีสิที่ไม่มีรุ่นพี่ในบ้านเลย” คัลลัคแปลกใจ เพราะปกติเธอไม่ค่อยมีโชค
“เจ้าเลือกบ้านเอง ไม่ได้โชคดีเสียหน่อย” อิลอิจฉา
“ข้าทำยารักษาให้เจ้าได้นะ” คัลลัคเสนอข้อแลกเปลี่ยน “จะได้ไม่ต้องเจียดอำพันไปซื้อยาเอง”
“ข้าไปขอห้องพยาบาลเอาก็ได้” อิลว่า
“ครูจะถามว่าเจ้าไปโดนอะไรมา” คัลลัคเดาได้เลย “เจ้าคิดว่ารุ่นพี่นรกที่ซ้อมรุ่นน้องแค่เพราะโดดไปนอน พวกเขาจะทำยังไงกับคนปากโป้งกันนะ”
“ข้าก็แค่สร้างเรื่องโกหกไป” อิลว่า
“ที่นี่คือโรงเรียนเวทมนตร์ เป็นหน้าเป็นตาของทวีปนะ” คัลลัคตอบ “พวกเขาไม่ปล่อยให้มีชื่อเสียหลุดรอดไปหรอก ครูจะจับผิดเจ้าได้ เจ้าอยากจะเสี่ยงรึ”
อิลกอดอกยอมนิ่งฟัง
“ยิ่งครูลงโทษรุ่นพี่แรงเท่าไหร่ มันก็จะไปลงที่เจ้าแรงเป็นเท่าตัว” คัลลัครู้ดี การลงโทษไม่สามารถสร้างนิสัยดี ๆ ขึ้นในตัวอันธพาลได้ เดธิเลียก็ดูจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
“ข้าจะติดต่อให้ แค่นั้น แต่ต้องได้ยาก่อน แล้วยาต้องใช้ได้ดีไม่งั้นข้าไม่รับงาน” อิลตอบ “ถ้าข้าจะต้องหาโอกาสให้พวกเจ้าเจอหน้ากันจริง ๆ ข้าต้องได้ของตอบแทนดีกว่านี้”
“ได้” คัลลัครับปาก “ง่ายเหมือนปอกกล้วย”
+++
คาบเรียนที่ 3 วิชาภาษาเอลธันคา ::: ห้องเรียนปี 1
ครูกินราเป็นคนสอนวิชานี้และเธอไม่ว่าอะไร หากจะมีนักเรียนหลับคาชั่วโมงเรียน เพราะมันเป็นวิชาที่น่าเบื่อเอามาก ๆ ทุกคนต้องมาเรียนการขับลำนำร้อยแก้วร้อยกรอง ไม่ได้มีอะไรตื่นตาฟู่ฟ่าอย่างในวิชาเมื่อวาน
แล้วครูก็ไม่ว่าอะไรถึงจะมีคนโดดเรียนด้วย
เมื่อมีคนขอไปเข้าห้องน้ำ คัลลัคก็ขอตามไปด้วย ก่อนจะแอบย่องเข้าไปในห้องปรุงยาที่ใช้เรียนกับครูดูโคคาบบ่ายเมื่อวาน ไม่มีใครใช้ห้องในช่วงนี้ ไม่มีวี่แววของครูประจำห้องด้วย จะมีก็แค่เต่ากระดองหนามตัวหนึ่งที่หดหัวหลับอยู่บนโต๊ะครู
คัลลัคจึงเดินสบายใจเข้าไปหยิบหม้อต้มยา
“ใครอนุญาตให้มาหยิบจับอุปกรณ์การเรียนในห้องปรุงยา” เสียงทักทำให้คัลลัคสะดุ้งโหยง เธอแน่ใจว่าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อหันกลับไปก็เห็นครูดูโคนั่งประจำโต๊ะครู โดยที่เต่ากระดองหนามตัวนั้นหายไปแล้ว
“ครู... เป็นเต่า?” คัลลัคอดที่จะทักเรื่องนั้นไม่ได้
“คิดจะเอาหม้อยาไปทำอะไร” ครูดูโคถาม
“ก็... ” คัลลัครีบคิดคำโกหก “ต้มซุป”
แน่นอนว่าคำตอบนั้นทำให้ครูดูโคเดือด เขาไล่ตะเพิดคัลลัคออกไปจากห้องปรุงยาและปิดประตูตามหลังดัง ปึง!
“อ้าว ๆ ดูซินี่ใคร” เสียงหนึ่งทักจากระเบียงทางเดิน “นึกยังไงถึงจะเอาหม้อปรุงยาไปต้มซุปกันล่ะนั่น”
เดธิเลีย... เพโลวีและเผ่ายักษ์ 2 ตน
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” คัลลัคตอบ ก่อนจะขมวดคิ้ว เพราะเห็นรอยฟกช้ำตามแขนของเพโลวีที่ยืนหงอด้านหลัง
“ใจกล้าดีจริงนะ” เดธิเลียเดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตร “เจ้าทำข้าไว้แสบ... คิดว่าพวกเราจะจบกันแค่ในวันสอบเท่านั้นรึ? น้องสาวที่รัก”
คัลลัคกลืนน้ำลาย เธอรับรู้ได้ถึงอันตราย ก่อนจะรีบกลับหลังหันและวิ่งหนีกลับไปยังห้องเรียน ปล่อยเดธิเลียให้ยืนหัวเราะกับท่าทีของอีกฝ่าย
“พักเที่ยงลากมันมาให้ข้า” เดธิเลียสั่งพวกยักษ์
+++
ปากทางเข้าโพรงมืด พื้นที่กักบริเวณ เขตเหนือ
“ปล่อยข้านะ...! ” คัลลัคกรีดร้องเสียงแผ่ว เพราะมึนงงจากการโดนยักษ์สูง 3 เมตรจับขาให้ห้อยหัวลง
“ไทเตส หน้านางแดงหมดแล้วนะ” เพโลวีเอ่ยเตือน
“แต่คุณหนูเดธิเลียยังไม่ได้สั่งให้ปล่อย” ยักษ์ใหญ่ตอบ
“ไอ้พวกบื้อ” คัลลัคก่นด่าอย่างวอนหาเรื่อง “ตัวก็มหึมา ทำไมกลัวแค่มนุษย์ผู้หญิงคนเดียว”
“ปล่อยลงมา” เสียงเดธิเลียซึ่งเดินตามมาทีหลังเอ่ยสั่ง ไทเตสจึงปล่อยคัลลัคร่วงลงมากระแทกพื้นคอแทบหัก ทำเอาเธอนอนมึนอยู่กับพื้นไปพักใหญ่
“เจ้าสงสัยรึว่าทำไมพวกมันต้องฟังข้า” เดธิเลียเอ่ยถาม พลางเอาเท้าเขี่ยหัวของคนที่นอนแผ่หลา “ตระกูลแวนธีสคือผู้ปกครองอาณาเขตกาเมซัน ดินแดนฤดูหนาวรอบเทือกเขาเรเวนธีส ส่วนเผ่ายักษ์น้ำแข็งอย่างพวกมัน... ”
เดธิเลียชายตามองคู่ยักษ์ชายหญิงที่หลุบตาต่ำ ไม่กล้าสบตากับเธอ แม้ว่าไทเตสจะเป็นยักษ์สีม่วงที่สูง 3 เมตร และพิชเป็นยักษีลูกครึ่งมิโนทอร์ที่สูง 2 เมตร
ไม่มีใครกล้าหือกับเดธิเลียทั้งสิ้น
“ก็แค่พวกหัวทึบ อ่านหนังสือไม่ออก ฉลาดได้แค่เท่าเด็ก 7 ขวบ ใช้เวทมนตร์ได้แค่พื้นฐาน” เดธิเลียพูดออกมาด้วยสายตาเอือมระอา “แล้วก็มีสัญญาทาสติดที่ดินอยู่”
“แต่ข้าก็เป็นแวนธีส” คัลลัคคลานถอยไปเมื่อได้สติ
“งั้นรึ แต่ในรายชื่อนักเรียนเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะ” เดธิเลียยิ้มเยาะ “คัลลัค ชากอล นังเด็กเหลือขอจากสลัมที่บังเอิญตกถังข้าวสาร”
ประตูหินถูกไทเตสและพิชช่วยกันผลักเปิด เผยโพรงมืดด้านในที่ปล่อยกลิ่นอายชวนขนลุกออกมา
“และบังเอิญว่าในถังข้าวสารนั้นมีอสรพิษนอนรอของว่างอยู่” เดธิเลียพูดต่อ “รู้ไหมว่าโพรงนี้คืออะไร”
“พื้นที่กักบริเวณ” คัลลัคเอ่ย เธอรู้จากตอนที่ร็อตกับฮันนิบาลทะเลาะกันจนโดนส่งเข้าไปช่วงเย็นวาน แล้วเมื่อออกมา พวกเขาก็หน้าซีดตื่นกลัวและเอาแต่กักตัวเองไว้ในห้องจนถึงตอนนี้
ไม่ว่าอะไรอยู่ในโพรงมืด มันไม่ใช่ข่าวดีแน่
“โพรงมืดเป็นอาณาเขตเวทมนตร์ มันจะแสดงสิ่งที่เหยื่อหวาดกลัวที่สุดออกมา” เดธิเลียกระชากคอเสื้อคัลลัคขึ้นมาจนตัวลอย
“เหอะ ข้าไม่กลัวตัวอะไรทั้งนั้นแหละ” คัลลัคพยายามคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ ไม่ให้โยนเธอเข้าไป
“แล้วใครบอกว่าจะมีแต่สิ่งมีชีวิตกันล่ะ” เดธิเลียพยักหน้าให้ไทเตส ยักษ์ม่วงก็กระชากคัลลัคจากที่ยึดเกาะ แล้วโยนเธอเข้าไปในความมืดมิด “ล็อกประตู”
“เดธิเลีย!” เสียงเด็กสาวเรียกให้หัวโจกหันไปมอง อีกฝ่ายคือริสต้ากับไฮโอ ทั้งสองเหมือนจะพึ่งสังเกตว่าเพื่อนตัวเองโดนหิ้วหายไปจากโรงอาหาร “โพรงมืดไม่ใช่ของเล่นของเจ้านะ”
“อยากเข้าไปช่วยเพื่อนไหมล่ะ” เดธิเลียยิ้มเยาะ พลางผายมือเชื้อเชิญริสต้าให้ตามคัลลัคเข้าไป
“ข้าจะไปตามครู” ไฮโอเอ่ยบอก แต่ก่อนจะไป เขาบีบต้นแขนริสต้าแน่น “ริสต้า... ห้ามเข้าไป เด็ด–ขาด”
“งั้นก็... ” เดธิเลียมองตามหลังไฮโอไป “บอกลาเพื่อนของเจ้าได้เลย ต่อให้ไม่ล็อก นางก็ไม่ออกมาหรอก”
“ทำไมคิดอย่างนั้นเล่า” ริสต้าถาม
“เพราะสิ่งที่นางกลัว... อยู่นิ่งไว้เป็นดีที่สุด”
+++
“พวกนรก” คัลลัคก่นด่าทันทีที่ได้สติ เธอถูกโยนเข้ามาแรงมากจนกระแทกกับผนังขรุขระ ทั้งจุกทั้งชาจนไม่รู้ว่าร่างกายยังอยู่ครบรึเปล่า อีกทั้งภายในนี้มืดสนิทจนไม่เห็นอะไร แสงเดียวจากปากทางก็หายไปแล้ว แต่ก็ยังพอเดาทิศได้อยู่
คัลลัคเดินกะเผลกกลับไปยังทางออกเท่าที่จะเร็วได้
“คัลลัค” เสียงผู้หญิงแว่วมาจากความมืด แต่เมื่อคัลลัคหันกลับไปก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง “ชื่อของนางคือคัลลัค”
“นั่นใครพูดน่ะ?!” คัลลัคถามออกไป
“คัลลัค ภาษาเอลธันคาแปลว่าโชคร้าย เจ้าจะไม่สงสารเด็กสักหน่อยรึ” คราวนี้เสียงที่แว่วมาเป็นเสียงผู้ชาย
“ฟาดเคราะห์ไง” เสียงผู้หญิงตอบ พวกเขาคุยกันเองโดยไม่ได้ยินคัลลัค “เผื่อว่าลูกข้าจะไม่ดึงดูดโชคร้าย”
“นางเป็นพวกตาเงิน” เสียงผู้ชายเอ่ย “ทำใจเสียเถอะ”
ครึก!
“เห้ย!” ทั้งที่ในโพรงนั้นน่าจะเป็นพื้นที่เรียบ แต่คัลลัคกลับเหยียบไปเจอขอบหน้าผาเปราะบางเข้า ข้อเท้าของเธอพลิก ก่อนจะเสียหลักร่วงตกลึกลงไปหลายเมตร “อึก... โอย”
คัลลัคพยายามคลำไปบนพื้นอย่างระมัดระวัง เธอสำรวจในความมืดไปจนพบว่าตัวเองหลงมาอยู่ที่ขอบผาเล็ก ๆ ฝั่งหนึ่งคือผาสูงที่เธอตกลงมา ส่วนอีกฝั่งเป็นหลุมโล่งที่ไม่รู้ว่าลึกขนาดไหน แล้วเธอก็ไม่กล้าเอื้อมมือลงไปสำรวจต่อด้วย
“คัลลัค!” เสียงริสต้าแว่วลอยมาเหมือนสัญญาณช่วยชีวิต เธอเข้ามาในโพรงพร้อมกับหินส่องแสงนำทาง
“ริสต้า!” คัลลัคพยายามชะโงกมองขึ้นไปบนผาข้างบนและโบกมือเรียก แต่แล้วกลับมีมือยื่นมาจับเอวจากด้านข้างแทน ทำเอาเธอสะดุ้งจนเกือบชกเข้าให้
“นี่ข้าเอง เจ้า เอ่อ... ” ริสต้าชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้วน ๆ แถวดวงตา “ผ้าปิดตาของเจ้าหายไปนะ”
คัลลัคแข็งทื่อยิ่งกว่าตอนยืนขอบผาเสียอีก เธอไม่ทันเอะใจว่าผ้าปิดตาหลุดไปตอนถูกขว้าง เพราะในนี้มืดแปดด้านจนไม่เห็นอะไรเลย นอกจากแสงอ่อน ๆ จากจี้หินในมือริสต้า
“รู้อะไรไหม ตอนนี้ข้าเห็นดวงตาของเจ้าเป็นสีเงินด้วยล่ะ” ริสต้ายิ้ม แต่คัลลัครู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังฝืน
“คือข้าอธิบายได้...” คัลลัคพยายามนึกหาคำพูด
“ไม่ต้องหรอก ข้ารู้อยู่แล้ว” ริสต้าเอ่ย
“รู้แล้ว...? ” คัลลัคแปลกใจ ไฮโอบอกเธอแล้วงั้นเหรอ
“ใช่ ข้าเป็นคนบอกเจ้าเองนะ ข้าต้องรู้อยู่แล้วสิว่าโพรงมืดจะแสดงสิ่งที่เหยื่อกลัวที่สุดออกมา” ริสต้าตอบ ส่วนคัลลัครู้สึกผิดหวังนิด ๆ มันคงดีกว่าถ้าเธอจะได้คุยเรื่องตาเงินกับริสต้าไปตรง ๆ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะคิดว่าตนเห็นตาเงินเพราะผลของอาณาเขตเวทมนตร์
“แล้วเป็นไง ข้ามีตาสีเงินแล้วสวยไหม” คัลลัคทำเป็นยิ้มและพูดไหลไปเรื่อย
“ข้าชอบตอนที่ตาของเจ้าเป็นสีอำพันมากกว่า ถึงจะไม่เคยเห็นตาอีกข้างของเจ้าก็เถอะ” ริสต้าตอบ เริ่มไม่ฝืนแล้วเมื่อคัลลัคทำให้มันดูเป็นเรื่องตลก
“สีเงินทั้งสองข้างเลยรึ” คัลลัคแปลกใจ
“ใช่สิ” ริสต้าตอบ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นผลของอาณาเขตจริง ๆ ทำให้แทนที่จะเห็นความจริงข้างเดียวกลายเป็นเห็นทั้งสองข้าง “แต่ข้าไม่คิดว่ามันสวยหรอกนะ”
“เจ้ากลัวพวกตาเงินรึ” คัลลัคถือโอกาสถาม ขณะที่เดินตามริสต้าไปยังทางออก เมื่อพวกเธออยู่ด้วยกัน ความกลัวจากภาพลวงหลอกของอาณาเขตโพรงมืดก็ดูเบาบางลง
“อืม” ริสต้าตอบเสียงแผ่ว พอจะเดาได้ว่าเธอไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ คัลลัคจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ข้าไม่เคยเห็นสร้อยนั่นเลย” คัลลัคทัก
“ของดูต่างหน้าจากพ่อข้าน่ะ มันเป็นหินเครื่องราง ใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ได้ผลกับความกลัวด้วย” ริสต้าตอบ นั่นเองคือเหตุผลที่โพรงมืดดูจะไม่อยากยุ่งกับแสงนี้
“โอ้ พ่อของเจ้า... ” คัลลัคเกาท้ายทอย ไม่รู้ทำไมเธอช่างเลือกหัวข้อสนทนาได้แทงใจขนาดนี้
“พ่อของข้าเป็นนักผจญภัย แล้วก็นักทำแผนที่ แต่พ่อใจกล้าบ้าบิ่นเกินไป เมื่อสิบปีก่อนเขาลอบเข้าไปในนครลาสเดธ เพื่อพิสูจน์ว่าพวกตาเงินไม่ได้เกิดจากการเป็นพาหะนำคำสาป แต่เป็นกรรมพันธุ์บกพร่องอะไรนี่แหละ” ริสต้ากำหินเครื่องรางแน่น ระหว่างที่เล่า “เขากลับมาพร้อมกับดวงตาที่กลายเป็นสีเงิน แล้วก็เด็กผู้หญิงผมแดงคนหนึ่ง”
“เด็กแบบ... มีชีวิตเหรอ” คัลลัคถาม เพราะนครลาสเดธคือดินแดนของเหล่าคนตาย
“เด็กคนนั้นก็ดูไม่เหมือนคนตายนะ แต่พ่อของข้ายืนกรานว่านางคือเจ้าหญิงแห่งนครลาสเดธ” ริสต้าส่ายหัว “พ่อของข้าเริ่มกลายเป็นบ้าเพราะตาเงินนั่น เขาเริ่มพูดว่ามองเห็นแสงวิบวับแปลก ๆ บอกว่าเห็นวิญญาณภูตผี แล้วก็ควันสีดำ”
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ” คัลลัคถาม
“นางหนีไป” ริสต้าตอบเพียงแค่นั้น
ทั้งสองเดินออกมาทางประตูที่แง้มน้อย ๆ ไฮโอกับครูดูโคเป็นคนเปิดให้ คัลลัคใช้วิธีหลับตาขวาหาผ้าปิดตาจนเจอตกอยู่แถวที่โดนจับห้อยหัว ตอนที่ครูดูโคมาถึง กลุ่มอันธพาลก็ไม่อยู่แล้ว เมื่อครูเรียกพวกนั้นมาคุย มันจึงเกิดเสียงโต้แย้งเป็นสองทาง เพราะเดธิเลียอ้างว่าตัวเองอยู่ในโรงอาหารตลอดพักเที่ยง โดยมียักษีที่ชื่อดัฟเฟตยืนยันให้
ครูเอาผิดเดธิเลียไม่ได้ เธอยังคงลอยนวลต่อไป
+++
ในวิชาภาษาไอดัส เด็กปี 1 ได้เรียนกับครูต่างชาติที่ดูจะติดตลกหน่อย ๆ เขาชื่อแคลมาจากไอดัส เช่นเดียวกับอิล แต่ครูแคลนิสัยดีกว่ากันเยอะ เขาถามเสมอว่ามีใครตามไม่ทันที่เขาสอนไหม ให้ยกมือขึ้นบอก เขาจะไม่ดุด่าอะไร แต่จะทวนซ้ำให้ใหม่ นักเรียนหลายคนจึงยกมือกันเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็เรียนไปได้ไม่ถึงไหนกันทั้งชั้น
บางคนที่หัวไวจึงเริ่มจะเขม่นคนที่ยกมือ
เช่น เจ้าหญิงซาร์ธีน ฮันนิบาล แฟเรลและร็อต ผู้ซึ่งกำลังจ้องคัลลัค เดธิเลีย เพโลวี แล้วก็พวกยักษ์หัวทึบทั้งสาม จนในที่สุดคัลลัคกับเดธิเลียก็เลิกยกมือเพื่อจะไม่ตกเป็นเป้าสายตา แต่พวกที่เหลือคือหัวทึบเกินเยียวยาจริง ๆ
นักเรียนหลายคนจบวันด้วยสภาพมึนเบลอ เพราะภาษาไอดัสเป็นความรู้ใหม่ เริ่มต้นจากศูนย์สนิท ไม่เหมือนภาษาเอลธันคาที่พอจะรู้พื้นฐานที่ใช้พูดในชีวิตประจำวันอยู่บ้าง แค่ต้องเรียนรากศัพท์โบราณและการเขียนสะกดคำเพิ่ม
คัลลัคกลับมาถึงบ้านบุหงาดำก็ซ้อมตายด้วยท่านอนแผ่แบบไม่สนโลกทันที เธอหลับไปตั้งแต่ช่วงเย็น จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูเลื่อนเบา ๆ เธอจึงเปิดออกไปดู
แต่ใครที่ไหนจะไปคิดล่ะว่าสิ่งที่เคาะประตูห้องเธอ... มันจะเป็นเสือดาวหิมะขนปุยที่คาบหม้อต้มซุปมาด้วย
“ส..สวัสดี” คัลลัคทักทายเสือเสียงสั่น
“เข้าไปได้ไหม” เสือดาวหิมะถามด้วยน้ำเสียงคุ้นเคย
“เจ้าคือ... เพโลวี?” คัลลัคอุทาน
Comments (0)