"ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าวังแล้วหรือ ไม่เดินทางหรืออย่างไร"

"ค่อยบินไปก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อน"

"ชาร์ล็อตต์ ที่นี่ไม่เหมือนคาฮาล อะไรที่ระวังได้ก็ควรระวัง"

ข้าพเจ้าหมุนตัวไปหาคนบนเก้าอี้บุนวมกลางห้อง "ข้าย่อมระวัง ไม่ต้องเป็นห่วง"

แทนคำตอบ ข้าพเจ้าได้เสียงพ่นลมหายใจและสีหน้าเหนื่อยหน่ายราวกับจะสื่อว่า อยากทำอะไรก็ทำ กลับมาเช่นทุกครา

ข้าพเจ้าเพียงยิ้มเล็กน้อย พี่สาวคนโตที่คาฮาลเคยพูดเอาไว้บ่อยครั้งว่าข้าพเจ้าไม่ควรยิ้มเรี่ยราด ตามปกติ ข้าพเจ้าย่อมไม่ต่อต้านคำพูดใด ๆ ของนาง แต่กับประโยคนี้ คงต้องขอดื้อรั้นไม่ทำตามสักหน่อย ข้าพเจ้ามีความคิดว่ารอยยิ้มเป็นสิ่งแสดงไมตรีมิตรที่ดีทีเดียว ไม่ว่ากับสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม

"แล้วเหตุใดจึงเลื่อนกำหนดเข้าวังให้เร็วขึ้นเล่า" เคานต์เนลสันแห่งอีสต์วิง พี่ชายของข้าพเจ้าถามต่อ "ไปเดือนหน้าก็ดีอยู่แล้ว ยังสำรวจที่ทางแถวนี้ไม่ครบเลยไม่ใช่หรือ"

พี่ชายคนรองของข้าพเจ้า นาธาน เนลสัน บุรุษครึ่งเฟย์ กระนั้นยังคงรูปลักษณ์ไว้ด้วยเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์เก่าของเฟย์ทุกประการ เฉกเช่นเดียวกับข้าพเจ้าและพี่สาวคนโต

มารดาของนาธานเป็นมนุษย์ นางมรณาตั้งแต่ให้กำเนิดเขาเพราะทนรับเชื้อสายเฟย์อีกครึ่งในตัวทารกไม่ไหว... ก็ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกผู้ที่ตั้งครรภ์สายเลือดเฟย์จะต้องสิ้นสูญหรอก เฟย์ผู้ร่วมให้กำเนิดสามารถหาวิธีเพื่อช่วยผู้ตั้งครรภ์ได้ เพียงแต่ที่มารดาของนาธานไม่อาจอยู่ต่อ เพราะบิดาของเขาและข้าพเจ้าเป็นแค่ลาโง่โลภมากตัวหนึ่งเท่านั้น

"เบื่อน่ะ แถวนี้ก็ไม่มีอะไรให้ดูมากนี่ ไม่สู้เข้าเมืองหลวงไปหาอะไรทำ"

"ไร้สาระ" เขาสบถ จากนั้นจึงทำหน้าแหยง "เลิกยิ้มได้แล้ว ขนลุก"

ข้าพเจ้าไม่คิดสนใจคำพูดเขา เพียงแต่ก้าวเท้าออกจากหน้าต่างไปทางประตูฝั่งตรงข้าม

"ขนของไปครบแล้วหรือยัง"

"ไปถึงเมืองหลวงตั้งแต่เช้าแล้ว พวกนั้นแบกกันหลังขดหลังแข็ง มานั่งบ่นให้ข้าฟังเป็นชั่วโมงว่าถ้ารีบถึงเพียงนี้ คราหลังก็หอบไปเองเถิด บอกเมื่อวานต้องการวันนี้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นกระมังที่ทำทัน"

พี่ชายของข้าพเจ้าพูดพร้อมกลอกตาไปมา แน่นอนว่าคนในบ้านของนาธานไม่มีทางกล่าวเช่นนี้ นี่ย่อมเป็นคำที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาเองทั้งหมด

ข้าพเจ้าหัวร่อในลำคอเบา ๆ จากนั้นค่อยเดินช้า ๆ ตั้งใจออกจากประตูโถงใหญ่

"จะไปที่ใด" คนบนเก้าอี้ชะโงกหน้ามาเอ่ยขัด

"ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าเร่งให้เดินทางหรืออย่างไร"

นาธานทำหน้าแหยงใส่ข้าพเจ้าเป็นครั้งที่หลายสิบของวัน

"เจ้าเพลานิสัยเช่นนี้ลงหน่อยก็ดี"

ข้าพเจ้ายักไหล่ ยิ้มบาง ๆ ให้เขา แล้วเดินต่อออกนอกประตู

ข้าพเจ้าค้อมหัวทักทายภาพวาดขนาดยักษ์ของอดีตเคาน์เตสแห่งอีสต์วิงที่หน้าประตูใหญ่ ยกมือทักทายเฟร็ดที่รออยู่นอกตัวบ้าน แล้วหันกลับไปที่ประตูใหญ่ นาธานไม่ได้ตามออกมาส่ง คงจะยืนมองที่หน้าต่างตามเคย

ข้าพเจ้ากระโดดขึ้นหลังคารถเทียมม้าของเฟร็ด ปีกที่หลังทำให้ข้าพเจ้าไม่ใคร่นั่งในตัวรถนัก ข้าพเจ้าซ่อนปีกจากสายตาผู้คนได้ ทว่าทำให้หายไปไม่ได้ จึงมักอึดอัดเพราะตู้แคบ ๆ และพนักพิงเหล่านั้นเสมอ

"ครานี้ก็ป่าหลังโบสถ์ใช่หรือไม่ขอรับ"

"อ่า รบกวนด้วย"

เฟร็ดยกหมวกขึ้นรับคำของข้าพเจ้า จากนั้นก็บังคับม้าออกเดินช้า ๆ

เฟร็ดเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงที่ชอบปรากฏตัวพร้อมหมวกฟางสาน มนุษย์ผู้ชื่นชอบการขับรถเทียมม้า หัวหน้าผู้ดูแลของคฤหาสน์เนลสัน และผู้ที่นาธานสนิทที่สุด

ส่วนข้าพเจ้าคือจำพวกที่ท่านเรียกกันว่าเฟย์

สัตว์รูปร่างคล้ายมนุษย์ มีปีก และใช้เวทมนตร์ได้คือคำนิยามที่เราได้มา

ข้าพเจ้าเข้ามาถึงทวีปแห่งนี้ด้วยเรือเดินทะเลของพวกเอลฟ์เมื่อเดือนก่อน พี่สาวคนโตของข้าพเจ้าได้ฝากจดหมายล่วงถึงนาธานก่อนที่ตัวข้าพเจ้าจะขึ้นฝั่งเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเจอกัน ข้าพเจ้าจึงได้เข้ารับตำแหน่งทายาทของตระกูลเนลสันและเรียนรู้งานในเมืองทันที แน่นอนว่าเป็นเพียงตำแหน่งชั่วคราวยามที่ยังไม่มีอะไรทำ ข้าพเจ้าไม่คิดจะรับความวุ่นวายเหล่านั้นของตำแหน่งขุนนางอยู่แล้ว

ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดข้าพเจ้าจำต้องข้ามมหาสมุทรมาถึงที่แห่งนี้นั้น ข้าพเจ้าเองก็สงสัยเช่นกัน

ข้าพเจ้าเคยรับตำแหน่งหนึ่งในกองทัพเฟย์ แม้ไม่ใช่ตำแหน่งที่สลักสำคัญนัก ทว่าข้าพเจ้าก็คิดว่าตนทำหน้าที่อย่างไร้ข้อบกพร่องมาโดยตลอด กระทั่งถูกพี่สาวเรียกไปพบในคืนหนึ่ง

นางไม่ได้ให้เหตุผลอะไรไปมากกว่าการพักผ่อน และเมื่อรู้ตัวอีกครา ข้าพเจ้าก็ถูกถีบส่งขึ้นเรือเดินทะเลลำนั้นเสียแล้ว

"ท่านชาร์ล็อตต์จะอยู่ที่เมืองหลวงกี่เดือนหรือขอรับ" เฟร็ดเอ่ยโดยไม่หันกลับมาหาข้าพเจ้า "แม้เห็นเป็นเช่นนั้น ทว่าตั้งแต่จดหมายของท่านเซซิเลียมาถึง ท่านเคานต์ก็เอาแต่ชะเง้อรอตัวท่านที่สวน แทบจะกินนอนตรงนั้นแล้ว"

ข้าพเจ้าแทบหลุดหัวร่อ

นาธานเป็นมนุษย์ครึ่งเฟย์ที่ปากแข็งและขี้เหงาที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยพบ ด้วยต้องรับตำแหน่งต่อจากมารดา ทำให้เขาไม่สามารถอาศัยอยู่ที่คาฮาล พี่สาวและตัวข้าพเจ้าก็ไม่อาจมาเยี่ยมถึงที่นี่ได้บ่อยครั้ง เขาจึงต้องอยู่ตามลำพังเป็นส่วนใหญ่

"ไม่อาจรู้ คงหลายปีกระมัง แต่ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก อย่างไรก็กลับมาได้บ่อย ๆ เมืองหลวงอยู่ใกล้เพียงเท่านี้เอง"

และเมื่อข้าพเจ้ากล่าวจบ รถเทียมม้าของเฟร็ดก็ลงเนินมาสู่จุดหมายอย่างพอดี ข้าพเจ้ากระโดดลงบนกองใบไม้แห้งเปลี่ยนสีขนาดใหญ่ที่ร่วงลงทับกัน

เวลาล่วงถึงสารทฤดู ต้นโอ๊กในป่าเปลี่ยนสีแล้ว บางกิ่งแทบไม่เหลือใบ ลมเองก็เริ่มพัดพาความหนาวเข้ามา

"คราวหน้าลองชวนท่านเซซิเลียมาด้วยกันสิขอรับ คนในบ้านบ่นคิดถึงกันไม่น้อยทีเดียว ท่านเซซิเลียกับท่านเคานต์เองก็ไม่ได้พบกันมานานแล้ว พานางมาพักผ่อนหน่อยท่าจะดี"

"ข้าก็อยากพานางมาเช่นกัน แต่งานของเซซิเลียไม่ได้น้อยเลย ซ้ำยังต้องรั้งอยู่ที่คาฮาลให้ครบวาระ คงมาไม่ได้ในเร็ว ๆ นี้หรอก" ข้าพเจ้าปัดเศษใบไม้บนกางเกง ก่อนหันไปกล่าวตอบผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้า

"ทว่าหลังจากพ้นวาระนี้คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง ลากมาสักเดือนสองเดือนไม่น่าติดอะไร ข้าจะลองพยายามดู"

เฟร็ดยิ้มอ่อน ๆ แล้วเอียงหัวไปมา "ราชินีเป็นตำแหน่งที่ลำบากน่าดูเลยนะขอรับ"

ข้าพเจ้าหัวร่อในลำคอ

"ไม่ลำบากไปมากกว่าเคานต์เท่าใดหรอก"

ยืนคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง เฟร็ดก็ขอตัวกลับไปหานาธาน ข้าพเจ้าโบกมือส่งเขา ยืนรอจนรถเทียมม้าผลุบหายไปในเนิน จึงกลับหลังเดินเข้าป่าไป

ตะวันดวงโตฉายแสงสีส้มกระทบกิ่งโอ๊กเป็นเงา ข้าพเจ้าหรี่ตาสำรวจรอบด้านเพื่อให้แน่ใจว่าไร้ผู้คนอย่างแท้จริง แล้วหันกายเข้าทางตะวันตก ค่อย ๆ ขยับปีกบินขึ้นเหนือทิวต้นไม้

หากบัดนี้มีผู้ใดเงยหน้าขึ้นมาหาข้าพเจ้า คนผู้นั้นคงตกใจมากเชียว ข้าพเจ้าซ่อนปีกตนไว้ ดังนั้นภาพที่พวกเขาเห็น คงเป็นภาพสิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนมนุษย์กำลังลอยต่องแต่งอยู่บนอากาศ

ข้าพเจ้าบินช้า ๆ ไปตามทางที่คิดว่าไม่น่ามีมนุษย์ เมืองหลวงอยู่ใกล้อีสต์วิงมากทีเดียว ข้าพเจ้าคิดว่าคงความเร็วเช่นนี้ไว้สักสองสามชั่วโมงคงถึงจุดหมาย ทว่าบินเช่นนั้นไปได้ครู่เดียวก็ต้องชะงัก

"...เหม็น"

กลิ่นที่พลันถูกพัดมาพร้อมลมระลอกหนึ่งจากทิศตะวันตกทำข้าพเจ้าขมวดคิ้ว ก่อนจะบินอ้อมเลี่ยงเส้นทางลม

คำกล่าวที่ว่าต้องการไปเมืองหลวงเพื่อหาอะไรทำ ข้าพเจ้าโกหก กลิ่นนี้ต่างหากที่เป็นเหตุอันแท้จริง กลิ่นคำสาป

กลิ่นแรงเกินกว่าจะเป็นเพียงคำสาปแช่งของมนุษย์ธรรมดา ข้าพเจ้าไม่อาจรู้แน่ชัดว่ามาจากผู้ใด แต่หากมีผู้ที่สามารถใช้คำสาประดับนี้อยู่ในทวีปมนุษย์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว

ข้าพเจ้าตัดสินใจใช้เส้นทางอ้อมออกไปทางใต้ แม้จะใช้เวลามากขึ้น ก็ยังน่ายินดีกว่าการดมกลิ่นคำสาปเหม็น ๆ นี่ไปตลอดทาง

 

 

 

 

ค้างคาวแม่ไก่ฝูงสุดท้ายบินโฉบหัวข้าพเจ้ากลับรังไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว บัดนี้มีเพียงดวงจันทร์ดวงโตที่นั่งอวดโฉมอย่างโดดเดี่ยวกลางผืนฟ้าโล่งยามราตรีเท่านั้น

ข้าพเจ้าเข้ามาถึงริมนอกของเมืองหลวงแล้ว บริเวณนี้เป็นเขตเมือง แม้จะเป็นเวลากลางคืน มันก็ยังเสี่ยงเกินไป ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจลงเดิน

ในคืนนี้ ข้าพเจ้าตั้งใจมุ่งหน้าไปยังบ้านริมถนนสายหลักของเมืองหลวงหลังหนึ่ง บ้านที่ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของ จุดที่ฝากให้คนเอาของมาเก็บ และที่พักผ่อนของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าถึงที่หมายในเวลาไม่ดึกนัก จึงได้รับสายตาประหลาดใจจากคนในเมืองที่ยังพอมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย พวกเขาอาจกำลังสงสัยในตัวข้าพเจ้า และตั้งคำถามว่านี่ไม่ใช่เจ้าของบ้านคนเดียวกับเมื่อเช้านี่ ข้าพเจ้าควรจะหันไปยิ้มตอบความสนใจสักหน่อย แต่น่าเสียดายที่จมูกของข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นแล้ว

ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางอาณาจักร กลิ่นคำสาปก็ยิ่งแรงขึ้น แรงจนแทบกลบกลิ่นมนุษย์ทั้งหมดในเมืองนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้ายื่นมือแตะกลางประตูไม้สีทึบเพื่อปลดสลักเวทกันการบุกรุกที่เคยลงไว้ แล้วรีบขยับเท้านำจมูกอันน่าสงสารเข้าเคหสถาน หลบจากกลิ่นไม่พึงใจเหล่านั้น

ด้วยเวทอีกบทที่ร่ายไว้ อายคำสาปจึงไม่อาจลอดเข้ามา ข้าพเจ้าสูดลมหายใจยาวรับอากาศไร้สิ่งเจือปน แล้วโยกตัวเองไปนอนบนเตียงหลังเล็กในห้องแยกที่คนบ้านเนลสันทำความสะอาดให้แล้ว

แสงไฟจากนอกหน้าต่างยังทำให้พอเห็นรอบตัวอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องเตะสัมภาระที่พึ่งขนมาจำนวนมากเหล่านั้นบนพื้น จึงไม่คิดเปลืองแรงใช้เวทมนตร์ บินมาไกลเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา แม้เป็นข้าพเจ้าก็ตามที

ข้าพเจ้าคลี่ผ้านวมผืนหนาขึ้นห่ม หลับตา ตั้งใจพักสักงีบก่อนออกไปจัดของ

ปกติเฟย์ไม่ฝัน และไม่มีการบันทึกใด ๆ เกี่ยวกับคำว่าฝันเลยแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าก็เช่นกัน ไม่เคยรู้ว่าความฝันที่มนุษย์กล่าวถึงบ่อย ๆ นั้นเป็นอย่างไร... กระทั่งตอนนี้

ความฝันนั้นชัดเจนและเรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ขมุกขมัวและสับสน จับต้องได้ ทว่ากลับไม่มีตัวตน

ตัวข้าพเจ้าถูกล้อมด้วยหมอกที่ขยับได้ คล้ายว่ามันพยายามจะรวมเป็นรูปร่าง ทว่าทำไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ ข้าพเจ้าสอดสายตาไปรอบด้าน และในจุดหนึ่ง ไม่ห่างจากจุดที่ยืน ก็ปรากฏเรเวนตัวใหญ่สีดำขลับ

ข้าพเจ้าเลิกคิ้ว คิดเดินไปหามัน แต่ยังไม่ทันก้าว กลับโดนบังคับให้ลืมตาเสียก่อน

ข้าพเจ้าดีดตัวขึ้นจากหมอน ยังไม่ทันได้พินิจเรื่องฝัน ก็จำต้องขมวดคิ้วเพราะกลิ่นคำสาปที่ตีขึ้นจมูกอีก... แต่ตามจริงนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแค่น่ารำคาญเท่านั้น เพราะถึงจะร่ายเวทไว้ แต่เวทบทนั้นไม่ใช่ของดี มันมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่นเวทจะไม่สามารถทำงานได้ในกรณีที่อยู่ใกล้แหล่งคำสาปมากเกินไป

ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืดตัว สาวเท้าไปทางหน้าต่าง ก่อนจะต้องขมวดคิ้วอีกครา

กลิ่นคำสาปจางลงมากเมื่อเทียบกับที่เตียง

"ไม่ใช่..."

กลิ่นไม่ได้มาจากข้างนอก มันมาจากในห้องนี้

"เวรเอ๊ย"

ข้าพเจ้าสบถ รีบสับเท้าออกหาประตู ไปนอกบ้าน

จากสถานที่ครึกครื้น ณ เวลาที่ข้าพเจ้ามาถึง บัดนี้กลับไร้วี่แววมนุษย์ ดวงจันทร์ดวงกลมที่เคยลอยต่ำก็เคลื่อนตัวลอยสู่กลางฟ้าแล้ว

เวลาผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว

ร่ายคำสาป บุกเข้าเขตเวท สร้างฝัน ทั้งยังเป็นฝันของเฟย์ ข้าพเจ้ายกมือบีบสันจมูก ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นใคร ดูท่าทีว่างานนี้คงจบไม่ง่ายอย่างเคย

ลมวูบหนึ่งพัดปะทะตัวข้าพเจ้าพร้อมกลิ่นคำสาปรุนแรง... รุนแรงเกินกว่าจะเป็นเพียงอายที่ไหลมาตามกระแสวายุ

ข้าพเจ้าเดาะลิ้น "เอาล่ะ นี่ชักเริ่มน่าเบื่อแล้ว"

เพราะไม่เหลือมนุษย์ ข้าพเจ้าจึงกล้าที่จะใช้ปีกพยุงตัวเองขึ้นบนที่สูง เคลื่อนตัวไปตามหลังคาเคหะเพื่อหาแหล่งกำเนิดของอายคำสาป

สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินใจกลางเมืองหลวงดูอึมครึมอย่างยิ่งท่ามกลางแสงจันทร์สลัว เป็นที่น่าสงสัยเหลือเกินว่าสถานที่อันหรูหราแห่งนั้นกักเก็บความหิวโหยของผู้คนไว้มากเท่าใด

และยิ่งเข้าใกล้เนิน ความเข้มข้นของอายก็ยิ่งเพิ่ม แหล่งของคำสาปคงอยู่รอบเนิน หรือในกรณีที่แย่มาหน่อย มันอาจอยู่ในพระราชวังโอฬารนั่นก็เป็นได้

"หยุดตรงนี้ก่อน"

ข้าพเจ้าชะลอการเคลื่อนไหวของตนเองและหันตามเสียงพูดที่ลอยเข้ามาในหู จากนั้นก็ต้องหลุดร้องออกมา

"โอ้"

ริมเคหะหลังหนึ่งตรงข้ามกับข้าพเจ้า มีร่างมนุษย์สามคนยืนอยู่เรียงกัน เจ้าของร่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างอีกสองร่างเป็นเหตุอันทำให้ข้าพเจ้าอุทาน

คนตรงกลางผู้นั้นครอบครองเกศาสีน้ำเงินเข้มยาวถึงกลางหลัง และดวงตาสีดำสนิทอันโดดเด่น ณ ที่แห่งนี้ ผู้ที่สามารถเป็นเจ้าของลักษณะเช่นนั้นได้มีเพียงผู้เดียว เดเมลซ่า โรซามุนด์ องค์หญิงหนึ่งเดียวแห่งการ์นอ

ไม่คาดว่าจะพบพานกันเร็วถึงเพียงนี้... และในสถานการณ์เช่นนี้

ราวกับนางและมนุษย์อีกคนที่อยู่ด้วยจะโดนบังคับให้เดินมาถึงที่นี่ และกำลังจะโดนบังคับให้เข้าตรอกตรงหน้านั่น ข้าพเจ้าคิดว่านางจะยอมก้าวเข้าไป ทว่าเดเมลซ่ากลับหันตัวเข้าพยายามแย่งอาวุธในมืออีกฝ่ายอย่างผิดคาด องค์หญิงแห่งการ์นอและมนุษย์อีกผู้หนึ่งทุลักทุเลช่วยกันล้มคนในชุดสีดำ พวกเขาคล้ายจะทำสำเร็จ กระทั่งผู้ที่ปิดหน้าส่งเสียคำรามแล้วหงายตัวลงทับมนุษย์อีกคน ก่อนจะแทงมีดสั้นเข้าที่ไหล่เดเมลซ่า

สภาพการณ์ตรงหน้าดูแย่ลงเรื่อย ๆ ถึงข้าพเจ้าไม่ใช่จำพวกที่ชอบวุ่นวายเรื่องผู้อื่นนัก แต่การทิ้งผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือไปเฉย ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเลย พี่สาวของข้าพเจ้าเคยกล่าวว่าหากข้าพเจ้าต้องการให้ใครทำสิ่งใด ข้าพเจ้าก็ควรทำสิ่งนั้นเสียก่อน เวลานี้ หากข้าพเจ้าเป็นผู้ตกอยู่ในเหตุเช่นนั้น และผู้ที่สามารถช่วยได้ไม่คิดช่วย ข้าพเจ้าจะมีความคิดเช่นไร และจะประสบกับเหตุอันใดต่อไปเล่า

"เปลืองเวลาเสียจริง" ร่างในชุดสีดำคุกเข่าลงข้างเดเมลซ่าที่นอนอยู่บนพื้น "ว่าอย่างไร ปากดีต่อสิ ดีไม่ออกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ"

ข้าพเจ้าได้ยินนางหัวเราะ ก่อนจะบ้วนน้ำลายเข้าใส่ใบหน้าคนข้างตน "ก็ดีตลอดนั่นแหละ"

"...โอ้" ข้าพเจ้าร้อง ชะงักไปชั่วจังหวะ

นั่น... เป็นนัดที่แรงพอสมควรเชียว

"เดเมลซ่า!!! อย่าคิดว่าข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า!!!" คนที่คุกเข่าคำรามออกมาคำรบหนึ่ง เขากระชากกลุ่มผมของคนบนพื้นขึ้น

ข้าพเจ้ากระโดดลงจากหลังคาอาคาร ข้ามเข้าทางด้านหลังร่างในผ้าคลุมหน้าสีดำ ในชั่ววินาทีที่เท้าของข้าพเจ้าแตะพื้น คนตรงหน้าก็ล้มไปโดยที่ข้าพเจ้ายังไม่ทันลงมืออะไร

เหนือเคหาไม่ไกลจากจุดที่เคยยืน เงาร่างสูงในชุดคลุมดำสนิทที่ปกปิดถึงผมร่างหนึ่งประจักษ์ขึ้นในสายตาข้าพเจ้า แสงจันทร์อันยังไม่ถูกสิ่งใดบดบังทำให้เห็นว่าส่วนที่ไม่ถูกคลุม คือตาและสันจมูก ปรากฏแผลเป็นขนาดใหญ่ลากเฉียงจากหน้าผาก และดวงตาแดงก่ำเช่นโลหิตราวกับยมทูตผู้มีอำนาจเหนือความตาย

ข้าพเจ้าแทบแสดงความตกใจออกทางใบหน้า ข้าพเจ้าไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนเจ้าของร่างผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่ตะขิดใจแม้สักนิด

"...ชาร์ล็อตต์"

ตอนนี้ข้าพเจ้ากำลังจะแสดงความตกใจออกไปโดยแท้จริงแล้ว

คำเรียกชื่อนั้นดังมาจากองค์หญิงแห่งการ์นอเบื้องหน้า ข้าพเจ้าคิดไม่ตกเลยว่าเดเมลซ่าที่ถูกเลี้ยงในรั้ววังมาตลอดจะรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร ข้าพเจ้าพึ่งมาถึงที่นี่ และยังไม่เคยให้ผู้ใดวาดรูปหรือบันทึกลักษณะของตนไว้แม้สักชิ้นเลย

วันนี้คงเป็นวันที่น่าตกใจที่สุดในชีวิตข้าพเจ้าแล้วกระมัง