3 ตอน ขลาด
โดย lilian
เมื่อเด็กชายเห็นคนที่เลี้ยงตนมาตั้งแต่จำความได้กร่อนสลายผุพังกลายเป็นบางสิ่งที่ตนไม่เข้าใจก็ตกใจ
ปิศาจไม่เคยสอนเรื่องของเผ่าพันธุ์ตนแก่เด็กชาย
ไม่เคยเอ่ยถึงลูกปัด ไม่เคยเอ่ยถึงการโยนสิ่งใดลงไปในเปลวไฟ
เด็กชายลนลาน
เขาเข้าใจการสื่อสารด้วยการกรีดนิ้วของปิศาจบ้างจากการลักจำ บางครั้งสตรีไร้ชื่อที่เลี้ยงเขาขึ้นมาก็มักจะขยับมือเช่นนั้น แต่เด็กชายไม่เข้าใจการขยับมือครั้งสุดท้ายของสิ่งที่เลี้ยงตนมา
เขาแน่ใจว่ามีคำว่าขอบคุณในนั้น แต่นอกนั้นเขาไม่อาจถอดความ
เด็กชายค้นชุดคำศัพท์ในใจ ขยับนิ้วตาม ทดลองสะกดคำ แต่เขาก็ไม่สามารถรับสารอะไรได้มากกว่าที่เป็น
เด็กชายไม่เข้าใจการขยับมือที่แปลว่าลูกปัด และไหม้ไฟ
'เกิดอะไรขึ้น ท่านเป็นใคร เป็นสิ่งใด เหตุใดจึงหายไป'
คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในใจของเขา
เด็กชายขยับเข้าใกล้เตาผิงอย่างระมัดระวัง ใช้เหล็กเขี่ยไฟเขี่ยถ่านร้อนในนั้นเผื่อพบเบาะแสบางอย่าง
แน่นอนว่าไม่พบสิ่งใด
เขากลับไปที่โต๊ะ นั่งลงเบื้องหน้าโถบรรจุฝุ่นดำที่หญิงผู้นั้นบอกว่าคือคนผู้สั่งให้นางเลี้ยงดูเขาขึ้นมา
เขานั่งลงและครุ่นคิด แม้จะค่อนข้างร้อนรน แต่เขาก็ยังนั่งลงและครุ่นคิด คิดให้ดีและถี่ถ้วนว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใดตามที่ตนได้รับการสั่งสอนมา
เด็กชายมองดูเถ้าในโถนั้น คิดถึงคำที่ผู้ดูแลของตนกล่าวไว้
การเรียกออกมาและบัญชา
เขากรีดนิ้วมือออกอย่างเหม่อลอย นึกไปถึงการกระทำในอดีต ท่าทีแปลกประหลาดต่างๆ นานา ของเธอผู้นั้น ก่อนผลุบหายไปในห้องสมุดที่ใหญ่โตอย่างลึกลับในกระท่อมของตน
มุ่งตรงสู่ซอกมุมลึกลับมุมหนึ่งที่เขาโดนสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้ตลอดมา
เด็กชายพบเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าปิศาจมากมายในชั้นหนังสือต้องห้ามเหล่านั้น
เขาสันนิษฐานว่าหนังสือเหล่านี้คงเป็นของคนที่กลายเป็นเถ้าอยู่ในขวดโหล มันกล่าวถึงวิธีเรียกปิศาจ วิธีบังคับให้ปิศาจนั้นเชื่อฟัง วิธีสร้างลูกปัดพิเศษที่มีฤทธิ์บางอย่างเฉพาะเจาะจง
เด็กชายพบว่าสตรีผู้เลี้ยงดูตนขึ้นมานั้นเป็นปิศาจตนหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า อาซา อาซาแห่งเปลวเพลิง
อาซาแห่งเปลวเพลิงมีร่างกายอันก่อขึ้นมาจากเขม่าควัน มีจุดเด่นอยู่ที่คมเขี้ยวโค้งยาว และกรงเล็บที่คดงอคล้ายกิ่งไม้ หนังสือว่าไว้เช่นนั้น
จริงๆ หนังสือนั้นยังกล่าวถึงปิศาจตนอื่นอีกหลายตน แต่เด็กชายค่อนข้างแน่ใจว่าปิศาจของตนคือปิศาจผู้มีอำนาจเหนือเปลวไฟทั้งมวลนี้ ก็เธอผู้นั้นหายไปในเปลวไฟไม่ใช่หรืออย่างไร
เขาสืบค้นต่อไป ก่อนจะพบว่าปิศาจของตนนั้นเป็นปิศาจที่มีชื่อเสียงมากตนหนึ่ง ชื่ออาซาแห่งเปลวเพลิงปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในหน้าหนังสือเหล่านั้น บ้างช่วยรบในสงคราม บ้างฆ่าล้างโจรร้าย บ้างเผาเมือง ล่มอาณาจักร แต่ไม่ว่าจะกระทำการใด การปรากฏตัวของเธอผู้นั้นล้วนย้อมไปด้วยสีแดงฉานของโลหิตและเปลวเพลิง โหดร้ายชนิดที่ต่อให้เป็นคนตาบอดมาเห็น ก็ยังสามารถบอกได้ว่าอาซาแห่งเปลวเพลิงนี้ไม่ใช่ปิศาจที่จะสามารถเลี้ยงดูสิ่งใด
เด็กชายนิ่งไป เขาเริ่มไม่มั่นใจไม่ในข้อสันนิษฐานของตน ไม่แน่ใจในข้อความที่ถูกบอกเล่าผ่านหน้ากระดาษ เธอผู้นั้นเลี้ยงดูเขาขึ้นมาอย่างถนอมยิ่งนัก ไม่เคยแสดงความโหดร้ายอันใดออกมาให้เห็น ซ้ำยังพร่ำบอกเขาอย่างสม่ำเสมอว่าชีวิตสำคัญอย่างไร ควรถนอมชีวิตทั้งของตนเองและผู้อื่นอย่างไร
คนเช่นนั้นหรือจะสามารถเผาเมืองล่มอาณาจักร ให้ตายเด็กชายก็ยังคงเชื่อไม่ลง
เขาคลางแคลงใจ แต่เขาไม่มีหนทางใดในการสืบค้นอีกนอกจากดำดิ่งไปในหนังสือพวกนั้นต่อไป
และเพราะเด็กชายได้รับการเลี้ยงดูขึ้นมาให้สามารถตั้งคำถาม ดังนั้นยิ่งอ่านเขาก็ยิ่งมีคำถาม ข้อความในหนังสือเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือ ปิศาจของเขาโหดร้ายเพียงนั้นจริงๆ หรือเพียงโดนแต่งแต้มด้วยคำลวงของผู้บันทึกตำรา และหากเป็นเรื่องจริง ความโหดร้ายนั้นคือตัวตนโดยแท้ของนาง หรือนางเพียงแต่โดนบางสิ่งบังคับให้กระทำ แล้วตัวนางที่อ่อนโยนของเขาเล่า จริงแท้เพียงไร หรือนั่นก็เป็นอีกเพียงการกระทำที่โดนบังคับโดยเวทมนตร์
เขาอยากได้คำตอบของคำถามเหล่านั้น หากเด็กชายเองก็กลัวที่จะหาคำตอบของมันเช่นกัน
เขาไล้มือไปบนกระดาษหน้าหนึ่งซึ่งบรรยายถึงการสร้างลูกปัดเพื่อเรียกปิศาจนามอาซาออกมาอย่างเฉพาะเจาะจง นึกถึงการสร้างมันขึ้นมา นึกถึงการเผามันลงในเปลวไฟ นึกถึงการได้สนทนากับปิศาจของตนอีกครั้ง
หากเขาไม่กล้าพอที่จะลงมือสร้างลูกปัดนั้นออกสู่ความจริง
เด็กชายเชื่อถือในปิศาจของตนเกินไป คนเราเมื่อถูกเลี้ยงดูมาด้วยบางสิ่งบางอย่างมาตลอดชีวิตย่อมสามารถเชื่อสิ่งนั้นโดยไร้ข้อสงสัยใด
เขาปรารถนาจะไขข้อสงสัยของตน หากก็กลัวเกินกว่าจะเผาลูกปัดเรียกปิศาจออกมาถามโดยตรง
หากคำตอบคือใช่เล่า เขาจะทำอย่างไร เขายังไม่สามารถเชื่อว่าภาพอันงดงามที่เขาเห็นมาทั้งชีวิตนั้นเป็นของปลอมได้โดยไม่แหลกสลายลงสู่ฝุ่นดิน
เด็กชายยังขี้ขลาดเกินไป ขี้ขลาดเกินกว่าจะเผชิญกับความจริง
Comments (0)