อุปสรรคที่ปรากฏตรงหน้าทุกคนนั้นคือ เวิ้งน้ำขนาดใหญ่ เรียกได้อย่างเต็มปากเลยว่าเป็นทะเลสาบ น้ำนั้นมีสีเขียวราวกับมรกต ผิวน้ำก็สงบนิ่งราวกับว่าในนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่เลย พวกเขาทุกคนมองดูด้วยความประหลาดใจ ป่าแบบนี้มันไม่ควรจะมีทะเลสาบแบบนี้สิ

          "เราพักกันตรงนี้ก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากันใหม่" ชีสได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ และดูเหมือนว่ามันจะเป็นทางที่ดีที่สุด ทุกคนต่างวางสัมภาระส่วนตัวและพักผ่อนกันก่อนในเวลานี้

          "ทีนี้จะเอาไงกันต่อดี" กรเอ่ยถามทุกคน

          "ลองสร้างแพจากไม้ไผ่ดูไหม" ลีโอถามความคิดเห็นจากทุกคน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นหนทางสุดท้ายจริง ๆ ทุกคนจึงยอมทำตามแผนนี้

          "งั้นทุกคนก็ลองไปหาขอนไม้หรือไม่ไผ่ก่อนและกัน แล้วเราค่อยเอามาทำเป็นแพ ส่วนอาหารก็จับปลาแถวนี้เอาแหละ" เฟิร์นโชว์ทักษะการบัญชาการออกมา ซึ่งมันจำเป็นในสถานการณ์ขับขันแบบนี้มาก

          ทุกคนก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี ภูและไผ่ก็เดินหาไม้ไผ่เหมือนกันและดูเหมือนว่าเขาทั้งสองคนจะเจอขอนไม้ขนาดใหญ่ที่สามารถลอยน้ำได้และสามารถนั่งได้มากกว่า 8 คนในครั้งเดียว ดูเหมือนว่าอีกกลุ่มนึงก็เจอกับป่าไผ่เหมือนกัน พวกเขาจึงตัดไม้ไผ่มาทำเป็นแพได้ 2 แพ และมีขอนไม้อีก 1 ลำ ซึ่งจากการพูดคุยกันพวกเขาทั้งหมดลงความเห็นว่าจะล่องแพไปอีกฝั่งนึงในเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่อเวลามาถึงยามเย็น พวกเขาทั้งหมดได้ตั้งกองไฟ และได้ปรุงอาหารรับประทานกัน แต่ครั้งนี้ภูไม่ได้ไปรับประทานอาหารร่วมกับคนอื่น ๆ แล้ว เขาแยกตัวออกมาคนเดียวที่ริมฝั่ง

          ขณะที่กินอาหารไปเรื่อย ๆ เขาก็ครุ่นคิดแต่เรื่องที่พระธุดงค์รูปนั้น เรื่องที่ว่าป่านี้มันอยู่อีกมิตินึง หรือเรียกอีกอย่างว่าป่าลับแล จะว่าไปแล้วระหว่างที่ติดอยู่ในป่านี้เขาก็ไม่ได้ยินเสียงของเฮลิคอปเตอร์ที่ปกติต้องมาช่วยหาผู้ประสบภัยเลย มันควรจะเป็นไปตามหลักความจริงเหมือนที่ป๊อปพูด ในระหว่างที่กำลังนั่งคิดอยู่นั้นเอง เขาก็พลันรู้สึกเหมือนกับว่ามีสายตาของอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองเขาอยู่...บางอย่างที่อยู่ใต้ผิวน้ำอันนิ่งสงบนั่น ภูลังเลอยู่นานว่าจะบอกเรื่องนี้กับทุกคนดีไหม แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครเลย เพราะตัวภูเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความรู้สึกนี้เขาสร้างมันขึ้นมาเองหรือว่ามันมีอะไรอยู่ใต้ผืนน้ำจริง ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนและรีบปีนต้นไม้ขึ้นไปนอน โดยที่คนอื่นยังคงนั่งพูดคุยกันอยู่เลย แต่ไม่นานนักเขาก็ได้เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า


          เช้าวันรุ่งขึ้นเวลาไม่เกินเที่ยง หลังจากพวกเขารับประทานอาหารเช้ากันแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็ได้ขึ้นแพแล้วค่อย ๆ ล่องข้ามทะเลสาบนั้นไป ภูและไผ่ รวมถึงแพรวด้วย ได้นั่งไปบนขอนไม้เดียวกัน ในใจของภู เขาภาวนาให้ภายใต้ผิวน้ำอันสงบนิ่งแห่งนี้จะไม่มีอะไร และขอให้ข้ามทะเลสาบแห่งนี้ได้โดยสวัสดิภาพ แต่ทันใดนั้น แพลำที่สองที่เพื่อน ๆ ของเขาได้นั่งมาก็เกิดพลิกคว่ำลง พวกที่อยู่บนนั้นทั้งหมดทางตกลงสู่ผิวน้ำ บางคนก็ลอยตัวบ้าง บางคนก็พยายามว่ายน้ำไปที่แพอีกลำหนึ่ง

          ทุกคน ณ ที่นี้ ล้วนแต่มีสีหน้าที่ประหลาดใจและสงสัย แต่ไม่นานนักความสงสัยของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว ไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปกว่านี้ได้แล้ว เจ้าของร่างที่ทำแพลำนั้นพลิกคว่ำได้ปรากฏกายเหนือผิวน้ำ อสูรกายตัวนั้น มันทำเอาทุกคนในที่แห่งนั้นเสียขวัญไปตาม ๆ กัน เพราะมันคือ...