ในขณะที่ภูและไผ่กำลังเดินกลับไปที่อยู่ของเพื่อนๆ เขา ทันใดนั้นไผ่ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงงุนงงและสงสัย

          "ไอภูมึงลองมองไปตรงนั้นดิ มีหินอะไรไม่รู้สีดำ ๆ" แล้วสะท้อนแสงได้ด้วย ไผ่พูดพลางชี้นิ้วไปทางขวา ภูก็มองตามนิ้วของไผ่ จริงอย่างที่ว่า มันเป็นหินที่มีสีดำ และสะท้อนแสงได้ มันดูเหมือนจะเป็นผลึกด้วย ภูและไผ่จึงเดินเข้าไปที่หินประหลาดพวกนั้น เมื่อเข้าไปไกล ๆ ภูก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือหินอะไร

          "ไอไผ่...นี่มันคือหินออบซิเดียนเว้ย!!! มันเอาไปทำเป็นอาวุธได้นะเนี่ย เหมาะกับเวลานี้จริง ๆ พวกเราแม่งโชคดีจังวะ" ภูเอ่ยขึ้น พลางหยิบหินเหล่านั้นขึ้นมาพิจารณา

          "มึงนี้รู้ดีจริง ๆ รู้มากไปก็เสือกอีก แต่ในเวลาแบบนี้ก็ดีละ จะว่าไป...มันก็เยอะพอจะให้ทุกคนเอาไปทำอาวุธนะเนี่ย แต่ตอนนี้เรากลับไปรวมตัวก่อนดีกว่า" ไผ่พูดตอบกลับภู ทั้งสองจึงเดินกลับมายังที่รวมตัว

          เมื่อมาถึงภูและไผ่ได้เล่าเรื่องที่เจอทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะดีใจที่เจอแหล่งน้ำ และกลุ่มของกรที่ไปสำรวจเหมือนกันก็เจอไม้ไผ่ด้วย ลีโอจึงใช้มีดเดินป่าที่พกมา ไปตัดไม้ไผ่ให้แต่ละคน คนละ 1 กระบอก ไว้สำหรับเป็นด้ามอาวุธและกระบอกใส่น้ำ ระหว่างนั้นทุกคนก็ทำอาวุธส่วนตัวจากไม้ไผ่ของลีโอและหินออบซิเดียนที่ภูกับไผ่เจอ ภูเองก็ได้อาวุธส่วนตัวของเขาเป็นขวานออบซิเดียน มันค่อนข้างจะใช้ได้ดีเลย


          เวลาล่วงเลยผ่านมาถึงยามบ่ายแก่ ลีโอได้ใช้ไฟแช๊กจุดเป็นกองไฟขึ้น ทุกคนจึงไปจับสัตว์น้ำที่กินได้ในลำธารนั้น แล้วนำมาเสียบกับไม้ไผ่แล้วย่างรับประทานเอา หรือบางคนก็กินผลไม้ป่าที่หาเจอระหว่างทางที่ไปสำรวจ เพื่อทำลายความเงียบระหว่างนั้น เฟิร์นจึงเริ่มบทสนทนาขึ้นมา

          "ภู สรุปพรุ่งนี้เช้าเราต้องออกเดินทางไปทิศเหนือจริง ๆ หรอ" เฟิร์นถามขึ้นเพื่อความแน่ใจอีกทีหนึ่ง

          "ก็ใช่สิ เราต้องเริ่มออกเดินทางแล้ว"

          "แต่ในการหลงป่าแบบนี้อ่ะ เราไม่ควรจะอยู่เฉยๆ แล้วรอคนมาช่วยหรอวะ" บุ๋นพูดแย้งขึ้นด้วยความสงสัย และดูเหมือนว่าบางคนก็จะเห็นด้วย

          "พวกมึงไม่คิดว่ามันแปลก ๆ บ้างหรอ" ป๊อปที่นั่งเงียบมานานก็พูดขึ้น

          "ทำไมวะ มันแปลกตรงไหน" บุ๋นถามด้วยความสงสัย

          "มึงลองคิดดูง่าย ๆ นะ ปกติอะ รถบัสตกเขาแม่งก็เป็นอุบัติเหตุใหญ่อยู่แล้ว แล้วเราหายไปตั้ง40กว่าคนแบบนี้อ่ะ มันก็ควรจะต้องมีทีมใดทีมนึงออกมาตามหาแล้ว แต่นี้ผ่านไปวันกว่าจนจะ2วันแล้วนะเว้ย ยังไม่มีใครออกตามหาเลย เสียงเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยก็ไม่มี แล้วยิ่งไปกว่านั้นนะ ถ้าพวกมึงจำกันได้ ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี้กันแดดแม่งโคตรแรงเลยนะเว้ย แต่หลังจากรถตกเขาแล้วอ่ะ ดูสภาพอากาศดี ๆ ดิ...แม่งก็ทั้งเย็น แถมมีหมอกอีก แล้วมึงดูสภาพศพไอปุ๊นดิ มันตายด้วยสัตว์ใหญ่ทำร้ายแน่นอน...แล้วสิ่งที่ไอภูเล่าก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นใช่ไหมล่ะ แต่แม่งก็เกิดขึ้น มึงคิดว่ายังปกติอยู่หรอ" ป๊อปได้ยกเหตุผลขึ้นมายาวเหยียด บุ๋นที่ได้ยินก็นิ่งไปสักครู่ก่อนจะยอมรับว่ามันแปลกจริง ๆ ภูเองก็คิดแบบนี้มาตั้งนานแล้ว บางทีคำพูดของพระธุดงค์รูปนั้นที่ว่าอยู่อีกมิตินึงก็คงจะไม่เกินความจริงแล้ว แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้คุยอะไรกันต่อกรก็พูดขึ้นแทรกว่า

          "กูว่าตอนนี้รีบขึ้นต้นไม้เถอะ นี้มันก็เริ่มมืดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราก็ต้องออกเดินทาง แล้วก็อย่าลงมาจนกว่าจะเช้านะ...ถ้าลงมาก็ระวังจะศพไม่สวยแบบไอปุ๊น" เมื่อได้ยินเช่นนั้นบางคนก็สะดุ้งเล็กน้อย ชีสถึงกับหน้าซีด แต่ทุกคนก็ทำตามอย่างว่าง่าย ภูเองก็ได้กลับขึ้นไปบนต้นไม้ต้นเดิมที่เคยอยู่เมื่อคืน แต่ครั้งนี้เขาได้นั่งข้าง ๆ แพรวแทนที่จะเป็นไผ่ เขาก็มีอาการเขินนิดหน่อยแต่ก็เก็บอาการไว้ และเผลอหลับไปในไม่ช้า

          แต่ในกลางดึกคืนนั้นเอง ก็มีเสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า ทำเอาทุกคนที่นอนอยู่ตื่นกันหมด ภูเองก็สะดุ้งตื่นเหมือนกัน แสงไฟจากจากกองไฟ และแสงจันทร์ ทำให้เขาเห็นบริเวณโดยรอบได้ชัด เขาเห็นสีหน้าของแพรวที่ดูซีดเซียวและตื่นตระหนกด้วยความกลัว แต่เขาก็ยังไม่เห็นที่มาของเสียงนั้น เสียงนั้นค่อย ๆ ดังกึกก้องเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ทุกคนได้ยินชัดว่าเป็นเสียงฝีเท้าและเสียงคำรามจากสัตว์ เสียงนั้นค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หัวใจของภูนั้นเต้นแรงและส่งเสียงดังมาก ราวกับจะหลุดออกมาจากหน้าอกข้างซ้ายของเขาทีเดียว เสียงดังกึกก้องนั้น ในขณะนี้ได้มาถึงที่อยู่ของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย แสงไฟจากกองไฟทำให้เห็นที่มาของเสียงนั้นอย่างชัดเจน และมันก็ทำให้ทุกคนตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้าของทุกคนคือ...