5 ตอน ตอนที่ 4 ผู้ร่วมทางคนใหม่
โดย อาหลานเร่อ
ตอนที่ 4
ผู้ร่วมทางคนใหม่
กว่าฝนจะหยุดตกลงมาก็เป็นเวลาเช้าวันใหม่แล้ว ขบวนเดินทางทั้งสองที่หยุดพักหลบฝนตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็พากันเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันต่อแล้ว
ยามนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งนัก ราวกับว่าเมื่อวานมิได้มีพายุฝนตกหนักมาก่อน ดั่งคำที่ว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ ท้องฟ้าเบื้องหน้าของนางในยามนี้งดงามมากจริง ๆ
กลุ่มก้อนเมฆรวมตัวกันเป็นรูปร่างคล้ายกับปลาทองที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้า
“เสี่ยวหนิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท ที่กำลังตรวจดูสิ่งของที่ถูกลำเรียงขึ้นไปยังรถม้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เจ้าคะ คุณหนู” นางขานรับคำคุณหนูของตนทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก ก่อนจะเดินไปที่ทางด้านหน้าทางเข้าอารามที่คุณหนูของนางยืนอยู่
“บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูมีสิ่งใดจะสั่งหรือเจ้าคะ”
“เจ้าลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสิ”
สิ้นเสียงของคุณหนูที่เอ่ยออกมา เสี่ยวหนิงก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าทันที ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ
“บนท้องฟ้า เมฆปรากฏเป็นรูปปลาทอง เป็นมงคลนักเจ้าค่ะคุณหนู”
“ข้ารู้แล้ว จึงได้เรียกให้เจ้ามองอย่างไรเล่า” นางเอ่ยขึ้นพลางยิ้มอย่างเอ็นดูสาวใช้ของนาง
ไม่เพียงแค่หลิวซือนัวกับเสี่ยวหนิงเท่านั้นที่ได้เห็นเมฆมงคลนี้ เพราะเสียงดีใจและตื่นเต้นของเสี่ยวหนิงเมื่อครู่ทำเอาทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองเมฆมงคลบนท้องฟ้าเช่นเดียวกันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งคนในขบวนเดินทางอีกขบวนหนึ่ง ซึ่งแม้พวกเขาจะขึ้นม้าเตรียมออกเดินทางกันแล้วก็ยังแหงนหน้าขึ้นมองเมฆมงคลนี้เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะพากันออกเดินทางทันที
พวกเขาไม่ได้มีท่าทีหรือการส่งเสียงดังใด ๆ เช่นขบวนของพวกนาง เพียงแค่จากไปเงียบ ๆ โดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลาแม้สักครึ่งคำ
หลังจากที่ขบวนพวกเขาออกไปได้ไม่นาน ขบวนของนางจึงได้ออกเดินทางต่อไปเช่นเดียวกัน
นางและเสี่ยวหนิงนั่งอยู่ในรถม้าตลอดทางมีเพียงแค่แวะลงไปทานอาหารกลางวันและพักเหนื่อยกันเพียงเวลาสองก้านธูปเท่านั้นพวกนางก็พากันออกเดินทางต่อ จากที่เสี่ยวชิงบอกมาคืนนี้พวกนางน่าจะโชคดีมีโรงเตี้ยมให้เข้าพัก ไม่ต้องแวะพักในป่าหรือแถววัดร้างอีก
นี่ก็จวนจะเย็นมากแล้ว ไม่เกินหนึ่งชั่วยามฟ้าก็คงจะมืด ตามที่เสี่ยวชิงบอกพวกนางก็น่าจะไปถึงโรงเตี้ยมที่ว่าก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป
“คุณหนูขอรับ ทางข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นขบวนเดินทางที่พักอยู่กับเราเมื่อคืนขอรับ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีปัญหาบางอย่าง” เสียงเสี่ยวชิงเอ่ยบอกนางผ่านจากช่องหน้าต่างของรถม้า
“เช่นนั้น เจ้าก็เข้าไปดูพวกเขาหน่อยเถอะ พวกเราถือโอกาสพักสักเดี๋ยวก็แล้วกัน” นางเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำใจ
ไม่นานรถม้าของหลิวซือนัวก็หยุดลง นางให้เสี่ยวหนิงประคองนางลงมาจากรถม้า ก่อนจะมองไปยังรถม้าของขบวนเดินทางอีกขบวนหนึ่งถึงได้เห็นว่า รถม้าของพวกเขานั้นมีปัญหา ล้อของรถม้าคันนั้นหลุดหายไปไหนก็ไม่ทราบ
ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เพียงรถม้าของพวกเขาเท่านั้นที่มีปัญหา ผู้ที่เคยโดยสารอยู่ภายในก็น่าจะเกิดปัญหาเช่นเดียวกัน ซึ่งนางรู้ดีว่าผู้ที่โดยสาร อยู่บนรถม้าก็คือบุรุษตาบอดผู้นั้นแน่นอน และเขาก็คงเป็นเหตุให้เวลานี่ทุกคนในขบวนเดินทางของเขาและของนางต่างพากันไปยืนมุมอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ จนไม่อาจเห็นชายตาบอดผู้นั้นได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่
นางและสาวใช้คนสนิทแม้จะอยากรู้เหตุการณ์อยู่บ้างแต่ก็เลือกที่จะยืนรั้งอยู่ไกล ๆ เท่านั้น ไม่ได้พากันเดินเข้าไปมุงดูร่วมด้วยแต่อย่างไร
“คุณหนูขอรับ คุณชายของพวกเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเพราะตกลงมาจากรถม้าขอรับ”
เป็นเสี่ยวชิงที่เข้ามารายงานนางหลังจากที่เมื่อครู่เขาได้เข้าไปดูอาการของคุณชายท่านนั้น อีกทั้งยังพาผู้ติดตามคนหนึ่งของขบวนข้าง ๆ กลับมาด้วยผู้หนึ่ง
“คาราวะคุณหนู ข้าน้อยกู่เหอขอรับเป็นหัวหน้าขบวนเดินทางของคุณชายในครั้งนี้”
“พวกท่านมีอะไรจะให้พวกข้าช่วยใช่หรือไม่ มีสิ่งใดก็รีบเอ่ยมาเถอะ” หลิวซือนัวเอ่ยถามขึ้น นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องมีสิ่งใดให้นางช่วยแน่ ๆ ถึงได้เข้ามาแนะนำตัวกับนาง ทั้งที่เมื่อคืนนี้ต่อให้จะนำชามาให้เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นน้ำใจแต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าพวกเขาอยากจะแนะนำตัวหรือทำความรู้จักใด ๆ กับคนในขบวนของพวกนางเลย
“เช่นนั้นข้าน้อยขอเอ่ยตามตรงเลยนะขอรับ รถม้าเราไปต่อไม่ได้แล้วขอรับ อีกอย่างคุณชายของเราก็ยังได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอีกด้วย แม้แผลจะไม่รุนแรงนักแต่ก็กระทบกระเทือนกับดวงตาที่รักษาอยู่ไม่น้อยทีเดียว หากให้ขึ้นม้าและขี่ไปเกรงว่าจะยิ่งกระทบกระเทือนมากขึ้น จึงอยากจะขอให้คุณชายของข้าน้อยโดยสารรถม้าของคุณหนูไปพร้อมกันกับท่านได้หรือไม่ เมื่อครู่ข้าถามพี่ชิงแล้วเห็นว่าจุดหมายของพวกท่านก็คือโรงเตี้ยมกลางป่าเช่นกัน” กู่เหอร่ายยาวออกมาทันที
แน่นอนว่าเห็นคนเดือดร้อนอีกทั้งยังมาขอให้ช่วยเช่นนี้ นางไม่มีทางที่จะปฏิเสธไม่ช่วยแน่หากว่าตนพอจะช่วยเหลือได้
“ข้ายินดีให้คุณชายของพวกท่านโดยสารไปกับข้าด้วย อีกเดี๋ยวข้าจะให้เสี่ยวหนิงจัดที่ในรถม้าเอาไว้ให้เขา อีกครู่หนึ่งท่านก็พาคุณชายท่านมาเถอะ”
“ขอบคุณ ขอบคุณมากขอรับคุณหนู”
รถม้าเคลื่อนตัวออกมาแล้ว ที่นั่งยาวฝั่งตรงข้ามกับที่นางนั่งอยู่ในเวลานี้ถูกจับจองด้วยบุรุษตาบอดผู้หนึ่ง ซึ่งในยามนี้เขามีผ้าผูกเอาไว้ที่ศีรษะและมีผ้าสีดำผูกเอาไว้ที่ตา ร่างสูงนอนอยู่อีกฝั่งอย่างนิ่งเฉย นางไม่รู้ว่ายามนี้เขาหลับหรือว่าตื่นอยู่กันแน่ แต่หากมองจากการที่เขาไม่ได้ขยับตัวเลยตั้งแต่ถูกพาขึ้นรถม้ามา เป็นไปได้มากว่าเขาอาจจะกำลังหลับอยู่
เพราะผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นผู้นี้มีปัญหาด้านสายตา แน่นอนว่าม่านและหน้าต่างของรถม้าย่อมต้องถูกปิดจนสนิทเพื่อไม่ให้มีแสงรอดเข้ามามากจนเป็นปัญหา แน่นอนว่าเมื่อหน้าต่างถูกปิดสนิทลมและอากาศภายนอกย่อมไม่สามารถผ่านเข้ามาได้เช่นกัน
เพื่อกันไม่ให้ภายในรถม้าอบอ้าวจนเกินไป นางจำต้องให้เสี่ยวหนิงเปลี่ยนไปขี่ม้ากับเสี่ยวชิงแทน ในรถม้ายามนี้จึงมีเพียงแค่นางและบุรุษตาบอดแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่ายามนี้เขาหลับอยู่หรือไม่เท่านั้น
รถเคลื่อนตัวมาเลื่อย ๆ จนกระทั้งเวลาผ่านไปเท่าไหร่นางเองก็ไม่แน่ใจ ทว่าอยู่ ๆ ร่างของบุรุษที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งที่นั่งของนางนั้น อยู่ๆเขาก็เริ่มขยับตัว เขายังคงนอนอยู่เช่นเดิมมีเพียงมือของเขาเท่านั้นที่ยามนางมองไปกลับกำลังกำแน่นคล้ายว่ากำลังอดทนต่ออะไรสักอย่างอยู่
ในรถม้ายามนี้มีเพียงนางและเขา หลิวซือนัวจึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นไปดูอาการของเขา อย่างน้อย ๆ หากเขามีอาการอะไรผิดปกตินางก็ยังสามารถเรียกคนของเขามาดูอาการได้ทันท่วงที
นางคุกเข่าลงกับพื้นรถม้าเบื้องหน้าที่มีร่างสูงใหญ่นอนอยู่ เมื่อนางเข้ามาใกล้เขาจึงได้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าและตามร่างกายของเขาเริ่มมีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก ริมฝีปากที่เริ่มซีดเซียวของเขาเริ่มถูกเจ้าตัวขบกัดเอาไว้คล้ายกับว่ากำลังอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดอยู่
“ท่าน ท่าน เป็นอะไรหรือไม่” นางเอ่ยถามเขา ทว่าเจ้าของร่างผอมแห้งก็ ไม่ได้ตอบกลับนางมา นางไม่แน่ใจว่ายามนี้เขายังได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยถามออกไปชัดเจนหรือไม่ จึงได้เลือกที่จะเอื้อมมือไปจับมือใหญ่ของเขาเอาไว้แทน
ยามที่ได้สัมผัสมือของเขานางจึงรับรู้ได้ว่ามือของเขานั้นร้อนราวกับ ไฟทีเดียว เวลานี้เองนางจึงไม่อาจมองดูเขาอย่างเฉย ๆ ได้อีก หลิวซือนัวตะโกนสั่งให้ขบวนเดินทางหยุดทันที
“หยุดรถเดี๋ยวนี้!!! กู่เหอรีบตามกู่เหอมาเร็วเข้า!!!”
สิ้นเสียงตะโกนของนางรถม้าก็หยุดลงแทบจะในทันที ไม่นานกู่เหอก็เข้ามาในรถม้าตามที่นางเรียก
“คุณชายของเจ้า อยู่ๆ ก็ตัวร้อนขึ้นมา ทั้งยังดูทรมานมากทีเดียวรีบเข้ามาดูเร็วเข้าเถิด” นางเอ่ยพลางจะขยับตัวหลบให้กู่เหอเข้ามาดูอาการของคุณชายของเขาได้อย่างถนัด ทว่ายามที่นางจะลุกขึ้นหลีกทางนั้น มือของนางกับถูกเจ้าของมือใหญ่กุมเอาไว้แน่ไม่ยอมปล่อย ยิ่งนางออกแรงดึงมือของตัวเองออกก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกกุมเอาไว้แน่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ต้องสนใจข้า รีบดูอาการเขาเร็วเข้าเถิด” ในเมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือนางออก หลิวซือนัวจึงทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน
“พิษที่ดวงตาของคุณชายกำเริบขอรับ เพียงแค่กินยานี้ไม่นานอาการก็จะทุเลาลง” กู่เหอรีบเร่งนำยาเม็ดในมือตนป้อนให้คุณชายทันที เมื่อเห็นว่าคุณชายของตนนั้นกุมมือของคุณหนูตรงหน้าไม่ยอมปล่อย
“เช่นนั้นก็เร่งเดินทางต่อเถอะ คุณชายของเจ้าควรได้พักผ่อนดี ๆ โดยเร็ว”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ อีกอย่าง…ข้าน้อยต้องขออภัยแทนคุณชายด้วยเรื่องที่กุมมือของคุณหนูเช่นนี้…”
กู่เหอเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิดแทนผู้เป็นนายของตนซึ่งยามนี้ยังไม่รู้สึกตัว แต่กลับสร้างความผิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เขาป่วย ข้าเข้าใจได้ ไม่ได้ถือสาหรือถือโกรธอันใดหรอก เร่งเดินทางต่อเถอะ”
ผู้ติดตามหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจเป็นอย่างมาก เตรียมตัวที่จะลงจากรถม้าเพื่อขึ้นม้าเร่งเดินทางต่อ
“อีกอย่าง ฝากบอกเสี่ยวหนิงด้วยว่าข้าไม่เป็นอะไร นางไม่ต้องลงจากม้าเข้ามาดูข้าหรอก” หลิวซือนัวไม่ลืมที่จะฝากคำพูดไปยังสาวใช้คนสนิทของนางที่นางคิดว่าเมื่อกู่เหอลงรถไปแล้ว คนต่อมาที่จะรีบร้อนเข้ามาก็คงไม่พ้นเสี่ยวหนิงเป็นแน่ และหากนางเข้ามาเห็นว่านางถูกบุรุษไม่ได้สติกุมมือเอาไว้แน่นเช่นนี้เสี่ยวหนิงจะต้องโวยวายขึ้นมาแน่ ๆ
หากเป็นอย่างนั้นย่อมจะเป็นปัญหาทำให้การเดินทางล่าช้าลงอีก เพราะฉะนั้นไม่ให้เสี่ยวหนิงเข้ามาเห็นเลยจะดีเสียกว่า อีกอย่างมือหนาที่กุมมือนางเอาไว้อีกไม่นานก็คงจะปล่อยมือนางไปเองหลังจากที่ยาที่กู่เหอให้เขาทานไปเมื่อครู่ออกฤทธิ์แล้ว
Comments (0)