2 ตอน 2
โดย เดรสสีฟ้ารองเท้าก็ต้องสีฟ้า
หลี่ไป่กลิ้งบนเตียงหันหน้ามาเจอกับมินเนสที่กำลังแทะเมล็ดธัญพืชอย่างสนุก เขาเข้ามาอยู่ในโลกใบนี้ได้เกือบสัปดาห์แล้ว ออกไปเดินรอบ ๆ ที่พักก็เป็นเมืองคล้ายยุคกลางของยุโรปแต่ค่อนข้างแฟนซีมากกว่านั้น มีตลาดค้าขายสินค้า ร้านค้าอาวุธของแลกเปลี่ยนเหมือนในเกม URH เวอร์ชั่นของจริง แต่เดินไปไหนได้ไม่ไกลนักก็กลับมานอนกลิ้งบนเตียงเดิมของตัวเอง หน้ากระดานเควสก็ไม่เด้งอะไรขึ้นมา
ส่วนเรื่องของเจ้าตัวที่ชื่อโอกิลวีก็ไม่ทราบได้ว่าเป็นใครมีเป้าหมายอย่างไรแต่มีเรื่องติดใจเขาอยู่นั้นคือการที่มินเนสสามารถนำอาหารยกมาให้เขาครบทุกมื้อไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักมื้อ
“มินเนส เจ้ามีเงินรึ” หลี่ไป่นอนคิดเรื่องเงินมาได้สองวันแล้วเพราะตัวเขาไม่มีเงินติดตัวเลยสักเหรียญออกไปเดินตลาดก็ได้แต่เดินชม มันน่าแปลกใจนักที่มินเนสจ่ายทั้งค่าที่พักและหาอาหารมาให้เขาได้ตลอดเวลา
“ไม่มีเจ้าค่ะ” มินเนสตอบด้วยเสียงราบเรียบพร้อมแทะธัญพืชของตนต่ออย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วเจ้าเอาเงินมาจ่ายค่าที่พักและค่าอาหารได้ยังไง” หลี่ไป่ดีดตัวขึ้นจากเตียงจ้องไปยังมินเนสด้วยสายตาจับผิด
“ข้าขโมยของคนอื่นเจ้าค่ะ”
“...”
มินเนสยังคงตอบด้วยเสียงราบเรียบไม่รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ แต่นั้นทำให้หลี่ไป่ตกใจถึงขั้นดีดตัวพุ่งไปคว้ามินเนสทันที
“เจ้าทำเช่นนั้นได้ยังไง!”
“ก็ข้าเป็นหนู” มินเนสเล่อล่ากับท่าทางตกใจเกินเหตุของนายตน ไม่นานจากมนุษย์มีหูหนูและหางเริ่มหดร่างลงเปลี่ยนเป็นหนูตัวเล็กเท่าฝ่ามือเข้ามาอยู่ในมือของหลี่ไป่แทน
“จะ จะ เจ้า ถะ ถะ ถึงจะเป็นหนูก็ลักขโมยไม่ได้นะ” หลี่ไป่มือสั่นเสียงสั่นมองมินเนสกลิ้งไปมาในมือตัวเองด้วยสีหน้าตกใจอ้าปากพะงาบ ๆ
มินเนสวิ่งลงจากมือหลี่ไป่แล้วเปลี่ยนร่างกลับเป็นครึ่งคนครึ่งหนูอีกครั้งและแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“ก็ท่านเป็นคนสอนข้า”
“...”
“...”
“ข้าเหรอ!”
“ใช่เจ้าค่ะ”
หลี่ไป่อ้าปากค้างอีกรอบ เขากำลังใช้ความคิดว่าต้องไม่ใช่เขาเป็นคนสอนเด็กคนนี้เป็นแน่ คงจะเป็นโอกิลวีเจ้าของร่างตัวจริง ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเลือดศีลธรรมมันพลุ่งพล่าน เขาคิดแล้วว่ามินเนสยังเด็กหากถูกสอนแบบผิด ๆ จะต้องได้รับการแก้ไขและสอนใหม่ให้ถูกต้อง เธออายุน่าจะน้อยกว่าหลานชายเขา เขาจะนับว่าเป็นหลานสาวเขาอีกคนก็ย่อมได้
“มินเนส เจ้ามานั่งตรงนี้แล้วฟังให้ดี “หลี่ไป่เรียกมินเนสให้มานั่งตรงหน้าด้วยท่าทางขึงขังพร้อมทั้งกอดอกเหมือนยามที่จะอบรมหลานชายตอนที่เป็นเด็กดื้อ
“เจ้ารู้หรือไม่ เด็กดีต้องมีหน้าที่สิบอย่าง หนึ่ง นับถือ....ข้ามไป ๆ สอง รักษาธรรมเนียมมั่น สาม เชื่....”
“รักษาธรรมเนียมอะไรเจ้าคะ”
“อย่าขัดข้าสิ ยังร้องไม่จบ ถ้าหากผู้ใหญ่สอนอย่าขัดเข้าใจมั้ยมินเนส”
“เจ้าค่ะ”
“อ่า ๆ ช่างมันเถอะ ไม่ต้องสิบอย่างก็ได้ เจ้าฟังข้านะ เงินที่เจ้าขโมยมานั้นผู้อื่นหามาด้วยความยากลำบาก เราจะไปขโมยมาอย่างง่าย ๆ ไม่ได้ มันเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น” หลี่ไป่สั่งสอนมินเนสด้วยสีหน้าจริงจังถึงเขาจะไม่มีลูกแต่ลุงอายุเกือบสี่สิบ อย่างเขาก็อยากให้เด็ก ๆ ที่เขาเลี้ยงดูโตมาเป็นคนดี
“เช่นนั้นเราจะหาเงินอย่างไรเจ้าคะ”
“ทำงานที่สุจริตอย่างไรเล่า”
“ทำอะไรหรือเจ้าคะ”
“ก็...เอิ่ม...”
“...?”
“เจ้าถนัดอะไร” หลี่ไป่ถามมินเนสเมื่อเห็นว่าเธอแสดงสีหน้างงงวย
“ขโมยเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้! เอาเรื่องอื่น!”
“กินธัญพืชเจ้าค่ะ”
“ไม่ช่วยเลย” หลี่ไป่ถึงกับเอามือกุมขมับกับปัญหาตรงหน้า ความรู้สึกตอนนี้เป็นความรู้สึกเดียวกับเขาตอนที่กำลังจะตัดสินใจเปิดร้านปาท่องโก๋ในโลกเดิมไม่มีผิดต้องหาสิ่งที่ตัวเองสนใจและทำได้ไม่เบื่อ
หลี่ไป่สะดุดกับความคิดตัวเองเมื่อสักครู่'ปาท่องโก๋ของหลี่ไป่อร่อยที่สุดในตลาด'
“โลกเดิมก็วุ่นวายกับปาท่องโก๋ โลกนี้ยังไม่พ้นจากมันอีกเหรอ” หลี่ไป่ถอนหายใจนวดขมับตัวเองเบา ๆ พยายามหาความสามารถของตัวเองแต่ยิ่งคิดยิ่งเจ็บหัวใจเพราะไม่มีอย่างอื่นนอกเสียจากทำครัว ส่วนความสามารถของเจ้าของร่างอย่างโอกิลวี ผู้มีพลังเวทมหาศาลแต่แย่ตรงที่เขาใช้มันไม่เป็น
เขาลองเรียกคู่มือการเล่นขึ้นมาเพื่อศึกษา ระบบกลับเด้งเตือนเขาว่า [ตรวจพบการโกง] คู่มือเปรียบเสมือนสิ่งที่อธิบายการเล่นเกมตั้งแต่ต้นจนจบเกม ระบบขึ้นเครื่องหมายสีแดงพร้อมหมายเหตุ หากตรวจพบการพยายามโกงครบสามครั้ง ผู้เล่นจะถูกบล็อค
“มินเนส ข้าจะหาซื้อแป้งสาลีได้จากไหน” หลี่ไป่หันไปถามมินเนสที่ตอนนี้เลิกสนใจเขาแล้วหันไปแทะเมล็ดธัญพืชต่อเสียอย่างนั้น
“นายท่านมีเวทแปรสภาพอยู่แล้วนี่เจ้าคะ” มินเนสตอบด้วยท่าทางราบเรียบไม่สนใจใยดีเช่นเดิม
“เวทแปรสภาพ”
[คำอธิบาย ‘เวทแปรสภาพ’]
[สามารถแปรสภาพวัตถุดิบเดิมเป็นวัตถุดิบใหม่โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการภายใต้วัตถุดิบเดิม หมายเหตุ ไม่สามารถแปรสภาพสิ่งมีชีวิตได้]
“อื้อ พอเข้าใจได้ แต่จะเอาแป้งก็ต้องมีข้าวสาลี” หลี่ไป่กำลังใช้ความคิดถึงความวุ่นวายของอาชีพสุจริตนี้
“นายท่าน นอกเมืองไม่ไกลมีทุ่งข้าวสาลีป่า “มินเนสเสริมขึ้นเมื่อได้ยินนายเธอบ่นพึมพำ
“...”
1 ชั่วโมงผ่านไป
“มะ มิน เนส แฮะ นะไหนเธอบอกว่ามีทุ่งข้าวสาลีป่าไง” หลี่ไป่หายใจถี่รัวอย่างหอบเหนื่อยพร้อมทั้งวิ่งหันไปพูดกับมินเนสที่กลายร่างเป็นหนูเกาะอยู่บนไหล่ข้างซ้ายของเขา
“ก็มีนะเจ้าคะ แต่มีมอนสเตอร์เฝ้าอยู่รอบ ๆ”
“มินเนส! เรื่องสำคัญแบบนี้เธอควรบอกกันก่อน” หลี่ไป่วิ่งหนีมอนสเตอร์ด้วยสกิลความเร็ว 10/100 และสกิลพลังกาย 10/100 ตอนนี้เขาเหนื่อยถึงขั้น ค่า HP กำลังถอยหลังลงอย่างช้า ๆ เขาเดินมานอกเมืองพลังกายก็เกือบหมดหลอดอยู่แล้วไหนจะมาเจอมอนสเตอร์เข้าอีก
หลี่ไป่เคยครุ่นคิดด้วยซ้ำว่าหากเขาตายในโลกนี้จะกลับไปโลกเดิมได้รึเปล่าแต่เขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะทำให้ตัวเองตาย ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง ใช้ชีวิตมาสี่สิบปีคงจะพอเมื่อเขาคิดได้เช่นนั้นแล้วจึงหยุดวิ่งหนีพร้อมหลับตาลง
“นายท่านไม่ใช่เวทโจมตีหรือเจ้าคะ” มินเนสกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงงงงวยเพราะไม่เข้าใจว่าเจ้านายเธอจะวิ่งให้เหนื่อยทำไมหากเป็นปกติคงจะใช้พลังปราบได้ทันทีแล้ว
“!” หลี่ไป่ลืมตาขึ้นทันทีเขาพยายามหาทางใช้เวทมนตร์ทำตัวลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวาด้วยท่าทางประหลาด
“ไฟ ตู้ม ๆ บูม ปิ้วๆ “หลี่ไปพยายามพูดคำที่น่าจะเป็นคำสั่งโจมตี แต่ไม่มีอะไรออกมาเลยแม้แต่ขี้เถา หลี่ไป่หมดหวังอีกครั้ง
“มันใช้ยังไงเนี่ย มีสกิลเต็มแมกซ์ได้สิ้นเปลืองมากไอ้หนู” หลี่ไป่บ่นอย่างลนลานในขณะที่มอนสเตอร์เข้ามาประชิดตัวเต็มทีเขาหลับตาปี๋เมื่อคิดว่ามันกำลังกระโจนเข้ามา
พึ่บ
“เจ้าปลอดภัยหรือไม่”
หลี่ไป่ลืมตาขึ้นพร้อมทั้งใช้มือสำรวจร่างกายตัวเองลูบทางซ้ายทีทางขวาทีพบว่าไม่มีส่วนไหนบาดเจ็บและยังครบสามสิบสองประการ เขาถอนหายใจโล่งอกออกมาเฮือกใหญ่ปรับสายตามองเบื้องหน้าเป็นซากมอนสเตอร์ถูกฟันออกเป็นสองส่วน
“เจ้าได้ยินข้ามั้ย”
“อ่า ขะ ข้าปลอดภัยดี ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้าไว้” หลี่ไป่เงยหน้ามองชายตรงหน้า มือข้างหนึ่งถือดาบเปื้อนเลือด เขาอดไม่ได้ที่จะสำรวจหน้าตาและรูปร่างชายตรงหน้า แม้จะยังดูเด็กอยู่แต่ตัวสูงกว่าเขามากไหนจะความหล่อที่หน้าเกินตา หุ่นก็เห็นกล้ามเนื้อชัดเจน เขาไม่ได้เห็นภาพเปลือยแต่อย่างใดเพราะเห็นเพียงแค่แขนข้างที่ถือดาบอยู่ก็คาดเดาได้
“ผู้หญิงท่าทางอ่อนแอแบบเจ้าออกมาเดินทำอะไรคนเดียวแถวนี้” ใบหน้าไร้อารมณ์ของชายตรงหน้ามองสำรวจหลี่ไป่กลับท่าทางอ้อนแอ้น ปวกเปียกตัวขาวซีดเหมือนลูกคุณหนูหลงเข้ามาในป่าไม่มีผิด
“นี่ ไอ้หนูขอบคุณนะที่ช่วยไว้ แต่ข้าไม่ได้อ่อนแอและข้าเป็นผู้ชาย” หลี่ไป่อ่านสายตาดูถูกของชายตรงหน้านี้ออก มันต้องคิดว่าเรา อ้อนแอ้น ปวกเปียกเป็นลูกคุณหนูเป็นแน่ ไหนจะมาหาว่าเขาเป็นผู้หญิงอีก ชายแมน ๆ อกสามศอกเช่นเขาเหมือนผู้หญิงตรงไหนกัน อย่ามาดูถูกคุณลุงวัยสี่สิบอย่างเขาส่วนที่ช่วยก็ถือเป็นบุญคุณแต่จะมาหยามกันไม่ได้ศักดิ์ศรีมันค้ำคอลุงไอ้หนู
“หือ? ไอ้หนู?” ชายตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นพร้อมแสยะยิ้มมุมปากหันมาประจันหน้ากับหลี่ไป่
“ใช่ ดูยังไงเจ้าก็ไม่น่าจะเกินยี่สิบ" หลี่ไปมองสำรวจชายตรงหน้าขึ้นลงอย่างคาดเดา ไม่ว่ามองยังไงก็อายุน้อยกว่าหลานชายเขาแน่ถึงจะหล่อกว่านิดหน่อยแต่หลานชายเขาก็เล่นกีฬามีกล้าม สูงโปร่งเหมือนกันอีกอย่างมีมารยาทอีกด้วย
“เจ้าอายุมากกว่าข้ารึไง”
“แน่นอนอยู่แล้ว ปีหน้าข้าก็จะสี่สิบแล้วไอ้หนุ่ม” หลี่ไป่เหมือนจะภูมิใจเรื่องแปลกๆ เขายืดอกอวดอายุแก่ ๆ ของตัวเองพร้อมเท้าสะเอวโอ่อ่า
“นายท่าน ท่านพึ่งจะสิบห้าเองนะเจ้าคะ สี่สิบไปได้อย่างไร” มินเนสที่เกาะไหล่ซ้ายอยู่ขัดขึ้นกลางบทสนทนาด้วยท่าทางงงวยกับการแสดงออกของเจ้านายเธอ
“อะ เอ่อ ถึงภายนอกข้าจะสิบห้าแต่ภายในข้าเป็นชายหนุ่มที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบสี่สิบปีไงล่ะ” หลี่ไป่เถียงออกไปด้วยความมั่นใจและจริงจัง แม้มันจะเป็นเรื่องจริงแต่ในสายตาของชายตรงหน้ากับมินเนสฟังแล้วกลับเหมือนการเถียงข้าง ๆ คู ๆ ของเด็กไม่รู้ประสีประสา
“งั้นเราก็อายุเท่ากัน” ชายหนุ่มเกือบหลุดขำกับท่าทางของเด็กชายผมสีทองตรงหน้า เขาหันไปมองหนูที่ชื่อมินเนสทบนไหล่ซ้ายด้วยท่าทางเรียบนิ่งไม่ได้มีอาการตกใจแต่อย่างใดเพราะมีภูติไม่น้อยในป่าที่มีรูปร่างเหมือนสัตว์และพูดคุยภาษามนุษย์ได้
“ฮะ! อะไรนะ จะ เจ้าอายุสิบห้างั้นเหรอ แล้วทำไมถึงได้สูง หุ่นดี แล้วหล่อแบบนี้” หลี่ไป่ถึงกับตกใจกับความจริงตรงหน้าเขาจนเหมือนเป็นการชื่นชมอีกฝ่ายไปโดยปริยายหรือความจริงแล้วโลกนี้จะมีสมรรถนะร่างกายที่เป็นมาตรฐานต่างจากโลกเขากันแน่แต่โอกิลวีก็สิบห้า เขากำลังครุ่นคิดเรื่องค่าพลังกายภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าเปรียบเทียบกับตนเอง
“ข้าไปล่ะ” ชายปริศนาตรงหน้าหลี่ไป่กล่าวขึ้นพร้อมหันหลังเตรียมจะออกเดิน
“เดี๋ยวก่อน เจ้าชื่ออะไร” หลี่ไป่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าชายตรงหน้ากำลังจะจากไปถึงจะเป็นเด็กปากเสียแต่ก็เป็นผู้มีบุญคุณควรจำชื่อไว้ตอบแทน
“จะรู้ไปทำไม”
หลี่ไป่ตกใจจนปากค้าง คิดไม่ถึงว่าต้องมาเป็นหนี้บุญคุณเด็กปากเสียเข้าให้
“ดะ ได้ ข้าอุตส่าห์จะจำไว้ตอบแทนบุญคุณแต่ถ้าเจ้าไม่บอกก็เรื่องของเจ้า ข้าจะถือว่าบุญคุณของเจ้าต่อข้าจบลงตรงนี้” หลี่ไป่บ่นกระปอดกระแปดกึ่งโมโหแต่การแสดงออกที่เจ้าตัวโมโหนั้นกลับดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของผู้อื่นไม่แม้แต่ในสายตาของมินเนส
“เรียกข้าว่าคามิวก็ได้” คามิวหัวเราะออกมากับท่าทางของอีกฝ่ายทำให้หวนนึกถึงคำพูดก่อนหน้าที่บอกว่าตนอายุสี่สิบแล้วอดขำไม่ได้
“หัวเราะอะไรของเจ้า นี่ข้าจริงจังนะคามิว คะ คามิว! ผู้กล้า” หลี่ไป่ถึงกับลืมคำพูดของตัวเองเพราะชื่อนี้มันคือชื่อผู้กล้าที่เป็นตัวละครหลักของผู้เล่น URH ทุกคนจะได้รับ ถ้าพูดกันตามตรงคือพ่อพระเอกผู้กล้าที่ช่วยโลก
นี่คงเป็นคำตอบของคำถามในใจเขาว่าทำไมเด็กอายุสิบห้าถึงได้ดูแข็งแกร่งแถมหล่ออีกต่างหากคิดแล้วน่าเจ็บใจ
“ผู้กล้า? ข้ายังไม่ได้เป็น” คามิวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สีหน้าแสดงออกว่าเด็กหนุ่มผมทองตรงหน้าเขารู้ได้อย่างไรว่าเขาเดินทางมาเพื่อเข้าเรียนในอะคาเดมี่เซนต์ทรา
[อะคาเดมี่เซนต์ทรา เป็นศูนย์รวมเรียนรู้และฝึกฝนของมนุษย์เพื่อเป็นทหาร นักสู้ จอมเวทย์ รวมไปถึงผู้กล้าเพื่อปราบเหล่ามอนสเตอร์ สาขาที่ใหญ่ที่สุดคือสาขาในเมืองหลวงแพนโดร่า]
“ทำไมเจ้ายังไม่ได้เป็นล่ะ” หลี่ไป่ถามออกไปแสดงออกว่าไม่เข้าใจ
“ข้ายังไม่ได้เข้าเรียนที่อะคาเดมี่” คามิวไขข้อสงสัยของเด็กหนุ่มผมทองที่เขายังไม่ทราบชื่อต่างฝ่ายต่างแสดงสีหน้าไม่เข้าใจและงุนงงเต็มไปหมด
หลี่ไป่ยังคงแสดงท่าทางที่แสดงออกว่าไม่เข้าใจ เขานึกว่าตัวละครที่ถูกกำหนดว่าให้เป็นผู้กล้า ก็ต้องได้เป็นผู้กล้าตั้งแต่เกิด ขนาดในฉายาเขายังมีพ่อมดผู้แค้นเคืองเลยทำไมอีกฝ่ายจะไม่มีฉายาผู้กล้าหรือฉายาจะเป็นสิ่งที่คนคนนั้นเคยผ่านและเจอมาไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด
“แล้วเจ้าละชื่ออะไร” คามิวถามขัดจังหวะความคิดของหลี่ไป่จนตัวเขาสะดุ้งออกจากภวังค์ความคิด
“ข้าชื่อหลี่ไป่”
“นายท่านชื่อโอกิลวีไม่ใช่หรือเจ้าคะ หลี่ไป่คือใครชื่อประหลาด” มินเนสทักขึ้น
“ใช่ข้าชื่อหลี่ไป่....แต่โอกิลวีคือชื่อเจ้าของร่างกายนี้ตะหาก” หลี่ไป่ยิ้มตอบอย่างมั่นใจ
“...”
“...”
Comments (0)