4 ตอน ตอนที่ 3 มุ่งหน้าสู่เป่ยจู
โดย อาหลานเร่อ
ตอนที่ 3
มุ่งหน้าสู่เป่ยจู
เป็นเวลากว่าห้าวันมาแล้วที่พวกนางเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจู ตลอดทางแม้ไม่ได้สะดวกสบายเท่าใดนักแต่ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
เดินทางลงใต้ในครั้งนี้ ท่านพ่อท่านแม่ส่งผู้คุ้มกันที่คุ้นชินกับการเดินทางและมีวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไว้ใจได้มาทั้งหมดห้าคนด้วยกัน โดยที่หนึ่งในห้าคนนี้นั้นยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเสี่ยวหนิงอีกด้วย
พี่ชายของเสี่ยวหนิงผู้นี้มีชื่อว่าเสี่ยวชิง ซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่านางเองก็คุ้นชินกับเสี่ยวชิงเป็นอย่างดี การเดินทางของนางในครั้งนี้จึงไม่มีสิ่งใดน่ากังวลใจ จนกระทั่งเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่อยู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักโดยไม่ให้พวกนางทันได้ตั้งตัว
“คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่พี่ชายบอกกับข้าว่า ข้างหน้าอีกไม่ไกลจะมีอารามร้างอยู่ พวกเราสามารถไปหลบฝนที่นั่นก่อนได้เจ้าคะ”
หลิวซือนัวได้ฟังก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมา เพราะดูท่าแล้วฝนนี้คงจะไม่หยุดตกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งถนนเรียบชายป่าที่มีต้นไม้มากมายเช่นนี้หากฝืนเดินทางต่อไปย่อมมีแต่อันตราย อย่างไรก็ต้องหาที่หลบพักก่อนจึงจะปลอดภัยที่สุด
เวลาต่อมาในที่สุดก็ดูเหมือนว่าพวกนางจะสามารถฝ่าสายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายจนมาถึงอารามร้างได้สำเร็จ
รถม้าหยุดลงครู่หนึ่งแล้ว ทว่ายังไม่มีวี่แววว่าเสี่ยวชิงจะมาช่วยพาพวกนางลงจากรถม้าเสียที ด้านนอกรถม้านอกจากเสียงของฝนที่กำลังตกลงมาแล้วพวกนางก็ไม่ได้ยินเสียงแปลกปลอมใด ๆ เลย จนหลิวซือนัวเกือบจะคิดไปแล้วว่าอาจจะเกิดอะไรผิดปกติขึ้นภายนอกก็ได้ หากไม่ใช่ว่าเสียงของเสี่ยวชิงดังขึ้นมาเสียก่อน
“คุณหนู เชิญลงจากรถม้าได้แล้วขอรับ” เสียงของเสี่ยวชิงทำให้ความกังวลใจของหลิวซือนัวหายไปในที่สุด
เสี่ยวหนิงประคองนางลงจากรถม้า โดยมีเสี่ยวชิงคอยกางร่มให้ในที่สุดพวกนางก็เข้ามาในโถงด้านหน้าของอารามได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เมื่อครู่ เหมือนว่าข้าจะเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ด้วย มีผู้อื่นนอกจากพวกเราอยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรือ” นางเอ่ยถามเสี่ยวชิง
“มีผู้มาหลบฝนก่อนหน้าพวกเราขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยได้ไปเจอพวกเขาแล้ว พบว่ากำลังจะไปที่เมืองเป่ยจูเช่นเดียวกันขอรับ”
ในเมื่อเสี่ยวชิงตรวจสอบแล้ว นางก็เบาใจ จึงได้พยักหน้าให้เสี่ยวชิงนำทางเข้าไปยังโถงด้านในของอารามไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก เพราะรู้ดีว่าเสี่ยวชิงนั้นคงจะตรวจสอบคนเหล่านั้นแล้ว
อารามแห่งนี้คงจะร้างมาหลายปีแล้ว เสี่ยวชิงบอกว่ามีเพียงโถงใหญ่ด้านในเท่านั้นที่พอจะเป็นที่หลบฝนและที่พักผ่อนสำหรับพวกเราในวันนี้ได้ ทว่าเนื่องจากมีผู้มาก่อนแล้ว พวกนางจึงทำได้เพียงแค่ขอแบ่งพื้นที่กับพวกเขาเท่านั้น
ซึ่งหลิวซือนัวก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่แบ่งปันพื้นที่กันเท่านั้น เพราะว่าต่างฝ่ายต่างก็ประสบภัยตากพายุฝนมาเช่นเดียวกัน
เมื่อมาถึงโถงด้านใน นางจึงได้เห็นกลุ่มคนสี่คนที่อยู่ด้านในก่อนแล้ว พวกเขาแต่ละคนดูนิ่งเฉยยิ่งนัก
“รบกวนแล้ว” นางเอ่ยขึ้นเมื่อเดินผ่านพวกเขาเข้ามายังพื้นที่ว่างด้านในสุด
“พวกท่านตามสะดวกเถอะขอรับ” บุรุษผู้หนึ่งที่มีท่าทีใจดีเอ่ยขึ้น อย่างมีมารยาท
กลุ่มของพวกเขามีกันทั้งหมดสี่คนเป็นบุรุษสามและสตรีหนึ่งคนที่ดูห้าวหาญไม่ต่างกับบุรุษ อีกทั้งในมือนางก็กุมกระบี่อยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำใบหน้าหวานนั้นยังดูเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างยิ่ง คาดว่านางคงจะเป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันของบุรุษที่มีผ้าสีขาวคาดปิดตาอยู่ในตอนนี้ หลิวซือนัวมองสำรวจพวกเขาผ่านสายตาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็ไม่ได้หันไปมองทางพวกเขาอีก
เสี่ยวชิงและเสี่ยวหนิงช่วยกันนำฟางแห้งที่กองอยู่มาทำเป็นที่ให้นางนั่ง กองไฟที่ถูกจุดไว้กลางห้องโถงมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็เพียงพอให้ภายในโถงแห่งนี้พอจะมีแสงสว่างที่ทำให้มองเห็นได้อยู่บาง
“พี่ชิง พี่เพิ่มขนาดกองไฟเสียหน่อยดีหรือไม่ กองเล็กแค่นั้นให้แสงสว่างไม่ทั่วถึงเท่าไหร่”
ราวกับว่าเสี่ยวหนิงล่วงรู้ความคิดของนางจึงได้เอ่ยถามเสี่ยวชิงเช่นนี้
“จุดมากว่านี้ไม่ได้ คุณชายของพวกเขาดวงตาบาดเจ็บ เกรงว่าหากกระทบแสงสว่างมากไปจะเป็นอันตรายยิ่งขึ้น เรื่องนี้พวกเขาบอกกล่าวข้ามาก่อนตั้งแต่ต้นแล้ว”
“แต่ว่าคืนนี้ฝนตกอากาศเริ่มเย็นลงแล้ว หากไม่ก่อไฟเพิ่มเกรงว่าจะเป็นคุณหนูของพวกเราต่างหากที่รับไม่ไหว” เสี่ยวหนิงโต้กลับเสียงเบา เพื่อที่จะระวังไม่ให้พวกของคุณชายที่ตาบาดเจ็บนั้นได้ยินเข้า
“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก ห่มผ้าให้หนาหน่อยก็ใช้ได้แล้ว” หลิวซือนัว เอ่ยบอกผู้ติดตามและสาวใช้คนสนิทของตนแทบจะให้ทันที
“แต่คุณหนู…” เสี่ยวหนิงเตรียมจะแย้งผู้เป็นนายของนาง ทว่าคุณหนู ผู้ดื้อดึงของนางกลับไม่เปิดโอกาสให้นางได้เอ่ยขัด ซ้ำยังชิงออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดขึ้นมาเสียก่อนอีกด้วย
“เจ้านำผ้าห่มมาให้ข้าก็พอ คืนนี้อย่างไรก็ห้ามผู้คุ้มกันของเราก่อไฟเพิ่ม”
ในเมื่อเป็นคำสั่งเด็ดขาดของคุณหนู เสี่ยวหนิงเองก็ไม่อาจขัด แม้จะอยากขัดเสียเท่าไหร่ก็ตาม นางทำได้เพียงแค่เดินไปยังหีบผ้าห่มที่ถูกขนลงมาจากรถม้าเพื่อนำผ้าห่มมาให้คุณหนูตามที่นางสั่งเท่านั้น
ขณะที่กลุ่มผู้มาใหม่กำลังวุ่นวาย ทว่ากลุ่มของพวกเขากับคุณชายกับเงียบสงบแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่คนเหล่านั้นพูดคุยกัน ทั้งที่พวกตนนั้นได้ยินอย่างชัดเจนนัก
เพราะแม้จะเป็นเพียงเสียงพูดคุยอย่างบางเบาทว่าสำหรับผู้ที่เป็นวรยุทธ์เช่นพวกเขาแล้วนั้นย่อมมีประสาทการได้ยินเป็นอย่างดี ฉะนั้นเรื่องที่คนเหล่านั้นกระซิบพูดคุยกันเมื่อครู่พวกเขาล้วนได้ยินชัดเจน ทุกคำ ทุกประโยค
ยิ่งประโยคที่คุณหนูผู้นั้นเอ่ยสั่งคนของนางอย่างเด็ดขาด พวกเขายิ่งได้ยินชัดเจนเต็มสองหู และคิดว่าคุณชาย อวี้หนานไห่ ของพวกเขาก็คงได้ยินชัดเจนเช่นกัน เพราะถึงแม้ยามนี้คุณชายของเขาจะบาดเจ็บที่ดวงตาและในช่วงที่บาดเจ็บไม่อาจจะใช้วรยุทธ์ได้ชั่วคราว
ทว่าประโยคหนักแน่เมื่อครู่ของคุณหนูผู้นั้น คุณชายของพวกเขาก็คงได้ยินชัดอย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่ คุณชายคงไม่หันมาสั่งให้เขานำชาล้ำค่า ราคาแพง ที่ช่วยให้อบอุ่นร่างกายได้เป็นอย่างดีไปให้พวกเขาหรอก
“คุณหนู ทั้งที่ท่านให้ฮูหยินใหญ่จัดการข่าวลือของท่านโดยการเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือคุณหนูอี้ที่จัดการสร้างเรื่องใส่ร้ายท่านให้ ตกเป็นหัวข้อนินทาว่าร้ายของผู้อื่นไปซะก็ได้ หากทำเช่นนั้นไปเสีย ยามนี่ท่านก็คงไม่ต้องมาตกระกำลำบากอยู่ที่นี่แล้วนะเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่ยอมทำเช่นนั้นกันเล่าเจ้าคะ หรือว่าคุณหนูสงสารคุณหนูอี้ผู้นั้น”
เสี่ยวหนิงเอ่ยถามออกมาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก มือก็เอื้อมไปกระชับผ้าห่มที่คุณหนูของนางใช้ห่อตัวอยู่ในกระชับมิดชิดยิ่งขึ้น นางนั้นไม่เข้าใจความคิดของคุณหนูของนางเสียเลย แค่จัดการคนสกุลอี้นั้นไปก็จบแล้ว ด้วยอำนาจและความสามารถของสกุลหลิวเราในตอนนี้ การจะกระทำเรื่องนี้ก็เป็นแค่การกระทำง่าย ๆ เพียงเท่านั้น
“ข้าสงสารนางอยู่นิดหน่อยจริง นั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่านางยังเยาว์นัก แค่นี้นางก็คงจะอยู่ในสกุลอี้อย่างยากลำบากแล้ว ข้าไม่อยากทำให้นางหมดสิ้นหนทางไปจริง ๆ จึงได้ตั้งใจเหลือทางรอดไว้ให้นางบ้าง” เจ้าของน้ำเสียงนิ่งสงบเอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าไม่ใช่ว่ากำลังพูดถึงผู้ที่ทำให้นางถูกลือไปต่าง ๆ นา ๆ
“คุณหนู บ่าวนับถือท่านจริงๆเจ้าค่ะ คุณหนูช่างใจกว้างดุจสมุทร เมื่อครู่ ท่านกล่าวว่าคุณหนูสกุลอี้ผู้นั้นยังเยาว์ บ่าวว่าท่านกล่าวผิดแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูสกุลอี้ผู้นั้นผ่านพิธีปักปิ่นมาได้สองปีแล้ว นางโตกว่าคุณหนูสองปีเลยนะเจ้าคะ”
“ช่างเถอะ คิดเสียว่าการเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน เอาไว้ถึงเมืองเป่ยจูเมื่อไหร่ พวกเรานายบ่าวก็พากันเที่ยวเล่นให้ทั่วไปเลยดีหรือไม่” หลิวซือนัวเอ่ยขึ้นกลบเกลื่อน
เพราะโลกก่อนนางอายุยี่สิบกว่าแล้ว ตอนนี้ก็มักจะคิดว่าตัวเองยังอายุเท่านั้นอยู่ทั้งที่ร่างนี้ของนางก็เพิ่งจะพ้นวัยสิบห้าหนาวไปได้ไม่นาน ในสายตาคนอื่นนางคือเด็กสาวที่เพิ่งจะเติบโต เป็นดอกไม้ที่เพิ่งเริ่มเบ่งบานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“คุณหนู ท่านอย่างเอาคำว่าเที่ยวเล่นสองคำนี้มาหลอกล่อบ่าวเลยเจ้าค่ะ บ่าวรู้ความจริงแล้วคุณหนูเพียงแค่ต้องการไปสำรวจตลาดและการค้าขายต่าง ๆ ที่เมืองเป่ยจูนั่นต่างหาก” ใช่ว่าสาวใช้คนสนิทอย่างนางจะไม่รู้ว่า คุณหนูของนางนั้นชอบสำรวจ ชอบมองหาสิ่งแปลกใหม่รอบ ๆ ตัวเสียเมื่อไหร่กัน ครั้นเอ่ยว่าเที่ยวเล่นแท้จริงก็คือไปดูศึกษางานทั้งสิ้น
“เสี่ยวหนิง ข้าให้สัญญากับเจ้า ครั้งนี้จะพาเจ้าไปชิมของอร่อยให้ทั่วเมืองเป่ยจูเลย” หลิวซือนัวกล่าวขึ้น นางอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีที่แสดงออกมาของสาวใช้คนสนิทของนาง
“คุณหนูให้สัญญาแล้วนะเจ้าคะ เสี่ยวหนิงจดจำเอาไว้อย่างขึ้นใจแล้วด้วย หากท่านผิดสัญญาเสี่ยวหนิงจะร้องไห้ต่อหน้าท่าน จะร้องจนเหนื่อยตายไปเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่มีทางผิดสัญญาแน่ อย่างได้ข่มขู่กันนักเลยเสี่ยวหนิง” นางเอ่ยพลางมองสาวใช้คนสนิทของนางอย่างนึกเอ็นดูอยู่มากทีเดียว
จะว่าไปแล้วเสี่ยวหนิงก็ไม่ต่างจากมารดาของนางเสียเท่าไหร่เลยในเรื่อง หนึ่งร้องไห้ สองขู่ว่าจะตายเช่นนี้
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะไปดูต้มชามาให้คุณหนูซะหน่อยนะเจ้าคะ ด้านนอกพี่ชายบ่าวน่าจะจัดการก่อไฟต้มน้ำจนได้ที่แล้ว”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถอะ”
เสี่ยวหนิงลุกขึ้นเดินตรงไปที่ผู้ติดตามสองคนที่ยื่นอยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งพวกเขาเป็นคนที่พี่ชายของนางทิ้งเอาไว้ให้คอยดูแลความปลอดภัยของคุณหนูระหว่างที่พี่ชายของนางออกไปดูแลตรวจตรารถม้ารวมไปถึงหาพื้นที่ในอารามที่พอจะก่อไฟต้มน้ำได้กับผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง
“พี่ชายทั้งสอง ข้าจะออกไปที่ด้านนอกเสียหน่อย พวกท่านดูคุณหนูเอาไว้ให้ดีนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปเถอะไม่ต้องห่วง”
ผ่านไปไม่นานสาวใช้คนสนิทของนางก็กลับมาพร้อมกับชาร้อนกาหนึ่ง ทันทีที่ชาถ้วยหนึ่งถูกยื่นมาให้นาง กลิ่นของชาที่แตกต่างกับชาหลงจิ่งที่นางดื่มเป็นประจำ
“นี่ไม่ใช่ชาหลงจิ่งหรอกหรือ” นางเอ่ยถามเสี่ยวหนิงทันที พลางหยิบถ้วยชาในมือตนขึ้นมาสูดดมกลิ่นของมันด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่ชาหลงจิ่งเจ้าค่ะ แต่เป็นชาสมุนไพรที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ดีเจ้าค่ะ”
“ชาสมุนไพรเช่นนั้นหรอก ขมหรือไม่” ซือนัวถามขึ้นอีก นางในตอนนี้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ดีที่นางยังไม่ได้ดื่มชาเข้าไป
“ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นชาสมุนไพร แต่ก็ไม่ได้มีรสขมเจ้าค่ะ บ่าวลองชิมดูแล้วไม่ข่มแน่นอนเจ้าค่ะ คุณหนู ท่านลองจิบดูสิเจ้าคะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยเสริมขึ้น ความจริงแล้วนางก็ตั้งใจออกไปชงชาหลงจิ่งที่คุณหนูชอบกลับมาอยู่หรอก แต่อยู่ ๆ หัวหน้าผู้คุ้มกันของคุณชายผู้นั้นดันเอาชาสมุนไพรนี่ที่มีสรรพคุณดียิ่งมาให้เสียก่อน
เมื่อนางกับพี่ชายลองตรวจสอบชาดูแล้วก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ จึงได้ยกเข้ามาให้คุณหนูของนางได้ดื่มเพื่ออบอุ่นร่างกาย
หลิวซือนัวมองถ้วยชาในมือนางอีกครั้งก่อน จะก้มลงไปเป่าเบา ๆ ให้ชาในมือพอจะคลายร้อน แล้วจึงลองจิบชาในถ้วยดู
รสชาติฝาดเล็กน้อยทว่าเมื่อกลืนลงคอไปแล้วกับรู้สึกหวาน ไม่ได้มีรสขมแต่อย่างใด นี่คือรสชาติที่นางได้รับรสเมื่อครั้งจิบชาไปอึกหนึ่ง
ไม่ขมทว่าไม่ได้หอมหวานเช่นดังรสชาติชาที่นางชื่นชอบ หลิวซือนัวจึงไม่ค่อยพอใจกับชากานี้เท่าไหร่นัก
“เสี่ยวหนิง เจ้าไปชงชาหลงจิ่งมาแทนได้หรือไม่”
“แต่ชาสมุนไพรกานี้ยังไม่หมดเลยนะเจ้าค่ะ ทำเช่นนั้นน่าเสียดายยิ่ง อีกอย่าง หากทำเช่นนี้อาจจะทำให้ผู้อื่นเสียน้ำใจเอาได้นะเจ้าคะ”
“ผู้อื่น ผู้ใดที่จะเสียน้ำใจกัน เจ้าหรอ?” เจ้าของร่างอวบอิ่มเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ การที่นางจะขอชากาใหม่มันยากเย็นมากอย่างนั้นเลยหรือ
“ย่อมไม่ใช่บ่าว แต่เป็นทางด้านฝั่งคุณชายตรงนั้นต่างหากเล่าเจ้าคะ” นางเอ่ยพลางหันไปมองกลุ่มคนที่นั่งอยู่อีกฝากหนึ่ง “เห็นว่าชาสมุนไพรนี้ ทั้งแพงทั้งหาซื้อได้ยากนัก ยังไม่รวมไปถึงสรรพคุณดี ๆ ของมันอีกนะเจ้าคะบ่าวทิ้งไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ คุณหนูดื่มให้หมดเถอะนะเจ้าคะ”
ที่แท้ชานี่ก็เป็นน้ำใจที่ผู้อื่นที่หยิบยื่นให้นี่เอง หลิวซือนัวเมื่อได้รู้เรื่องทั้งหมดแล้วแน่นอนว่านางย่อมไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายที่มอบสิ่งของล้ำค่ามาให้ นางสั่งให้สาวใช้คนสนิทรินชาให้นางอีกถ้วยหนึ่งและนั่งจิบเรื่อยๆจนหมดถ้วย ไม่ได้ดึงดันหรือเอ่ยถึงเรื่องที่จะขอเปลี่ยนชาอีก
อีกทั้งยังแบ่งชาให้เสี่ยวหนิงและคนอื่นในขบวนของนางให้ได้ดื่มชานี้เพื่ออบอุ่นร่างกายกันทุกคนด้วย
Comments (0)