ปิศาจรู้แล้วว่าชายตรงหน้าตนนี้คือใคร แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันต้องกระทำสิ่งใดต่างไปจากที่มันกำลังทำ มันกางกรงเล็บออกอีกครั้ง เจ้าต้องการสิ่งใด

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาวางมือหยาบหนาของตนลงบนกรงเล็บคดๆ งอๆ ของปิศาจ จัดแจงพากลุ่มก้อนขมุกขมัวนั้นนั่งลงที่ข้างกองไฟ

จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหมอกควันของปิศาจนั้นสามารถนั่งหรือยืนได้หรือไม่ เขาเพียงแต่รู้สึกว่ามันเป็นมารยาทอันดีที่จะเชิญอีกฝ่ายให้นั่งลง

ตัวเขาเองนั่งลงที่อีกฟากของกองไฟ แล้วเริ่มเอ่ยบทสนทนา

"ข้าคือเด็กที่ท่านเลี้ยงขึ้นมา" เขาเริ่มเช่นนั้น "เมื่อตอนที่ท่านจากไปข้าไม่มีนาม หากตอนนี้ผู้คนเรียกข้าว่าบามันซ์ บามันซ์ ที่แปลว่า เติบโตขึ้นมาอย่างดี"

ชายหนุ่มแนะนำตัว แล้วเอ่ยถามปิศาจ

"ท่านผู้เลี้ยงดูข้าขึ้นมา ท่านมีนามว่าอย่างไร" เขาว่าอย่างขึงขังเป็นทางการ

ปิศาจไม่ได้สนใจชื่อของตน ภาษาของพวกมันไม่ได้ใช้ชื่อในการเรียกขานซึ่งกัน มันกรีดนิ้วตอบกลับไป ไม่ได้แจ้งนาม หากบอกให้ชายหนุ่มเรียกมันได้ตามใจ

"เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่า อาซา ได้หรือไม่"

ชายหนุ่มถาม เขาไม่ต้องการเรียกปิศาจว่าปิศาจ แท้จริงเขายังไม่อยากเรียกปิศาจว่าอาซา อาซาคือความหวาดกลัว คือเสาเพลิงสูงใหญ่ที่จะแผดเผาฟ้าดิน ปิศาจของเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แต่เขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะเรียกปิศาจด้วยชื่ออื่นที่ต่างออกไป เขาจึงได้แต่ใช้นามที่คนอื่นตั้งให้เรียกปิศาจของตน

ปิศาจไม่มีความคิดเป็นเช่นไร มันกรีดนิ้วออกตอบรับคำเรียกนั้น แล้วชายหนุ่มก็ว่าต่อไป ยังคงไม่ใช่การเอ่ยถึงสิ่งที่ปรารถนา เป็นเพียงการเล่าเรื่องของตน

"ข้าศึกษาเรื่องของท่าน..." เรื่องราวของเขาเริ่มที่ตรงนั้น

ชายหนุ่มเล่าถึงลูกปัดพิเศษที่สามารถเรียกมันออกมาอย่างเฉพาะเจาะจง เล่าถึงการเดินทางเพื่อสร้างลูกปัดนั้น เล่าว่าเขาออกมาจากกระท่อมนั่นอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหน เข้าสู่สงครามกี่ครั้ง เฉียดตายมาแล้วกี่หน ค่อยๆ เล่าถึงรอยสักแต่ละรอย แผลเป็นแต่ละแห่ง โอ้อวดว่าตนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าอย่างไร มีคนนับหน้าถือตามากแค่ไหน เรื่อยไปจนถึงเรื่องของการตัดสินใจทิ้งลูกปัดลงสู่เปลวไฟ

ลื่นไหลต่อเนื่องยิ่งนัก ราวกับชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดของเขานั้นเป็นไปเพื่อเตรียมเรื่องราวมาเล่าให้ปิศาจของตนฟัง ลืมสิ้นว่าตนเคยสงสัยสิ่งใด เคยหวาดกลัวสิ่งใด

ปิศาจคงนิ่งฟังอยู่อย่างนั้น ปล่อยเขม่าควันของตนวูบไหวตามลมแรงของทะเลทราย ฟังเรื่องของชายหนุ่มอย่างสงบ แม้มันอยากขัดอยู่บ้างในบางครั้ง เป็นต้นว่าไม่มีลูกปัดแบบใดสามารถบังคับเรียกมันออกมาได้หากมันไม่เต็มใจจะมาเอง แต่มันก็ไม่ได้ขยับกรงเล็บเพื่อเอ่ยสิ่งใด

ปิศาจมองนักรบหนุ่มที่เรียกมันออกมา นักรบองอาจที่มันเห็นเมื่อครู่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว มีเพียงเด็กชายเจื้อยแจ้วคนหนึ่งเท่านั้น

เด็กชายตัวน้อยที่เล่ารายงานเรื่องในแต่ละวันของตนให้ผู้ปกครองฟัง และดวงตาสีฟ้าสดใสนั้นกำลังเรียกร้องหาคำชม

ปิศาจคิดว่าเด็กชายของตนเติบโตขึ้นมาได้ไม่เลว เกือบจะยื่นมือออกไปลูบหัวชายหนุ่มแล้วตอนที่มันสังเกตเห็นแววตานั่น แต่เพราะมันก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าสิ่งที่ตนยื่นออกไปนั้นคือกรงเล็บแหลมคมมิใช่ฝ่ามือที่มีเนื้อหนังอย่างมนุษย์ มันจึงดึงกรงเล็บกลับมา และนึกขึ้นมาได้ว่าตนคือสิ่งใด

ปิศาจขัดใจในการแสดงออกของตน

ความรู้สึกอย่างมนุษย์นั้นฝังรากลึกเสียจนมันนึกท้อแท้

มันคำรามต่ำ ก่อนขยับกรงเล็บคดงอ

ไม่ใช่การลูบศีรษะหรือคำชม ปิศาจต้องการกลับเป็นตนอีกครั้ง มันจึงกรีดนิ้วออกไป ห่างเหิน และเย็นชา

'เจ้าต้องการสิ่งใด'