Prologue 

 

 

ความเงียบสงบปกคลุมไปทั่วบริเวณห้องมีเพียงเสียงเครื่องสักที่กำลังทำงานดังเป็นระยะๆ และเสียงหายใจของลูกค้าที่หอบหายใจด้วยความเจ็บปวดเวลาที่รู้สึกราวกับมีเข็มแหลมทิ่มลงที่ผิวหนังซ้ำๆ หญิงสาวจ้องมองใบหน้าคมสันที่เผยให้เห็นเพียงครึ่งของใบหน้าเนื่องจากมีหน้ากากอนามัยที่ช่างสักสวมอยู่ ข้อมือใหญ่ที่เห็นเส้นเลือดอย่างชัดเจนกำลังขยับใช้เครื่องมืออย่างชำนาญ ท่อนแขนยาวสมส่วนมีกล้ามเนื้อและรอยสักรูปงูพันเกี่ยวอยู่บริเวณรอบต้นแขนช่างดูดึงดูดและเซ็กซี่ไปในทีแต่ทว่าไม่นานนักเสียงของเครื่องสักไฟฟ้าสงบลงก่อนที่ช่างสักจะใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้กับลูกค้า 

"เสร็จแล้วครับ" เสียงทุ้มเอ่ยออกมาผ่านหน้ากากอนามัยสีดำที่ช่างสักสวมใส่อยู่

ร่างสูงหยัดกายลุกขึ้นเก็บเครื่องมือสักที่เพิ่งใช้งานเสร็จเรียบร้อยเมื่อครู่ก่อนจะถอดถุงมือสีดำอย่างที่ทำเป็นประจำในทุกๆ วัน 

"เคยสักมาแล้วรู้ใช่มั้ยว่าต้องดูแลยังไง" 

"เคยสักนานแล้วค่ะ แต่มิ้วลืมแล้วว่าต้องดูแลยังไง" หญิงสาวร่างบางที่นอนอยู่บนเตียงสักเอ่ยเสียงใส ผิวขาวจัดในตอนนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อบริเวณเอวเล็กคอดอย่างเห็นได้จัดจากการสักเมื่อครู่

"..."

"พี่เจษช่วยแนะนำให้หน่อยได้มั้ยคะ?" ท่าทางอ้อนแอ้นที่สวมกางเกงยีนและท่อนบนสวมเพียงบราลูกไม้สีดำบอกพลางหันไปทอดสายตาอ้อยอิ่งให้กับช่างสักร่างสูงที่ยืนจัดการกับเครื่องมือสักอยู่ ร่างสูงหยุดชะงักก่อนจะเหลือบมองหญิงสาวที่ส่งสายตายั่วยวนอยู่บนเตียงสัก

"เดี๋ยวจะมีคนที่เคาน์เตอร์แนะนำให้ครับ พี่มีคิวต้องสักต่อ" 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอกับท่าทางเช่นนี้แต่เห็นว่าปฏิเสธไปจะดีเสียกว่าแล้วยิ่งอีกฝ่ายเป็นลูกค้าด้วยเขาจึงคิดว่ามันคงไม่เหมาะสมหากจะมีความสัมพันธ์ต่อกันไม่ว่าจะทางกายหรืออย่างไรก็แล้วแต่ 

ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวกลับยิ้มหน้าเจื่อนเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายปฏิเสธตนในทันที ไหนกันเล่าที่ว่ากันว่าช่างสักร้านนี้หล่อและดูเซ็กซี่อย่างกับอะไรดีแต่ทำไมถึงได้ดูเย็นชาขนาดนี้ อุตส่าห์ตั้งใจให้ท่าไว้แล้วแท้ๆ กลับโดนปฏิเสธจนรู้สึกเสียหน้าเลยทีเดียว 

ร่างสูงที่เก็บเครื่องมือเสร็จเรียบร้อยจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องสักทันที เขาเบื่อและไม่ชอบคุยกับลูกค้าให้มากความนักแล้วยิ่งลูกค้ามีท่าทีเช่นนั้นก็คงไม่อยากอยู่ด้วยกันเพียงลำพังเสียเท่าไหร่ 

เรียวขายาวสาวเท้าไปยังโซนด้านหน้าของสตูดิโอที่เป็นเคาน์เตอร์ ดวงตาคมเหลือบมองรุ่นน้องที่ทำหน้าที่นั่งประจำ

"เสร็จแล้วเหรอพี่?" แม็กเอ่ยทักช่างสักอย่างเจษที่นอกจากจะเป็นช่างสักฝีมือดีแล้วยังเป็นเจ้าของสตูดิโอแห่งนี้อีกด้วย เจษพยักหน้าให้เล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบรับ 

"ของกูมีลูกค้าอีกทีกี่โมง" 

"คิวสุดท้ายสองทุ่มพี่" 

"แล้วลูกค้าคิวต่อไปของใคร?" 

"ของพี่ต๊ะครับ" 

"เออ งั้นกูไปนอนก่อนฝากดูลูกค้าด้วย" 

เจษพูดพลางตบบ่าแม็กหนึ่งครั้งก่อนจะเดินไปหลังสตูดิโอเพื่อขึ้นไปยังชั้นสองที่เป็นห้องพักและห้องทำงานส่วนตัวของตนซึ่งตั้งแต่เปิดสตูดิโอสักที่เขารักนักรักหนาแห่งนี้มาก็เกือบจะสองปีแล้ว มันก็คงเป็นความภาคภูมิใจของชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีละมั้ง การที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักด้วยน้ำพักน้ำแรงก็คงจะไม่แปลก

ร่างสูงเปิดประตูเข้าไปยังห้องนอนของตนก็พบว่าในเวลานี้เป็นช่วงเวลาหกโมงเย็นดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำคล้ายว่าจะหายลับไปทีละนิดท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอมชมพู กระถางต้นไม้อยู่ริมระเบียงที่ปลูกไว้เพียงต้นเดียวในตอนนี้เหี่ยวเฉาจากการขาดการดูแลโดยเจ้าของ เจษพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำจนเสร็จเรียบร้อยและไม่ลืมที่จะมองหาบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในห้องแต่ทว่าตอนนี้มันกลับว่างเปล่า 

"หายไปไหนของเขา" ร่างสูงพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงของตนพลางปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งเต็มทีก่อนที่จะหลับใหลสู้ห้วงนิทราในที่สุด 

 

 

 

 

"จะสักนานมั้ยอ่า ~" เสียงเล็กๆ เอ่ยถามคนข้างกายที่ในวันนี้ลากเขามาเป็นเพื่อนด้วยเช่นเคย 

"ชั่วโมงเดียว" 

"แวะซื้อขนมก่อนไม่ได้เหรอ" 

"ไม่ได้แถวนี้มันไม่มีที่จอดรถ" ใบหน้าจิ้มลิ้มที่กำลังออดอ้อนคนที่มาด้วยกันในตอนนี้ยู่ในทันที 

"โห ให้ไปนั่งรอเฉยๆ ตั้งหนึ่งชั่วโมงมันก็น่าเบื่อดิ" 

คนตัวเล็กประท้วงพลางกอดอกมองไปยังนอกกระจกรถด้วยความหงุดหงิดในใจ ขัดใจไปหมดเลยวันนี้ตั้งที่โดนลากให้มาเป็นเพื่อนไม่พอยังโดนดุเรื่องไม่ให้แวะซื้อขนมอีก มันน่าโมโหจริงๆ 

"ไอ้ที่รัก" 

"..."

"สักเสร็จแล้วเดี๋ยวเลี้ยงเลย" 

"มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว" คนตัวเล็กไหวไหล่พร้อมกับเบ้ปากเล็กน้อยซึ่งภาพที่เห็นทำให้ดูน่าเอ็นดูเสียจนเพื่อนตัวโตต้องใช้มือผลักหัวกลมเบาๆ 

ที่รักเป็นชื่อที่ใครหลายคนต่างก็สงสัยว่าทำไมถึงได้ชื่อนี้ บ่อยครั้งเมื่อยังเป็นเด็กเจ้าของชื่อเองก็ยังสงสัยเช่นกันว่าเพราะเหตุใดพ่อและแม่ถึงต้องตั้งชื่อให้กันนะ...หากแต่คำตอบของแม่ก็ยังคงตอบเกี่ยวกับชื่อของที่รักด้วยคำตอบเดิมทุกครั้ง 

'ที่รักก็หมายถึงคนรักและที่รักในที่นี้ยังหมายถึงผู้เป็นที่รักของทุกๆ คนอีกด้วย'

แต่ถ้าหากถามว่าที่รักเป็นคนรักหรือผู้เป็นที่รักของทุกๆ คนหรือเปล่าก็คงตอบได้เลยว่าแน่นอนเพราะที่รักได้รับความรักและความเอาใจใส่จากคนรอบข้างอยู่แล้วแต่ส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นที่รักของคนในครอบครัวกับเพื่อนๆ เสียมากกว่า

ส่วนเป็นที่รักของคนรักในเชิงชู้สาวน่ะเหรอจะว่าไปแล้วก็ยังไม่เคยเลยนี่นา แล้วมันจะเหมือนกับการเป็นที่รักของเพื่อนและคนในครอบครัวมั้ยนะ...

 

 

รถยนต์ของเพื่อนตัวโตอย่างบอมจอดบริเวณอีกฝั่งที่เป็นฝั่งตรงข้ามของสตูดิโอสัก ที่รักเดินตามเพื่อนของตนเองไปถึงสตูดิโอเพียงไม่ถึงสองนาทีเสียด้วยซ้ำในใจพลันนึกกลัวขึ้นมาว่าร้านสักมันจะน่ากลัวมั้ยนะ มันจะเหมือนห้องเชือดในหนังสยองขวัญหรือเปล่าหากแต่ที่นี่กลับไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย 

ภายในร้านตกแต่งอย่างเรียบง่ายและมีระเบียบผนังปูนเปลือยมีกรอบรูปใบอนุญาตต่างๆ ติดเต็มไปหมดแต่ก็ไม่ได้ดูรกเสียทีเดียวกลับกันแล้วกลับเป็นระเบียบจึงทำให้ดูไม่น่ากลัวอย่างที่คิดโทนสีของร้านเป็นสีเทาทึบแต่ก็ไม่ได้มืดสนิทจนมองไม่เห็นแถมกลิ่นของร้านก็ยังมีกลิ่นหอมสะอาดอีกต่างหากและบริเวณเคาน์เตอร์มีเด็กหนุ่มวัยราวๆ ยี่สิบปีนั่งอยู่ซึ่งเยื้องๆ กันเป็นป้ายชื่อสตูดิโอแห่งนี้ติดอยู่ผนังพอดี ส่วนบริเวณโดยรอบของร้านก็ไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ก็กว้างอยู่พอสมควรมีโซนให้ลูกค้านั่งรอเป็นอย่างดี 

"สวัสดีครับที่ผมนัดไว้กับช่างเจษตอนสองทุ่มครับ" บอมว่ากับพนักงานที่นั่งอยู่เคาน์เตอร์ 

"คุณบอมใช่มั้ยครับ" 

"ครับ" 

"รอสักครู่นะครับ" บอมพยักหน้ารับก่อนจะหันมามองที่รักที่ยังคงสอดส่องไปรอบๆ บริเวณร้านอย่างนึกสงสัย 

"ดูดีกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย" เสียงเล็กๆ กระซิบเบาๆ ข้างเพื่อนตัวโตพลางสะกิดดึงชายเสื้อของบอมไปด้วย 

"ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ห้องเชือด" 

"เชิญคุณบอมเข้าไปรอที่ห้องสามอยู่ทางขวามือในสุดได้เลยครับ" เด็กหนุ่มประจำเคาน์เตอร์บอก 

"ไปนั่งรอไปที่รัก" บอมหันหน้ามาบอกที่รักและคนตัวเล็กรับรู้ด้วยการพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะไปนั่งบริเวณโซฟาตัวยาวที่จัดไว้สำหรับให้ลูกค้านั่งรอ 

ที่รักมองแผ่นหลังของเพื่อนที่หายลับไปแล้วส่วนตนเองก็นั่งอยู่คนเดียวบริเวณโซฟาพลางหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาเล่นเพื่อรอเวลาหากแต่ไม่นานนักมีบุคคลที่สามเดินเข้ามาบริเวณเคาน์เตอร์

ดวงตากลมโตจ้องมองร่างสูงที่สวมเสื้อยืดสีดำกับripped jeansส่วนใบหน้านั้นเห็นไม่ชัดเจนเสียเท่าไหร่เพราะเจ้าตัวสวมหน้ากากอนามัยสีดำปกปิดไว้จึงทำให้เห็นเพียงครึ่งใบหน้า ดวงตาคมแต่ทว่าดูเหมือนจะยังไม่ตื่นเต็มตาหากให้เดาคนคนนี้คงไปแอบงีบหลับมาแน่ๆ เพราะทรงผมที่ตัดเป็นทรงundercutเรือนผมสีดำขลับก็ดูยุ่งเหยิงไปด้วยเล็กน้อย 

...คนคนนี้คงจะเป็นช่างสักละมั้ง 

"ยังไม่เห็นเลยนะพี่ ออกไปเดินเล่นหรือเปล่า" เสียงเด็กหนุ่มประจำเคาน์เตอร์ดังแว่วแต่เสียงของอีกฝ่ายกลับแผ่วเบาจนที่รักไม่สามารถได้ยิน 

แต่ทว่าที่รักก็ยังคงไม่วางตาจากคนตัวสูงหน้าง่วงคนนั้นอยู่ดี แอบสังเกตเห็นว่าบริเวณท่อนแขนของเจ้าตัวมีรอยสักงูที่กำลังเลื้อยพันเกี่ยวไปรอบๆ แขนที่มีเส้นเลือดขึ้นอย่างชัดเจนหากแต่ไม่นานนักเหมือนกับว่าคนตัวสูงหน้าง่วงคนนั้นจะรู้ตัวว่ามีคนกำลังมองอยู่จึงหันมาสบตาที่รักอยู่ครู่หนึ่งจึงทำให้ที่รักต้องเบือนหน้าหนีแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ 

 

 

เป็นเวลาล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงที่รักที่นั่งเล่นนอนเล่นอยู่บนโซฟาอย่างเบื่อหน่ายทั้งทำทุกวิถีทางไม่ว่างจะเล่นเกม ฟังเพลง ดูยูทูปหรือสารคดีเพื่อนตัวโตก็ยังคงสักไม่เสร็จเสียทีแล้วด้วยเวลานี้ราวๆ จะสามทุ่มแล้วจึงทำให้เปลือกตาของที่รักเริ่มหนักอึ้ง และเปลือกตาบางจึงเริ่มปิดลงอย่างเชื่องช้าในที่สุด 

"ที่รัก..." 

"..."

"ที่รัก...ตื่นได้แล้ว" 

"หือ" คนตัวเล็กสะลึมสะลือจากการเผลอหลับไปไม่นานกลับได้ยินเสียงคุ้นเคยของเพื่อนที่กำลังปลุก 

"กลับกัน" 

"เสร็จแล้วเหรอ..." น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยถามเบาๆ พลางยกมือขึ้นมาขยี้ตาที่ยังเปิดไม่เต็มตา 

"เออ ไปหาไรกินกัน" 

"อือ" ที่รักตอบเสียงแผ่วและด้วยท่าทีเช่นนั้นบอมจึงต้องจูงมือเพื่อนตัวเล็กให้รีบลุกตามไป เห็นว่าร้านจะปิดแล้วเสียด้วยจึงไม่อยากอยู่รบกวนนานกว่านี้ 

"กลับแล้วนะครับ ขอบคุณครับ" บอมบอกพลางเปิดประตูแล้วจูงมือเพื่อนตัวเล็กกลับไปที่รถ

เจษจ้องมองแผ่นหลังบางนั่นเดินหายลับไปในที่สุด คนตัวเล็กคนนั้นแอบมองเขาก่อนหน้านี้ใช่หรือเปล่าในตอนที่หันไปสบตาอีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"น่ารักว่ะพี่" แม็กพูดขึ้นหลังจากที่ลูกค้าคนสุดท้ายของร้านเดินจากไป 

"ใคร?" 

"คนที่นั่งรอลูกค้าพี่เมื่อกี้ไง" 

"..." เจษไม่ได้ตอบอะไรแต่อย่างใด

"แต่เสียดายว่ะมีแฟนแล้วเรียกที่รักซะน่ารักเชียว" 

และใช่...เจษเองก็ได้ยินที่ลูกค้าเรียกคนตัวเล็กคนนั้นว่าที่รักเช่นเดียวกัน 

"ตัวเล็กๆ ตาโตๆ สเปคพี่เลย" 

"เพ้อเจ้อ" เจษบอกก่อนจะดีดหน้าผากแม็กจนเกิดเสียงดังไปหนึ่งทีทำเอาคนที่โดนร้องโอ๊ยออกมาจนดังไปทั่วร้าน

"เอ้าก็พูดความจริง" 

"มึงเก็บร้านแล้วรีบกลับบ้านดีกว่ามั้ย"

เสียงทุ้มเอ่ยแล้วเดินจากไปทิ้งไว้ก็เพียงรุ่นน้องที่ร้องโอดโอยส่วนต๊ะช่างสักอีกคนก็หนีกลับบ้านไปก่อนแล้ว เจษกลับเข้ามาห้องนอนอีกครั้งหลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จแต่ดวงตาคมก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปมองบริเวณข้างเตียงที่ยังคงว่างเปล่า

 

 

 

 

 

TBC