2 ตอน ตอนที่ 1 ข้านี่แหละหลิวซือนัว
โดย อาหลานเร่อ
ตอนที่ 1
ข้านี่แหละหลิวซือนัว
สิบเอ็ดปีมาแล้วที่นางอยู่ในมิตินี้ในฐานะหลิวซือนัว ทุกอย่างในชีวิตราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง นางมีครอบครัวใหญ่ที่แสนอบอุ่น อีกทั้งนางยังเป็นที่รักของคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก ทุกคนในสกุลหลิวล้วนแล้วแต่ดูแลนางอย่างดีราวกับประคองไว้บนมือก็กลัวจะตก อมไว้ในปากก็กลัวจะละลาย ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องการแล้วจะไม่ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางได้รับล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือสิ่งของต่าง ๆ รวมไปถึงเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศทั้งสิ้น
ชีวิตของนางต่างจากโลกเดิมอย่างชัดเจนราวกับหลังมือเป็นหน้ามือ จากที่เคยขัดสนกลับมั่งมีมากมายล้นเหลือ จนทำนางเผลอคิดไปว่าหรือชีวิตใหม่ในมิตินี้จะเป็นสิ่งที่สวรรค์ตั้งใจมอบแก่นาง
ถึงกระนั้นนอกจากทรัพย์สินมากมายและครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว ดูเหมือนจะมีสิ่งหนึ่งที่นางอยากจะให้เป็นเช่นเดิมเหมือนในมิติก่อน นั่นก็คือในมิติก่อนนางกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ทว่าในมิตินี้เพียงแค่จิบชาไปหนึ่งถ้วยกับรู้สึกว่าตนอ้วนขึ้นเสียอย่างนั้น เหล่าแม่นางคุณหนูทั้งหลายในเมืองนี้ล้วนแล้วแต่มีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นด้วยกันทั้งสิ้น มีเพียงนางนี่แหละที่ร่างกายอวบอิ่มไปทั้งเนื้อทั้งตัว มองดูแล้วแปลกตาไปจากผู้อื่น
แต่นั่นใช่สิ่งที่นางใส่ใจที่สุดไม่ ถึงจะไม่พอใจเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่ถึงขั้นรู้สึกย้ำแย่ เพียงแค่มีบ้างที่รู้สึกเสียดายที่ต้องห้ามใจตัวเองกับอาหารรสเลิศมากมาย
ที่มิตินี้ไม่มีอินเตอร์เน็ตไม่มีโทรศัพท์มือถือ ที่จะสามารถให้ความบันเทิงได้เพราะฉะนั้นเรื่องซุบซิบนินทาจึงเปรียบเสมือนความบันเทิงที่ทำได้ง่ายที่สุดในหมู่ผู้คน ราวกับว่ามันเป็นงานอดิเรกหลักๆของคนในมิตินี้ก็ว่าได้
“คุณหนูถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทของนาง นามว่าเสี่ยวหนิงเข้ามาเตือนนางที่กำลังมองใบหน้าตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ” นางส่งยิ้มให้เสี่ยวหนิงก่อนจะลุกขึ้นเดินนำเสี่ยวนิ่งออกไปยังโถงด้านหน้า ซึ่งถูกจัดเป็นโถงทำพิธีปักปิ่นของนางในวันนี้
ยามนี้นางกำลังจะเข้าพิธีปักปิ่นหรือพิธีก้าวสู่วัยสาว หลิวซือนัวที่มาอยู่ที่นี่สิบเอ็ดปีแล้วรู้สึกปีติในใจอยู่นิดหน่อย ที่ว่านางสามารถใช้ชีวิตผ่านช่วงหนึ่งของชีวิตมาได้อย่างสุขสันติ อีกทั้งต่อจากนี้ทุกคนก็จะปฏิบัติต่อนางเช่นผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยอีกต่อไป
อิสระในด้านต่างๆของนางก็คงจะเพิ่มมากยิ่งขึ้นเช่นกัน และนั่นคงหมายถึงในภายภาคหน้านางก็จะสามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วยตัวเองได้แล้ว
นอกจากนางแล้วก็ดูเหมือนว่าหลิวฮูหยินหรือก็คือท่านแม่ของนางจะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดในเวลานี้ เห็นได้ชัดจากการที่ท่านแม่ของนางนั้นนั่งยิ้มแย้มอยู่ในโถงพิธี ใบหน้าก็ดูเบ่งบานเต็มไปด้วยความสุขยิ่ง
ภายในโถงพิธีมีผู้คนมามายมาร่วมพิธีปักปิ่นของนาง หลิวซือนัวมองเห็นสตรีวัยกลางคนหลายนางที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง เพราะนางอาจจะเคยพบตอนที่ไปงานเลี้ยงด้วยกันกับท่านแม่ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไม่แปลกที่จะมาร่วมงานด้วยในเมื่อสกุลหลิวของพวกนางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นมิตรที่ดีต่อผู้อื่นเสมอมา ซ้ำยังมีหน้ามีตาในสังคมมิน้อย เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองเป่ยโจวที่ไม่อาจจะมองข้ามได้
“คาราวะท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ” นางย่อตัวโค้งคำนับท่านพ่อและท่านแม่ของนางด้วยท่าทีนอบน้อมอ่อนหวาน
“เริ่มพิธีปักปิ่นคุณหนูสามแห่งบ้านสกุลหลิว คุณหนูหลิวซือนัวได้”
พ่อบ้านตู้ผู้เป็นพ่อบ้านประจำสกุลหลิวและผู้นำพิธีในวันนี้เป็นผู้กล่าวขึ้น หลังจากนั้นขั้นตอนต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้นตามลำดับ ใช้เวลาเพียงไม่นานพิธีก็เสร็จสิ้น
มีงานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายเพื่อรับรองแขกที่มารวมงานต่ออีกเล็กน้อย พ่อบ้านตู้ก็ยังเป็นผู้จัดการดูแลทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อยเหมือนอย่างเคย ส่วนตัวนางนั้นหลังจากที่ร่วมพูดคุยกับฮูหยินหลายคนจากหลากหลายสกุล ที่มารดาของนางพาไปแนะนำและคาราวะพอสมควรแล้ว ถึงได้ขอตัวลากลับไปพักที่เรือนของตน
หลิวซือนัวกลับเข้าเรือนจันทร์หอม ซึ่งเป็นเรือนที่พักของนาง เรือนพักแห่งนี้เป็นสถานที่ที่นางเติบโตและอาศัยมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยจนถึงบัดนี้ เมื่อกลับถึงเรือนแล้ว นางก็ให้เสี่ยวหนิงช่วยนางเปลี่ยนปิ่นปักผมอันใหม่
โดยที่นางนำปิ่นปักผมที่ท่านพ่อท่านแม่มอบให้ในพิธีวันนี้เก็บใส่กล่องอย่างดี ก่อนจะให้เสี่ยวหนิงนำไปเก็บนางก็อดไม่ได้ที่จะหยิบปิ่นปักผมออกมาชื่นชมอีกครั้งหนึ่งอย่างละเอียด
ปิ่นหยกแกะสลักเป็นลวดลายดอกบัวที่กำลังบานสะพรั่ง ดูเรียบหรูทว่าลวดลายกลับแกะสลักได้อย่างประณีตยิ่งนัก ปิ่นปักผมอันนี้ย่อมต้องมีมูลค่าไม่น้อยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะท่านพ่อและท่านแม่นั้นย่อมต้องมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่นางเสมอ
“เสี่ยวหนิง นำไปเก็บเถอะ ต่อจากนี้เจ้าก็ช่วยข้าดูแลปิ่นปักผมอันนี้ให้ดีด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวทราบแล้ว”
หลิวซือนัวนั้นเริ่มเข้ามาเรียนรู้และช่วยงานกิจการร้านอาภรณ์สกุลหลิวตั้งแต่เมื่อปีก่อน ทว่าไม่เคยเปิดเผยในคนภายนอกรับรู้ จะมีแค่เพียงคนของสกุลหลิวเท่านั้นที่รู้
วันนี้ในที่สุดนางก็ได้ออกมาทำงานอย่างเปิดเผย ซ้ำยังได้เป็นตัวแทนของร้านอาภรณ์สกุลหลิวเต็มตัวเป็นวันแรก โดยครั้งนี้นางมาเยือนถึงร้านเครื่องหอมสกุลอี้เพื่อเป็นตัวแทนทำการค้าด้วยตัวเอง
ทว่าผู้ใดจะคิดเหล่าว่าทันทีที่นางก้าวเท้าเข้าไปยังร้านเครื่องหอมสกุลอี้นั้นกับมาได้เวลาเหมาะทีเดียว เพราะดูเหมือนว่าจะมีเหล่าสตรีหลายคนกำลังพูดถึงนางอยู่อย่างสนุกสนาน
“ได้ยินมาว่า วันก่อนที่บ้านสกุลหลิวจัดพิธีปักปิ่นเสียใหญ่โต คงกลัว ว่าคนทั้งเมืองจะไม่ทราบกระมังว่าบุตรสาวสกุลหลิวถึงวัยออกเรือนแล้ว”
“ข้าก็ได้ยินมาเช่นกัน ว่ากันว่าในวันนั้นมีฮูหยินจากหลายสกุลใหญ่ในเมืองไปร่วมเป็นแขกหลายคนทีเดียว สงสัยสกุลหลิวคงอดใจไม่ไหวอยากตบแต่งบุตรสาวให้เป็นฝั่งเป็นฝาโดยเร็วกระมัง”
“วันนั้นเชิญแขกมากมายแล้วอย่างไร ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูสามสกุลหลิวผู้นี้ไม่ได้มีสิ่งใดโดดเด่น รูปโฉมก็ไม่ได้งดงามเป็นที่เลื่องลือ เห็นทีว่าหากสกุลหลิวคิดจะให้นางตบแต่งออกไปจริง ก็คงจะต้องลงทุนลงแรงกันไปอีกไม่น้อย”
เสียงหัวเราะอย่างขบขันที่ดังขึ้น ยิ่งเป็นสิ่งย้ำเตือนได้เป็นอย่างดี ว่าพวกนางนั้นเห็นหลิวซือนัวเป็นเพียงเรื่องสนุกปากเพียงเท่านั้น
“เสี่ยวหนิง การนินทาผู้อื่นสามารถทำได้อย่างเปิดเผยถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันหรือ” นางทำทีเอ่ยถามสาวใช้คนสนิทของตนเสียงดัง จนสตรีทั้งสามที่เมื่อครู่พากันนินทานางอย่างสนุกปาก ต่างหันมองมาที่พวกนางด้วยสายตาไม่พอใจนัก คงเป็นเพราะว่านางเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาแฝงการนินทาผู้อื่นของพวกนางเข้าพอดี
“เรียนคุณหนู บ่าวเองไม่เคยนินทาลับหลังผู้อื่นมาก่อน จึงไม่ทราบเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงตอบกลับคุณหนูของนางเสียงดัง นางเข้าใจดีว่าคุณหนูตั้งใจเอ่ยถามนางเพราะเหตุใด
“ไม่ทราบว่าพวกเจ้าสองคนนายบ่าวสูงส่งมาจากไหนกัน คำพูดของพวกข้าถึงไม่เข้าหูพวกเจ้าถึงเพียงนั้น”
แม่นางผู้สวมใส่อาภรณ์สีชมพูอ่อน ดูอ่อนหวานเรียบร้อย ทว่ายามนี้กับใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวไม่น่าฟัง ซึ่งสวนทางกับรูปลักษณ์ภายนอกของตนอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งนางยังเป็นคนแรกที่รีบปรี่เข้ามาหาพวกนางนายบ่าวด้วยท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมากอีกด้วย
หลิวซือนัวเห็นเช่นนี้จึงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ตัวข้าแม้ไม่ได้สูงส่งมาจากไหน ทว่ากลับเข้าใจดีว่าผู้ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีนั้นย่อมไม่นินทาว่าร้ายผู้อื่นลับหลังอย่างสนุกปากเช่นที่พวกเจ้ากระทำเมื่อครู่”
“นินทาผู้อื่นแล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้า อย่ามายุ่งเรื่องของผู้อื่นจะดีกว่า หรือว่าบังเอิญคุณหนูสกุลหลิวนั่นเป็นคนรู้จักของเจ้า เจ้าถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนแทนนางเช่นนี้”
“นั่นสิ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแท้ ๆ ช่างยุ่งไม่เข้าเรื่องเสียจริง”
“พวกเรากล้า พูดย่อมไม่กลัวถูกผู้อื่นได้ยินอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องยุ่งให้ได้เสียหน่อย เช่นนั้นก็อย่าให้ต้องมีเรื่องมีราวกันเลยจะดีกว่า”
“เอาอย่างนี้เป็นอย่างไร ร้านเครื่องหอมนี้เป็นของสกุลอี้ข้า ไม่สู้เจ้าเลือกเครื่องหอมที่ถูกใจสักสองสามอันสิ ข้ายินดีจะมอบให้เจ้านำกลับไปได้เลย ถือซะว่าเป็นของขวัญจากข้า”
หลิวซือนัวจ้องมองไปที่เจ้าของคำพูดเมื่อครู่ ซึ่งนางเพิ่งบอกว่าตัวเองคือคุณหนูสกุลอี้ผู้เป็นเจ้าของร้านเครื่องหอมแห่งนี้ แถมนางยังมาแสดงความใจกว้างเพื่อแก้ปัญหา
ทว่าทีท่าของแม่นางอี้ผู้นี้ช่างดูเย่อหยิ่งขัดใจนางยิ่งนัก นางยิ่งมองก็ยิ่งไม่ชอบใจแม่นางอี้ผู้นี้มากขึ้น มากยิ่งขึ้น
“เครื่องหอมบ้านข้ามีมากมายพอแล้ว คงไม่ต้องรบกวนแม่นางอี้หรอก ท่านเก็บเอาไว้ให้พวกนางก็แล้วกัน” หลิวซือนัวเอ่ย
“อวดดีเสียจริง” แม่นางผู้สวมชุดสีชมพู่อ่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียไม่พอใจ
“ร้านเครื่องหอมสกุลอี้ขึ้นชื่อแค่ไหนในเมืองนี้ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไร ระวังจะเสียดายภายหลัง”
“ของสิ่งใดที่ข้าหลิวซือนัวไม่ต้องการ ข้าย่อมไม่มีวันนึกเสียใจแน่ พวกเจ้าเองก็อย่าได้เสียใจต่อการกระทำของตนที่หลังก็แล้วกัน”
หลังจากที่กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึมจริงจัง หลิวซือนัวก็เดินออกมาจากร้านเครื่องหอมสกุลอี้ทันที
นางตัดสินใจจบการค้ากับสกุลอี้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น อีกทั้งรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งที่สกุลหลิวไม่ต้องร่วมทำการค้ากับสกุลอี้ที่ลับหลังก็ไม่ได้มองสกุลหลิวอย่างจริงใจเช่นนี้
การค้าในครั้งนี้ต้องจบลงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ร้านอาภรณ์สกุลหลิวไม่ได้เสียผลประโยชน์แต่อย่างใด ทว่าหากเป็นทางสกุลอี้กลับต้องตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว เพราะต่อจากนี้สกุลอี้คงต้องลำบากหาผ้าจากที่อื่นมาทำเครื่องหอมแทน เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอกับต้นทุนที่สูงขึ้นเพราะต้องซื้อขายผ้าจากร้านในเมืองอื่น หรือจากร้านเล็ก ๆ ในเมืองที่มีราคาสูงกว่า
Comments (0)