ฉันไม่รู้เลยว่าฟุบหลับบนโต๊ะไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พยายามทำให้ตัวเองไม่ง่วงแล้วแต่ก็ยังทนไม่ไหวอยู่ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศคืนนี้เย็นกว่าปกติหรือฉันเหนื่อยเกินไปกันแน่ 

นอกจากหลับ ฉันก็ยังฝัน ฉันฝันเห็นตัวเองนั่งอยู่บนพื้นถนนที่รายล้อมไปด้วยเศษแก้ว ได้ยินเสียงเบรกแสบแก้วหูผสมกับเสียงกรีดร้องของผู้คน

ฉันเห็นโลหิตสีสดไหลนองเต็มพื้น เห็นตัวฉันในความฝันนั่งมองมัน เห็นเธอขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นเบา ๆ อ้าปากคล้ายพยายามส่งเสียงเรียกใครบางคน ทว่าที่เธอทำได้มีเพียงแค่นคำกระซิบออกจากลำคอแห้งผาก

"เ..."

"…าย"

"อีพาย!"

ฉันรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นจากคำเรียกชื่อนั้น พอหันตามเสียงไปก็พบว่าเป็นเติ้ลยืนอยู่ในสวนข้างล่าง

"อีห่า กูเรียกตั้งนาน" มันทัก "หลับเพลินเลยนะ"

ฉันกะพริบตา ยังงงอยู่บ้างเลยนั่งตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง รอจนดึงตัวเองออกมาจากฝันได้ค่อยลุกแล้วสาวเท้าไปริมระเบียง ชะโงกหน้าสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีคนอยู่ แล้วหันไปพูดกับคนข้างล่างเบา ๆ เพื่อไม่ให้เสียงสั่น

"กูไม่คิดว่ามึงจะเข้ามาได้จริง ๆ"

เติ้ลมองฉัน มันยิ้มภูมิใจคล้ายกำลังจะยอตัวเองต่อเหมือนทุกครั้ง แต่กลับชะงักไป "มึงหน้าซีดมาก เป็นไรป่ะเนี่ย ฝันร้ายอ่อ"

"ฝันถึงมึงนั่นแหละ น่ากลัวฉิบหาย" ฉันโบกมือใส่มัน ก่อนพูดเบี่ยงประเด็น "แล้วมึงเข้ามายังไงเนี่ย"

มันทำหน้าจับผิด เหมือนจะรู้ทันว่าฉันเปลี่ยนเรื่อง ทว่าก็ยอมพายตามน้ำ มันถอนหายใจเบา ๆ

"เนี่ย คนอ่านนิยายข้าม" แล้วชี้ไปข้างหลังตัวเอง "มันมีรูกำแพงอยู่มึง ที่โจเวลลอดเข้ามาปีนหาชาร์ลอตต์"

ฉันทำหน้าเหยเก ความรู้สึกเสียวคอขึ้นมาแทนที่ความกังวล คือต้องซาบซึ้งกับโจเวลไหมที่มันทำให้ฉันหยุดคิดเรื่องฝันเมื่อกี้มาขนลุกเรื่องนี้แทน

"เออ กูรู้มันทุเรศ แต่อย่างน้อยตอนนี้มันก็ทำให้กูแอบเข้ามาหามึงได้ละกัน"

ฉันกลอกตา ถอนลมหายใจทิ้งยาว ๆ แล้วกลับหลังหันไปทางประตูระเบียง ใช้สายตาเช็กให้แน่ว่ากองเอกสารบนโต๊ะใต้ที่ทับกระดาษจะไม่ปลิวและอยู่ในตำแหน่งที่จะไม่เปียกถ้าฝนตก เช็กเสร็จก็เดินไปข้างหน้าต่อ แต่จังหวะที่เตรียมก้าวเข้าไปในห้องดันมีเสียงขัดขึ้นก่อน

"จะไปไหน"

ฉันเอี้ยวคอกลับไปหาเจ้าของเสียง "ก็จะลงไปหามึงไง"

"มันมีคนเฝ้าหน้าประตู มึงจะออกไปได้ไง" เติ้ลยิ้ม ยิ้มแบบที่ฉันบอกบ่อย ๆ ว่ามันปลอม จากนั้นถอยหลังออกไปสองก้าวใหญ่ กวักมือ

"โดดลงมาเลย"

"ฮะ?"

"เออ โดดลงมาเหอะ ชั้นสอง ไม่ตาย"

ฉันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง "กูถามจริง"

มันลากเสียง "เออ"

ฉันละสายตาจากมันมามองพื้น กลืนน้ำลาย

"มึงมาเหอะ เชื่อกู มันเคยมีคนกระโดดแล้ว กูถึงกล้าให้มึงลงทางนี้ไง"

"ใคร"

"ชาร์ล็อตต์"

"ชาร์ล็อตต์มีปีก!" ฉันถลึงตา โวยใส่มันเดี๋ยวนั้น "อีเติ้ล!!!"

"เอาน่า มันไม่ได้สูงขนาดนั้นมึง เชื่อกูดิ มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ"

อีเหี้ย ไม่

"มันมีคนเดินยามอยู่ ถ้ามึงไม่รีบ นอกจากจะไม่ได้ไปแล้ว กูกับมึงจบเห่แน่" เติ้ลยักไหล่ "โทษขององค์หญิงคงเป็นกักบริเวณมั้ง ทำผิดประมาณนี้น่าจะโดนสักสามเดือน นี่ ละตอนโดนทำโทษห้ามทำงานด้วยนะ มึงต้องไปกักตัวเรียนมารยาท"

"...อยากรู้ป่ะว่างานสามเดือนมันจะสุมได้เยอะขนาดไหน"

มีคนที่รู้จักกันดีเกินไป บางทีมันก็เป็นผลเสียนะ ยิ่งถ้าเป็นคนรู้จักสันดานเสียแบบอีจิ้งจอกสามร้อยหางตัวนี้

ฉันทำตาค้อนใส่มัน แล้วค่อย ๆ เดินกลับเข้าไปชิดริมระเบียงใหม่ ชะโงกหน้าลงไป แต่ก็ต้องดึงสายตากลับขึ้นมาอีกรอบ

ฉันรู้ว่ามันไม่ได้สูงขนาดที่จะบาดเจ็บได้ แต่ก็ไม่ไหวอะ

"ถ้ากูคำนวณไม่ผิด อีกห้านาทีคนเดินยามจะผ่านมุมนั้น และจะมองมาเห็นถึงตรงนี้พอดี" มันพูดขึ้นอีก บุ้ยไปทางขวาของฉัน ที่มุมตึกท้ายสุดของวังข้าง แล้วยิ้มจนตาปิด "หรือองค์หญิงอยากจะลองเรียนมารยาทจริง ๆ เล่าพ่ะย่ะค่ะ"

…อีเลว

ก็ได้ เป็นไงเป็นกันวะ

ฉันยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถกกระโปรงยาวกรอมเท้าขึ้น แล้วยกขาข้ามระเบียงเพื่อไปยืนบนช่องที่ถูกทำให้ยื่นออกมานิดหน่อยที่นอกราวระเบียง

ฉันหันหลังมาชิดกับราวระเบียง ใช้มือเกาะเพื่อให้มั่นใจว่าจะยังไม่ตกลงไปก่อนเวลาอันควร และพยายามไม่มองลงพื้นเพื่อสร้างกำลังใจ แต่ก็ดูไม่ได้ผลเท่าไหร่ เพราะสัมผัสได้ว่ามือมันเริ่มลื่น ๆ แล้ว

"มึงจะกรี๊ดไหมเนี่ย"

ฉันไม่ได้ตอบมัน เพียงแค่ค่อย ๆ ปล่อยมือที่จับราวไว้ จากนั้นก็เหมือนจะกระโดด… อันที่จริงแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากระโดดไปตอนไหน มีแค่แรงสะเทือนตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นถึงหัวที่เป็นสิ่งบ่งบอกว่าฉันพาตัวเองลงมาถึงพื้นสวนเรียบร้อยแล้ว ปากฉันแตกนิดหน่อยเพราะแรงกัดระหว่างลง แต่นอกจากนี้ก็ไม่มีส่วนไหนเป็นอะไรอีก

"กูบอกละไงว่าไม่เป็นไร" เติ้ลขยับเข้ามาพยุงแขน มองขึ้นลงสำรวจตัวฉันหลายที พอแน่ใจว่าฉันไม่เป็นอะไรก็ค่อยใช้มือส่งใช้สัญญาณให้เริ่มเดิน

ฉันก้าวขาตามที่มันว่า แต่แค่ก้าวไปทีเดียว ความรู้สึกเย็น ๆ ใต้ฝ่าเท้าก็ทำให้ต้องหยุดแล้วก้มลงมองเท้าตัวเอง

"ทำไมไม่ไปอะ"

"...มึง กูลืมรองเท้า"

"อีคว๊าย" มันพูดเสียงสูงใส่หน้าฉัน ก่อนจะถอนหายใจ "หรือจะไปเอาไหม กูว่ายังปีนทัน"

ฉันเงยหน้ามองระเบียง ถ้าขึ้นไป แสดงว่าต้องโดดลงมาอีกรอบ

คำตอบแทบไม่ต้องคิดเลย

"ช่างแม่งเหอะ สัมผัสประสบการณ์ นิยายแฟนตาซีไม่มีพยาธิหรอก"

"ถามจริง"

"เออ มึงจะยืนรอตรงนี้ให้โดนจับได้เหรอ อยากโดนพ่อด่าสักสามเดือนไหม" ฉันย้อนใส่มัน "ไปได้แล้ว รูอยู่ตรงไหน"

เติ้ลใช้หางตามองฉัน มันทำปากเบะ กระแทกเสียง "ตาม พระ บัญ ชา" จากนั้นเดินกระทืบเท้านำไป

เชื่อเถอะ นี่ยังแสดงออกมาเหี้ยไม่ถึงห้าส่วนของนิสัยปกติมันเลย

ฉันจิ๊ปากไล่หลังมัน แล้วค่อยเร่งฝีเท้าตามไป

ไม่นานหลังจากนั้น ในที่สุดก็เจอรูกำแพงที่ว่า

มันเป็นรูที่ใหญ่พอสมควร ใหญ่แบบที่คนตัวโต ๆ คนหนึ่งสามารถลอดผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ ใหญ่แบบที่ไม่ควรมีใครปล่อยทิ้งไว้ให้คนมาลอดเข้าออกเล่นได้ง่าย ๆ อย่างนี้

สงสัยเหมือนกันว่าไม่เคยจะตรวจเจอกันเลยหรือไง

"เดี๋ยวกูลอดไปก่อน มึงตามนะ" เติ้ลชี้รูกำแพงขนาดใหญ่นั้น แล้วพอเห็นฉันพยักหน้า มันก็ไม่รอช้าอีก ย่อตัวมุดไปก่อน

ฉันก้มลงมองชุดขาวของตัวเอง รู้งี้เปลี่ยนชุดเป็นสีอื่นดีกว่า

แต่มาถึงตรงนี้ ทางเลือกที่เหลือก็มีแค่ทำใจแล้ว ได้แต่เอาตัวมุดเข้ารู คลานตามเติ้ลออกไป มุดออกมาเสร็จก็พยุงตัวเองขึ้น ใช้มือปัดเศษดินให้หลุดจากกระโปรง ก่อนเงยหน้าสำรวจรอบด้าน

สิ่งแรกที่เข้ามาสู่สายตาฉันคือดวงจันทร์ ท้องฟ้าโล่ง และภาพของเมืองที่จมอยู่ในความมืดยามกลางคืน น้ำค้างบนยอดหญ้าทำขากับกระโปรงฉันเปียก จึงรู้สึกหนาวอยู่บ้างเมื่อลมพัดมาโดน

ช่วงที่โจเวลเทียวไล้เทียวขื่อมาจีบชาร์ล็อตต์ในวังเป็นช่วงที่ฉันอ่านข้ามเยอะที่สุด และตั้งแต่เข้ามา ฉันยังไม่เคยไปไหนเลยนอกจากวัง ขณะที่เติ้ลกำลังพาฉันลงจากเนิน มันจึงเล่ารายละเอียดในนิยายให้ฟังไปด้วย

พระราชวังของอาณาจักรการ์นอมีที่ตั้งอยู่บนเนินเขากลางเมืองหลวง เป็นศูนย์กลางของการปกครอง การประชุมหรือหารือทั้งหมด ยังเป็น ที่หลบภัยหลักของอาณาจักรเมื่อมีเหตุสุดวิสัย จุดที่เรามุดออกมาคือกำแพงข้างของวังฝั่งที่ติดกับคฤหาสน์ตระกูลโจนส์ (ที่ตอนนี้เจ้าของบ้านไม่อยู่เพราะออกไปตรวจชายแดน) ฝั่งเดียวที่ไม่มีคนเดินยามตอนกลางคืน (อย่าถามว่าทำไม ฉันก็ไม่รู้) และแน่นอน ฝั่งที่โจเวลออริจินัลแอบลอดไปลอดมาและนัดพบชาร์ล็อตต์บ่อย ๆ

"แล้วตกลงมึงจากพากูไปทำอะไร"

ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อเรามาถึงข้างคฤหาสน์มาควิสโจนส์ ก่อนหน้านี้ฉันนึกว่ามันจะพาเดินอ้อมคฤหาสน์ออกไปทางถนนหลักของเมืองที่อยู่ติดกันเพื่อหาเบาะแสเรื่องเดเมลซ่า แต่ดูจากที่หยุดกันตรงนี้ ก็เหมือนจะไม่ใช่แล้ว

มันนิ่งมองกำแพงอิฐล้อมคฤหาสน์อยู่พักหนึ่ง ไม่ได้ตอบอะไร แค่เอื้อมมือมาดึงฉันไปอีกทาง

"มึงเห็นบ้านตรงนั้นป่ะ" เติ้ลพูดเมื่อเราเดินออกห่างจากกำแพงคฤหาสน์แล้ว มันทำท่าทางสื่อเป็นนัยให้ฉันมองไปที่บ้านร้างขึ้นโครงไม้แบบยุคกลางเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนเนินเตี้ย ๆ ไม่ไกลจากคฤหาสน์มาควิส

"โรงเก็บของเก่าของโจนส์ มองจากหน้าต่างชั้นสองจะเห็นกำแพงคฤหาสน์พอดี ปลายทางของกูกับมึงคืนนี้คือที่นี่แหละ"

ฉันมองมันแปลก ๆ เดาไม่ได้เลยว่าจะทำอะไร ยิ่งไม่เข้าใจว่าการพาเพื่อนมานั่งดูบ้านตัวเองตอนพ่อไม่อยู่ในเวลาเที่ยงคืนมันจะทำให้รู้อะไรขึ้นมาได้

"เดี๋ยวมึงก็รู้ ตามมาก่อนมา" ฉันยังไม่ขยับ มันเลยเดินมาดึงแขนไปอีกที แต่ครั้งนี้ฉันขืนตัวเองไว้

ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะงั้นก่อนเข้าไป ฉันมีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องทำ

"กูไม่รู้มึงว่ามึงมีแผนอะไร หรือมาที่นี่ทำไม ดังนั้นกูมีเรื่องต้องบอกมึงก่อนเพื่อความปลอดภัย มึงฟังแล้วค่อยคิดว่าจะเข้าไปไหม" ฉันถอนหายใจ เงยหน้าจ้องมัน "ตอนอยู่ในวัง กูฝัน"

"กูก็สงสั-"

"กูฝันเห็นภาพตอนเรารถคว่ำ" ไม่รอให้เติ้ลต่อประโยคจนจบ "ยังจะเข้าไปอยู่ไหม"

มันหน้าซีดไปทันที

ฉันมีความสามารถพิเศษที่ยังไม่ได้บอกพวกคุณอยู่อย่างหนึ่ง

ฉันทำนายอนาคตจากฝันได้

มันไม่ใช่การทำนายอย่างที่คุณคุ้นเคยกันหรอก ที่ฉันเห็นไม่ใช่เหตุการณ์ล่วงหน้า แต่เป็นเหตุการณ์ย้อนหลังต่างหาก

ทุกครั้งที่ฉันฝันเห็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับใคร ไม่นานหลังจากนั้น จะมีเหตุการณ์ที่คล้ายกับในฝันของฉันเกิดขึ้นกับคนคนนั้นเสมอ ตัวอย่างง่าย ๆ ช่วงมอปลาย ฉันเคยฝันเห็นตัวเองตอนอนุบาลตกท่อ จากนั้นวันถัดมา ฉันก็โดนรถเฉี่ยว และอาทิตย์ก่อนหน้าที่ฉันกับเติ้ลจะตาย ฉันฝันถึงเหตุการณ์ที่พวกเราตกบันไดตอนมอต้น ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์เพราะฉันซี่โครงแตกและมันขาหัก

ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องร้าย ๆ แต่ไม่ได้ฝันทุกครั้งที่จะมีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ ไม่รู้ว่ามันทำงานแบบไหนเหมือนกัน เดาว่าสวรรค์คงใช้ระบบแบบสุ่มล่ะมั้ง

ปกติถ้าฉันฝัน เราก็ชอบมาปรึกษาและหาทางป้องกันกันนั่นแหละ (แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ทุกครั้งหรอกนะ อย่างตอนที่รถคว่ำนั่นไง) จริง ๆ ที่ครั้งนี้ฉันไม่ได้บอกแต่แรกเพราะคิดว่าเราออกมาสืบเรื่องเดเมลซ่า และถ้าเป็นเรื่องเดเมลซ่า ฉันก็มั่นใจว่าจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนี้แน่นอน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ จะเก็บต่อคงไม่ดีเท่าไหร่

ฉันได้ยินเติ้ลสบถว่าฉิบหาย

ฉิบหายแน่ล่ะสิ ฝันว่าตกบันไดยังตายแล้ววิญญาณหลุดมาต่างโลก ฝันว่าตายนี่ไม่ต้องทำอะไรแล้ว คิดแค่ว่าเซิร์ฟนี้ต้องไปหาพระยม เหยียนหลัวหวาง หรือฮาเดสก็พอ

เติ้ลเงยหน้ามองพระจันทร์คล้ายกำลังคำนวณเวลา แล้วค่อยกลับมามองฉัน "มึง เราต้องออกจากตรงนี้" มันกระซิบ ฉันทำหน้าสงสัย มันเลยยอมพูดต่อ

"จริง ๆ กูมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกมึง" มันลังเลเล็กน้อย "...มีคนตามฆ่าโจเวล"

แทบทันทีที่จบประโยคนั้น คอฉันก็เย็นวาบ ไม่ต้องก้มไปดูยังรู้ มีมีดจ่อคอฉันอยู่

จากความมืดรัวรางข้างหลังเรา มีคนเอ่ยขึ้น อู้อี้เล็กน้อยเหมือนพูดผ่านผ้า

"องค์หญิงกับพระคู่หมั้นงั้นหรือเนี่ย จุ๊ ๆ โชคดีไม่เบาเลย"

...ขอใช้สิทธิพิเศษเลือกเซิร์ฟฮาเดสได้ไหม อยากเจอมานานแล้ว

"หนีออกจากวังมาพลอดรักกันถึงนี่เชียว บิดาอนุญาตแล้วหรือ" พอไม่มีคนตอบ เสียงข้างหลังก็ดังขึ้นอีก

"อะไรกัน ไม่ตอบหรือนี่" กล่าวด้วยน้ำเสียงสัพยอก "นั่นสิน้า คงเป็นธรรมดาที่องค์หญิงผู้สูงศักดิ์จะไม่อยากลดตัวลงมาสนทนากับสามัญชน ไปชวนพระองค์คุยเสียได้ กระหม่อมช่างไม่เจียมตัวเสียจริง ๆ"

แหม เล่นโดนมีดจ่อคอหอย ใครมันจะไปมีอารมณ์พูดล่ะครับพี่

ฉันเหลือบไปสำรวจเติ้ล สีหน้ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีมีดจ่อคอหรือใครยืนข้างหลัง โชคยังดีที่แขกไม่ได้รับเชิญคืนนี้มีแค่คนเดียว

ต่อให้เป้าหมายที่แท้จริงจะเป็นโจเวล แต่การเลือกดึงเดเมลซ่าไว้ก่อนถือว่าฉลาดดีนะ ด้วยฐานะของเธอ ต่อให้เปลี่ยนเป็นโจเวลออริจินัลมาอยู่นี่เอง มันคงยังไม่กล้าทิ้งเดเมลซ่าไปไหนเลย แค่ใช้เธอก็คุมได้อยู่หมัด

แต่คิดว่าฉันจะอยู่นิ่ง ๆ ให้มันใช้หรือไง

"โถ่ ไม่คิดตอบกระหม่อมจริง ๆ หรือ กระหม่อมเสียใจนะพ่ะย่ะค่ะ" คนข้างหลังแสร้งทำน้ำเสียงเป็นน้อยใจ

"แหม ถ้าอยากให้คุยถึงขนาดนั้น…" เติ้ลขยับปากเป็นคำว่าไม่ใส่ฉันรัว ๆ เหมือนส่งสัญญาณว่าห้ามพูดอะไรออกไป ฉันกลั้วหัวเราะ "เจ้าเคยคิดว่าตัวเองน่าสมเพชไหม"

"…อะไรนะ"

เติ้ลทำหน้าเหมือนเวลาเข้าห้องน้ำในปั๊มแล้วคนก่อนหน้าไม่กดชักโครก

"แม้แต่หน้ายังไม่กล้าเปิด ยังจะโจมตีทีเผลอ บุกมาบ้านคนอื่นตอนเจ้าของบ้านไม่อยู่เพราะกลัวจะสู้ไม่ได้…" ฉันลากเสียง "ฟังดูขี้ขลาดจัง เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ"

"ปากดีนักนะ" มาพร้อมเสียงกัดฟันกรอด

"ขอบคุณ ประโยคนี้ได้ยินมาทั้งชีวิตแล้วล่ะ"

มันเปลี่ยนเป็นเอามีดมาจ่อที่หลังคอ ผลักฉันเซจนเกือบล้ม

"เดินไป!"

อะไรวะ พูดแค่นี้ก็โมโหละ กากอะ

"เจ้าไปข้างหน้า" มันบอกเติ้ล "เดินอ้อมไปที่ถนน ไป!"

คนข้างตัวฉันส่งสายตามาถามว่าจะไปที่คฤหาสน์ไหม

ฉันส่ายหน้าเบา ๆ ทำท่าให้เติ้ลเดินไปตามที่มันบอก

วิ่งไปก็ไม่มีทางขอความช่วยเหลือทันหรอก หรือต่อให้ทัน ในคฤหาสน์ก็เหลือแค่เมดกับพ่อบ้าน ไม่มีใครที่ช่วยได้สักคน จัดการเองยังง่ายกว่าเข้าไปที่นั่น

ไม่มีใครสนทนาอะไรอีก มีแค่เติ้ลที่หันกลับมามองฉันเป็นระยะเท่านั้น คนที่ถือมีดจ่อคอฉันอยู่ก็ไม่ปากมากแล้ว ทำแค่บอกทางห้วน ๆ เมื่อเจอทางแยก

เราเดินเลาะริมตึกอยู่บนถนนหลัก จำได้ว่าหลังจากลงเนินก็เลี้ยวขวามาสองที ไม่รู้เลยว่ากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน

อาคารที่นี่ นอกจากคฤหาสน์หรือตึกของพวกคนรวย ๆ ส่วนใหญ่ก็ขึ้นโครงด้วยไม้ ปิดรูด้วยโคลนเหมือนของยุคกลางแบบโรงเก็บของเก่าเมื่อกี้ ส่วนถนนปูด้วยปูนผสมกรวด ถึงจะบอกว่าเป็นถนนหลัก อันที่จริงมันก็ไม่ได้กว้างหรือดูสำคัญขนาดนั้น ฉันเดาว่าที่ได้ชื่อนี้อาจจะเพราะมันมุ่งสู่วัง หรือไม่ก็เชื่อมกับถนนสายสำคัญอื่น ๆ ล่ะมั้ง

แต่ต่อให้ได้ชื่อมาเพราะอะไรก็ตาม บนถนนมันก็ควรจะมีคนเดินตรวจสักหน่อยหรือเปล่า ป่าช้ายังมีคนเยอะกว่านี้เลย มันกินภาษีแล้วได้ทำงานกันบ้างไหม ตำรวจทหารทำเหี้ยไรอยู่เนี่ย วังไม่ใช่ที่เดียวที่มีคนนะคะพี่ ๆ การรักษาความปลอดภัยหลวมโพรกเลย ปล่อยคนจ่ายเงินเดือนคุณพี่นอนอยู่กับอะไรเนี่ย ขนาดใกล้วังแล้วนะ ไม่อยากจะคิดถึงที่อื่นเลยอะ

"หยุดตรงนี้ก่อน"

จู่ ๆ ก็มีเสียงโพล่งขึ้นข้างหลังตอนเดินมาถึงข้างบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง เติ้ลหมุนตัวกลับมา ฉันรู้สึกเหมือนคนที่จี้คอฉันขยับแขนหรืออะไรสักอย่าง แล้วก็เห็นเติ้ลขมวดคิ้ว หันไปทางขวามือของฉัน จากนั้นสีหน้ามันก็แย่ลงกว่าเดิม

ฉันหันตามสายตามันไป พบว่าริมบ้านสองชั้นข้าง ๆ มีตรอกที่อยู่ระหว่างตึกเล็ก ๆ อยู่ตรอกหนึ่ง เท่าที่ดู เหมือนว่าเราจะต้องเข้าไปในนั้น และนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมาก

เติ้ลมองหน้าฉัน คงกำลังคิดตรงกัน ฉันพยักหน้า ก่อนขยับถอยหลังไปแรง ๆ ทีหนึ่ง

ไม่รู้สึกถึงความเจ็บที่คอ มันคงดึงมีดออก แน่นอนว่าต้องดึงมีดออก ในเมื่อเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่ฉัน และตัวประกันเชื้อพระวงศ์มีค่าเกินกว่าจะปล่อยให้ตาย

ฉันหันไปประจันหน้ามัน ใช้มือจับแขนที่ถือมีดอยู่ ตั้งใจจะบิดให้หลุดแต่ทำไม่ได้

มันใช้แขนที่ว่างเอื้อมมาดึงมีด แน่นอนว่าไม่ปล่อยให้มันได้ไปง่าย ๆ ฉันยกมืออีกข้างไปสกัดไว้ ประสานไปกับเติ้ลที่เข้ามาถึงข้างหลังแล้วใช้แขนล็อกคอมัน ฉันเริ่มใจชื้น ถึงจะสู้ครั้งแรกแต่ก็ดูดีนี่ — โอเค ดีจนกระทั่งมันเริ่มคำรามในลำคอแล้วหงายหลังลงไปทับเติ้ล

ได้ยินเสียงเติ้ลร้องครางเบา ๆ เพราะความจุก มีดในมือมันแทงเข้าไหล่ฉันที่โดนดึงล้มลงไปด้วยกันเต็ม ๆ ยังไม่ทันได้รำลึกถึงความเจ็บก็โดนเหวี่ยงออกไปข้าง ๆ อีก ฉันพยายามยันตัวลุก แต่แผลที่ไหล่ดันแปล๊บขึ้นมา ฉันเหลือบมองไปทางเติ้ล เห็นเลือดเจิ่งอยู่ใต้หัวมัน เหมือนว่าจะหัวแตก แล้วก็ลุกเองไม่ไหวแล้ว

"เหี้ยเอ๊ย"

ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมมาคนเดียว ขอโทษที่เคยบอกว่าจะจัดการเองได้นะ

"เปลืองเวลาเสียจริง" มันตรงมานั่งคุกเข่าข้างฉัน ไม่แม้จะหอบสักนิด "ว่าอย่างไร ปากดีต่อสิ ดีไม่ออกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ"

ฉันหัวเราะ บ้วนน้ำลายใส่หน้ามัน "ก็ดีตลอดนั่นแหละ"

จากนั้นก็ได้ยินมันหายใจแรง คำรามเรียกชื่อเดเมลซ่าแล้วจิกหัวฉันหงายขึ้น "อย่าคิดว่าข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า!!!" มันตะคอก ดูโมโหใช้ได้

ความเจ็บจากแรงขยับที่แผลทำฉันสูดปาก รู้สึกว่าคอเสื้อเริ่มชุ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเหงื่อ

อย่าพึ่งเข้าใจผิด ถึงนิสัยฉันจะไม่ค่อยดีแต่ก็รู้เวลาน่า ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้ฉันไม่ยั่วโมโหคนอื่นให้เจ็บตัวเปล่า ๆ หรอก ไอ้นั่นไง ที่เรียกว่าแผนเรียกร้องความสนใจ

พอดีว่าชุดเดเมลซ่าชุดนี้มีเข็มกลัดอันเล็กประดับไว้ที่ข้อมือสองข้างน่ะ และการดึงความสนใจเมื่อครู่ก็ทำให้ฉันแกะมันออกมาไว้ในมือตัวเองทั้งสองข้างได้แล้ว ถึงจะเล็กแต่ถ้าแทงโดนจุดสำคัญพอดีฤทธิ์มันก็ไม่ใช่เล่น ๆ เหมือนกันนะ

ปัญหาคือจะโดนหรือเปล่าเท่านั้นแหละ…

รู้นะว่ากำลังด่าฉันว่าโง่ที่เดินตามมันมาตายแล้วยังเอาเข็มกลัดไปสู้กับมีดอยู่น่ะ แต่ชีวิตคนเรามันต้องทำเรื่องโง่ ๆ กันสักครั้งสองครั้งถึงจะคุ้มไม่ใช่หรือไง…

ก็ได้ ยอมรับว่าโง่ก็ได้ ขอโทษที่รู้ก่อนแต่ยังออกมาแบบไม่มีแผนอะไรเลยแล้วกัน

ฉันจ้องคนที่กำผมฉันอยู่ ตัดสินใจว่าจะแทงเข้าคอให้เสียหลัก แล้วค่อยแทงต่อที่ตา แต่จังหวะที่กำลังยกเข็มกลัดในมือของตัวเองขึ้นมาแรงที่หัวก็ดันผ่อนลง จากนั้นคนตรงหน้าฉันก็ตาค้าง เอนตัวล้มลงไปด้านหลัง

ทีแรกฉันคิดว่าเติ้ลฝืนตัวเองลุกมาช่วย ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้น กลับพบว่าไม่ใช่

ผมยาวสีดำสนิทดุจผืนฟ้าในคืนเดือนดับไร้ดารา ดวงตาดั่งไพลินวิภาหายาก สูงส่งรังรองราวกับทูตสวรรค์ผู้ส่งสารจากพระเจ้า คือคำอธิบายในนิยายของตัวละครนี้

"…ชาร์ลอตต์"