ชายหนุ่มยืนมองเสาเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นเสียดฟ้า

เสาเพลิงของอาซา

ผู้คนที่ตื่นตระหนกตะโกนเช่นนั้นพลางวิ่งหนีกันวุ่นวาย

เมื่อออกจากกระท่อมหลังนั้น เขาจึงรู้ว่า อาซา เป็นนามที่ได้รับความหวาดกลัว...ไม่สิ เขาได้รู้จากหนังสือพวกนั้นมาแล้วว่าชื่อของอาซาเป็นที่หวาดกลัว เขาเพียงแต่ทำใจเชื่อไม่ลงเท่านั้น

อันที่จริงต่อให้เสียงกรีดร้องนั้นดังเพียงใด ผู้คนจะหายนะกันไปขนาดไหน ชายหนุ่มก็ยังคงเชื่อไม่ค่อยลงอยู่ดี ภาพอันงดงามของปิศาจติดอยู่ในใจของเขาอย่างเหนียวแน่นเกินไป

ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้น เสาเพลิงมหึมาพุ่งขึ้นทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า หากไม่อาจทำลายภาพสตรีผู้หนึ่งในใจเขาลง

เขาออกวิ่ง ชายหนุ่มลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายเข้าก็วิ่งออกไป ตรงไปสู่ใจกลางความวุ่นวายทั้งมวลที่เขาเชื่อว่ามีปิศาจของเขาเป็นศูนย์กลาง

แล้วเขาก็ได้พบปิศาจของเขาที่นั่น ลอยสูงอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวอันมากมายของท้องฟ้ากลางฤดูหนาว ควบคุมเปลวเพลิงแดงฉานให้เริงรำ ราวกับดาวฤกษ์อันแจ่มจ้า ราวกับดวงตะวัน

ชายหนุ่มนิ่งค้าง ภาพของปิศาจท่ามกลางหมู่ดาวนั้นได้ปัดเป่าความลังเลใจทั้งมวลไปจากใจของเขา

เขาออกเดินทางพร้อมความหวั่นไหวหวาดกลัว ตลอดการเดินทางอันยาวนาน เขาพบเจอสิ่งต่างๆ มากมาย ชายหนุ่มเชื่อว่าตนแข็งแกร่งขึ้นแล้วทั้งกายและใจ หากไม่ว่าแข็งแกร่งขึ้นเท่าไรก็ไม่อาจแข็งแกร่งพอที่จะทำให้เขาเรียกอาซาออกมาพูดคุยกันต่อหน้าได้จริงๆ

ชายหนุ่มลูบลูกปัดพิเศษที่ห้อยติดคอของตน

เขาคิดมาตลอดว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเผามันลงในกองไฟ หากเมื่อเขาได้เห็นปิศาจของตนด้วยตาตัวเองอีกครั้ง เขาก็พบว่าความคิดของตนของตนนั้นหลงทางไปไกลแสนไกล

ปิศาจของเขาชั่วร้ายแล้วอย่างไร ดีงามแล้วอย่างไร ที่ส่วนลึกในใจของเขาแท้จริงแล้วเคยสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ

คำตอบคือไม่

การได้พบกับปิศาจของเขาในครั้งนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเช่นนั้น

ความยินดีที่ยิ่งกว่าความยินดีไหนๆ เอ่อล้นขึ้นมาในใจของชายหนุ่ม ขับเน้นความต้องการแท้จริงขึ้นพ้นจากความหวาดหวั่นลังเลทั้งปวง

เขาเพียงต้องการเจอปิศาจของเขาเท่านั้น เรื่องจริงเท็จใดนอกจากนั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญ

คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็เตรียมตัวบอกลากองทหารรับจ้างของตน แต่เขาไม่กล้าเสี่ยงเรียกปิศาจออกมาในขณะที่รู้แน่ชัดว่าปิศาจของเขากำลังโดนใครอื่นเรียกออกมายังโลกมนุษย์อยู่ เขาไม่ต้องการความเสี่ยง ดังนั้นเขาจึงรออย่างอดทนให้สงครามจบลง ดูให้แน่ใจว่าอาซาแห่งเปลวเพลิงกลับไปสู่เปลวไฟ

เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาแยกตัวออกจากกองทหารรับจ้างที่ตนรวมกลุ่มอยู่ด้วยเป็นเวลานาน เมื่อแรกเขาตั้งใจจะกลับสู่กระท่อมกลางป่าที่เขาเติบโตขึ้นมา แต่เมื่อคำนึงถึงระยะเวลาที่เขาจากมาแล้ว ชายหนุ่มก็เกรงว่ากระท่อมหลังที่ว่านั่นคงจะเหลือแต่ซากเท่านั้น เขาจึงไม่ได้กลับไป

แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่กล้าเรียกอาซาออกมาในเมืองเช่นกัน แม้มีความรู้อยู่มาก หากเขาไม่เคยเรียกปิศาจจริงๆ มาก่อน ทั้งอาซาก็เป็นตัวตนที่ได้รับความหวาดกลัว เขาไม่แน่ใจว่าหากปิศาจของเขาปรากฏตัวขึ้นกลางเมืองจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมากมายเพียงไร

เขาออกเดินทางสู่ทะเลทราย ที่ใต้ผาหินสูงชัน ชายหนุ่มก่อไฟขึ้นกองหนึ่ง กระตุกลูกปัดพิเศษที่เก็บไว้อย่างของล้ำค่าออกจากเชือกหนังที่สวมติดคอ แล้วปล่อยลูกปัดนั้นลงสู่เปลวเพลิง

เสียงลูกปัดลั่นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันของทะเลทราย เงาร่างดำมืดคละคลุ้งขึ้นจากควันไฟ

เงานั้นค่อยๆ ขยายตัวขึ้น ปรากฏคมเขี้ยวโค้งยาวและกรงเล็บคดงอ

"อาซา แห่งเปลวเพลิง" ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเงาขมุกขมัวนั้น

กรงเล็บคดงอกรีดออกเป็นการตอบรับ ดวงตาเหลืองสดเรืองรองอยู่ในกลุ่มควัน

เขารอจนแน่ใจว่าความสนใจของปิศาจหยุดอยู่ที่ตน แล้วกรีดนิ้วออกเป็นภาษามัน

'ข้าดีใจที่ได้พบท่าน'

นิ้วของชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น

ปิศาจยังคงนิ่ง มันไม่ได้สนใจการขยับนิ้วของชายหนุ่ม ปิศาจไม่เคยคิดว่าจะมีมนุษย์คนใดสื่อสารด้วยวิธีของพวกมัน หากมันก็กรีดกรงเล็บกางออกไป

ไม่ใช่การตอบกลับประโยคนั้น ไม่ใช่แม้แต่ภาษาของพวกมัน หากเป็นท่าทางเชื้อเชิญให้ผู้ที่เรียกมันมาเอ่ยความประสงค์ของตน เป็นท่าทางที่มนุษย์เข้าใจ

ชายหนุ่มนิ่งค้างไป

เขาคาดหวังว่าปิศาจของเขาจะจำเขาได้ทันที เช่นเดียวกับที่เขาจดจำมันได้ทันทีที่เห็น

แต่เวลาของมนุษย์และปิศาจนั้นต่างกัน เด็กชายเติบโตและเปลี่ยนแปลง หากปิศาจนั้นยังคงเป็นกลุ่มก้อนเขม่าควันเช่นเดียวกับที่มันเป็นเสมอมา

"ท่านจำข้าไม่ได้หรือ" เขาเอ่ยออกไป

ปิศาจมองชายหนุ่ม มันแปลกใจ มีมนุษย์ไม่มากที่เรียกมันออกมาได้หลายครั้งในช่วงชีวิตแสนสั้นของพวกเขา

มันพิจารณามนุษย์ตรงหน้า มนุษย์ผู้ชายร่างสูงใหญ่ แต่งตัวอย่างทหาร รัดเกาะหนัง คาดดาบ ทั่วตัวเต็มไปด้วยรอยสักและแผลเป็น นักรบหรือ?

มันรู้จักคนเช่นนี้อยู่หลายคน มนุษย์พวกนี้ไม่ใคร่ชอบมันนัก แต่ก็ยังเรียกมันมาช่วยสู้รบอยู่บ่อยครั้ง มันอาจจำคนพวกนั้นได้ไม่หมด แต่มันแน่ใจว่ามันไม่เคยเจอนักรบที่อยู่ในวัยหนุ่มขนาดนี้

ปิศาจค่อยๆ รื้อความทรงจำของตนต่อไปอย่างสงบนิ่ง แต่ชายหนุ่มกลับเริ่มร้อนรน ความกลัวชนิดใหม่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ดวงใจ

เขากลัวการถูกลืม

"ข้าเอง ข้าที่ท่านเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมาอย่างดี" นักรบหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมขยับนิ้วเป็นถ้อยคำควบคู่กันไป

เติบโตขึ้นอย่างดีงั้นหรือ? แน่นอน มันย่อมจำเด็กชายที่มันเลี้ยงขึ้นมาได้ แต่มันเพิ่งกลับไปยังที่ของมันเพียงไม่นาน เด็กนั่นน่าจะยังเป็นเด็กอยู่ไม่ใช่หรืออย่างไร

มันพิจารณานักรบตรงหน้าอีกครั้ง เค้าโครงหน้าของเขามีความคล้ายกับเด็กชายที่มันเลี้ยงดูขึ้นมาอยู่บ้าง ดวงตาสีฟ้าสดใสนั่นก็เหมือนกันอยู่ไม่น้อย ดูจะหมองๆ ไปหน่อย แต่ก็คล้ายจะเป็นตาดวงเดียวกัน

ปิศาจมองชายหนุ่มอีกพักใหญ่ ก่อนกรีดกรงเล็บเป็นถ้อยคำออกไปอย่างไม่ใส่ใจ ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน มันก็ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้คำขอของผู้ที่เรียกมันออกมาเป็นจริง

'เป็นเจ้าเองหรือ' กรงเล็บของมันว่าเช่นนั้น แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ลืมเลือนสิ่งใด

'เป็นข้าเอง' ชายหนุ่มขยับนิ้วตอบกลับ แววสดใสเจิดจ้าขึ้นในดวงตา

เมื่อปิศาจเห็นประกายที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้า มันจึงสามารถจดจำชายหนุ่มขึ้นมาได้อย่างแท้จริง

อ้อ เด็กคนนั้นนั่นเอง

เด็กมนุษย์ที่มันเลี้ยงขึ้นมาให้เป็นมนุษย์ที่ดี