** Chapter Cover by Ramiro Pianarosa on Unsplash

 

.

.

.

 

ปูรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่บรรยากาศรอบตัวสว่างแล้ว เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบ สมองยังไม่ทำงานเป็นปกติจึงประมวลไม่ได้ว่าตอนนี้กี่โมงหรือตนเองอยู่ที่ไหน เขาลองตะแคงหันหน้าไปด้านข้าง กวาดสายตาเก็บรายละเอียดและพบว่าตนเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีเหลืองอ่อน มีม่านบางๆ ปิดไว้ตรงหน้าต่างแต่กั้นแสงกับความร้อนไม่ได้ ไอแดดหน้าหนาวของประเทศที่เกือบมีฤดูเดียวทั้งปียังแรง แม้ไม่ถึงกับแสบผิวแต่ก็อุ่นมาก ทำให้เขาโล่งใจว่าตนเองยังไม่ตาย

 

“กรกฎ”

หูแว่วเสียงคนเรียกจึงตะแคงมาอีกข้างและเห็นหญิงสาวสวมแว่นตากรอบเข้มเดินมาประชิด พอเขามองให้ดีจึงรู้อีกอย่างว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงมีราวเหล็กกั้น ที่หลังมือมีสายน้ำเกลือเสียบคาไว้ด้วย

“ได้ยินครูไหม”

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว พริบตาต่อมาจึงขยับหน้าถูกับหมอนแทนการพยักหน้า

“ดีแล้ว โล่งอกไปทีที่เธอฟื้น”

“...ผม...นี่ได้...ไง”

ปูพยายามส่งเสียงแต่แสบไปทั้งคอที่แห้งจนแทบร่วนเป็นผง หญิงสาวจึงหันไปรินน้ำใส่แก้วมาประคองให้เขาจิบเร็วๆ จนหมด ครั้งนี้ค่อยโล่งสบายคอขึ้นมาก

“เดี๋ยวครูเล่าให้ฟัง เธอก็นอนฟังเฉยๆ ทำใจให้สบาย ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว”

“...ดำ”

“ดำตายแล้ว”

เด็กหนุ่มไม่แปลกใจกับคำตอบ ตอนนี้พอสติเริ่มกลับมาความทรงจำน่าอกสั่นขวัญหายเหล่านั้นก็กลับมาด้วย สภาพดำเป็นแบบนั้นใครเห็นก็ว่าตาย เขาเองยังนึกแช่งให้ไอ้เพื่อนเวรตายห่าไปเองด้วยซ้ำ แต่พอได้ยินว่าอีกฝ่ายตายจริงสมพรปากก็อดรู้สึกวูบโหวงในอกไม่ได้

“จริงๆ ดำตายไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนะ ที่เราไปเก็บตัวเตรียมประกวดแข่งขันคำนวณที่บ้านครูพิมลน่ะ”

“...ได้ยังไงครับ”

“จากที่ครูพยายามถามเรื่องจากหลายๆ คน เห็นว่าเย็นวันนั้นดำกลับขึ้นไปบนตึกห้าหลังเลิกเรียน นักเรียนคนอื่นเห็นว่าดำไม่ได้ไปคนเดียวแต่ตามเด็กหนุ่มอีกกลุ่มไป แค่พวกนักเรียนไม่รู้ว่าเด็กกลุ่มนั้นเป็นพี่ม.หกหรือเปล่า หรือแค่พวกเด็กเหลือขอแถวนี้ที่แอบปีนเข้ามาเล่นในโรงเรียน นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นดำเป็นๆ”

ปูนอนกะพริบตาฟังต่อไป

หญิงสาวเล่าต่อว่าดำหายจากโรงเรียนไปสามวันเต็มๆ หอนอนก็ไม่กลับ แต่เนื่องจากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มหายตัวไปจึงไม่มีใครตามหา เรื่องมาแดงขึ้นตอนมีนักเรียนคนหนึ่งเล่นโยนบอลกันจนลูกบอลนั้นลอยไปติดกับรั้วเหล็กแหลมที่กั้นแนวกำแพงซึ่งเลยไปจะเป็นป่าอ้อป่าธูปฤาษี

ตอนไปเอาลูกบอลที่ขัดกับซี่เหล็กออกนั่นเองที่เด็กเห็นคราบสีแดงเกรอะกรังกับเศษเนื้อบางอย่าง เด็กนำเรื่องมาบอกภารโรง ภารโรงจึงไปแจ้งครูฝ่ายปกครองกับครูพละ ผู้ใหญ่กลุ่มนี้มาสำรวจสถานที่และลงความเห็นว่าคราบนั้นคือคราบเลือดจึงแจ้งไปยังตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารท้องถิ่น ขอกำลังกับอุปกรณ์มาเพื่อตามหาเพราะคาดว่าอาจมีเด็กตกลงไปในบริเวณพื้นที่รกชัฏ ผลคือทุกคนที่เกี่ยวข้องไล่สำรวจพื้นที่หลังกำแพงและพบศพของดำจริงๆ

เด็กหนุ่มเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่าสี่วันแล้ว ทีมค้นหาพบร่างไร้ลมหายใจนอนคว่ำหน้าคลุกดินเลนอยู่ พอพลิกตัวขึ้นมาจึงพบว่าดวงตาทั้งสองข้างหายไป คาดว่าอาจถูกสัตว์กัดกินเพราะมีงูตัวเล็กตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากเบ้าตาข้างหนึ่งด้วย ไม่ต่างจากผิวหนังบนใบหน้าที่เหมือนจะถูกกัดแทะชั้นนอกออกจนเห็นเพียงเนื้อแดงๆ นอกจากนี้ยังมีบาดแผลบริเวณลำตัวและหน้าท้องของศพ ทั้งที่เป็นรูทะลุเพราะเหล็กแหลมหลายรอยและอีกส่วนที่หน้าท้องจากการกัดกระชากหรือกัดแทะของสัตว์กินซากจนเครื่องในบางส่วนหายไป ที่เหลือก็เป็นเพียงเศษซากรุ่งริ่ง แขนขานั้นมีรอยกระดูกร้าวที่คาดว่าเกิดจากการฟาดหรือกระแทกกับของแข็งอย่างแรง

เมื่อดูจากทิศทางกับรอยเลือดแล้ว คาดว่าแต่แรกดำคงพลัดตกจากอาคารลงมากระแทกเข้ากับเหล็กแหลมของรั้วกั้นจนโดนเสียบทะลุลำตัว เด็กหนุ่มอาจพยายามดิ้นรนจนหลุดจากรั้วแล้วตกข้ามมายังฝั่งนี้ ด้วยความสาหัสของแผลและหลายๆ อย่าง ทำให้ทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนเสียชีวิต หลังจากนั้นร่างของเขาจึงกลายเป็นอาหารให้กับสารพัดสัตว์ที่อยู่ที่นี่

 

“ทุกคนที่รู้เรื่องตกลงกันว่าจะบอกเธอทีหลัง จริงๆ งานศพดำก็เพิ่งจัดเสร็จไปเมื่อวานซืนนี่เอง วันที่ครูพบตัวเธอ”

หญิงสาวกล่าวสรุปและถอยไปลากเก้าอี้ในห้องมานั่งข้างเตียง ขณะที่ปูรู้สึกเหมือนมีคลื่นความร้อนเคลื่อนครอบคลุมสองตา ดวงตาเขาร้อนผ่าวไปหมด วินาทีต่อมาจึงรู้สึกได้ถึงหยาดน้ำอุ่นที่เอ่อคลอแล้วหยดไหลผ่านแก้มไปซึมกับหมอนที่หนุนอยู่ เขาพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรงที่สาดปะทะกันโครมคราม เสียใจ ไม่เข้าใจ และโกรธ จนไม่รู้ว่าควรระบายอะไรออกมาก่อนดี

“ทีนี้ กรกฎ บอกครูหน่อยซิ เธอไปทำอะไรในโรงเรียนหลังห้าโมงเย็น ไม่รู้เหรอว่าหลังเลิกเรียนต้องรีบกลับหอ”

“...ผมรู้” กระซิบตอบเสียงเครือ “ผมก็กำลังจะกลับ แต่ผมเจอดำ ดำมาชวนผมไปเล่นด้วย”

หญิงสาวได้ยินถึงกับเปลี่ยนสีหน้า นึกไม่ถึงว่าวิญญาณที่ตายโหงจะเฮี้ยนแรงขนาดนี้

“เธอไปเล่นที่ไหน”

“ตึกเรียนเราอะครับ ตึกห้า” ปูค่อยๆ นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้น

“เธอไม่เชื่อเรื่องกฎใช่ไหม”

“ผมก็ไม่รู้ คงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ที่ผ่านมาก็ทำตามๆ คนอื่นมากกว่า ผมไม่อยากมีปัญหา ครูกับเพื่อนบอกให้กลับหอทันทีก็กลับ แต่ว่านั่น มันเพื่อนสนิทผม” เขาบอก “หรืออย่างน้อยผมก็เคยคิดว่ามันเป็น”

“เธอประมาทมากนะ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีกฎ แต่โรงเรียนหลังเลิกเรียนก็ไม่ใช่ที่ๆ เด็กควรอยู่อยู่ดี”

“ครูเชื่อเรื่องกฎเหรอครับ เพราะตอนที่ดำมาตามผมไป มันบอกมันไม่เชื่อ”

“เธอจำกฎได้ไหม”

“ก็จำได้เลาๆ ครับ ไม่ครบทุกข้อ” ปูสารภาพ

“จำข้อไหนได้บ้าง”

“จำได้ว่ามีเรื่องของตึกห้า ประมาณว่าหลังเลิกเรียนตึกมันจะไม่เหมือนเดิม จะเปลี่ยนไป” ปูพยายามนึก

“กะแล้ว จะว่าไปเด็กๆ ก็ดีแต่ลือกัน พอถามกี่คนๆ ก็ไม่เคยตอบกฎได้ครบทุกข้อสักคน”

“มันแค่เรื่องเล่าไม่ใช่เหรอครับ พูดกันปากต่อปากก็ต้องมีตกหล่นอยู่แล้ว ส่วนกระดาษที่อ้างว่าเจอกันก็ไม่เห็นจะมีใครเคยเอามาให้ดูกับตาสักที” ปูออกความเห็น

“เพราะก่อนจะถึงกฎมันมีคำเตือนเขียนไว้ไงว่าถ้าเจอกระดาษ ให้อ่านแล้วเก็บที่เดิม” หญิงสาวบอก

“ครูเคยอ่านเหรอครับ” ปูถาม

“เปล่า” หญิงสาวปฏิเสธ

“แต่ครูเป็นคนเขียน” แล้วพูดต่อในสิ่งที่เด็กหนุ่มอึ้ง

“ว่าไงนะครับ”

เด็กหนุ่มดันตัวขึ้นจากเตียงโดยอัตโนมัติ ก่อนความเจ็บปวดจะแล่นมาตามร่างกายทำให้ต้องทิ้งตัวลงนอนแผ่ ถึงจะฟื้นแล้ว แต่ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองจะเป็นเรื่องจริง

“กฎจริงๆ มีแค่เจ็ดข้อ ข้อแปดเป็นแค่การซ้ำคำเตือนเท่านั้นแหละ”

หญิงสาวดูสงบนิ่งกว่าเดิมเมื่อพูดประโยคนี้ จากนั้นเธอจึงค่อยๆ ทวนกฎแต่ละข้อออกมาอีกครั้ง

“ข้อแรก หลังห้าโมงเย็นจะไม่มีคนเป็นอยู่ในโรงเรียน ที่อยู่มีแต่พวกที่ไม่มีชีวิต และในบรรดาพวกนั้น ที่เจอกันบ่อยๆ คือ ผอ.ปฐม ผอ.คนแรกของโรงเรียนกับลุงภารโรง

ข้อสอง ประตูโรงเรียนทุกบานจะเปิดไม่ออกจนกว่าจะเช้า ถ้ามีเด็กคนไหนติดอยู่ ยังไงก็ออกไปไม่ได้

ข้อสาม ถ้าติดอยู่ในโรงเรียน ที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือห้องเรียน

ข้อสี่ ตึกห้าเป็นสถานที่ต้องห้าม เพราะทุกอย่างในนี้จะมีชีวิตเป็นของตัวเองและทำร้ายคนที่อยู่ข้างในได้

ข้อห้า หมั่นดูเวลาให้ดี หลังเที่ยงคืนไปแล้วแม้จะอยู่ในห้องเรียนก็มีสิทธิถูกโจมตี

ข้อหก หากออกมาจากห้องเรียน ให้รีบซ่อน อย่าปะทะ อย่าตอบโต้ หรือทำให้ตนเองถูกพบ

ข้อเจ็ด อย่าคิดว่าจะหนีพ้น เพราะทุกอย่างในโรงเรียนเร็วกว่าเธอ

ฟังจบแล้ว เธอว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไหม”

ปูนิ่งฟังจนครบแล้วค่อยนึกได้ว่ากฎทั้งหมดมีส่วนที่ขัดแย้งกันเองหลายส่วน และเหมือนให้ข้อมูลไม่ครบ อย่างน้อยก็มีหลายอย่างไม่ตรงกับสิ่งที่เขาประสบมาด้วยตัวเองจนต้องมาอยู่ในสภาพนี้

“ตกลงพื้นที่โรงเรียนเราเคยเป็นป่าช้าศพไม่มีญาติจริงๆ ไหมครับครู”

“จริง” หญิงสาวพยักหน้า “ศพไร้ญาติ คนเร่ร่อน พวกโจรขโมยสมัยก่อนมาฆ่ากันตายก็เยอะ วิญญาณสัตว์ที่ถูกเอามาทิ้งก็เพียบ จะว่าเป็นชุมชนของวิญญาณก็ได้”

“แล้วกฎมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงครับ” ปูอยากรู้

“พอผมฟังที่ครูพูดแล้วคิดอีกที อย่างน้อยข้อสามกับสี่ก็ขัดกันเองแล้ว ส่วนข้อห้าก็ไม่เป็นจริงตามนั้นเป๊ะๆ”

“เก่งนะที่ฉุกคิดได้” หญิงสาวพยักหน้าอมยิ้มให้กับเด็กหนุ่ม

“จริงๆ แล้วกฎข้อที่เป็นจริงมีไม่กี่ข้อ คือข้อแรก ข้อหกและข้อเจ็ดเท่านั้นแหละ ที่เหลือเป็นแค่เรื่องโกหก”

ปูขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่

“ข้อหกกับข้อเจ็ด ถูกเขียนขึ้นเพราะมีคนเคยพบศพที่ตายอย่างเป็นปริศนาในโรงเรียนตอนกลางคืน กับพบคนที่ไม่ตายแต่ผ่านค่ำคืนมาได้จนเป็นบ้า ก็นานแล้วล่ะ สมัยครูยังเป็นนักเรียนที่นี่น่ะ คนบ้าที่ถูกพบตัวเอาแต่พูดซ้ำๆ ว่ากลัวแล้ว พวกมันมากันเต็มเลย พวกครูที่ได้ฟังเลยมาตีความกันเองเพราะเชื่อ แต่พวกผู้ใหญ่กลับคิดว่ามันไร้สาระ”

“คิดว่าเป็นเพราะวิญญาณคนตายในพื้นที่นี้เหรอครับ”

“ทางโรงเรียนเคยนิมนต์พระมาทำพิธีนะ แต่แก้ไม่ได้ พระท่านยังบอกว่าวิญญาณที่นี้อาฆาตแรง มีจิตผูกติดกับพื้นที่จนไม่ยอมปล่อยวาง ในเมื่อตัวตนนั้นไม่ยอมวางเอง ท่านที่เป็นคนนอกก็ทำอะไรไม่ได้ เลยแนะนำให้ต่างคนต่างอยู่ไปให้เป็นที่ทางคนละช่วงเวลา แล้วมาลงตัวที่หลังเลิกเรียนเป็นต้นไปถึงเช้า”

“วิญญาณ คือ ผมเรียกพวกผีแล้วกันนะครับ คือผีในโรงเรียนน่ะ มีกี่ตัวเหรอครับ”

“เยอะ” หญิงสาวตอบคำเดียว

“ครูก็เคยเจอเหรอครับ”

“ก็เจอบ้าง เมื่อก่อนครูก็อยู่หอเหมือนเธอ บ้านไม่ค่อยมีฐานะน่ะ มาหาบ้านเช่าในเมืองเองไม่ไหว” เธอตอบ

“ครูมีเซนส์น่ะ มักจะเห็นอะไรบ่อยๆ เลยเจออยู่หลายตัว แบบที่ไม่ซ้ำนะ แต่ที่เจอซ้ำ ก็มีอยู่ตัวนึง”

ปูกดหัวคิ้วหนักขึ้นจนเริ่มเจ็บหน้าผาก ในหัวตอนนี้เริ่มเห็นใบหน้ากับร่างกายดำๆ แดงๆ ปรากฏขึ้นเป็นอย่างแรก

“ตัวที่ครูเห็นบ่อยๆ มันเป็นยังไงครับ”

“หน้าตาน่ากลัว ผิวสีดำๆ แดงๆ พูดได้ด้วย” หญิงสาวอธิบายรวบรัด ซึ่งดันตรงกับตัวที่ปูคิดพอดี

“หรือว่าผีไม่ได้อยู่แต่ในโรงเรียนเหรอครับ หอนอนเราก็มีผีเหรอ”

“หอก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนนี่จ๊ะ ผีมันไปถึงได้นะ ในกฎไม่ได้มีบอกนี่ว่าผีจะไม่ไปที่อื่น”

“งั้นครูเจอผีที่หอเหรอครับ”

“ครูเจอทุกที่” หญิงสาวบอก แต่ครั้งนี้ปูไม่กล้าถามต่อว่าแล้วที่นี่เธอเจอด้วยไหม

“แล้ว...ที่ผมเจอ เพราะผมทำผิดกฎเหรอครับ”

“กฎมันก็แค่เรื่องแจ้งให้ทราบ ใครๆ ก็เขียนได้ มันไม่ได้เป็นตัวบอกว่าถ้าทำตามหรือไม่ทำตามแล้วจะได้อะไร จริงๆ ที่มันถูกเขียนขึ้นเพราะไม่เคยมีการเตือนกันอย่างจริงจัง คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นในสิ่งลี้ลับ ไม่ได้ยิน ไม่ได้รับรู้ แล้วก็คิดว่ามันไม่มีจริงจนไม่ต้องระวังอะไร”

ปูรับฟังคำพูดของหญิงสาวต่อไปเงียบๆ

“แต่ว่า ผีส่วนใหญ่ทำอะไรเราไม่ได้หรอกนะ ที่คนตายๆ กันน่ะ เพราะความตกใจ ความไม่มีสติของตัวเอง ผีทำได้แค่ทำให้เราไม่เป็นปกติเท่านั้น เขาฆ่าเราไม่ได้”

“แต่ ครูใช้คำว่าส่วนใหญ่”

“ใช่ ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำได้ ตัวที่ครูเจอบ่อยๆ คือส่วนน้อยที่ว่า”

หญิงสาวเริ่มเฉลยสิ่งที่เก็บไว้กับตัวมานานให้รู้

“มันเป็นผีแบบไหนเหรอครับ”

“เจ้าที่ล่ะมั้ง” เธอเปรยด้วยสีหน้าคล้ายไม่รู้จะให้คำจำกัดความอย่างไร

“เพราะครูเห็นมันหายไปในศาลพระภูมิหน้าโรงเรียน แล้วอีกหลายครั้งก็จะเจอมันวนเวียนอยู่แถวนั้นบ่อย”

ปูฟังแล้วขนลุก ศาลพระภูมิมันควรเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเทวาที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองคนในสถานที่ไม่ใช่หรือ แล้วทำไมครูถึงบอกเขาว่าเจอตัวอะไรไม่รู้วนเวียนอยู่แถวศาลเสียเอง

“ครั้งนึงครูก็เคยอยู่ในโรงเรียนหลังเลิกเรียนกับเพื่อนที่ต้องทำรายงานด้วยกัน ตอนนั้นยังไม่มีใครเขียนกฎ แต่พวกเราก็เจอสิ่งที่อยู่ในกฎข้อแรกจริงๆ เราเจอกับผอ.ปฐมกับลุงภารโรงกันตอนกำลังจะกลับไปที่หอ พวกครูวิ่งหนีผอ.เพราะสังเกตเห็นแกก่อน แต่พอเจอลุงภารโรง เราไม่รู้ว่าแกคือภารโรงคนแรก เลยเดินไปขอให้แกช่วยเปิดประตูพาออกจากโรงเรียน ทีนี้เพื่อนคนนึงดันก้มไปมองที่ตักผงที่แกถือมาด้วย แล้วมันก็ล้มพับไปเลย”

“แล้วครูออกจากโรงเรียนได้ยังไงครับ”

“ปีนออกไง” เธอเฉลย

ปูทำได้แค่กะพริบตาปริบๆ ใช่สิ ประตูเปิดไม่ออก แต่ไม่มีใครห้ามให้ปีนออกนี่

“ตอนก่อนจะปีนออกเราก็เจอผีอีกหลายตัวนะ วิ่งมากันเต็มเลย แต่มันไม่ได้ทำอะไรนอกจากวิ่งไล่ให้พวกเราปีนขึ้นประตูเหล็กดัดจนข้ามได้ภายในพริบตา ส่วนเพื่อนที่เป็นลมเราก็ทิ้งไว้ตรงนั้นก่อน”

“แล้วเพื่อนครู...”

“ไม่ตาย” เธอปลอบ “แค่นอนโดนยุงหามมาทั้งคืน อ่อนเพลีย เช้ามาก็เอาส่งโรงพยาบาล พอฟื้นมันก็ขอลาออก”

“แต่กับผมมันไม่เหมือนกันนะครับ ผมรู้สึกเหมือนถูกผีรุม แล้วในพวกนั้นก็มีที่ตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ ไอ้ดำตัวนึงแล้วล่ะ พวกพี่ๆ ที่มันพามาด้วยก็ดูเหมือนอยากฆ่าผมเหมือนกัน”

“ดำชวนเธอไปเล่นอะไรกัน”

“ผีถ้วยแก้วครับ”

“ไม่น่าเลย” หญิงสาวฟังแล้วสั่นศีรษะ

“มันอันตราย โอกาสไปเจอวิญญาณอะไรไม่รู้มีเยอะมาก ไม่แปลกหรอกที่เธออาจเผลอไปเชิญอะไรร้ายแรงเข้า”

“งั้น สรุปว่าที่ผมเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะผมทำผิดกฎเหรอครับ”

“ไม่ ก็บอกแล้วไง กฎมีไว้เพื่อให้คนกลัว เป็นแค่การเอาเรื่องจริงที่พิสูจน์ไม่ได้มาใส่สีต่อ เธอเจ็บตัวก็เพราะไม่ระวัง ผีไม่ได้ทำอะไร”

“แต่ผมว่า ผอ.ปฐมพยายามจะกินผมนะ”

“เรื่องนั้นครูไม่รู้ ครูไม่เคยเจอผอ.ต่อหน้าจังๆ”

“ผมยืนยันได้ แกกะจะแดกผมจริงๆ ครูต้องเห็นเหมือนที่ผมเห็น ปากแกอะ กว้างมาก มีแต่เขี้ยวกับน้ำลายเหนียวๆ ยืดเยิ้มไปหมด”

ปูพูดจบน้ำตาที่เหมือนจะแห้งไปก็กลับเอ่อคลอขึ้นมาอีก

“ไหนจะไอ้ดำอีก มันทำเหมือน...”

“เขาอาจจะอยากให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเขาก็ได้ บางทีคนเราพอตายไปแล้วอาจจะยิ่งเหงากว่าเดิมนะ”

“แต่ผมตายตอนนี้ไม่ได้ ถ้าต้องเลือกระหว่างมันกับมีชีวิต ผมก็เลือกอย่างหลัง”

“ทุกคนก็ต้องเลือกแบบนั้น ดีแล้วที่เธอรอด”

“ผมรอดมาได้ยังไงครับ”

“เจ้าหน้าตำรวจที่มาตรวจสอบสถานที่บอกว่าน่าจะมีคนพาเธอมา เพราะพวกเขาพบรอยเลือดลากเป็นทางมาจนถึงประตูโรงเรียน”

“...ละ แล้วใครเอาผมออกมาจากประตูโรงเรียน” ปูสงสัย

“ครูเอง” หญิงสาวยกมือตอบ

“แล้วครูรู้ได้ไงล่ะครับว่าผมอยู่ตรงนั้น”

“เจ้าที่บอก” เธออมยิ้ม “มาบอกต่อหน้าครูนี่แหละว่าให้ไปเอาตัวเด็กออกมาด้วย ครูเลยไปแจ้งพวกพี่ยามที่มีกุญแจล็อกประตูรั้วให้เปิดไปเอาตัวเธอออกมาและพาส่งโรงพยาบาล”

 

ปูรับฟังทุกอย่างจนจบ หลังฟังจบยังทำได้เพียงนั่งนิ่ง สายตาทอดไปโดยไม่สบกับอีกฝ่ายที่เขารู้ว่านั่งมองตนอยู่ เรื่องราวที่ได้ยินน่าเชื่อถือมากสำหรับพวกเขา แต่หากเปลี่ยนให้มีใครอีกคนมาฟังคงบอกว่าพวกเขาบ้าคุยเรื่องไร้สาระที่พิสูจน์ไม่ได้ ผีสางเทวดาเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรมีที่ไหน จับตัวจับตนก็ไม่ได้ แล้วจะมาทำร้ายคนจนนอนสลบไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ได้อย่างไร

แต่ก้มดูสารรูปตัวเองแล้ว ปูจะไม่เชื่อก็ทำไม่ลง ตอนนี้เด็กหนุ่มยังจัดการความรู้สึกและเรียบเรียงความคิดลำบาก สรุปว่าทั้งหมด นอกจากการเจ็บตัวเพราะทะเร่อทะร่าโดดข้ามระเบียงชั้นสามมากระแทกพื้น กับการที่คิดว่าโดนจับข้อเท้าเหวี่ยงแบบร้อยแปดสิบองศาจนหัวฟาดพื้น ล้วนเป็นสิ่งที่เขาถูกหลอกทั้งสิ้น

ถูกหลอกโดยเพื่อนที่กลายเป็นผี

ถูกหลอกด้วยข้อมูลที่คนฟังมาเล่ากันปากต่อปากว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือตึกห้า ที่จริงๆ เป็นแค่ตึกเรียนธรรมดาที่ดูน่ากลัวเวลามืดค่ำ แต่ส่วนประกอบของมันไม่ได้เปลี่ยนไปจนมาทำร้ายเขาได้ แค่ผีในโรงเรียนมันสามารถอยู่ได้ทุกที่อย่างอิสระในเวลาที่ไร้แสง และการที่พวกมันกรูกันมารุมล้อมก็ฝากภาพจำที่ยากจะขัดให้สะอาดไปจากใจอนาคตของชาติเช่นเขา

อย่างเดียวที่เขาอาจไม่ถูกหลอกคงเป็นเรื่องไอ้ร่างดำๆ แดงๆ ที่มีดวงตาแดงก่ำคู่นั้น แค่คิดขึ้นมาเขาก็หลอนจนต้องรีบสะบัดหัวไล่ภาพมันออกไป

 

“นี่เธอก็เพิ่งฟื้น ครูว่าพักต่ออีกหน่อยเถอะ ฟังทุกอย่างไปรวดเดียวขนาดนี้อาจเหนื่อยใจกว่าที่คิดก็ได้นะ”

เด็กหนุ่มหลุดจากภวังค์หันมาจ้องหญิงสาว จะว่าไปพวกเขาคุยกันมาตั้งนาน แต่ทำไมเขานึกชื่อเธอไม่ออก

“ครูนิรมล ห้องพยาบาล และสอนสุขศึกษาไง”

หญิงสาวช้อนสายตามองกลับมาราวกับได้ยินเสียงในใจเขา

“เธอกับดำก็โดดเรียนมานอนห้องครูบ่อย ทำเป็นจำไม่ได้นะ”

นิรมลพูดจบก็ลุกขึ้นเดินมาเกาะราวเหล็กที่กั้นขอบเตียง เอื้อมมือซ้ายมาใช้นิ้วสะกิดถูปลายคางของปูเบาๆ

เธอคลี่ยิ้มกริ่ม มองดูเยือกเย็น ขณะที่นิ้วมือยังสัมผัสปลายคางแผ่วเบา เคลื่อนไหวเพียงน้อยแต่กลับประทับตัวตนลงบนความทรงจำของเด็กหนุ่มที่อยู่ในวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านได้ชะงัดนัก

“ไว้ครูจะมาเยี่ยมใหม่”

“เดี๋ยวครับ”

ปูเรียกเธอที่หันไปฉวยเสื้อคลุมตัวยาวเสมอเอวขึ้นมา ถามว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอตัดสินใจเขียนกฎพวกนั้นขึ้นมาคือที่ไหน เมื่อไร และเพราะอะไร

“ครูเขียนตอนจะเรียนจบ ระยะเวลาที่เหลือก็เท่ากับเธอตอนนี้แหละ”

“ครูแค่นึกอยากเขียนก็เขียนเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิง เรียกว่ามีไอเดียผุดมาปุ๊บก็เขียนปั๊บ ครูว่าถ้าเตือนกันตรงๆ ไม่เชื่อ ก็อาศัยทำให้เป็นเรื่องลึกลับรอคนกระจายดีกว่า เวลาที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรื่องลึกลับมันกระตุ้นความสนใจคน และทำให้เกรงกลัวได้”

“ไอเดียที่ว่ามาจากไหนครับ”

“ครูได้ยินเสียงกระซิบน่ะว่าถ้าอยากเขียนก็เขียนไปเลย”

บ้าบอฉิบหาย ปูด่าในใจ เรื่องแบบนี้ ความคลั่งใคล้หลงในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้แบบนี้ นี่มันยุคไหนแล้วถึงได้กล้าเอาเรื่องแบบนี้มาหลอกคน แถมคนก็ยังเชื่อโดยไม่นึกสงสัยอีก

“บ้าบอจริงๆ นั่นแหละนะ ครูก็คิดเหมือนเธอ”

คราวนี้เด็กหนุ่มเด้งตัวกระเถิบหนีให้ห่างเธอจนกระแทกกับราวเหล็กอีกฝั่งดังกึง ผ่านมาตั้งนานเขาเพิ่งรู้สึกว่าต้องกลัว เพราะครูนิรมลนี่ก็ไม่น่าไว้ใจ ไม่ต่างจากเรื่องที่เธอเล่าซึ่งหาเหตุผลไม่ได้

“กลัวจริงๆ นะนั่นน่ะ น่ารักเชียว”

หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างเปลี่ยนใบหน้าเรียบเฉยให้ดูไม่น่าไว้ใจ แต่เธอแค่พูดกับยิ้ม ไม่พยายามแตะต้องเขาอีก

“นอนพักเถอะ อีกเดี๋ยวก็มืดแล้ว รีบหลับตอนที่ยังสว่างอยู่ดีกว่า”

 

นิรมลพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนกลับตัวหันเดินออกไปจากห้อง ทันทีที่ดึงประตูปิดเข้าหากันแล้วหันกลับมา ตรงหน้าก็มีใบหน้าดำๆ แดงๆ กับดวงตาแดงก่ำและริมฝีปากที่แสยะยิ้มมองเห็นฟันเขี้ยวเรียงรายรออยู่

หญิงสาวกะพริบตาหน้านิ่ง ระบายลมหายใจให้สิ่งนี้แทนคำทักทาย แล้วหันเดินย้อนกลับไปตามทางที่มาโดยมีร่างนี้เดินขนาบข้างไปจนถึงหน้าลิฟต์

“มันฟื้นแล้วใช่ไหม”

“ฟื้นแล้ว” หญิงสาวตอบคำถามของตัวข้างๆ

“ดวงแข็งดีจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้ ข้าถูกใจมันจังว่ะ”

“ถูกใจก็ไปตามเขาแล้วเลิกตามฉันซะที”

นิรมลพูดอย่างไร้เยื่อใย และได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอสะเทือนขึ้นมาในอากาศ ชวนให้บรรยากาศรอบตัวเย็นเยียบลงกะทันหัน

“ข้าไปแน่ ขอบใจเอ็งมากที่หาคนใหม่ให้ข้าเกาะ”

“สัญญาทั้งหมดเป็นอันสิ้นสุดนะ ฉันหมดหน้าที่กับแกแล้ว ต่อไปถือว่าสายสัมพันธ์เราขาดกัน ไม่ต้องกลับมาพบกันอีกแล้ว”

“พ่อแก่แม่เฒ่ามอบหน้าที่ให้เอ็ง เอ็งกับข้าตกลงกันแล้ว ต่อไปเราไม่เกี่ยวข้องกันอีก ข้าไม่คุ้มหัวเอ็ง ไม่ช่วยเอ็ง ชีวิตเอ็งต่อจากนี้ ไม่ว่าโชคลาภหรือเมตตามหานิยม อยากได้อะไรก็ทำเอาเอง”

“เออ”

หญิงสาวครางรับคำเดียวตอนลิฟต์มาพอดี เมื่อประตูเหล็กเปิดเธอก็ก้าวเข้าไป แล้วกลับตัวมายืนเผชิญหน้ากับสิ่งที่ติดตามวนเวียนเป็นเงาอาถรรพ์ข้างเธอมาตลอดสิบกว่าปี

“จบสิ้นกันแค่นี้แหละ อย่าได้มีเวรมีกรรมกันอีกเลย”

นิรมลเผยความอ่อนแอและสั่นไหวออกมาในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เธอมองภาพสิ่งตรงหน้าไม่ชัดเพราะประตูโลหะกำลังปิดเข้าหากันพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มร่องตา

พอกันทีกับแผนการบ้าๆ ในการปั่นหัวคนอื่นตามคำสั่งอีกฝ่าย

พอแล้วกับการถูกคนมองเป็นตัวประหลาดเวลาเห็นเธอพูดโต้ตอบกับสิ่งที่ตามนุษย์คนอื่นมองไม่เห็น

และพอเสียทีกับการมีชีวิตที่คอยรับรู้ในสิ่งที่มีคนน้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะสัมผัสได้

หญิงสาวก้มหน้ายกมือปิดตา ส่วนอีกมือก็กัดไว้เพื่อกั้นเสียงร้อง เธอยืนในท่าประหลาดมาจนลิฟต์หยุดและมีเสียงดังติ๊ง ครั้งนี้พอลิฟต์เปิดคนที่สวนเข้ามาก็ไม่เห็นร่องรอยความหวั่นไหวเมื่อครู่

นิรมลเดินอย่างมั่นคงไปยังทางออกแล้วก้าวออกไปอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจเต็มที่ที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่

หญิงสาวกำลังอารมณ์ดีเมื่อคิดถึงอิสระในชั่วโมงต่อไปข้างหน้า เธอถึงกับยิ้มออกมาด้วยความลำพองด้วยซ้ำตอนที่หลายคนรอบตัวหวีดร้อง เมื่อมีเสียงล้อครูดกับพื้นอย่างแรงหวีดร้องดังยาวนำมา ก่อนโครงหน้าของรถสปอร์ตคันหนึ่งจะปะทะเข้ากับร่างของหญิงสาวเต็มแรงจนเหินขึ้นไปหมุนคว้างกลางอากาศแล้วตกลงมากระแทกกับพื้น

ร่างบอบช้ำแบบบางกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้นอีกหลายเมตรกว่าจะหยุดนิ่ง พร้อมกับลมหายใจที่หลุดลอยออกไปกับบาดแผล หยาดเลือดแดงฉานสาดเคลือบพื้นถนนคละเคล้าไปกับเศษซากอวัยวะที่เสียหาย หักหลุดหรือแตกปลิ้นออกมาต่อหน้าคนที่กำลังสัญจรผ่านไปมา

 

ปูกำลังเคลิ้มๆ จะหลับอยู่แล้วตอนที่หูแว่วเสียงคนกรีดร้องระงมดังขึ้นมาถึงยังห้องพักของตน

แต่คำพูดของครูสาวยังก้องในหัว เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าลืมตา และเลือกตัดการรับรู้ด้วยการพลิกเอาหมอนมากดอัดกับใบหน้าและปิดหู เขากลั้นหายใจ นับหนึ่งถึงสามสิบ ทำวนไปจนแรงมือเริ่มคลายเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวเข้าสู่โหมดนิทรา ในที่สุดเด็กหนุ่มก็สามารถปล่อยตัวให้ตกลงสู่ภวังค์ เขาคลายใจมากพอจะตัดการรับรู้เรื่องรอบตัวชั่วคราว ขณะที่เสียงหัวเราะชั่วร้ายค่อยๆ ดังขึ้นใกล้เข้ามาหาที่ที่เขาอยู่ทีละน้อย