ที่รักครั้งที่ 3 

 

 

ถ้าหากวันนั้นไม่ดื่มมากเกินไปก็คงจะไม่รู้สึกอับอายขนาดนี้หรอกใช่ไหม...

ที่รักนั่งเอามือเท้าคางอยู่หน้าจอแลปท็อปพลันคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเมาหนักจนเผลอทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าช่างสักที่ชื่อเจษซึ่งความจริงแล้วที่รักจำได้เลือนรางเท่านั้นหากแต่บอมกลับล้อไม่หยุดจนต้องเก็บความอับอายมาคิดเช่นนี้ 

ก็พอจำได้ว่าเกือบอ้วกใส่เขาแต่พอสร่างเมาแล้วดันไปบอกเขาว่าไม่มีแฟนอีก ให้ตายเถอะที่รัก! 

ที่รักใช้มือขึ้นมายีผมตัวเองจนยุ่งเหยิงทว่ากลับไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ตนอยู่ข้างนอกและอยู่ในร้านกาแฟซึ่งเป็นที่สาธารณะและมีผู้คนมากมาย ใบหน้าจิ้มลิ้มยู่หน้าครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะสลัดความคิดที่กวนใจออกไปก่อนจะกลับมาโฟกัสที่หน้าจอแลปท็อปพร้อมกับทำงานที่เพิ่งรับมาเมื่อหลายวันก่อน 

 

 

"ขอบคุณครับ" เสียงทุ้มเอ่ยขอบคุณพร้อมกับรับแก้ว Green tea Frappe เพิ่มวิปปิ้งครีมและราดด้วยคาราเมลซอสจากพนักงานก่อนจะมองหาที่นั่งภายในร้านกาแฟที่ว่า 

ซึ่งวันนี้เจษออกมาคุยธุระเรื่องสักกับรุ่นช่างสักอีกคนจึงถือโอกาสแวะร้านกาแฟเสียหน่อยเนื่องจากชายหนุ่มไม่ได้สัมผัสกลิ่นอายและบรรยากาศในร้านกาแฟเป็นเวลานานพอสมควรทีเดียว 

ผู้คนหนาแน่นภายในร้านจนแทบจะไม่มีที่สำหรับนั่งดื่มกาแฟ ดวงตาคมสอดส่องมองหาที่ว่างเพียงต้องการนั่งไม่นานทว่าสายตากลับพบที่ว่างจากโต๊ะหัวมุมที่ติดกับหน้าต่างที่เหลือที่เก้าอี้ว่างเพียงที่เดียวหากแต่อีกคนที่นั่งก่อนหน้านั้นกลับเป็นคนที่เจษนึกถึงแทบจะตลอดเวลาหลังจากที่พบเจ้าตัว 

คนที่พบกันครั้งล่าสุดก็เป็นคืนวันเสาร์ที่แล้ว และจะเป็นใครอื่นได้นอกจากที่รัก...

บังเอิญอีกแล้วเหรอวะ 

 

 

"ขอโทษนะครับ มีคนจองไว้หรือยังครับ?" เจษเอ่ยถามคนตัวเล็กที่นั่งจ้องหน้าจอlaptopด้วยความตั้งใจ

"ยังครับ เชิญนั่งได้เลย" อีกฝ่ายตอบแต่ก็ไม่ได้สนใจหรือละสายตามามองเจษเลยแม้แต่น้อย 

"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มตอบก่อนจะวางแก้วเครื่องดื่มแล้วนั่งลงตรงข้ามกับที่รักที่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานของเจ้าตัว 

เจษลอบมองน้องทำงานทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าชายแปลกหน้าที่เพิ่งขอนั่งด้วยนั้นคือช่างสักที่ลูบหลังให้เมื่อคืนวันเสาร์ที่แล้ว ชายหนุ่มสังเกตว่าโต๊ะของอีกฝ่ายมีเพียงแลปท็อปและเยลลี่รสส้มกับถุงมันหวานหนึบอบแห้งอยู่สองสามถุงกับซากของแก้วเครื่องดื่มที่หมดไปแล้ว เจษแอบอมยิ้มเพราะดูจากที่อีกฝ่ายทานนั้นก็คงเดาว่าจะนั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว 

ที่รักที่กำลังจดจ่อกับงานอยู่นานกลับรู้สึกราวกับว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องตนเองอยู่ ดวงตากลมโตค่อยๆ โผล่พ้นหน้าจอแล้วลอบมองฝ่ายตรงข้ามที่เพิ่งมาขอนั่งด้วยเมื่อครู่...

ที่รักสบตากับคนที่นั่งตรงข้ามในทันที ดวงตาคมและคิ้วเข้มที่ได้รูปแต่กลับดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างตลอดเวลา ไม่ถึงกับคุ้นเคยอีกคนแต่เป็นคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อคืนวันเสาร์ที่แล้ว 

"..."

"..."

ทั้งเจษและที่รักไม่ได้ทักทายอะไรกันแต่อย่างใด กลับกันแล้วที่รักรีบหลบสายตาของอีกคนในทันที 

ฉิบหายแล้ว! บังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่เจอคนที่ชื่อเจษคนนี่อีกแล้ว

"สร่างเมาแล้วเหรอ?" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแต่กลับเป็นคำถามที่ชวนให้ที่รักแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี 

"อะ...อื้อ...ครับ" ที่รักตอบ

"..."

"สร่างเมาตั้งนานแล้วด้วย" คนตัวเล็กบอกพลางทำท่าทางก้มลงมองหน้าจอเช่นเดิม 

"ไม่คิดว่าจะเจอเราอีก" เจษพูดพลางยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ ที่รักลอบมองเครื่องดื่มที่อีกคนสั่งถึงกับขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อผู้ชายตัวสูงหน้าตาดุดันดื่มชาเขียวปั่นพร้อมกับเพิ่มวิปปิ้งครีมราดคาราเมลซอสเพราะในความคิดของที่รักนั้นคิดว่าคนที่แก่กว่าและดูดุคงจะดื่มกาแฟอะไรทำนองนั้น

เขาเหมือนกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลยสักนิด... 

 

"อ่า...เราก็ไม่คิดว่าจะเจอคุณอีกถ้าไม่ใช่ที่ร้านของพี่อ้อมใจ" ที่รักบอกไปตามตรง 

"..."

"บังเอิญเจอบ่อยไปแล้วนะ" ที่รักบ่นอุบอิบกับตัวเองเบาๆ ทว่าเจษกลับได้ยินชัดเจนแต่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้น้องแต่อย่างใด 

ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวรอบกายโดยที่ไม่ได้สร้างบทสนทนาใหม่ขึ้นอีก ที่รักรู้สึกไม่มีสมาธิทำงานเอาเสียเลยเมื่อรู้ว่าคนที่นั่งตรงข้ามคือช่างเจษและรู้สึกราวกับว่าอีกฝ่ายมองตนบ้างเป็นครั้งคราว ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองเสียเท่าไหร่แต่ทุกครั้งที่ที่รักละสายตาจากหน้าจอlaptopแล้วต้องเผลอไปสบตากับอีกฝ่ายทุกที 

"ไม่คิดว่าคุณจะดื่มอะไรแบบนั้นด้วย" ที่รักตัดสินใจสร้างบทสนทนาเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัด 

"คนอย่างผมจะดื่มชาเขียวปั่นบ้างไม่ได้หรือยังไง?" เจษหัวเราะในลำคอเบาๆ ความจริงไม่อยากให้อีกฝ่ายเรียกคุณหรือใช้คำที่เป็นทางการด้วยเท่าไหร่แต่ก็ฟังดูน่ารักดีไม่น้อย 

"ก็ได้...แต่เรานึกว่าคุณจะดื่มกาแฟหรืออะไรประมาณนั้น" 

"กาแฟไม่ใส่น้ำตาลด้วยใช่มั้ย?" 

"อื้อ" ที่รักพยักหน้าพลันทำเอาเจษถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ 

"ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ" 

"มันเป็นคาแรคเตอร์..." ที่รักตอบพลางไหวไหล่ด้วยท่าทางที่น่ามันเขี้ยวเสียจนเจษอยากจับเด็กดื้อตรงหน้ามาดุเสียให้หายดื้อ 

หน้าดื้อไม่พอยังกวนอีก 

"แล้วกินอะไรมาหรือยัง?" เจษเอ่ยถามคนตัวเล็กที่หันไปสนใจหน้าจอต่อ 

"กินมันหวานหนึบไปเยอะแล้ว" 

"กินแค่นี้จะไปอิ่มอะไร" เจษเหลือบมองถุงมันหวานหนึบอบแห้งหลายถุงที่วางอยู่บนโต๊ะ 

ที่รักยู่หน้าด้วยความไม่พอใจคนตรงหน้า ไม่ได้สนิทกันสักนิดทำไมถึงต้องมาดุเรื่องกินหรือไม่กินข้าวด้วยเนี่ย 

"แต่เราอิ่ม" 

เจษไม่อยากเถียงคนตัวเล็กแสนดื้อให้มากความนักจึงพยายามไม่ต่อความยาวสาวความยืดแต่ก็ยังคงนั่งกอดอกมองที่รักอยู่เช่นนั้น

ที่รักพูดจบจึงรีบหลบสายตาในทันที คนตัวเล็กไม่อยากรับรู้หรือได้ยินเสียงดุๆ ของอีกฝ่ายอีกแล้วจึงจัดการค้นหาแอร์พอดของตนเองหากแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอเสียที ความหงุดหงิดจึงก่อตัวขึ้นทำให้ที่รักต้องถอนหายใจเพื่อสงบสติและพยายามทำให้ตนเองใจเย็นแต่ก็ไม่วายที่จะจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิด 

เจษที่นั่งมองคนหงุดหงิดครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นไปยังเคาน์เตอร์ทันที ชายหนุ่มสั่งมัฟฟินกับแซนวิชและไม่ลืมที่จะที่หยิบน้ำเปล่ามาด้วย 

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหงุดหงิดเพราะอะไรหรืออาจจะเพราะโมโหหิวก็เป็นได้จึงคิดว่าควรจะทานอะไรรองท้องหรือขนมพอให้อารมณ์ดีขึ้นก็ยังดี 

ดวงตากลมโตจ้องมองคนตัวสูงที่เดินมาพร้อมกับของในมือก่อนที่อีกฝ่ายจะวางของเหล่านั้นลงบนโต๊ะกาแฟที่ทั้งคู่นั่งด้วยกัน

"กินอะไรรองท้องก่อน" เสียงเข้มเอ่ยพร้อมกับเลื่อนจานแซนวิสมาให้ที่รักที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ 

"เราไม่ได้บอกว่าหิวซะหน่อย" 

"เดี๋ยวปวดท้อง" 

"ไม่เป็นไร แต่..." ที่รักพร้อมที่จะปฏิเสธน้ำใจจากอีกฝ่ายหากแต่น้ำเสียงดุๆ จากคนตัวสูงเอ่ยตัดบทไปเสียก่อน 

"เห็นว่าหงุดหงิดเผื่อกินแล้วจะอารมณ์ดี" เจษตอบพลางหยิบขวดน้ำแร่ขึ้นมาเปิดฝาให้ที่รักแล้ววางไว้บนโต๊ะ ที่รักชะงักไปครู่หนึ่งหากแต่กลับรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก 

"..."

"ผมเลี้ยง" 

ใจจริงที่รักอยากจะปฏิเสธเพราะความเกรงใจเสียมากกว่าแต่ไหนๆ อีกฝ่ายก็อาสาเลี้ยงแล้วถ้าหากจะปฏิเสธอีกครั้งก็คงจะดูเสียมารยาทและยังไงเสียก็ถือว่ารักษาน้ำใจที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้ก็แล้วกัน 

ที่รักค่อยๆ ตักมัฟฟินขึ้นมาทานสลับกับกัดแซนวิสไปอีกครึ่งหนึ่งซึ่งความจริงแล้วก็รู้สึกหิวอยู่เหมือนกันเพราะที่รักเองก็มานั่งทำงานหลังจากมื้อเที่ยงจนถึงตอนนี้ก็ราวๆ สี่ชั่วโมงแล้ว อาหารญี่ปุ่นที่ทานไปก็คงย่อยหมดแล้ว 

"คุณไม่กินเหรอ?" ที่รักเอ่ยถามเจษบ้าง อีกฝ่ายส่ายศีรษะปฏิเสธเพื่อเป็นการตอบคำถาม 

"ผมบอกแล้วไงว่าผมเลี้ยงคุณ" 

"อ่อ...นั่นสิ" ที่รักงึมงำพลางจัดการส่วนที่เหลือให้หมด

ท้องฟ้าในยามเย็นวันนี้ดูครึ้มราวกับจะเกิดฝนตกในไม่ช้า มวลเมฆสีเทาขนาดใหญ่เริ่มปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและก็เป็นอย่างที่ว่า...เม็ดฝนเริ่มเทลงมาพลางทำให้บานกระจกใสที่ทั้งคู่นั่งติดอยู่นั้นขึ้นไอน้ำและหยดน้ำเหล่านั้นเกาะพร่างพราวจนทำให้ไม่เห็นทิวทัศน์นอกร้าน 

ที่รักพรูลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย เขาไม่ชอบฝนเอาเสียเลย เวลาฝนตกรู้สึกเหนียวตัวไปหมดซ้ำแล้วยังลำบากเวลาเดินทางไปไหนมาไหนในประเทศเฮงซวยนี่อีก 

"เอ่อ...ขอบคุณนะ" เสียงเล็กๆ เอ่ยพร้อมกับเสียงฝนห่าใหญ่ที่เทกระหน่ำลงมา

"..."

"แล้วคุณไม่กลับสตูดิโอเหรอ?"

"ที่จริงผมว่าจะกลับแล้วแต่ฝนตกหนักก็คงกลับไม่ได้" เจษตอบพลางเหม่อมองไปยังกระจกที่มีไอน้ำและหยดน้ำเกาะอยู่ 

แต่ความจริงเขาคิดไว้ว่าจะออกไปพร้อมกับคนตัวเล็กต่างหาก...

 

"แล้วคุณล่ะ" 

"อยากกลับตอนไหนก็กลับแต่ตอนนี้ก็ยังคิดงานไม่ออกอยู่ดี" ที่รักคว่ำปากเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า เจษจ้องมองคนตัวเล็กที่ดูอ่อนล้าแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนักดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ค่อยมีสมาธิด้วย 

"ผมทำให้คุณไม่มีสมาธิหรือเปล่า?" เจษเอ่ยถามพลันครุ่นคิดในใจว่าหรือแท้จริงแล้วเขาอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องไม่มีสมาธิ 

"จะว่าอย่างนั้นก็...ใช่" ที่รักบอกแบบไม่อ้อมค้อมให้มากความทำเอาเจษถึงกับรู้สึกผิดเลยทีเดียว 

"..."

"แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะที่นี่คนเยอะเกินไป" 

ก็จริงอย่างที่น้องว่าเพราะหากทำงานก็คงจะต้องการสมาธิและความสงบอยู่ไม่น้อยซึ่งข้อนั้นเจษเองก็เข้าใจดีเพราะถ้าหากมีสิ่งมารบกวนใจหรือจะเป็นเสียงของผู้คนรอบข้างคอยรบกวนเขาเองก็คงจะไม่มีสมาธิในการทำงานเช่นกัน 

"..."

"คิดไม่ออกเลย" เจษไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานเกี่ยวกับอะไรแต่ก็ไม่กล้าถามเพราะเกรงว่าจะดูเสียมารยาท 

"ลองกินอะไรหวานๆ อาจจะพอช่วยได้" 

"แบบที่คุณดื่มชาเขียวปั่นเพิ่มวิปคาราเมลน่ะเหรอ?" ที่รักเอียงคอถามด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตสอดส่องเป็นประกายจ้องมองใบหน้าของเจษซึ่งภาพที่เจษเห็นนั้นอีกฝ่ายไม่ต่างจากลูกแมวตัวน้อยเลย 

น่ารักฉิบหาย...อย่าทำตาแป๋วแบบนี้ได้มั้ย 

เจษไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าเชิงตอบคำถามของอีกฝ่าย 

"แต่ผมก็ไม่ได้สั่งหวานมากขนาดนั้น" 

ที่รักรู้สึกแปลกใจในตัวของผู้ชายคนนี้หลายอย่างเหลือเกิน คนตัวสูงที่ออกจะดูดุแต่ก็ใจดี คนที่เป็นช่างสักมีรอยสักตั้งแต่แขนไปแทบจะถึงลำคออาจจะทำให้ดูน่ากลัวและน่าเกรงขามแต่กลับเลี้ยงแมวไหนจะดูโปรดปรานชาเขียวปั่นเพิ่มวิปปิ้งครีมกับคาราเมลแทนที่การดื่มกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลทั้งอีกฝ่ายยังคงสวมเสื้อผ้าที่มีแต่สีดำ 

ใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับไม่ค่อยยิ้มแย้มทั้งเวลาสบตากลับดูว่างเปล่า

...เป็นคนที่เดาใจยากจัง เดาไม่เคยถูกเลย 

 

"จริงดิ?" ที่รักทำตาโต 

"ลองชิมดูได้" เจษเลื่อนแก้วเครื่องดื่มที่เขามักจะสั่งเป็นประจำในช่วงนี้ ใช่ว่าเขาไม่ดื่มกาแฟแต่ก็ไม่ได้ติดมากหรือดื่มวันละหลายๆ แก้วมานานแล้ว

ที่รักจ้องมองแก้วเครื่องดื่มของเจษอย่างกล้าๆ กลัวๆ ราวกับว่าในแก้วนั้นจะมียาพิษอย่างไรอย่างนั้นแต่ก็ตัดสินใจหยิบหลอดจากแก้วที่ว่างเปล่าของตนหย่อนลงไปชิมรสชาติของชาเขียวปั่นเพิ่มวิปและคาราเมล 

"อ่า...หวานน้อย" ที่รักตอบในทันทีหลังจากที่ชิมจากแก้วของเจษ 

"ช็อกโกแลตก็ช่วยได้" 

"อื้อ ข้อนั้นเรารู้เหมือนกันแล้วเราก็ชอบกินช็อกโกแลตมากๆ ด้วย" น้ำเสียงเจื้อยแจ้วบอกพลางหันกลับมาจ้องมองlaptopอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าสมองเริ่มผ่อนคลายมาบ้างแล้ว 

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายช่วยให้ผ่อนคลายหรือว่าชาเขียวปั่นเพิ่มวิปคาราเมลกันนะ...

 

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้สร้างบทสนทนากันต่อและสายฝนก็ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย แสงไฟสลัวจากด้านนอกและในร้านชวนให้รู้สึกง่วงนอนก็ไม่ต่าง เจษลอบมองที่รักที่หันกลับไปทำงานต่อใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักดูผ่อนคลายกว่าเดิมมาก

เจษหยิบแอร์พอดของเขาขึ้นมาเพียงเพื่อจะนั่งฟังเพลงไปพลางๆ เพื่อรอเวลาฝนหยุดตกแต่ดูท่าแล้วดูจะไม่มีทีท่าว่าในจะหยุดง่ายๆ เลย 

ชายหนุ่มเลื่อนหาเพลงก่อนครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเอ่ยถามอีกคนที่นั่งทำงานอยู่เงียบๆ ซึ่งเขาไม่ได้อยากจะกวนหรือทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิแต่การฟังเพลงก็ช่วยให้สมองแล่นได้เหมือนกัน 

"คุณอยากฟังเพลงมั้ย?" เจษเอ่ยถาม

"หืม?" 

ที่รักละสายตาจากหน้าจออีกครั้งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามและแน่นอนว่าที่รักอยากฟังเพลงเสียใจแทบขาดแต่ดันลืมเอาแอร์พอดมาด้วยเสียอย่างนั้น 

"..."

"แต่เราไม่ได้เอาแอร์พอดมาด้วยนะ" 

"ฟังกับผมก็ได้" เจษแบ่งแอร์พอดอีกข้างให้ที่รัก มือบางรับเจ้าหูฟังรูปร่างเหมือนถั่วงอกจิ๋วจากอีกฝ่ายแล้วจัดการใส่ไว้ที่หูของตน

ไม่นานนักเสียงดนตรีของเพลงที่กำลังเล่นดังขึ้น มันเป็นเพลงที่ที่รักไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเพราะส่วนใหญ่แล้วที่รักมักจะฟังเพลงเจร็อกหรือเจป๊อปมากกว่าเนื่องจากตนเองค่อนข้างติดเพลงจากอนิเมะเสียส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่าเพลงที่อีกฝ่ายกำลังเปิดนั้นคือเพลงอะไร 

ที่รักรู้สึกแปลกใจที่ท่อนแรกของเพลงเข้ามาโสตประสาทหากแต่ไม่ได้คิดอะไรมากมายเพียงแค่เป็นเพลงเพลงหนึ่งที่เพราะอยู่ไม่น้อยเลยจนกระทั่งละลายสายตาจากจอจนเผลอสบตากับดวงตาคมของอีกฝ่ายในทันที 



 

อย่าเพิ่งมองว่าผมเจ้าชู้ในสายตาคุณ 

ผมมีแค่คุณ แค่คุณคนเดียวไม่เหลียวมองใคร

อยากบอกให้คุณนั้นได้เข้าใจว่าทั้งดวงใจผมมีแค่คุณ

ทำงานเก็บเงินไปสู่ขอคุณวอนพ่ออย่าเพิ่งยกคุณให้ใคร...



 

ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่งพลันทำให้ใจของใครบางคนเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่รักกระแอมกระไอเล็กน้อยพลางหลบสายตาของเจษและกลบเกลื่อนความเคอะเขินด้วยการเอ่ยถามชื่อเพลง

"อะ...เอ่อ ไม่คิดว่าคุณจะฟังเพลงแบบนี้ด้วย" 

"..."

"ชื่อเพลงอะไรเหรอ เพราะดี" 

"จีบ..."

เจษตอบสั้นๆ ทว่าคำตอบกลับรุนแรงเกินต้านทานเหลือเกิน ที่รักเองก็ภาวนาให้มันเป็นชื่อเพลงและไม่ได้มีความหมายแอบแฝงหรืออะไร

"ห้ะ?" 

ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือเปล่าที่ถามชื่อเพลงจากอีกฝ่ายเนื่องจากไม่เคยฟังมาก่อนแต่คำตอบที่ได้นั้นใช่ชื่อเพลงหรือไม่ ทว่าในตอนนี้หัวใจดวงน้อยของที่รักเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย 

"ชื่อเพลงจีบ" 

"อ๋อ...นั่นสิเนอะๆ เพราะจังเราไม่เคยฟังมาก่อนเลย ฮ่าๆ" 

ที่รักหัวเราะกลบเกลื่อนที่แท้ก็ชื่อเพลงเป็นแบบนี้นี่เอง ทำเอาหัวใจของที่รักแทบจะระเบิดออกมาเสียให้ได้อย่างไรอย่างนั้น 

สายฝนยังคงโหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย กลิ่นของกาแฟคั่วอบอวลไปรอบกาย แก้วเครื่องดื่มของเจษยังคงมีหลอดของที่รักที่เสียบอยู่เคียงข้างกันและเพลงที่กำลังดังกึกก้องในหูของทั้งคู่ก็ยังคงเล่นอยู่เช่นนั้น...

 

ถ้าหากวันใดคุณมีหัวใจได้โปรดเก็บไว้ให้ผม

 

 

 

 

TBC

#ที่รักของเจษ