3 ตอน ตอนที่ 2 ข่าวลือหนาหู
โดย อาหลานเร่อ
ตอนที่ 2
ข่าวลือหนาหู
หลายวันที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการมีปากเสียงกันระหว่างคุณหนูสกุลหลิวและคุณหนูสกุลอี้ บ้างลือกันไปว่าคุณหนูหลิวเกิดความริษยาต่อคุณหนูอี้เพราะคุณหนูอี้นั่นมีรูปโฉมงดงามกว่า บ้างก็ว่าเป็นเพราะคุณหนูหลิวอยากแสดงอำนาจในมือตนให้เป็นที่ประจักษ์และคุณหนูอี้นั้นก็กลายมาเป็นผู้รับเคราะห์กรรมไปโดยไร้ความผิด
ผู้คนที่ได้ยินข่าวลือต่างพากันสงสารคุณหนูสกุลอี้ เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพวกผู้คนที่พากันสงสารคุณหนูสกุลอี้นั้นย่อมต้องพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณหนูหลิวในทางที่ไม่ดี
“คุณหนูเจ้าคะ ข่าวลือพวกนี้ต้องเป็นคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นผู้สร้างขึ้นแน่นอนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นางในยามนี้รู้สึกโมโหแทนคุณหนูของนางเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจะออกไปป่าวประกาศในทุกคนรู้กันให้ทั่วเมือง ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูอี้ผู้นั้นเป็นคนเช่นไร
“ก็แค่ข่าวลือเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็จะพากันลืมไปเอง” นางเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น มือก็พลิกดูแบบลายปักในมือตนด้วยทีท่านิ่งเฉย
“นางจงใจทำให้ชื่อเสียงคุณหนูเสียหายนะเจ้าคะ คุณหนู ท่านนิ่งเฉยเช่นนี้ คุณหนูอี้นั่นคงได้ใจไปไม่น้อยแล้ว”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางได้ใจไปเถิด อย่างไรเสียนี่ก็คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางพอจะตอบโต้ข้าได้บ้าง”
“แต่ว่าคุณหนู…” ยังไม่ทันที่เสี่ยวหนิงจะได้เอ่ยต่อ คุณหนูของนางก็โบกมือไล่นางออกไป ไม่ให้อยู่รบกวนการทำงานของนางอีก
เสี่ยวหนิงทำได้เพียง เก็บกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะก้าวออกไปด้านนอกตามคำสั่งคุณหนูของนางอย่างไม่เต็มใจนัก
ยิ่งได้ยินคำตอบขอบคุณหนู เสี่ยวหนิงก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้น เหตุใดคุณหนูของนางถึงได้นิ่งเฉยได้เช่นนี้กัน เพราะหากเป็นนางแล้วล่ะก็ ไม่ว่ายังไงก็ควรจะตอบโต้กลับไปบ้างจึงจะถูก จะมานิ่งเฉยยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเช่นนี้ได้อย่างไร
หลังจากที่เสี่ยวหนิงออกไปแล้ว ยามนี้ในห้องจึงเหลือเพียงหลิวซือนัวเพียงผู้เดียว เจ้าของร่างอวบอิ่มวางแบบผ้าในมือลง ก่อนจะมองไปยังทางที่สาวใช้คนสนิทของนางเดินออกไปด้วยความไม่พอใจเมื่อครู่นี้
นางรู้ว่าเสี่ยวหนิงนั้นไม่ค่อยพอใจที่นางไม่ตอบโต้คุณหนูอี้ ทว่าเรื่องที่ไม่ตอบโต้สิ่งใดนั้น เพราะว่านางตั้งใจให้คุณหนูอี้ผู้นั้นเห็นว่านางไม่สนใจหรือถือโกรธเพียงเรื่องที่ถือว่าเล็กน้อยเช่นนี้ หากแต่นางสนใจในเรื่องของกิจการมากกว่าและเห็นเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
อีกอย่างเรื่องการจบการค้ากับสกุลอี้ก็ถือว่าเป็นบทเรียนมากพอสำหรับคุณหนูอี้ผู้นั้นแล้ว
ในเมื่อได้ให้บทเรียนไปแล้วนางก็ควรทำใจกว้างให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่สมควรมั่วแต่เสียเวลาไปกับการคิดเล็กคิดน้อย
หลิวซือนัวนั้นไม่สนใจข่าวลือพวกนั้นก็จริง ทว่านางกับลืมไปเสียสนิทว่านอกจากเสี่ยวหนิงนั้นก็ยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่สนใจข่าวลือเกี่ยวกับตัวนางเป็นอย่างมาก และเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้ยิ่งกว่าเสี่ยวหนิงเป็นร้อยเท่าพันเท่าอยู่อีกผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นก็คือ หลิวฮูหยิน ท่านแม่ของนางนั้นเอง และท่านแม่ก็คือต้นเหตุที่ทำให้นางต้องมาอยู่ในรถม้าที่กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองเป่ยจูในขณะนี้
ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อน
เสียงร่ำไห้ดังออกมาถึงด้านนอกโถงรับรองของเรือนใหญ่ของสกุลหลิว แน่นอนว่าเจ้าของเสียงร่ำไห้นี้คือผู้ใดนั้นหลิวซือนัวสามารถรับรู้ได้ในทันที
นอกจากท่านแม่ของนางแล้วยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีกเล่า นางก้าวเท้าให้เร็วขึ้นอีกระดับหนึ่งเพื่อที่จะได้เข้าไปในโถงด้านในให้ได้เร็วยิ่งขึ้น และจะได้รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกันแน่ ท่านแม่นางถึงได้ร้องห่มร้องไห้เสียงดังไปทั่วจวนเช่นนี้
“ท่านแม่ ท่านร้องไห้ทำไมกันเจ้าคะ บอกให้นัวเอ๋อร์ รู้ได้หรือไม่เจ้าคะท่านแม่” นางคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้ามารดาตน มือก็เอื้อมไปจับมือของมารดามากุมเอาไว้อย่างนุ่มนวล
“ข้างนอกมีข่าวลือเรื่องของเจ้าหนาหูทีเดียว เจ้ารู้หรือไม่” หลิวฮูหยินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แค่เพียงข่าวลือเท่านั้น ไม่นานผู้คนก็ลืมไปเองเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย”
“เรื่องของเจ้าแม่ไม่ใส่ใจได้หรือ แม่ทำไม่ได้หรอกนะนัวเอ๋อร์” เจ้าของนัยน์ตาและน้ำเสียงแสนเศร้าในยามนี้ตัดพ้อขึ้น
“ท่านแม่”
“เกิดข่าวลือเช่นนี้ขึ้น เรื่องแต่งงานของเจ้าต่อจากนี้ก็คงไม่ง่ายแล้ว”
อ่า ในที่สุดนางก็ได้รู้สาเหตุที่แท้จริงของท่านแม่แล้ว ที่จริงเรื่องที่ท่านแม่เป็นห่วงหาใช่ข่าวลือข้างนอกนั้นไม่ แต่กังวลเรื่องแต่งงานของนางที่อาจจะกระทบในภายหน้าต่างหาก
“ท่านแม่ ลูกเพิ่งสิบห้าเท่านั้น ยังอยากอยู่กับท่านพ่อท่านแม่เช่นนี้ไปอีกหลายปีเจ้าค่ะ พอถึงเวลานั้นคงจะไม่มีผู้ใดจำข่าวลือที่เคยมีได้แล้วเจ้าค่ะ ไม่สู้ให้เวลาเป็นสิ่งแก้ปัญหาทุกอย่าง จากนี้พวกเราก็แค่รอผลลัพธ์ของเวลาก็พอนะเจ้าคะ”
“ผลลัพธ์ของเวลา เกรงว่ามารดาเช่นข้าจะทนรอไม่ไหว!!!”
หลังจากนั้นนางก็ถูกสั่งให้เตรียมตัวเดินทางลงใต้ไปบ้านพี่ใหญ่ทันที อีกทั้งท่านแม่ยังกำชับมาอีกว่าหากไม่มีจดหมายเรียกตัวกลับ ก็ห้ามนางกลับมาเองตามอำเภอใจเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นมารดาของนางจะร้องไห้จนขาดใจ และจะสิ้นลมต่อหน้าให้นางดู
หลิวซือนัวนั้นแม้จะไม่ได้อยากไปเท่าใดนัก ทว่านางในฐานะบุตรสาวย่อมไม่อาจเมินเฉยต่อคำสั่งของท่านแม่ได้ นางจึงได้ตัดสินใจออกเดินทางตามที่ท่านแม่สั่ง
อีกอย่างที่เมืองเป่ยจูที่พี่ใหญ่นางไปเปิดร้านสาขาอยู่ที่นั่นก็ได้ชื่อว่าเป็นเมืองการค้าขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ แน่นอนว่านางไปที่นั่นย่อมมีโอกาสพบเห็นผ้าใหม่ ๆ แปลกตา อีกทั้งสิ้นค้าแปลกใหม่อื่น ๆ อีกมากมาย การไปเป่ยจูครั้งนี้ดูแล้วน่าจะได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อยทีเดียว
นางจะถือว่านี่เป็นการท่องเที่ยวก็แล้วกัน