เดเมลซ่าจ้องหน้าข้าพเจ้าอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยรู้สึกตัวในตอนที่ข้าพเจ้าถามแล้วโน้มลงเข้าพยุงนาง เดเมลซ่าสวมขุดสีขาว ดังนั้นจุดที่มีแผลจึงค่อนข้างชัด ที่ขาและที่ไหล่

ร่างชุดดำเหนือเคหสถานหลังนั้นหายไปแล้วตามคาด อย่างที่เอ่ยว่าข้าพเจ้าไม่วุ่นวายเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน ฉะนั้นไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ใด หรือมีวัตถุประสงค์ใด ตราบเท่าที่ไม่ทำอะไรนอกเหนือจากนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่คิดยุ่งเกี่ยว

เสียงขอบคุณและแรงขยับของคนในอ้อมแขนทำให้ข้าพเจ้าต้องผินกลับมา ดวงตากลมของนางมองข้าพเจ้าคล้ายรอคอยให้ข้าพเจ้าดึงแขนกลับ

"ท่านเดินไหวหรือ" ข้าพเจ้าว่า

เดเมลซ่านิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนเปิดปากตอบ "แผลเล็กเท่านี้ไม่เป็นอะไรหรอก"

ดูเหมือนนางจะเข้าใจว่าตัวนางสามารถเดินด้วยตัวเองได้ ข้าพเจ้าจึงแกล้งก้มหน้ามองแผลที่น่องขาให้นางรู้ตัว

เนื่องเพราะก้มหน้าจึงไม่อาจเห็นสีหน้าของนาง เพียงได้ยินน้ำเสียงแผ่ว ๆ "ต้องรบกวนแล้ว"

ข้าพเจ้าผงกหัวขึ้นยิ้มรับ

มนุษย์อีกคนที่มากับเดเมลซ่าเอนตัวอยู่บนพื้น เขามีแผลจุดหนึ่งบริเวณศีรษะ ไม่น่ากังวลนัก

ข้าพเจ้าช่วยให้เดเมลซ่าย่อตัวคุกเข่าข้างคนที่นอนอยู่ได้ถนัด จากนั้นยืนฟังคำกระซิบกระซาบแปลก ๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ใคร่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นผู้ที่เดเมลซ่าคุยด้วยยกใบหน้าขึ้นหาข้าพเจ้า จึงแจ้งว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือต่อ

ข้าพเจ้าผละไปหามนุษย์ชุดดำผู้นอนไม่ได้สติ กล่าวเสนอตนขอช่วย ยกร่างเขาบนพื้นพาดบ่า แล้วหันไปยิ้มให้เดเมลซ่า

เดเมลซ่าดูลังเล แต่ก็ยอมลุกตามข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้านิ่งมองให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถพยุงกันเดินได้เอง ค่อยสาวเท้านำพวกเขาไปยังที่พักของข้าพเจ้า

กลิ่นคำสาปรุนแรงยังคงลอยไปลอยมาทั่วบริเวณ ข้าพเจ้าหมายอย่างยิ่งว่ามันจะจางลงเมื่อเราถอยห่างจากวัง ช่างโชคร้าย มันกลับตรงกันข้าม ยิ่งเดินห่าง คำสาปยิ่งเข้มข้ม

วันนี้องค์เทวาคงไม่ชอบพอในตัวข้าพเจ้าเท่าไหร่ จึงได้ส่งนกสีดำไม่อภิรมย์มาหากันถึงสองครั้งสองครา

เรเวนตัวนั้นเกาะอยู่เหนือบ้านเล็ก ๆ ไม่ไกลจากเรา และไม่น่าแปลกใจเลย มันคือจุดที่คำสาปกล้าที่สุด

"มีอะไรหรือ"

ผู้ที่มาพร้อมเดเมลซ่าเอ่ยถามจากข้างหลัง อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าหยุดฝีเท้า

"เปล่า" ข้าพเจ้าตอบ "ไปต่อเถิด อีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว"

ข้าพเจ้าไม่อาจจัดการมันต่อหน้าคนอื่น ที่สำคัญคำสาปนี้ไม่ใช่ของดี พวกเขาไม่รู้สึก ใช่ว่าจะไม่ได้รับผล ข้าพเจ้าจำต้องรีบพาพวกเขาเข้าบ้าน

เราไม่ได้เดินกันเร็วนัก แต่ไม่นานก็มาถึงที่พักที่ข้าพเจ้าออกมา ข้าพเจ้าเปิดประตูให้พวกเขา ร่ายเวทเพิ่มแสงให้ห้องโถงสว่างขึ้น

"พวกท่านไปพักตรงนั้นก่อน รอข้าหายาสักครู่"

ข้าพเจ้าพูดพร้อมผงกศีรษะไปทางเก้าอี้ยาวกลางโถง ปล่อยคนบนไหล่ลงที่พื้นริมผนัง จากนั้นก้าวผ่านแขกทั้งคู่ไปยังห้องเก็บของเล็ก ๆ สุดโถง

ประตูที่ไม่ได้เปิดมานานค่อนข้างฝืด โชคดีที่ฝุ่นไม่ได้ฟุ้งมากถึงเพียงนั้น

ข้าพเจ้าย่อมเข้ามาหายาอย่างจริงแท้ ถึงจะเป็นเวทมนตร์ ก็ใช่จะใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัด

ของบนชั้นไม้เก่า ๆ เหล่านี้พี่สาวของข้าพเจ้าเป็นผู้รวบรวมไว้ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นขวดยาและต้นสมุนไพรดิบ ข้าพเจ้าเลือกหยิบยาห้ามเลือดและยาทาแผลสีขุ่นกับต้นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยผ่อนคลายสองสามต้นแยกไว้ แล้วตัดสินใจจัดการปัญหาอีกอย่างก่อนกลับไปหาคนข้างนอก

ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปหากริชบนตู้ชั้นบนสุด ยกมันกรีดปลายนิ้วตน ใช้เลือดวาดวงเวทวงหนึ่งริมขอบตู้ เขตเวทแรกไม่สามารถกันนกได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องเสริมอีกวงเข้าไป ทั้งเพื่อตัวข้าพเจ้าและผู้มาเยือน

ข้าพเจ้าถูคราบเลือดที่นิ้วกับเสื้อ หยิบของเพื่อเปิดประตูกลับไปหาคนที่ต้องทำแผลทั้งสอง

อาจเป็นเพราะแสงจากช่องหน้าต่างที่ทำให้ใบหน้าเดเมลซ่าดูซีดกว่าปกติ ข้าพเจ้าเดินเข้าหานาง ยังไม่ทันเปล่งเสียงถามไถ่อาการ คนตรงหน้าก็เอนล้มลง

"พาย!"

คนอีกคนผู้ยังมีสติเปล่งเสียงอย่างตกใจด้วยคำที่ไม่อาจเข้าใจ คาดว่าคงเป็นคำที่เขาใช้เรียกนาง ข้าพเจ้ายกตัวเดเมลซ่าขึ้นเบา ๆ เพื่อพานางไปนอนที่เตียงหลังเล็กในห้อง มาสังเกตอย่างละเอียด แผลที่ไหล่ของเดเมลซ่าลึกกว่าที่ข้าพเจ้านึกไว้มาก

"ยาห้ามเลือด" ข้าพเจ้าส่งขวดแก้วขนาดเล็กให้ผู้ที่ยืนอย่างกังวลที่หน้าห้อง "ท่านจัดการแผลเองก่อนคร่าว ๆ ได้หรือไม่ ข้าคงต้องทำแผลให้นางก่อน ค่อยออกมาหาท่าน"

เขายังไม่ละสายตาจากเดเมลซ่า แต่ก็ยอมรับยาจากมือข้าพเจ้า

"ไม่ต้องห่วง นางไม่เป็นอะไรหรอก" ข้าพเจ้าเสริม

หลังจากปิดประตู ข้าพเจ้าก็ใช้เท้าเขี่ยของบนพื้นไปกองรวมที่มุมหนึ่งเพื่อให้สะดวกแก่การดูแล แล้วหยิบยาที่เหลือมาคุกเข่าข้างเตียงหลังเตี้ย

ข้าพเจ้าร่นชุดนางลง ค่อย ๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ข้าพเจ้ามีเช็ดเลือดออกเพื่อสำรวจแผล ยังโชคดีที่ไม่มีเศษผ้าติดข้างใน ข้าพเจ้าหยอดยาห้ามเลือด ทายาให้นางอย่างเบามือ แล้วใช้ผ้าพันปิดแผลไว้ชั้นหนึ่ง จากนั้นโยกไปทำเช่นเดียวกันที่รอยข่วนบริเวณน่องขา

จัดการแผลเสร็จ ข้าพเจ้าก็ห่มผ้าให้นาง ลุกต่อไปหยิบเทียนแท่งหนึ่งขึ้นจุดเพื่อเผาต้นสมุนไพรที่หยิบติดมา ต้นหญ้าเล็ก ๆ ต้นนี้มีสรรพคุณช่วยลดอักเสบภายใน ข้าพเจ้าไม่สามารถต้มยาอะไรให้นางได้ตอนนี้ ทว่าการเผาเอากลิ่นก็ช่วยได้บ้างเช่นกัน ทั้งยังอาการตึงเครียดของผู้สูดดมได้ แม้ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ศึกษาด้านนี้ แต่ได้จับพลัดจับผลูกลายเป็นหมอชั่วคราวของกองทัพหลายหน ย่อมทำคล่องอยู่บ้าง

"นางเป็นอย่างไรบ้าง"

น้ำเสียงวิตกของผู้ที่รออยู่ดังขึ้นทันทีที่ข้าพเจ้าก้าวเท้าออกจากห้อง ดูจากท่าทางตอนนี้ เขาคงนั่งไม่ติดเลยตั้งแต่ข้าพเจ้าปิดประตู

"นางไม่เป็นอะไร" ข้าพเจ้าถอนหายใจ ดึงขวดยาที่ยังไม่ได้ถูกใช้สักนิดออกจากมืออีกฝ่าย "ข้ายื่นให้ท่านใช้ ไม่ใช่ให้ถือไว้"

ข้าพเจ้ารอเขานั่ง แล้วอ้อมตัวไปทำแผลข้างหลัง แผลนี้ไม่ใหญ่ เลือดออกไม่มาก แค่หยอดยาเล็กน้อยแล้วรอดูอาการก็เป็นอันเสร็จ

"ท่านเข้าไปนอนพักเถิด ยังมีห้องว่างอีกห้องทางนั้น ข้าดูแลนางต่อเอง"

"ขอบคุณ" เขาเอ่ย "ทั้งเรื่องแผลและเรื่องก่อนหน้า... ข้าโจเวล"

ข้าพเจ้าเลิกคิ้ว รู้สึกผิดคาดอย่างบอกไม่ถูก

"โจนส์หรือ ท่านไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ข้าได้ยินมาเท่าใดเลย" ข้าพเจ้าผงกหัวรับ "ข้าชาร์ล็อตต์"

"ข่าวมันไปถึงไหนกันล่ะนั่น" เขาหัวเราะแห้ง ๆ "ยินดีที่ได้รู้จัก ชาร์ล็อตต์"

"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน" ข้าพเจ้าเอ่ยยิ้ม ๆ "ไปพักเถิด วันนี้เป็นวันที่หนักทีเดียว ทั้งท่านและข้า หวังว่าจะไม่-"

"ชาร์ล็อตต์?"

"เปล่า ข้าเพียง... ท่านเข้าไปนอนเถิด" ข้าพเจ้าโบกมือ กระท่อนกระแท่นกล่าว

เขาก้าวเข้าหาข้าพเจ้า "มีเรื่องอะไรหรือเปล่า"

"โจเวล เข้าห้อง"

ข้าพเจ้าไม่มีเวลาสนใจอารมณ์หรือรักษาน้ำใจเขาอีก ยังดีที่โจเวลยอมทำตามคำข้าพเจ้าอีกครา จึงสามารถผละกลับไปหาเดเมลซ่า

ข้าพเจ้ามั่นใจในความสามารถของตนเองอย่างที่สุด ในเขตที่ข้าพเจ้าปกป้อง ต่อให้เป็นเอลฟ์ก็ไม่อาจทำอันตรายผู้ใดในการคุ้มครองของข้าพเจ้าได้ ทว่าในที่นี้ เวลานี้ ในจุดที่ข้าพเจ้าใช้เลือดตนวาดวงเวทนี้ กลับมีนกลอดเข้ามาได้

สีหน้าของเดเมลซ่าไม่ดีขึ้น ซ้ำยังแย่กว่าเดิม นางขมวดคิ้วอย่างไม่สบายตัว เสื้อผ้าชื้นเหงื่อ

"องค์หญิง" ข้าพเจ้าส่งเสียงพร้อมเขย่าตัวเจ้าของศักดิ์ แต่ไร้การตอบรับ

แทบไม่ต้องใช้เวลาตริตรอง นางกำลังฝันเช่นที่ข้าพเจ้าฝัน ฝันเห็นนกผีนั่น

ข้าพเจ้าพ่นลมหายใจยาว

แผลจากกริชบนนิ้วยังไม่สมาน ข้าพเจ้าจึงกัดซ้ำเพื่อเค้นโลหิตมาวาดเวทเขตแดนที่ผนังชิดหัวเตียง

วงเวทสีแดงจากปลายนิ้วปรากฏขึ้นแทบเต็มพื้นที่หลังผ่านไปไม่นาน รอจนข้าพเจ้าสานเส้นสุดท้าย อายคำสาปที่คลุมรอบตัวเดเมลซ่าก็ถอยร่นไปจนได้

ข้าพเจ้ารับรู้ถึงเหงื่อบนหน้าผากเม็ดโตที่ไหลลงตามขมับ ได้ยินเสียงลมหายใจเบา ๆ ของคนบนเตียงสะท้อนปนกับเสียงหายใจถี่ของตนท่ามกลางความเงียบ ก่อนเดเมลซ่าจะส่งเสียงในลำคอ จากนั้นลืมตาช้า ๆ

"เป็นอย่างไรบ้าง ปวดหัวหรือไม่" ข้าพเจ้าถาม พยายามคุมลมหายใจให้เป็นปกติ

นางส่ายหัว "ไม่แล้ว ขอบคุณมาก"

ข้าพเจ้าผงกศีรษะรับ สีหน้านางเริ่มมีเลือดฝาดบ้างแล้ว คงไม่มีอะไรอีก

"ข้าทำแผลให้ท่านครบแล้ว ต่อจากนี้เพียงอย่าให้แผลโดนน้ำก็เป็นพอ" ข้าพเจ้าคลอนหัวไปทางกำแพงที่ติดกัน "ผู้ที่มากับท่าน บัดนี้เขานอนพักอยู่อีกห้อง ทำแผลเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง... อย่างไรท่านก็นอนพักต่ออีกหน่อยเถิด ฟ้ายังไม่สว่าง เช้าแล้วข้าจะมาปลุกอีกครา"

"ขอให้เป็นคืนที่ดี"

ข้าพเจ้าสลายเวทที่ใช้เพิ่มแสงในห้อง ทิ้งท้ายคำไว้เท่านั้น

แผลที่นิ้วยังคงมีโลหิตซึมอยู่บ้าง ทว่าข้าพเจ้าขี้คร้านจะยุ่งแล้ว

ข้าพเจ้าถอนหายใจ เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองเสียแล้วว่าเหตุใดข้าพเจ้าต้องพาตนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ด้วย

บินหนีไปเลยได้หรือไม่

ห้องแยกทั้งหมดของข้าพเจ้าถูกยึดไปอย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้าจึงต้องลากร่างหนัก ๆ ขึ้นไปนอนบนโต๊ะตัวใหญ่กลางโถง ตั้งใจว่าจะยกเวรกรรมภาระทั้งหมดที่หามาให้ตัวเองในวันพรุ่งจัดการแล้วหลับสักงีบ ข้าพเจ้าปล่อยตัวอย่างผ่อนคลายกลางอากาศอุ่นจากเวท ตัวเริ่มเบาขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับถูกโอบกอดโดยปุยเมฆ

กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้นรัว

ข้าพเจ้าสูดหายใจลึก "บิดามันเถิด"

ข้าพเจ้าจำใจแบกตัวลงจากโต๊ะ เดินไปเปิดประตู

ผู้ที่อยู่อีกฝั่งคือร่างในชุดคลุมสีดำ และดวงตาสีแดงราวรุเธียร

พระผู้เป็นเจ้า นี่มันวันบ้าอะไรหรือ

"ขอร้องล่ะ" ข้าพเจ้าร้อง "ไม่ใช่ตอนนี้ กลับไป"

เจ้าของแผลบากบนใบหน้ามองข้าพเจ้า เขาเปล่งเสียงแหบแห้ง

"นักฆ่าอยู่ที่ใด"

"ที่ที่ข้าดูแลได้ ไม่ต้องเป็นกังวล ฉะนั้นกลับไปได้แล้ว ขอล่ะ"

ร่างตรงหน้าเงียบไปชั่วประเดี๋ยว ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ข้าพเจ้าไม่คาดคิด "ปล่อยมันไป"

ข้าพเจ้าขมวดคิ้วลงทันที "หัวกระแทกหรืออย่างไร"

เขาไม่ตอบ กลับก้าวเท้าเข้าประตู แล้วต้องชะงักไปเพราะข้าพเจ้ายกแขนขวางไว้

"อย่างน้อยก็ใช้เสียงจริงของเจ้าก่อนจะเข้าบ้านผู้อื่นเถิด ทำเช่นนี้มันเสียมารยาท"

ดวงตาสีแดงผินเข้าสบกับข้าพเจ้า จากนั้นเขาก็ยกมือ หวังคว้าแขนข้าพเจ้าที่ขวางอยู่ เคราะห์ดีที่คิดไว้ก่อนแล้ว จึงชักหลบได้ทัน

ข้าพเจ้าร่นเข้าชิดประตู ขยับปากร่ายเวทตรึงอีกฝ่ายไว้นิ่ง เมื่อรู้ตัวว่าขยับไม่ได้ ตาคู่นั้นหันก็มองสำรวจข้าพเจ้าอีกชั่วขณะ

"เฟย์หรือเอลฟ์เล่า"

"บอกให้โง่" ข้าพเจ้ายักไหล่ ยกยิ้มเบา ๆ พร้อมย่างเท้าเข้าหาเขา "เอาล่ะ เนื่องจากคล้ายจะมีคนหัวกระแทก ข้าจะช่วยดูให้แล้วกัน"

ผ้าสีดำคลุมปิดถึงหน้าผากดูเก่าอย่างไม่น่าเชื่อว่ายังไม่ขาด ตัวคนผู้นี้สูงกว่าข้าพเจ้าไม่น้อย จึงต้องเอื้อมมือขึ้นสูงหน่อยเพื่อปลดผ้าเปื่อย ๆ นั่นลง กระนั้นพอเอื้อมถึง ที่ปลายนิ้วของข้าพเจ้าแตะโดนกลับไม่ใช่เนื้อผ้า ทว่าเป็นความว่างเปล่า

"ความประมาทเป็นเหตุแห่งความตาย เจ้าหนู"

เสียงมาจากข้างหลัง

ข้าพเจ้ายกมือเตรียมใช้เวท แต่ในจังหวะเดียวกับที่ข้าพเจ้าหันไป ร่างในชุดสีมืดก็ปาละอองบางอย่างสวนเข้ามา

ข้าพเจ้าพลันล้มลงคุกเข่า แขนขาไร้แรง

เกสรทิวมิลัส!

"อ๋อ เฟย์งั้นสิ"

ผู้ครอบครองเนตรสีแดงส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเดินไปดึงตัวคนที่ข้าพเจ้าปล่อยไว้ริมกำแพงในตอนที่มาถึงไปกับตัวเขา โดยที่ข้าพเจ้าทำได้เพียงนั่งมอง

ร่างกายของข้าพเจ้าชาขึ้นเรื่อย ๆ ลมหายใจเริ่มติดขัด

"ชาร์ล็อตต์!"

เสียงเรียกของโจเวลดังขึ้นจากหน้าห้องนอน ข้าพเจ้าหันตามเสียง พยายามเอ่ยเตือนเขาถึงอันตราย กระนั้นก็ไม่อาจทำได้

"นางไม่ตายหรอก" คนในชุดคลุมดำว่า "ไม่ต้องตามมา ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า"

คนผู้นั้นยกร่างที่สลบอยู่ด้วยมือเดียว เขาใช้เท้าถีบประตูให้ปิดจากด้านนอก

"แล้วพบกันใหม่ ชาร์ล็อตต์ เนลสัน"

"...ชาร์ล็อตต์" ทันทีที่เสียงกระแทกของประตูเงียบลง โจเวลก็พุ่งเข้าหาข้าพเจ้าพร้อมเอ่ยตะกุกตะกักอย่างตกใจ "ปะ...เป็นไรอะ"

เขาหันมองไปทั่วอย่างคนทำอะไรไม่ถูก "เดี๋ยว เดี๋ยวไปเรียกพาย"

ข้าพเจ้าฝืนดึงมือเขาไว้ ขยับปากเป็นคำว่ารอ

ถึงร่างกายไร้ความรู้สึก แต่หูข้าพเจ้าก็ยังได้ยินโจเวลพึมพำประโยคประหลาดอย่าง "ไอ้เหี้ย" หรือ "นางเอกกูจะเป็นไรไหม" อย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงร้อนใจตลอดเวลาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนข้าพเจ้ายังอดรู้สึกนับถือไม่ได้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดจนข้าพเจ้ากลับมาหายใจได้อย่างปกติ โจเวลยังคงมีสีหน้าไม่ดีนัก ข้าพเจ้าจึงเรียกแล้วตบหลังเขาเบา ๆ รอจนอีกฝ่ายหายตระหนก ค่อยดันตัวลุกอย่างช้า ๆ โดยมีเขาช่วยประคอง

"ปวดหัวหรือไม่" ข้าพเจ้าถามเขา เขาส่ายหน้า ข้าพเจ้าเอ่ยตอบว่าดีแล้ว "คืนนี้มีเรื่องมากไปหน่อย ขออภัยที่ทำให้ท่านตื่น พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่เถิด อย่างไรก็ควรพักก่อน"

แต่พูดไม่ทันขาดคำดี เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงพูดก็ดังขึ้นอีกหน

"นี่เจ้าหน้าที่ทางการ เปิดประตู!"

โจเวลเปล่งคำที่ข้าพเจ้าไม่ทราบความหมายมาคำหนึ่ง

"อีควาย"