5 ตอน บทที่ 3 พรสวรรค์
โดย ChaoSera
บทที่ 3 พรสวรรค์
เที่ยงวัน ::: จุดนัดพบ ลานน้ำพุหน้าซากวิหาร
“ข้านึกแล้ว ข้านึกอยู่แล้วเชียว” เรสเทลร้อง “เมื่อวานข้าอุตส่าห์เตือนแล้วนะว่ามีขุนนางแปลก ๆ คนหนึ่งมาเดินดูนักมายากลข้างถนน ข้ารู้เลยว่าเขากำลังมองหาผู้ใช้เวทมนตร์”
“ใช่ เจ้าเตือน แต่ใครจะไปรู้ละว่าเหยื่อของเราจะเป็นลูกสาวขุนนางที่เจ้าบอกน่ะ” โรเดนโอดครวญ
“เราควรจะเข้าไปช่วยคัลลัค” เรสเทลเอ่ย
“ไม่มีทาง ไม่มีขุนนางที่ไหนเดินทางลำพังอยู่แล้ว เขาต้องมีทหารแน่ พวกเรามีแต่จะโดนจับไปด้วย” โรเดนห้ามปราม “คัลลัคไม่เป็นไรหรอกน่า นางเอาตัวรอดได้”
“นางเป็นเพื่อนพวกเรานะ” เรสเทลดึงดัน
“ชีวิตของพวกเราสำคัญนะ” โรเดนว่า
“แล้วของนางไม่สำคัญรึไง” เรสเทลเถียง
แกร๊บ! เสียงกรวดถูกเหยียบทำให้ทั้งสองสะดุ้งหันไป เห็นคัลลัคยืนยิ้มให้อย่างกวน ๆ ก็พากันโล่งอก
“เอ้า หยุดทำไมละ กำลังมันเลย” คัลลัคเอ่ย ราวกับการโต้เถียงตรงหน้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตตัวเอง
“ข้ากำลังเป็นห่วงเจ้าอยู่พอดีเลย” โรเดนเปลี่ยนคำพูดทันควัน ในขณะที่เรสเทลกระโดดกอดเพื่อนรัก
“ไม่ต้องมาพูดเลยโรเดน” คัลลัคแยกเขี้ยวใส่ แต่ก็แค่ขำ ๆ เพราะพวกเธอล้วนรู้สันดานกันดี
เอาตัวเองรอดไว้ก่อน... อย่างอื่นค่อยคิดทีหลัง
“แล้วเจ้าหนีออกมาได้ยังไง” เรสเทลถอนกอดแล้วถาม
“ข้าก็... ” คัลลัคยิ้มแห้ง ๆ “โดนเตะออกมาน่ะ”
“หา? / อะไรละนั่น” ทั้งเรสเทลทั้งโรเดนต่างงุนงง ทำไมคนที่ควรจะโดนตัดข้อมือหรือขังลืมในฐานะมิจฉาชีพอย่างคัลลัค กลับถูกเตะออกมาเหมือนคุกไม่ต้อนรับเสียอย่างนั้น
คัลลัคเริ่มอธิบายเรื่องทั้งหมด ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่ได้ฟัง และเรื่องที่ตัวเธอเองยังกังขาอยู่ นั่นคือชาติกำเนิดของเธอ
“ขุนนางคนนั้นท่าจะขี้โกหก พวกเราเกิดจากดิน คัลลัคจะไปเป็นลูกเขาได้ยังไง” โรเดนว่า
“ข้าก็คิดแบบนั้น แต่จดหมายนี่น่ะของจริงแน่ ๆ” คัลลัคชูจดหมายที่พกติดตัวมาด้วย แม้มันจะไม่มีอัศจรรย์ให้ดูแบบครั้งแรกที่คัลลัคเปิด แต่ตราสัญลักษณ์ก็ยังยืนยันว่ามันเป็นของแท้ “ถ้าของปลอม ตรงตราจะมีตำหนิ เห็นไหม อันนี้ไม่มี”
อีกสองสหายพยักหน้า มันเป็นหนึ่งในอาวุธคู่สมองของเหล่ามิจฉาชีพที่จะสามารถแยกแยะของแท้จากของเก๊ และพิจารณามูลค่าของสิ่งที่จะขโมยได้
“แต่มันมาจากคนโกหก” โรเดนคัดค้าน
“แต่ต้นทางคือโรงเรียนเวทมนตร์แห่งเดียวในทวีป” เรสเทลชี้ถึงข้อเท็จจริง “โอกาสทองเชียวนะ”
“มันอาจจะหลอกเอานางไปขายเป็นทาสใช้เวทมนตร์ก็ได้” โรเดนยังคงมองโลกในแง่ร้ายสุดกู่
“ถ้าแบบนั้นเขาคงไม่ยอมให้ข้าโดนยัยหมาบ้านั่นเตะออกมาง่าย ๆ หรอก” คัลลัคตอบ “ถ้าจุดประสงค์ของเขาไม่ดี... พวกเราอาจจะไม่ได้กลับมาเจอกันอีกเลยก็ได้นะ”
“แต่มันก็ยังอันตราย เจ้าไม่เห็นยัยเด็กขี่หมายักษ์นั่นเหรอ ข้าเจอนางแวบเดียวก็รู้เลยว่านางเกลียดเจ้า” โรเดนว่า
“โรเดน” เรสเทลเอ่ยปราม “ทำไมเจ้าไม่ลองถามคัลลัคดูบ้างล่ะว่านางอยากจะไปไหม”
“แน่นอนว่าต้องไม่อยาก” โรเดนไม่หยุด จนเรสเทลต้องเตะก้นเขาเพื่อให้ยอมหุบปาก
“ถ้าไม่อยากไป นางคงทิ้งจดหมายไปแล้ว” เรสเทลถอนหายใจ ก่อนจะมองเจ้าของจดหมาย “ใช่ไหม”
“ลอร์ดโรแวงบอกว่า เผื่อข้าเปลี่ยนใจ เขาจะออกเดินทางพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ ข้าตัดสินใจได้ถึงตอนนั้น” คัลลัคเอ่ยตอบ พยายามไม่กำจดหมายจนยับยู่ยี่
ตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เคยออกไปไกลกว่าแนวชายป่าของเมืองสเตลลาคาร์ตมาก่อน แต่การเข้าเรียนในเอเวนไฮด์จะพาเธอข้ามอ่าวข้ามภูเขา ไปสู่ดินแดนใหม่ที่เคยได้ยินแค่ชื่อและไม่คุ้นเคย เธอตื่นเต้น เธออยากผจญภัย แต่เมื่อต้องตัดสินใจ... ความกลัวเล็ก ๆ ข้างในก็ยังรั้งเธอเอาไว้
“คัลลัค ข้าเคยบอกเจ้าว่ายังไง” เรสเทลจับมือที่สั่นทั้งสองของเพื่อนรักเอาไว้ “เจ้ามีพรสวรรค์ อย่าให้อุปสรรคมาขวางเจ้า อย่าให้ความกลัวมาขวางเจ้า อย่าให้คำพูดของใครอื่น... มาขวางเจ้า”
โรเดนมองไปทางอื่นเพราะเลี่ยนภาพตรงหน้า
“เจ้าจะกลายเป็นจอมขมังเวทที่เก่งที่สุด ข้าแน่ใจเลย” เรสเทลยิ้มให้ “แล้วก็จะไม่มีใครมาห้าม ไม่ให้เจ้าไล่ตามความฝันของตัวเองด้วย”
“บู้~! ” โรเดนร้องโห่
“ยกเว้นไอ้เวรนี่” รอยยิ้มใสกลายเป็นเหี้ยมเกรียม
+++
รุ่งสาง วันต่อมา ::: ประตูเมืองสเตลลาคาร์ต
ลอร์ดโรแวงและเดธิเลียเดินทางโดยรถม้าออกจากเมืองพร้อมข้ารับใช้และองครักษ์ ถูกอย่างที่โรเดนว่า ขุนนางอย่างเขาไม่เดินทางตามลำพัง ยิ่งร่ำรวยก็ยิ่งเป็นที่หมายตาสำหรับพวกมิจฉาชีพ เดินทางออกนอกเมืองนั้นอยู่ภายใต้การอารักขาย่อมปลอดภัยกว่า
“เจ้าคิดว่ายังไง” ลอร์ดโรแวงถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง เขามีผ้าพันแผลเต็มตัว เพราะลูกธนูในคืนนั้นและดูเหมือนหนึ่งในแผลเหล่านี้จะติดเชื้อบาดทะยัก
“เรื่องอะไรรึคะท่านลอร์ด” องครักษ์เอ่ยถาม
“เรื่องคัลลัค” ลอร์ดโรแวงเอ่ยตอบ เขาอยู่กับองครักษ์ของเขาตามลำพังในรถม้า ขณะที่เดธิเลียขี่น้ำแข็งไสต่างม้าอยู่ด้านนอก เธอชอบที่จะเห็นวิวทิวทัศน์มากกว่านั่งสะเทือนอยู่ในที่แคบ ๆ
“เด็กคนนั้นดู... ” องครักษ์พยายามหาคำนิยามให้กับเด็กสาวที่เธอพึ่งรู้จัก “เจ้าเล่ห์”
“นับเป็นข้อดีสำหรับคนที่อาจจะโดนหลอกใช้ในอนาคต” ลอร์ดโรแวงเอ่ย ก่อนจะร้องโอดครวญเพราะรถม้าสะดุดหลุมและสะเทือนมาถึงแผล “โอย ๆ ถ้าข้ายังหนุ่มกว่านี้ละก็... ”
“คนเราย้อนวัยกันไม่ได้หรอก ท่านลอร์ด” องครักษ์เอ่ย ก่อนจะจับผ้าปูและหมอนรองให้เจ้านายของตน “ท่านไม่หนุ่มแล้ว และลูก ๆ ของท่านก็ไม่ใช่ทารกแล้วเช่นกัน”
“เดธิเลียจะต้องเกลียดข้า” ลอร์ดโรแวงพร่ำเพ้อ
“นางไม่เกลียดท่านหรอก นางเกลียดน้องสาวต่างหาก ท่านก็รู้... นางกับเมอดอร์ยึดอคติไปว่าเด็กคนนั้นเป็นคนทำครอบครัวแตกแยก” องครักษ์เอ่ยตอบ “เด็กคนนั้นอาจจะรอดได้ภายใต้การดูแลของท่าน แต่ท่านไม่สามารถเข้าไปคุ้มครองนางได้ถึงในเอเวนไฮด์ นางจะไม่มีที่พึ่งและศัตรูที่เกลียดนางที่สุดกลับเป็นพี่ ๆ ต่างมารดาของนางเอง”
ลอร์ดโรแวงมีสีหน้าสลดลง
“เด็กคนนั้นฉลาดเลือกแล้วที่ไม่มา” องครักษ์เอ่ย
“อะไรทำให้เจ้าแน่ใจขนาดนั้น” ลอร์ดโรแวงถาม
“เพราะพวกเราออกจากประตูเมืองมาแล้ว และนางไม่ได้อยู่ที่นั่น” องครักษ์เอ่ยตอบ “มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ท่านลอร์ด นางจะปลอดภัยจากพี่ชายพี่สาวของนาง”
“แต่พวกคนตายเจอตัวนางแล้ว” ลอร์ดโรแวงมองแผลโดนธนูของตัวเอง “อยู่ที่นี่ยิ่งไม่ปลอดภัย”
“เด็กคนนั้นเป็นพาหะนำคำสาป” องครักษ์พูดสิ่งที่ติดอยู่ในใจออกมาในที่สุด “นางไม่มานั่นแหละ ดีกับพวกเราแล้ว”
“นางจะมา” ลอร์ดโรแวงเอ่ย
“แล้วทำไมท่านจึงมั่นใจขนาดนั้น” องครักษ์ถามบ้าง
แต่แล้วรถม้าก็หยุดกึกจนลอร์ดโรแวงเกือบจะกลิ้งตกจากที่นอน องครักษ์รีบดันเขากลับไป พร้อมกับชักดาบเตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูหรือโจรป่า
“เกิดอะไรขึ้น?!” องครักษ์ร้องถาม เห็นเดธิเลียควบน้ำแข็งไสกลับมาข้างประตูรถพร้อมสีหน้าจงเกลียดจงชัง
“ลองทายดูสิ” เธอถามกลับพลางสบถด่า องครักษ์จึงชะเง้อออกไปดู เห็นเด็กสาวที่มีสภาพเนื้อตัวมอมแมม เพราะพึ่งจะวิ่งตัดลำธารมาดักหน้ารถม้าในระยะกระชั้นชิด
องครักษ์หันกลับมามองเจ้านายตนอย่างเหลือเชื่อ
“แหม ข้าก็แค่หวังว่านางจะมา” ลอร์ดโรแวงเอ่ย
+++
“ไปจนได้แฮะ” โรเดนถอนหายใจ เฝ้ามองขบวนรถม้าที่เดินทางออกไปจนพ้นสายตา
“อย่าถ่วงความเจริญเพื่อนเลยน่า” เรสเทลว่า
“แต่นางควรจะอยู่ที่นี่กับพวกเราสิ” โรเดนบ่น “นางควรจะคุ้มครองเจ้า นั่นคือเหตุผลที่พวกเราถูกสร้าง”
“นางอาจจะไม่เหมือนเจ้าก็ได้” เรสเทลเอ่ย “ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ลุงกันตินี่พามาจะเป็นโกเลมเสียหน่อย”
โรเดนกอดอกไม่เถียงต่อ
“ถ้านางถูกปั้นขึ้นจากดินจริง คนปั้นก็ใจร้ายมากที่สร้างดวงตาของนางเป็นสีเงิน” เรสเทลว่า
+++
กาลครั้งหนึ่ง เมื่อ 1,500 กว่าปีก่อน มหาสงครามได้ปะทุขึ้นทั่วทวีปแอซโทเปีย ทิ้งร่องรอยแห่งซากเน่าและความตายไว้ทั่วทุกหนแห่ง แต่สมรภูมิที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นที่เมืองลาส คนตายมากมายไม่ได้ไปสู่สุคติ ดวงวิญญาณยังวนเวียนอยู่ในสมรภูมิแห่งนั้นมานับพันปี กลายเป็นเขตแดนอาถรรพ์ที่ไม่สามารถเข้าไปตั้งรกรากเมืองใหม่ได้ ใครก็ตามที่พยายามจะเข้าไปก็จะตายตกตามกันไปราวกับต้องคำสาป
กล่าวกันว่าใครเคยเข้าไปยังเมืองคนตายและรอดกลับมาได้ ดวงตาของคนเหล่านั้นจะกลายเป็นสีเงินเพราะถูกคำสาปร้ายกลืนกิน กลายเป็นเหมือนพาหะคำสาปที่จะนำพาความโชคร้ายและความตายไปสู่คนอื่นรอบข้าง อีกทั้งส่งต่อพาหะสู่ลูกหลานของพวกเขา เกิดเป็นความเชื่อที่ทำให้ผู้ครอบครองตาเงินตามธรรมชาติถูกเหมารวมว่าเป็นตัวอัปมงคลไปด้วย
เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อน เมื่อสตรีผมสีทองซีดผู้ถูกขนานนามในภายหลังว่าราชินีคนตาย ได้ปลุกชีพกองทัพซากศพขึ้นจากสมรภูมิเมืองลาสและกรีฑาทัพเพื่อกลืนกินดินแดนคนเป็น ผู้ที่หยุดการรุกรานในครั้งนั้นคือครูใหญ่ ศิษย์เก่าและนักเรียนเอเวนไฮด์ จอมขมังเวททั้งหลายสู้จนตัวตาย กระทั่งกองทัพคนตายยอมสงบลงและปักหลักอยู่ในพื้นที่เท่าที่ยึดเอาไปได้
เมืองลาสถูกตั้งชื่อใหม่ว่าลาสเดธ หรือเมืองหลวงคนตาย หากใครรุกรานดินแดนของพวกมัน เหล่าคนตายจะก่อสงครามขึ้นอีกครั้ง จนต้องสูญเสียจอมขมังเวทไปอีกมากเพื่อหยุดยั้งพวกมัน เป็นเหมือนเขตแดนอันตรายที่ห้ามยื่นมือเข้าไปยุแหย่โดยเด็ดขาด แต่ก็มีพวกไม่รักตัวกลัวตายทำให้สงครามปะทุได้ไม่รู้จักเบื่อ ซึ่งสงครามคนเป็นและคนตายครั้งล่าสุด สงบลงเมื่อ 14 ปีก่อน หลังจากลากยาวการต่อสู้มานานเกือบ 20 ปี เพียงเพราะมีนักเรียนเอเวนไฮด์คนหนึ่งลอบเข้าไปหาเรื่องราชินีคนตายตามลำพัง
“ครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นกองทัพคนตายคือเมื่อ 14 ปีก่อน ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะไม่รู้จักมัน” ลอร์ดโรแวงเอ่ย หลังจากอธิบายถึงที่มาที่ไปของสิ่งที่โจมตีพวกเขาเมื่อวันก่อน
“และนั่นคือ...? ” คัลลัคมองดูอากาศเหลวเรืองแสงภายในขวดโหล บนมือของลอร์ดโรแวง
“กลุ่มก้อนวิญญาณ” เขาตอบ “พวกเราสามารถแยกมันออกมาจากร่างได้ด้วยโหลเวทมนตร์จากเอเวนไฮด์ เพราะซากศพพวกนี้มันตายไปแล้ว การจะทำให้มันตายซ้ำนั้นเป็นไปได้ยาก หากไม่เผาศพจนเหลือแต่เถ้า ก็ต้องแยกวิญญาณร้ายพวกนี้ออกมาจากร่าง มันจะได้ขยับไม่ได้และเลิกโจมตีพวกเรา”
“ท่านมีโหลแบบนี้มากพอสำหรับกองทัพรึเปล่า” คัลลัคถาม ยื่นมือไปจะจับ แต่ลอร์ดโรแวงก็เอาโหลเวทมนตร์เก็บไปเสียก่อน “แล้วมันเก็บวิญญาณคนเป็นได้ไหม”
“ไม่ และ ไม่” เขาตอบ “มันเก็บได้เพียงวิญญาณคนตายที่หลงออกมานอกเมืองหลวงลาสเดธ และพวกจอมเวทเอเวนไฮด์จะรับช่วงต่อเอง”
“แล้วที่มันเล็งโจมตีข้าคนเดียวนี่ปกติรึเปล่า” คัลลัคว่า
“ไม่” ลอร์ดโรแวงตอบ “คนตายก็คือศพ มันจะไม่โจมตีใครก่อน หากไม่ใช่ในช่วงสงครามปะทุ คำสั่งโจมตีจะถูกควบคุมจากราชินีคนตายเสมอ การที่มันโจมตีเจ้าอย่างเจาะจง... บางทีเจ้าอาจจะมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกคนตายกลัว”
“ท่านรู้ได้ยังไงว่าปกติมันจะไม่โจมตีก่อน” คัลลัคถาม
ลอร์ดโรแวงไม่ตอบ เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบแผลเป็นบนใบหน้าที่ลากยาวจากตาซ้ายมืดบอดลงมา ช่วงเวลาแห่งสงครามครั้งเก่าก่อนนั้นเกิดในช่วงที่คัลลัคและเดธิเลียยังไม่เกิด แต่คนรุ่นลอร์ดโรแวงคือคนที่ต้องเผชิญหน้าและเอาชีวิตรอดมาจากมัน
“แล้วทำไมพวกมันกลัวข้า” คัลลัคถาม
“ข้าเองก็จนปัญญา” ลอร์ดโรแวงส่ายหน้า “แต่เมื่อไปถึงเอเวนไฮด์ บางทีเจ้าอาจจะได้คำตอบ”
“แล้วทำไมข้าถึงได้จดหมาย” คัลลัคถาม
“โรงเรียนเห็นว่าเจ้ามีพรสวรรค์ คัลลัค เจ้าได้รับโอกาสพิเศษกว่าใคร ไม่เหมือนพี่ชายและพี่สาว คนอื่นที่ไม่ได้รับจดหมายต้องสอบเข้าด้วยตัวเอง” ลอร์ดโรแวงเอ่ยตอบ
“ข้าน่ะเหรอมีพรสวรรค์” คัลลัคไม่ค่อยแน่ใจ
“ยิ่งกว่าใคร” ลอร์ดโรแวงตอบ
คัลลัคพยักหน้า ก่อนจะถามคำถามต่ออีกมากมาย มีหลายเรื่องที่เธอไม่เคยรู้ มีหลายเรื่องที่เธอไม่เคยเห็น ทุกอย่างมันแปลกใหม่ไปหมด
เธอรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้รับโอกาสนี้
+++
หมู่บ้านท่าเรือ แกรนด์สโตน
บาดแผลของลอร์ดโรแวงแย่ลงจากการเดินทางไกลอย่างต่อเนื่อง เขาจำเป็นต้องหยุดพัก แต่เอเวนไฮด์จะเปิดรับลงทะเบียนในอีกไม่กี่วัน
“ไม่” เดธิเลียตบโต๊ะดัง ปัง! “ข้าไม่ขึ้นเรือไปกับมันแน่ ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าพวกตาเงินเป็นตัวดูดความโชคร้าย”
“ข้าไม่คิดว่าแค่ความโชคร้ายในทะเลสาบปีศาจจะมาหยุดจ้าวทะเลของข้าได้หรอกนะ หรือเจ้าคิดแบบนั้น” ลอร์ดโรแวงตอบ แม้คัลลัคจะยังไม่รู้ว่าฝีมือการคุมเรือของเดธิเลียเป็นยังไง แต่ที่รู้แน่ ๆ ตอนนี้ก็คือพี่สาวของเธอบ้ายอเป็นที่สุด
เพราะอีกไม่กี่อึดใจ เดธิเลียก็ตกลงอย่างว่าง่าย
“ข้าจะตามพวกเจ้าไปเมื่อหายดีแล้ว ไม่ต้องห่วง” ลอร์ดโรแวงเอ่ย ก่อนจะเรียกคัลลัคมาข้างเตียงคนเจ็บ “ระวังตัวด้วย ถึงเจ้าจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ”
คัลลัคพยักหน้า ไม่ใช่ทะเลสาบปีศาจที่เธอต้องระวัง แต่เป็นเดธิเลียต่างหาก พี่สาวต่างมารดาผู้จงเกลียดจงชังเธอจนออกนอกหน้า ผู้ที่คัลลัคมารู้เอาตอนลอร์ดโรแวงเล่าบนรถม้า ว่าทั้งสองมีบรรดาศักดิ์ต่างกันมาก แม่ของเดธิเลียและแม่ของคัลลัคต่างเป็นศิษย์เก่าเอเวนไฮด์ แม่ของคัลลัคเป็นผู้ลี้ภัยต่างทวีป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ในขณะที่แม่ของเดธิเลียเป็นเพียงสามัญชนค่อนไปทางชนชั้นทาสที่เข้าเรียนและโดดเด่นได้ด้วยพรสวรรค์ล้วน ๆ
ลอร์ดโรแวงรักแม่ของเดธิเลีย ไม่ต้องบอกก็รู้ มองเห็นชัดจากแววตายามเอ่ยถึง เธอมาก่อน แต่ไม่ได้แต่งงานและแม่ของคัลลัคมาทีหลัง แต่ถูกคลุมถุงชน จับคู่โดยประสงค์ของราชา แม่ของเดธิเลียจึงตรอมใจตายเมื่อเดธิเลียเกิดมา ไม่กี่เดือนหลังจากการอภิเษกนั้น
“อุดหูซะ” องครักษ์ยื่นขี้ผึ้งให้คัลลัค เธอจะคอยอารักขาลอร์ดโรแวงจึงไม่ได้ตามเด็ก ๆ ไปด้วย “อ่าวนี้มีเกาะปีศาจอยู่ ถ้าเจ้าโชคร้าย เจ้าอาจเจอพวกเงือก พวกมันจะร้องเพลงกล่อมให้เจ้าลงจากเรือไปเป็นอาหารปลา”
“เคยโชคดีเสียที่ไหน” คัลลัคยักไหล่และรับขี้ผึ้งมา
เดธิเลียนำลูกเรือสิบกว่าคนกับข้ารับใช้และคัลลัคขึ้นเรือ คนรับใช้ส่วนใหญ่ของเธอก็เหมือนจะรู้จักเรือดี ราวกับมีสายเลือดชาวเลทั้งที่เกิดในแดนทะเลน้ำแข็งกัน
การเดินทางช่วงแรกนั้นราบเรียบไม่มีปัญหาอะไร เรือที่พวกเธอใช้เป็นกึ่งเรือใบกึ่งเรือกลไฟจึงไม่ต้องกลัวทะเลไร้ลม แต่เมื่อเริ่มเห็นเงาเกาะปีศาจที่สุดสายตา ทุกคนก็เริ่มอุดหูกันจนไม่มีใครได้ยินอะไรทั้งนั้น ต้องใช้ภาษามือกัน ทำให้คัลลัคใบ้กินเพราะไม่รู้วิธี เธอพยายามอยู่ให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่เกะกะใคร
เกาะเพลาส์หรือเกาะปีศาจ มันอยู่ในเส้นทางที่ตัดสั้นที่สุดจากแกรนด์สโตนถึงเอเวนไฮด์ เต็มไปด้วยแนวหินโสโครกและแนวปะการัง คัลลัคเกาะราวระเบียง พยายามชื่นชมสิ่งสวยงามโดยไม่อ้วกลงไปทับ เธอเมาเรือ แล้วเดธิเลียก็ไม่ยอมให้ใครหายาให้ ปล่อยคัลลัคคลื่นไส้อยู่ทั้งวัน
แต่ในขณะที่คัลลัคกำลังชื่นชมแนวปะการังใต้น้ำใสอยู่นั้นเอง เงาใบหน้าอื่นก็สะท้อนขึ้นมา
“แว๊ก!!” คัลลัคร้องลั่น กระโจนถอยออกมาจนไปชนเดธิเลียที่บังเอิญเดินผ่านพอดี
“เป็นบ้าอะไรของแกอีกฮะ?! ยัยหนูท่อ! ” เดธิเลียตะคอกถาม ก่อนจะเดินไปดูน้ำด้านที่คัลลัคตกใจ “อ๋อ เงือก ไม่เคยเห็นสินะ หน้าตาสวยก็จริง แต่ฟันแหลมน่าดูชม”
คัลลัคขมวดคิ้วเพราะไม่ได้ยิน แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเดธิเลียไม่ทำภาษามือเสริม
“ขี้ผึ้งของเจ้าไปไหน” คัลลัคพึ่งสังเกต ก่อนจะหันไปมองที่พื้น มันน่าจะหลุดออกข้างหนึ่งตอนที่ชนกันเมื่อครู่ แต่เมื่อหันมาอีกที... เดธิเลียก็เกือบจะลงน้ำไปแล้ว “เย้ย!”
เงือกสามตัวใต้น้ำพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาเพื่อจะคว้าเดธิเลียลงไป แต่คัลลัครีบคว้าเข็มขัดพี่สาวไว้ทัน เธออาจไม่ชอบอีกฝ่าย แต่เดธิเลียเป็นคนเดียวที่อ่านทิศดวงดาวเป็น ในขณะที่เข็มทิศจะรวนเมื่อเข้าใกล้เกาะปีศาจ
“กี๊ซ!!!” พวกเงือกคว้าข้อมือเดธิเลียได้และพยายามจะดึงเธอลงไป แต่พวกลูกเรือก็เริ่มเห็นความผิดปกติ หยิบขึ้ผึ้งมาอุดหูให้เดธิเลียใหม่และช่วยดึงกลับขึ้นมา แต่แล้วในจังหวะชุลมุนนั้นเอง สายตาเหม่อลอยของเดธิเลียก็กลับเป็นปกติ
แล้วเมื่อสบตาคัลลัค เดธิเลียก็ผลักเธอตกจากเรือ
Comments (0)