คุณเคยสงสัยกันไหมว่ารสชาติภาษีมันเป็นไง

ฉันเคยสงสัย แล้วก็ได้รู้แล้ว

เหี้ยพอสมควร

"อาหารยังไม่ถูกปากอีกหรือเดเมลซ่า"

"เปล่าเจ้าค่ะ" ฉันพูดพร้อมหันไปมองเจ้าของเสียงที่หัวโต๊ะ "ลูกแค่ยังไม่หิว"

"อย่างเจ้ามีวันที่ไม่หิวด้วยงั้นหรือ ดู... ไม่คล้ายเป็นเช่นนั้นเลย"

"แล้วเจ้าอิ่มแล้วหรือไม่ ถ้าหากยัง ข้ายังมีรองเท้าให้เจ้ายัดปากอยู่"

มันโยนส้อมทิ้ง แยกเขี้ยวตะโกนทันที "เดเมลซ่า!"

ฉันเบ้หน้า ถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่ง

โอเค สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่วงแนะนำตัวละครในครอบครัวทั้งหลาย และช่วงที่เหนื่อยที่สุดในวันของตัวฉัน... มื้อเย็น

ฉันนั่งเล่นช้อนอยู่ที่โต๊ะตัวยาวในห้องอาหารของพระราชวังใหญ่ คุณลองคิดภาพตาม อ่า แบบในหนังนั่นแหละ หรู ๆ ไฟระย้า ๆ มีคนนั่งเรียงกันตั้งแต่หัวโต๊ะไปท้ายโต๊ะ มีพ่อบ้านกับเมดเต็มห้อง บนโต๊ะมีอาหารแยกชุดไว้ข้างหน้าของแต่ละคน จานหลักวันนี้เป็นสเต๊กเนื้อคู่กับมันอบ มีไวน์กับซุปวางข้าง ๆ แล้วก็เค้กก้อนใหญ่ตั้งรอไว้ริมห้องฝั่งขวา

คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ผู้ชายที่ถามเรื่องรสชาติอาหารคนนั้นคือจักรพรรดิของอาณาจักรนี้ พ่อของเดเมลซ่า จักรพรรดิฟิเดอริก โรซามุนด์

ในนิยายแทบไม่มีบรรยายอะไรเกี่ยวกับจักรพรรดิคนนี้เลย แต่ว่าเท่าที่เห็นมาสองวัน ฟิเดอริกดูเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็น หรืออะไรที่จำเป็นก็ไม่พูดเหมือนกัน โควต้าอ้าปากคือวันละครั้ง หลังจากนั้นใครจะจิกหัวใคร ใครจะเหยียบเท้าใครก็ไม่สนใจทั้งนั้น คนคนนี้มีตาสีดำกับผมสีน้ำเงินเข้มของราชวงศ์ มีผมหงอกแซมบ้างนิดหน่อย และดูดีมาก... เคยเห็นนักแสดงอายุเยอะ ๆ ดูดี ๆ ที่อยู่ใน MCU[1]ไหม คุณพ่อจักรพรรดิเป็นแบบนั้นเลยแหละ 

ต่อมาคือคนที่กำลังทำสีหน้าอีกแล้วเหรออยู่ทางขวามือของฟิเดอริก จักรพรรดินีของการ์นอ ลิเน็ต วิลมอท จากตระกูลวิลมอท พี่สาวของบารอนวิลมอทคนปัจจุบัน คุณจักรพรรดินีคนนี้เองก็ดูดีมาก ๆ เช่นกัน เธอมีเส้นผมสีดำและดวงตาสีแดงเข้ม หน้าตาดีจนอยากร้องไห้ นอกเหนือจากนั้น เธอยังเป็นคนเก่ง คนใจดี และเป็นคนหนึ่งในนิยายที่รักเดเมลซ่าที่สุดอีกด้วย

ดีจนสงสัยว่าลูกของลิเน็ตมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ไง

แบบอีเจ้าของประโยคทุเรศ ๆ ประโยคนั้น ผู้ที่ลิเน็ตทำหน้าอีกแล้วเหรอใส่ น้องชายคนสุดท้ายของเดเมลซ่า ลูกชายของฟิเดอริกกับลิเน็ต ตัวก่อความไม่สงบแห่งมวลมนุษยชาติ อีเด็กเวรเฟลิกซ์ โรซามุนด์

นอกจากผมสีน้ำเงินที่เหมือนพ่อ สีตา จมูก ปาก หู ใบหน้าของเฟลิกซ์ล้วนถอดแบบมาจากแม่ทั้งหมด เหมือนทุกระเบียบนิ้ว... ยกเว้นสันดาน

ฉันถอนหายใจทิ้งอีกที ก่อนจะทำหน้ายิ้ม ๆ ใส่คนฝั่งตรงข้าม

"จะตะโกนทำไมเฟลิกซ์ เจ้าคงไม่ได้คิดว่าอ้าปากด่าข้าแล้วข้าจะก้มหน้าหุบปากให้เจ้าด่าหรอกใช่หรือไม่ เช่นนั้นอย่างน้อยก็ควรรู้ไว้ว่าถ้าเจ้าสามารถพ่นประโยคอุบาทว์ ๆ ใส่ผู้อื่นได้ ผู้อื่นก็มีสิทธิ์จะเอาขยะยัดปากเจ้าได้เหมือนกัน"

เฟลิกซ์โกรธจนหน้าดำหน้าแดง ตบโต๊ะแรงจนจานสะเทือน

ตั้งแต่ฉันมาที่นี่ นี่คือครั้งที่สิบกว่าแล้วที่มันพุ่งมาหาเรื่องฉัน และทุกครั้งที่หาเรื่องก็จะก้าวไปไม่พ้นเรื่องรูปร่างกับคู่หมั้น โดนด่าจนโมโหกลับไปทุกครั้งก็ยังไม่หยุดปากเหี้ย ครั้งนี้ก็เหมือนเดิม รู้สึกอยากจะล้มโต๊ะสักทีไปให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ก่อนจะมีใครได้ล้มโต๊ะกันจริง ๆ ก็มีเสียงแทรกขึ้นมาอีกเสียงหนึ่งก่อน

"เสียมารยาทพอแล้วหรือไม่ เฟลิกซ์ โรซามุนด์"

ฉันหันไปหาต้นเสียง เป็นคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ทางขวาของฉัน

คนคนนี้คือคนสุดท้ายที่ฉันจะแนะนำ พี่ชายฝาแฝดของเดเมลซ่า และพี่ชายคนโตของราชวงศ์รุ่นนี้ รูเบน โรซามุนด์

"โต๊ะอาหารไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาทำลายข้าวของและทำเสียงดังได้ เก็บส้อมขึ้นมาแล้วนั่งดี ๆ ก่อนที่ข้าจะต้องให้คนเชิญเจ้าออกไป"

หลังจบประโยคนั้น ไอ้เด็กปากหมาก็หงอยลงไปทันที อึกอักพูด "แต่เดเมลซ่าก็-"

"เฟลิกซ์"

"ขอรับ…"

และนอกเหนือจากตำแหน่งพี่ชายคนโต เขายังควบตำแหน่งผู้นำพาความสงบสู่โลก คนปราบพยศของเฟลิกซ์

ฉันแอบเห็นองค์จักรพรรดินียกนิ้วให้รูเบนด้วยล่ะ

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม คนเดียวที่ไอ้เด็กเวรนั่นฟังมีแค่พี่ชายต่างแม่ รูเบนคนเดียวเท่านั้น แม้แต่ลิเน็ตยังต้องไปตามรูเบนตอนเฟลิกซ์อาละวาดขึ้นมา

ที่บอกว่าเป็นพี่ชายต่างแม่ก็เพราะทั้งรูเบนและเมเดลซ่าไม่ใช่สายเลือดของลิเน็ต แต่เป็นลูกของราชินีองค์ก่อนที่เสียไปไม่กี่วันหลังคลอดแฝดคู่นี้น่ะ แต่แฝดถูกก็เลี้ยงมาโดยลิเน็ตนะ แล้วก็เลี้ยงอย่างดีเชียวล่ะ ดีจนขนาดเดเมลซ่าออริจินัลที่เกลียดทุกอย่างบนโลกยกเว้นโจเวลยังรักแม่เลี้ยงคนนี้มาก

"เดเมลซ่า… น้อง…"

จู่ ๆ เสียงรูเบนก็ดังขึ้นอีกที ฉันจึงผินหน้าไปมองเขา เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

พอเห็นฉันมอง คุณพี่ชายก็กลืนน้ำลาย สีหน้าประหม่าอย่างยิ่ง "น้องกินสักหน่อยเถิด พี่เห็นว่าเราไม่ได้แตะอาหารมาหลายวันแล้ว ระ…หรือว่า"

แล้วก็แปลงร่างจากมังกรเป็นหมาเรียบร้อย

ในนิยาย รูเบนเป็นอีกคนนอกจากลิเน็ตที่คัดค้านการปลดเดเมลซ่าและปกป้องเธอ เขาเป็นคนที่รักและจริงใจกับเดเมลซ่าที่สุด และยังเป็นพี่ชายแสนดีที่น้องเกลียดที่สุดเช่นกัน

"…หรือว่าน้องอยากกินอย่างอื่น ให้ทำใหม่หรือไม่ หรือให้พี่พาน้องไปข้างนอก" รูเบนกล่าวต่อพร้อมเปลี่ยนสายตาเป็นห่วงใย "ภัตตาคารเปิดใหม่ที่ถนนบาร์นส์อาหารอร่อยมากทีเดียว น้องว่าอย่างไร"

ส่วนสาเหตุที่เดเมซ่าไม่ชอบรูเบนฉันก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าในนิยายบรรยายไว้แบบนั้น แล้วเมื่อดูจากการปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวังตอนนี้ ที่บรรยายไว้น่าจะเป็นเรื่องจริง

"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ" ฉันพยายามทำหน้าให้จริงใจที่สุด "ข้าไม่หิวจริง ๆ"

 รูเบนเม้มปาก ใบหน้าฉายแววผิดหวังอย่างชัดเจน "งั้นหรือ..."

โอ๊ย หางตกแล้วพ่อคุณ

"เป็นอะไรหรือเปล่าเดเมลซ่า ลูกกินน้อยมาหลายวันแล้วนะ ซ้ำยังดูซึมลงมากทีเดียว" องค์จักรพรรดินีพลันพูดขึ้น วางมีดมาจ้องหน้าฉันด้วยสายตาเป็นห่วงอีกคน "มีเรื่องอะไรอยากระบายกับแม่หน่อยหรือไม่"

อ๋อ ไม่ได้เป็นอะไรเลยค่ะ ไม่ได้ซึมลงด้วย นี่แค่เป็นนิสัยปกติของผีที่มาสิงร่างลูกคุณแม่เฉย ๆ ...ก็ตอบแบบนี้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ

ฉันยิ้มแห้ง เตรียมหาเหตุผลดี ๆ สักอย่างมาอ้าง กลับมีคนแทรกพูดไปก่อน

เจ้าเก่าเจ้าเดิม อีเด็กเวรเฟลิกซ์

"จะเป็นอะไรได้เล่าขอรับท่านแม่ เหตุผลก็คงจะเป็น โจเวล โจเวล โจเวล " ยังเพิ่มฟีเจอร์ดัดเสียงแหลมอย่างน่าหมั่นไส้ "วัน ๆ หนึ่งของนางมีเรื่องอื่นด้วยหรืออย่างไร"

ไอ้เหี้ยนี่

ฉันสูดลมหายใจเข้าสงบอารมณ์ สงสัยมากว่าเดเมลซ่าออริจินอลทนกับนิสัยมันได้ไง 

"เจ้าพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกนักนะ ไม่แน่ วัน ๆ หนึ่งของข้าอาจจะมีเรื่องอื่นด้วยก็เป็นได้ เช่นว่าเรื่อง ทำอย่างไรให้อีเด็กเปรตในบ้านหุบปากได้สักที น่ะ"

น้องชายคนเล็กของโรซามุนด์ลุกพรวด "เดเมลซ่า!"

"อะไร ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าเด็กคนไหน หรือเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นเด็กเปรตหรือ"

ฉันละสายตาออกจากเฟลิกซ์ที่พองขนควันออกหูไปทางหัวโต๊ะ อาศัยจังหวะที่คนที่เหลือยังไม่ทันมีกิริยาอะไรกล่าวต่อ ไม่คิดสนใจน้องชายนิสัยเสียอีก

"ขออภัยเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกทำให้บรรยากาศแย่ไปเสียแล้ว เช่นนั้นเพื่อไม่ให้มันแย่ไปกว่านี้ ลูกขอตัวก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ" แล้วหันไปบอกพี่เมดข้างตัวให้ยกอาหารที่ยังไม่ได้แตะขึ้นไปบนห้อง จากนั้นไม่รอใครตอบ เดินออกไปทันที

รู้น่าว่าทำให้คนที่เป็นห่วงรู้สึกแย่ลง แต่โดนพูดใส่อย่างนั้นใครจะไปทนไหวล่ะ

ถึงที่พูดมามันจะเป็นเรื่องจริงก็เหอะ…

ฉันเดินจากห้องอาหารไปทางส่วนกลางของวัง ออกทางประตูเล็กไปที่สวนข้างนอก

ก่อนจะกลับไปทำงาน มีอย่างหนึ่งที่ฉันต้องทำประจำหลังมื้ออาหาร นั่นคือการเดินออกไปกินแอปเปิลที่สวนของวังใหญ่

ที่บอกว่าไม่หิว ฉันโกหกน่ะ ที่จริงหิวจนแสบท้องแล้ว แต่ที่ไม่แตะอะไรเลยเพราะพอคิดว่าเบื้องหลังมันมาจากภาษีประชาชน ฉันก็หมดอารมณ์จะกินทันที หิวจนจะตายยังกระเดือกไม่ลงสักอย่าง เหตุผลที่ฉันให้ขนมคนในวังก็ไม่ใช่เพราะแค่จะซื้อใจหรอก แต่มันกินไม่ได้จริง ๆ อะ อีกอย่าง ที่สำคัญเลย มันก็เป็นเงินของพวกเขาเองทั้งนั้นด้วย ชีสพายที่เหลือเมื่อกลางวันเองก็ไม่ได้กินเหมือนกัน ต้องให้แคลร์เอากลับไปแบ่งคนอื่นต่อ มื้ออาหารในทุกวันก็ด้วย

คุณอาจจะกำลังสงสัยว่าทำไมฉันต้องคิดมากขนาดนั้น ลองคิดดูนะว่าประชาชนจ่ายภาษีไปเพื่ออะไร เพื่อให้ราชวงศ์ไปปรนเปรอตัวเองเหรอ เพื่อให้ราชวงศ์มีกินมีใช้เหรอ เพื่อให้เงินราชวงศ์เปล่า ๆ เหรอ มันไม่ใช่อยู่แล้ว พวกเขาจ่ายเงินเพื่อให้เงินนั้นกลับไปสู่พวกเขา ไปพัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาบ้านเมือง พัฒนาประเทศเพื่อให้พวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แล้วการที่ราชวงศ์เอาเงินของคนอื่นมาสร้างที่หรู ๆ ซื้อของแพง ๆ กินอาหารดี ๆ ที่เจ้าของเงินยังไม่มีโอกาสได้กิน เกาะประชาชนแดกไปวัน ๆ มันจะต่างอะไรกับปรสิตหรือพยาธิ

คืนแรกที่เข้ามาฉันนอนไม่หลับเลยด้วยซ้ำ แม้แต่น้ำยังไม่อยากจะกลืนไปสักอึกเดียว แค่คิดว่าทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมันมาจากเงินคนที่ถูกกดขี่ก็เครียดจนไมเกรนขึ้น ไม่อยากจะกินอะไรเลย แต่ในที่สุดก็ทนหิวไม่ไหวจนต้องเดินมาเด็ดแอปเปิลเนี่ย คิดอย่างน้อยมันก็เป็นส่วนที่ใช้ภาษีนิดเดียวละวะ

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนที่ใช้เงินของคนอื่นได้อย่างสบายใจพวกนั้นเคยรู้สึกผิดสักเสี้ยวหรือเปล่า การที่เห็นภาพประชาชนไม่มีกิน ตกงาน หรือถูกทำร้ายมันทำให้รู้สึกอะไรได้บ้างไหม หรือมนุษยธรรมในตัวถูกอำนาจเงินกลืนไปหมดแล้ว

ไม่ได้พูดถึงแค่คนกลุ่มนั้นในโลกเก่าของฉันเท่านั้น ยังรวมถึงครอบครัวของร่างนี้ด้วย ในฐานะคนมาสิงร่าง ฉันรู้สึกดีกับพวกเขานะ พวกเขาก็น่ารักดี แต่ในฐานะคนที่เคยเป็นประชาชน ฉันคงไม่สามารถสนิทใจกับครอบครัวนี้ได้จริง ๆ

พอฉันเดินมาถึงต้นแอปเปิลต้นประจำ ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว แสงสีส้มสุดท้ายของวันลอดผ่านเส้นขอบฟ้าตกกระทบต้นไม้เป็นเงาจาง ๆ ฉันใช้มือเด็ดแอปเปิลบนต้นมาถูทำความสะอาดกับเสื้อ ก่อนยกมาเล็ม ๆ แทะ ๆ ทีละนิดอย่างระมัดระวัง ต้นไม้แถวนี้มีแมลงเยอะมาก ฉันเคยเห็นหนอนตัวใหญ่เลื่อยอยู่บนกิ่งแอปเปิลด้วย ถึงจะไม่เคยเจอมันอยู่ในลูก แต่ใครจะไปรู้ล่ะ วันดีคืนดีมันอาจจะเจาะเข้าไปก็ได้

ฉันถกกระโปรงย่อตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าห่างจากลำต้นเล็ก ๆ ของต้นแอปเปิลมาหน่อย เงยหน้ามองหน้าต่างพระราชวังที่สว่างวาบไปด้วยแสงเทียน มีเงาคนเดินไปเดินมาเต็มไปหมด เพราะเป็นช่วงเย็น ทุกคนจึงอยู่ในตัววังกันหมด และนั่นเป็นเรื่องดี ฉันจะได้มีพื้นที่นั่งคิดอะไรคนเดียวบ้าง

เห็นบ่นเรื่องภาษีไปเยอะขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบที่ได้เกิดใหม่มาเป็นเจ้าหญิงหรอกนะ แค่ได้ออกมาจากประเทศนั้นฉันก็ชอบแล้ว ที่สำคัญการได้มาเป็นเจ้าหญิงในอาณาจักรที่ใช้ระบอบกษัตริย์ปกครองแบบนี้นี่แหละถึงสะดวกที่สุด

ที่บอกไว้ว่าเป้าหมายคือตำแหน่งจักรพรรดิน่ะ จริง ๆ ที่อยากได้มันไม่ใช่ตำแหน่งหรอก เป็นสิทธิ์ในการเปลี่ยนระบบการปกครองของอาณาจักรต่างหาก

ถ้าปล่อยให้คนอื่นขึ้นไปนั่งบัลลังก์ จะรู้ได้ไงว่าคนที่ได้นั่งจะยอมสละสมบัติและความสบายที่เคยได้ ดังนั้นฉันจึงต้องเป็นคนที่ได้ตำแหน่งจักรพรรดิ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฉันไม่มีทางอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปตลอดชีวิตแน่นอน

ฉันกัดแอปเปิลที่เหลือคำสุดท้ายเข้าปาก เหม่อมองพ่อบ้านคนหนึ่งที่กำลังจัดชั้นหนังสือผ่านหน้าต่าง ลมเย็น ๆ พัดพากลิ่นหอมจากสวนดอกไม้โชยมา ความคิดฉันลอยออกไปเรื่อย ๆ ตาฉันเริ่มหรี่ลง เตรียมจะปิดสนิทในอีกไม่นาน

"องค์หญิงเพคะ"

ตกใจหมด!

ฉันตาสว่างทันที แทบจะปาซากแอปเปิลในมือออกไป แต่พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครก็ชะงักมือไว้ได้ทัน ฉันพ่นลมหายใจยาว ยกมือลูบอกตัวเองทีหนึ่งก่อนยันตัวขึ้นยืน ร้องเรียก "แม่นม"

แม่นมถอนหายใจ เดินตรงเข้ามาปัดเศษดินออกจากชุดฉัน "หม่อมฉันเดินหาท่านเสียทั่วเลย มานั่งทำอะไรตรงนี้เพคะ กระโปรงเปื้อนหมดแล้ว"

คนผู้นี้คือคลอเดีย สมิธ แม่นมคนดีของราชวงศ์โรซามุนด์ คนสุดท้ายที่จริงใจกับเดเมลซ่า

ฉันยิ้มกว้าง ก้มไปจัดมวยผมที่เริ่มมีหงอกแซมให้เธอเบา ๆ "แค่มานั่งเล่นเท่านั้น แม่นมมีอะไรหรือ"

ฟังประโยคนั้นจบ คลอเดียก็ส่ายหัว ถอนหายใจอีกที ทำหน้าหน่ายใจเหมือนครูตอนนักเรียนลืมทำการบ้าน "ก็องค์หญิงนัดใครไว้เล่า ดยุกเดสเตรียนมานั่งรอตั้งนานแล้วเพคะ"

 

 

 

 

ฉันผลักประตูอย่างเร่งรีบเข้าไปในห้องรับรอง กรีดร้องในใจว่าฉิบหาย ก่อนปรับสีหน้าให้น่าเอ็นดูที่สุด เดินเข้าไปหาผู้ที่มาเยือน "ทำให้ท่านต้องรอแล้ว ขออภัย"

คนที่นั่งอยู่ก่อนขยับลุกขึ้น ค้อมหัวลง "องค์หญิงมีภาระหน้าที่มากมาย กระหม่อมไม่บังอาจพ่ะย่ะค่ะ"

ฉันลอบพ่นลมหายใจออกอย่างโล่งอก คิดว่าจะโดนโกรธซะแล้ว

คนตรงหน้าฉันผู้นี้มีเส้นผมสีดำและดวงตาสีเดียวกัน ใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏร่องรอยของประสบการณ์ชัดเจน

"เรียกเดเมลซ่าเถิด" ฉันยิ้ม พูดต่อ "ท่านลุง"

ผู้ที่ฉันนัดผ่านจดหมายมาคือดยุกโอลิเวอร์ เดสเตรียน พี่แท้ ๆ ของโอลิเวีย เดสเตรียน อดีตจักรพรรดินีแห่งการ์นอ แม่ของเดเมลซ่า

โอลิเวอร์สะดุดไปหนึ่งจังหวะ สีหน้าเปลี่ยนไปหน่อยหนึ่ง "กระหม่อมไม่กล้า"

"อย่าเกรงใจหลานเลย เป็นคนกันเองทั้งนั้น" ฉันกล่าวพร้อมผายมือให้โอลิเวอร์นั่งลง ก่อนจะหย่อนตัวตาม

ดยุกเดสเตรียนขมวดคิ้วน้อย ๆ พยักหน้าอย่างประหม่า ดูคล้ายแปลกใจและไม่ชิน

แหงสิ เดเมลซ่าออริจินัลเกลียดญาติฝั่งแม่ตัวเองอย่างกับอะไรดี ไม่มีทางมาพูดเป็นกันเองแบบนี้แน่นอน

ฉันพยายามยิ้มให้ดูจริงใจที่สุด ยกมือรินชาสมุนไพรที่พึ่งได้มายื่นให้เขา จากนั้นเริ่มคุยก่อน "ช่วงนี้ทางใต้มีกลุ่มโจรป่าอาละวาดหนัก งานท่านคงหนักมากทีเดียว ขออภัยที่ยังรบกวนเวลาท่านลุงอีก"

"ไม่รบกวนเลยพ่ะย่ะ-" ชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ พูดใหม่อย่างละล้าละลัง "…ไม่ได้รบกวนใด ๆ เลย ลุงยินดียิ่งที่ได้ช่วยเหลือท่าน"

ตอนนี้หน้าโอลิเวอร์เลิ่กลั่กมาก เขาหยิบแก้วชามาจิบแบบเกร็ง ๆ

"ช่วงนี้ดยุกมาร์ตินเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่"

คนโดนถามชะงักไปชั่วครู่ หันกลับมามองหน้าฉัน ดูคล้ายคิดไม่ถึงกับคำถามนี้ "สบายดีมาก... เขายังฝากลุงมาทักทายท่านด้วย"

"เช่นนั้นต้องฝากท่านลุงทักทายกลับแล้ว หากมีโอกาส หลานจะเข้าไปทักทายด้วยตัวเองอีกที"

โอลิเวอร์กะพริบตาช้า ๆ ค่อย ๆ ยิ้มตอบ ดูเหมือนว่าในที่สุดก็เริ่มหายเกร็ง

ดยุกมาร์ติน หรือ เอลวิน มาร์ติน คือสามีของโอลิเวอร์ ลุงเขยของเดเมลซ่า

ที่นี่ ในอาณาจักรนี้ ทุกคนสามารถแต่งงานหรือเลือกใช้ชีวิตกับใครก็ได้อย่างอิสระโดยไม่จำกัดอะไรทั้งนั้น ถือเป็นเรื่องดี ๆ อย่างหนึ่งในเรื่องแย่ ๆ อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องมาแก้กฎหมายตรงนี้ นั่งฝ่าฟันกับขุนนางแก่ ๆ อีก และมันยังเป็นผลดีกับตัวฉันเองมากทีเดียว

ปล่อยให้ห้องเงียบไปครู่หนึ่งจนลดช่องว่างระหว่างเขากับฉันได้มากแล้ว ฉันก็กระแอมล้างคอ เตรียมพูดเข้าประเด็น ไม่คิดอ้อมค้อมอีก งานกองพะเนินบนโต๊ะยังไม่ได้เคลียต่อสักอย่าง ถ้าไม่รีบกลับไปตอนนี้ คืนนี้ก็ไม่ต้องนอนแล้ว

"ท่านลุง แล้วเรื่องที่หลานฝากไปได้ความอะไรบ้างหรือไม่"

"อ่า เรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว ท่านลองดูเถิด..." โอลิเวอร์ตอบ เขาขยับไปหยิบซองกระดาษใบใหญ่สองซองที่ฉันพึ่งสังเกตบนโต๊ะมาให้ ฉันรับมันมาเปิดออกอันหนึ่ง ก่อนจะนิ่งค้างไปทันที

"ท่านพ่อฝากโฉนดที่ดินรวมทั้งตั๋วแลกเงินมาให้ บอกว่าตั๋วแลกเงินปึกนั้นคือเงินส่วนแบ่งของการค้าเดสเตรียนที่ท่านเคยปฏิเสธไม่รับในสิบปีที่ผ่านมาทั้งหมด… ยังมีสมบัติส่วนตัวของโอลิเวียที่ท่านควรได้รับแต่แรกที่ด้านนอก ตรวจสอบเสร็จคงมีคนยกเข้ามา" คุณลุงเดสเตรียนพูดขยายความต่อ

"ส่วนในซองกระดาษอีกซอง มีรายละเอียดของธุรกิจของเดสเตรียนทั้งหมด บัญชีในหนึ่งปีที่ผ่านมา วิธีทำการค้า เส้นทางการขนส่งของ รวมทั้งใบรับรองความโปร่งใสของธุรกิจที่ตรวจสอบโดยขุนนางท้องถิ่น"

เขายิ้มจาง ๆ "ท่านพ่อยังฝากบอกว่าไม่ได้พบท่านนานแล้ว หากท่านมีเวลา สามารถไปเยี่ยมชมนอร์ทแลนด์ได้ บรรยากาศช่วงฤดูหนาวที่นั่นดีที่เดียว"

ฉันแอบกลืนน้ำลาย แอบนับจำนวนตั๋วเงินกับโฉนดคร่าว ๆ ในใจ พลันรู้สึกหน้ามืดขึ้นมา

ฉันวางซองในมือลงบนตักช้า ๆ กระแอมไออีกที "รบกวนท่านลุงแล้ว"

โอลิเวอร์ส่ายหน้า เขายิ้มให้ฉันบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นค้อมตัว "ท่านค่อย ๆ ดูเถิด ไม่ขอรบกวนเวลาของท่านแล้ว ลุงขอตัวก่อน"

ฉันลุกตาม เตรียมเดินออกไปส่งเขา โอลิเวอร์กลับยกมือหยุดฉันไว้ บอกว่าไม่ต้องลำบาก

รอจนอีกฝ่ายเดินออกประตูไป ฉันถึงทรุดตัวนั่งอีกรอบ หยิบตั๋วแลกเงินสะสมสิบปีของเดเมลซ่าขึ้นมาถือใหม่

เกิดมาสองชาติ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จับเงินเยอะขนาดนี้ คุณพระคุณเจ้า จะเป็นลม

แต่เท่านี้ก็หาข้าวกินได้อย่างสบายใจสักที

พื้นเพเดิมของตระกูลเดสเตรียน ตระกูลฝั่งแม่ของเดเมลซ่าคือพ่อค้า และตาของเดเมลซ่า ออกัส เดสเตรียนคือเจ้าของธุรกิจการค้าตระกูลเดสเตรียนคนปัจจุบัน

แน่นอนว่าฉันไม่มีทางยอมกินแอปเปิลมื้อละลูกไปตลอดชีวิต ก็เลยคิดว่าต้องหาหนทางทำเงิน แล้วเผอิญไปรู้จากแม่นมมาว่าจริง ๆ เดเมลซ่ามีเงินส่วนแบ่งจากตระกูลในทุกเดือนอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวไม่คิดรับเอง ดังนั้นเมื่อวันก่อนถึงได้เขียนจดหมายไปสอบถาม (ทวง) เรื่องเงินส่วนแบ่งประจำเดือนจากดยุกเดสเตรียน ตกใจเหมือนกันที่ได้มาเร็วขนาดนี้

ฉันวางตั๋วเงินลง หยิบอีกซองมาเปิดดูบ้าง

ในซองที่สองมีเอกสารตามที่โอลิเวอร์บอกทุกอย่าง ฉันเปิดรายละเอียดของธุรกิจและบัญชีอ่านก่อน พบว่าเดสเตรียนทำธุรกิจขนส่งโดยเรือเป็นหลัก ทั้งสินค้าและผู้โดยสาร ทั้งข้ามอาณาจักรและข้ามทวีป มีร้านรับแลกเงินและบริการขนส่งทางบกบ้างประปราย

ฉันเป็นคนขอเอกสารพวกนี้มาเพื่อตรวจสอบเอง ก็การหนีจากเงินภาษีไปหาเงินนายทุนเหี้ย ๆ มันต่างกันตรงไหนล่ะ สุดท้ายก็ใช้เงินจากประชาชนที่โดนกดขี่เหมือนกัน

เท่าที่เห็นเดสเตรียนก็ดูใช้ได้ อย่างน้อยเงินเข้าเงินออกมันก็ไม่ได้เป็นตัวเลขที่เยอะขนาดนั้น ในเอกสารรับรองก็ระบุว่าเป็นธุรกิจขนาดกลาง

แต่ว่านะ เอกสารมันปลอมแปลงได้นี่

ยังมีประโยคนั้น

"ท่านพ่อยังฝากบอกว่าไม่ได้พบท่านนานแล้ว หากท่านมีเวลา สามารถไปเยี่ยมชมนอร์ทแลนด์ได้..."

นี่มันเป็นประโยคบอกชัด ๆ ว่าถ้าไม่เชื่อเอกสาร เชิญไปตรวจสอบที่นอร์ทแลนด์ได้เลย น่ะ

ถึงในนิยายจะบอกว่าเดสเตรียนสะอาดและไว้ใจได้ก็เหอะ แต่ไว้ใจได้ของคนเขียนนี่แบบไหน แบบนายทุนผูกขาดในระบอบทุนนิยมนี่ก็ไม่เอานะ

ว่าง ๆ คงต้องออกไปสืบหน่อย

ก๊อก ๆ

"ขออนุญาตเพคะ"

ฉันหลุดจากภวังค์หลังเสียงเคาะประตูดัง เงยหัวไปเห็นเป็นใบหน้าแคลร์กำลังชะโงกเข้ามา สีหน้าคล้ายลำบากใจ

ฉันเลิกคิ้ว "มีเรื่องอะไรหรือ"

"คือว่า" แคลร์เม้มปาก ดูไม่อยากพูดเท่าไหร่ "ลอร์ดโจนส์มาขอพบองค์หญิงเพคะ"

"..."

ถามจริง

 

 

 

[1] MCU ย่อมากจาก Marvel Cinematic Universe คือ จักรวาลภาพยนต์มาร์เวล