ที่รักครั้งที่ 2 

 

 

กิจวัตรประจำวันและการใช้ชีวิตเช่นเดิมวนซ้ำๆ ราวกับว่าใช้ชีวิตแต่ละวันให้หมดไปเพื่อรอคอยวันใหม่มาถึงและก็วนลูปเดิมซ้ำๆ อีกหนอย่างเช่นชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังยืนอยู่ในร้านดอกไม้ของคุณอ้อมใจซึ่งเจษมักจะมาสั่งดอกไม้เป็นประจำในทุกสัปดาห์หากแต่เป็นสัปดาห์ละครั้งก็เท่านั้น 

ที่รักลอบมองลูกค้าประจำของพี่สาวพลันครุ่นคิดในใจว่าชายคนนี้แวะเวียนเข้าซื้อดอกกุหลาบที่ร้านเป็นประจำแอบคิดว่ามาจีบพี่สาวของเขาหรือเปล่าแต่ถ้าจะบอกว่ามาซื้อดอกไม้ให้คนพิเศษจำเป็นต้องมาทุกๆ สัปดาห์เลยหรืออย่างไร

ลูกค้าประจำที่ว่าคนนี้ก็คือคนที่ทำงานที่ร้านสักนี่นา...

 

ที่รักมองคนตัวสูงอยู่นานจนเมื่อเสียงประตูร้านเปิดออกอีกครั้งและแผ่นหลังกว้างของชายตัวสูงหายลับไปคนตัวเล็กจึงออกไปหาพี่สาวที่เคาน์เตอร์ 

"เขามาจีบพี่อ้อมใจแน่เลย" ที่รักหรี่ตาลงเล็กน้อยพลันทำให้อ้อมใจที่กำลังจัดช่อดอกไม้อยู่ถึงกับขมวดคิ้ว 

"หืม อะไรทำให้เราคิดแบบนั้น?" 

"ไม่รู้สิ..." คนตัวเล็กไหวไหล่ 

"..."

"ก็เขาแวะมาที่ร้านทุกๆ อาทิตย์เลยจะมาซื้อดอกไม้อะไรนักหนาถ้าไม่จีบพี่อ้อมใจ" 

"ไม่ใช่หรอกคุณเจษเขาซื้อไปให้คนสำคัญมากกว่า"

"สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอถึงได้มาซื้อดอกไม้ทุกอาทิตย์เลย"

ที่รักยู่หน้าด้วยความไม่ชอบใจเพราะเท่าที่สังเกตแล้วคุณเจษอะไรนั่นก็ดูจะไม่ใช่ผู้ชายโรแมนติกที่จะต้องมีช่อดอกกุหลาบทุกๆ สัปดาห์อย่างแน่นอน...

"พี่ก็ไม่รู้สิเพราะมันเป็นเรื่องของลูกค้า แต่ถ้าเราอยากรู้พี่ถามให้เอามะ" อ้อมใจหัวเราะเบาๆ พลางบี้จมูกของน้องชายตัวแสบด้วยความมันเขี้ยว 

"ที่รักก็ไม่ได้อยากรู้ซะหน่อย" เสียงเล็กๆ แก้ตัวอย่างทันควัน 

"เหรอคะ?" 

"ก็กลัวมีคนจะมาจีบพี่อ้อมใจนี่นา พ่อบอกว่าต้องสแกนหนุ่มๆ ให้ก่อนแต่ด่านแรกเลยคือต้องผ่านด่านของที่รัก!" 

อ้อมใจมองน้องชายขี้หวงของตัวเองด้วยความเอ็นดูพลางส่ายศีรษะเบาๆ และเพราะความหวงของผู้ชายที่บ้านด้วยจึงทำให้อ้อมใจไม่มีใครเสียทีโดยเฉพาะกับน้องชายตัวแสบคนนี้

"ที่รักยังไม่อยากแบ่งพี่อ้อมใจให้ใครนะ" คนตัวเล็กออดอ้อนโดยการซบไหล่ของพี่สาวพร้อมกับทำตาแป๋วราวกับแมวที่อ้อนเจ้าของซึ่งปกติแล้วที่รักมักจะอ้อนทุกคนในบ้านเช่นนี้หากว่าอยากได้อะไร 

"ระวังไว้เถอะตัวเองนั่นแหละจะมีแฟนก่อนพี่" 

"แต่คุณเจษอะไรนั่นทำงานที่ร้านสักนะพี่อ้อมใจ..." 

"แล้วยังไง?" 

"ถ้าเขาจะมาจีบพี่อ้อมใจจริงๆ คงต้องสแกนละเอียดยิบเลยมีรอยสักแทบจะเต็มตัวแล้วที่ซื้อดอกไม้ไปบ่อยๆ ใช่ว่าจะซื้อไปให้สาวนะ" 

ถ้าหากให้พูดตามตรงที่รักรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อยเลยถึงคุณเจษอะไรนั่นจะดูอ่อนโยนในตอนที่เรียกแมวเมื่อครั้งนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเบาใจเสียหน่อย ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีคนรักอยู่แล้วหรือเปล่า 

"มีเมียหรือยังก็ไม่รู้ หน้าตาเจ้าเล่ห์มาก" 

อ้อมใจหรี่ตามองน้องชายครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้ที่รักพูดถึงคุณเจษลูกค้าประจำของร้านไม่หยุด 

"สงสัยคุณเขาละเอียดจัง" 

"อย่าไว้ใจง่ายๆ นะ" ที่รักทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านพลันทำเอาอ้อมใจถึงกับขมวดคิ้วอีกครั้ง หญิงสาวแอบสงสัยในใจว่าน้องชายของตนเป็นอะไรไปนะปกติแล้วไม่เห็นจะสนใจเรื่องของคนอื่นมากขนาดนี้เพราะเจ้าตัวสนใจแต่หนังสือการ์ตูนและงาน ซึ่งความจริงแล้วอ้อมใจมั่นใจได้เลยว่าคุณเจษไม่ได้จีบตนเองอย่างแน่นอนเพราะทุกครั้งที่เจ้าตัวแวะมาที่ร้านก็จะสั่งแค่เพียงดอกไม้และพูดคุยกันเพียงสองถึงสามประโยคก็เท่านั้น 

"คิดมากไปหรือเปล่าเนี่ยไอ้ดื้อ" อ้อมใจบ่นอุบอิบกับตนเองเบาๆ 

 

 

 

 

เจษกลับมาถึงสตูดิโอสักอีกครั้งในช่วงบ่าย ร่างสูงตรงไปยังชั้นสองในทันทีเพื่อจะไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมารอลูกค้าที่จองคิวไว้ หากแต่ในใจกลับนึกถึงใบหน้าจิ้มลิ้มของคนตัวเล็กที่เจอที่ร้านดอกไม้แทบจะทุกสัปดาห์ อาจจะมีบางสัปดาห์ที่ไม่พบแต่สัปดาห์นี้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าของคนตัวเล็กอยู่สักเล็กน้อย เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกครั้งที่ไปซื้อดอกไม้ที่ร้านของคุณอ้อมใจเหตุใดจึงต้องมองเข้าไปในร้านเพื่อหาใครบางคน 

แปลกใจที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน...

ร่างสูงสะดุ้งโหยงหลุดออกจากภวังค์เมื่อครู่อีกครั้งเมื่อสมาร์ตโฟนของตนแผดเสียงไปทั่วห้อง ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะเดินไปรับสาย 

"มึงมีอะไร?" เสียงทุ้มเอ่ย

[นี่คือคำทักทายเพื่อนฝูงเหรอวะ กูทักมึงไปไม่คิดจะตอบเลยใช่มั้ย] ปลายสายพูดพลางกลั้วหัวเราะราวกับกำลังขำอยู่ 

"กูไม่ค่อยจับมือถือ แล้วมึงมีอะไร" เป็นเรื่องจริงของเจษที่เขาไม่ค่อยได้จับสมาร์ตโฟนเพื่อเช็กอะไรใครทั้งนั้นนอกเสียจากเรื่องงาน

[อาทิตย์หน้ากูว่าจะชวนมาร้าน พอดีมีวงใหม่มา]

"เหมือนจะไม่ว่าง" 

[มึงไม่ถามกูหน่อยเหรอว่าอาทิตย์หน้าวันไหน ไอ้ฟาย]

"วันไหน กี่โมง อะไรยังไง" 

[เสาร์ วงใหม่กูขึ้นสามทุ่ม]

"อืม สามทุ่มกูสักลูกค้าคนสุดท้ายเสร็จพอดี" ชายหนุ่มเองก็พอที่จะจำตารางของตัวเองได้ว่าวันเสาร์หน้าตนมีลูกค้าคนสุดท้ายทันช่วงสามทุ่มพอดี 

[งี้มึงก็เลทดิพี่เจษ สามทุ่มวงใหม่ขึ้นแต่มึงเลิกงานสามทุ่มกว่ามึงจะปิดร้านอีก] ปลายสายจู้จี้เสียจนเจษอยากขว้างสมาร์ตโฟนทิ้งไปให้จบๆ 

"เดี๋ยวให้ไอ้แม็กปิดร้านเพราะกูเลื่อนคิวลูกค้าไม่ได้ อาจจะเลทกูไม่รับประกัน" 

[มึงรวยอยู่แล้วเอาไรมาขยันขนาดนี้วะ เออๆ เลทได้แต่อย่านาน กูอยากให้มึงฟังวงใหม่จริงๆ]

"เออ แค่นี้แหละกูจะไปทำงาน...ยุ่งจริงๆ เลยมึงเนี่ย" ชายหนุ่มไม่รอช้าให้ปลายสายบ่นจึงรีบวางสายในทันที 

และเห็นที่เพื่อนว่าเช่นนั้นชายหนุ่มจึงกดเข้าไปในแอพลิเคชั่นแชทเพื่อดูว่าความจริงแล้วคิมที่โทรมาเมื่อครู่ส่งข้อความมาหาเขาเมื่อหลายวันก่อน แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะกดออกจากแอพลิเคชั่นนั้นกลับเลื่อนหาแชทของใครบางคนเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่ทักมาส่งดอกไม้ เมื่อกดเข้าไปดูโปรไฟล์จึงพบว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนรูปไปเสียแล้วจากรูปก่อนที่ภาพถ่ายของเจ้าตัวกลับเปลี่ยนเป็นรูปการ์ตูนญี่ปุ่น

"โอตะ?" เจษพึมพำกับตนเองเบาๆ ก่อนจะวางสมาร์ตโฟนไว้บนเตียงแล้วลงไปทำงานที่เขารักต่อ 

 

 

เมื่อสักลูกค้าคนสุดท้ายของวันนี้เสร็จสิ้นเจษเดินไปยังเคาน์เตอร์อย่างเคย ดวงตาคมเหลือบมองหญิงสาวที่มารอลูกค้าของเขานั่งอยู่ที่โซฟาพลางพยายามเล่นกับแมวส้มตัวอ้วนอยู่ 

เจ๋งนอนแผ่ราบไปกับโซฟาพลางส่ายหางสีส้มๆ ของมันราวกับว่ามันอารมณ์ดีมากเสียทีเดียวหากแต่สีหน้าของเจ๋งกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อยซ้ำแล้วมันยังดูนิ่งไม่อะไรกับใครอีกต่างหาก 

"น้องไม่ชอบเล่นกับคนเหรอคะ?" เสียงใสเอ่ยถามเจษและแม็กที่อยู่บริเวณเคาน์เตอร์ 

"ครับ พี่เจ๋งค่อนข้างนิ่งเลย" แม็กตอบพลางยิ้มแห้งให้กับหญิงสาว 

"..."

"เจ๋งไม่ใช่แมวขี้อ้อนน่ะครับไม่อ้อนใครนอกจากเจ้าของ" แม็กพูดทิ้งท้ายอีกครั้ง หญิงสาวหัวเราะด้วยความเอ็นดูอีกครั้ง

เจษยอมรับว่าเห็นภาพเช่นนี้จนชินตาไปเสียแล้วเนื่องจากลูกค้าที่แวะเวียนมาที่นี่มักจะเล่นกับเจ๋งถ้าหากว่าเจ๋งไม่ได้แอบไปเที่ยวที่ไหนจึงทำให้ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด กลับกันแล้วที่ทำให้ประหลาดใจก็เห็นจะเป็นวันนั้นที่คนตัวเล็กมาส่งดอกไม้แล้วเจ้าเจ๋งกลับอ้อนไม่ห่างทั้งๆ ที่ปกติแล้วมันอ้อนก็เพียงแค่เจษเท่านั้น 

...แล้วก็ไม่รู้เพราะทำไมถึงนึกถึงคนตัวเล็กคนนั้นไปได้ 

 

"พี่เจษครับ" แม็กขานชื่อเจ้าของร้าน

"ห้ะ?" 

"พี่เจ๋งมันจะอ้อนใครอีกมั้ยนอกจากพี่" คำถามของแม็กทำให้เจษต้องหันไปขมวดคิ้วยุ่ง

"..."

"พี่เจ๋งมันรออ้อนแม่หรือเปล่า..." เสียงของต๊ะเอ่ยออกมาพร้อมกับร่างสูงที่เดินมายังเจษและแม็ก 

ต๊ะคือช่างสักลูกครึ่งไทยญึ่ปุ่นฝีมือดีของสตูดิโอแห่งนี้ซึ่งความจริงแล้วเจ้าตัวไม่ได้ชื่อต๊ะแต่อย่างใด หากแต่ชื่อญี่ปุ่นของชายหนุ่มเรียกยากทุกคนจึงเรียกต๊ะเสียมากกว่า 

"แม่พี่เจ๋งก็ต้องเป็นแฟนพี่เจษใช่มั้ยพี่ต๊ะ" 

"จะเป็นแฟนได้ไงต้องเป็นเมียดิวะ" ต๊ะส่งเสียงหยอกล้อเจ้าของร้านด้วยความสนุกพลันทำเอาเจษแทบอยากจะชกเข้าที่หน้าหล่อๆ เป็นเอกลักษณ์ของลูกครึ่งญี่ปุ่นแทบแย่ 

"ตลกมากมั้งไอ้สัส" เจษพูดเบาๆ 

"ว่าแต่พี่เจ๋งจะมีแม่เมื่อไหร่ สงสารพี่เจ๋งมันอยากมีแม่แล้วค้าบบบบ" 

"..."

"ใช่มั้ยพี่เจ๋ง บอกพ่อเร็วว่าเจ๋งอยากมีแม่แล้ว"

"เหมี๊ยว ~ "  

หากแต่ยิ่งห้ามก็ยิ่งเหมือนยุเพราะต๊ะแซ็วไม่หยุดซ้ำแล้วเจ๋งยังฟังรู้เรื่องเสียด้วยสิ แมวส้มตัวอ้วนส่ายหางดุ๊กดิ๊กไปมาพร้อมกับร้องเพื่อเห็นด้วยอย่างที่ต๊ะพูด 

"นั่นไง...กูบอกมึงแล้วว่าแมวมันไม่เคยโกหก พี่เจ๋งมันฟังรู้เรื่องหมด" 

"ไร้สาระ" 

ปากก็เอาแต่บอกว่าไร้สาระหากแต่ภายในใจของเจษกลับมีเพียงภาพของเจ๋งที่อ้อนคนตัวเล็กปรากฏขึ้นภายในใจของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

"ต้องหาแม่ให้พี่เจ๋งแล้วนะพี่เจษ love me love my cat" แม็กว่า

ความจริงก็เจอแล้วคนที่เจ๋งอ้อนนอกจากเขา แต่ทว่าอีกฝ่ายมีเจ้าของแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร...

 

 

 

คืนวันเสาร์มาถึงไวเหมือนโกหกที่รักสวมสนีคเกอร์คู่เก่งของตนเองอยู่หน้าบ้านด้วยความรีบร้อนเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ของบอมจอดรอเมื่อครู่

"กลับดึกได้แต่อย่าเมามากเข้าใจมั้ยดื้อ?" อ้อมใจเอ่ยเมื่อเห็นน้องชายตัวแสบของตนกำลังจะเตรียมออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ 

"ม่ายรับปากค่ะ" ที่รักตอบด้วยน้ำเสียงขี้เล่นก่อนจะหันไปแลบลิ้นให้พี่สาวด้วยความซุกซน 

"เนี่ย...เดี๋ยวตีเลยนะ" 

"ล้อเล่นน่าพี่อ้อมใจแต่ก็ไม่รับปากนะ มีบอมอยู่แล้วไม่ต้องห่วง" พูดจบน้องชายตัวแสบก็วิ่งแจ้นไปขึ้นรถเสียแล้วอ้อมใจจึงทำแค่ส่ายหน้าไปมาให้กับน้องชายของตัวเอง 

 

ที่รักในตอนนี้นั่งข้างบอมที่เป็นคนขับเช่นเคย ร่างบางหันไปมองเพื่อนตัวโตที่กำลังขับรถออกจากบ้านของตนเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดนัดหมายของเพื่อนๆ ที่นัดกันในคืนวันเสาร์ 

"แหม ระริกระรี้เชียว" บอมผลักศีรษะกลมๆ ของที่รักที่กำลังนั่งอยู่ข้างหาย 

"ไม่ได้ออกไปตี้นานแล้วเหอะ" ที่รักพูดความจริงเนื่องจากกลุ่มเพื่อนๆ มหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้นัดสังสรรค์ด้วยกันนานมากแล้วคงเพราะต่างคนต่างมีหน้าที่การงานที่ต้องทำจึงไม่บ่อยนักที่จะมีโอกาสได้นัดกัน 

"เมาได้แต่ห้ามอ้วกบนรถกูอีก" บอมบ่น 

"สัญญา! เอ่อ...ว่าแต่แผลที่สักแห้งยังอะ?" ที่รักหันไปถามบอมด้วยความสงสัย 

"แห้งนานแล้ว ถามทำไม?" 

"เปล่า ก็แค่อยากรู้" ที่รักไหวไหล่พลางมองไปนอกกระจกรถในยามค่ำคืนในคืนวันเสาร์ ในขณะที่มองไปข้างทางนั้นกลับหวนนึกถึงลูกค้าประจำร้านของพี่สาวที่ตนไปส่งดอกไม้ให้ที่ร้านสักเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

"..."

"บอม..."

"ว่า" 

"ร้านที่ไปสักมีช่างสักชื่อเจษป่ะ?"

ที่รักจึงตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อนตัวโตของตนเรื่องของชายร่างสูงที่มีรอยสักคนนั้น 

"มี...ก็คนที่กูสักด้วยไงพี่เขาเป็นเจ้าของร้าน" บอมตอบหน้าตายพลางขับรถด้วยความเย็นใจ 

"เจ้าของร้านเลยเหรอ?" 

"เออ" 

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นที่รักกลับรู้สึกถึงประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าของสตูดิโอสักเพราะบอมเองก็เคยบอกว่าสตูดิโอแห่งนี้มีชื่อเสียงในเหล่าวงการสักมาก หากจะจองก็ต้องจองกันข้ามปีก็มีและดูจากร้านก็คงจะจริงอย่างที่ว่า 

"เขาอายุเยอะกว่าเราเหรอ?" 

"อืม แก่กว่าสามปี" บอมตอบแต่ทว่าคราวนี้กลับขมวดคิ้วเนื่องจากปกติแล้วเพื่อนตัวเล็กของเขาไม่ใช่คนขี้สงสัยเฉกเช่นนี้เสียเท่าไหร่แล้วยิ่งเจ้าตัวถามถึงเจ้าของร้านสักกลับยิ่งทำให้เขาแปลกใจ

"..." ที่รักเงียบไปครู่หนึ่งพลางครุ่นคิดเรื่องราวและเก็บข้อมูลของอีกฝ่ายจากเพื่อนของตน 

ที่ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าสามปี...ตอนนี้ก็คงจะอายุยี่สิบแปดปีสินะ

"แล้วเขามีแฟนยังอะ?" และแล้วคำถามนี้ถึงกับทำให้บอมหันไปถลึกตาใส่ที่รักที่ยังคงนั่งถามถึงเจ้าของสตูดิโอสัก

"เดี๋ยวๆ มึงชอบเขาเหรอวะที่รัก?" 

"ฮะ...เฮ้ย! เอาอะไรมาพูดว่ากูไปชอบเขาอ่ะแค่ถามเฉยๆ" บอมเหลือบมองเพื่อนตัวเล็กของตนที่กำลังแสดงท่าทางเลิ่กลั่กผิดปกติราวกับเด็กเล็กที่แอบแม่กินลูกกวาดแล้วโดนจับได้ว่ามีความผิด 

"เนี่ยมึงล่กอะที่รัก" 

"มั่วแล้วแค่อยากรู้เฉยๆ เหมือนเขาจะมาจีบพี่อ้อมใจต่างหาก" คนตัวเล็กยู่หน้า 

"จีบยังไงวะพี่อ้อมใจเคยเจอพี่เจษหรือยังไง?"

"อือ...ไม่อยากพูดแล้ว" ที่รักบอกเพื่อปัดความรำคาญใจออกไป ไม่รู้ว่าทำไมพูดถึงเจ้าของร้านสักคนนั้นต้องมีความรู้สึกหลากหลายชวนให้สับสนเต็มไปหมด ทั้งรู้สึกสงสัย รู้สึกหงุดหงิดและรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกด้วยนะ 

 

 

เสียงดนตรีดังเคล้ากับเสียงของผู้คนภายในร้านจนชายหนุ่มไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่าเพลงที่กำลังเล่นโดยนักร้องที่อยู่บนเวทีในตอนนี้คือเพลงอะไร เจษเดินเข้าไปในร้านกึ่งผับกึ่งบาร์ของคิมเพื่อนตั้งแต่สมัยประถมของตนซึ่งจองโต๊ะในโซนวีไอพีที่อยู่ชั้นบน ดวงตาคมจ้องมองชายร่างสูงวัยเดียวกันกำลังนั่งโบกมือให้อยู่ 

"มาสักทีนะมึง" คิมเอ่ยทักเจษที่กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ 

"มึงอยากให้กูมากูก็มาแล้วนี่ไง" 

เจษตอบไปอย่างส่งๆ พลางรับแก้วแอลกอฮอล์จากสาวสวยอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะ 

"กูไม่กินนะ ขับรถมา" 

"เฮ้ย! ได้ไงวะพี่เจษปกติมึงโซ้ยจัดคอแข็งสุดในกลุ่มแล้วนะ" 

"มึงบอกให้กูมาฟังวงใหม่ร้านมึงไม่ได้บอกให้กูมากินเหล้า"

"เอองั้นก็แล้วแต่มึง" คิมไหวไหล่พยายามไม่รบเร้าเพื่อนของตนเพราะเขาเข้าใจดีว่าเจษมีนิสัยอย่างไรจึงไม่อยากจะจู้จี้จุกจิกให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญ 

"..."

แต่ไม่ทันไรเสียงซาวด์เช็กของนักดนตรีวงใหม่ของร้านที่คิมว่ากำลังเช็กเสียงเพื่อเตรียมจะขึ้นเวที เจษมองไปยังด้านล่างของร้านพลางฟังคิมพูดจ้อไม่หยุด คิมคือเพื่อนไม่กี่คนของเจษที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ นิสัยของทั้งคู่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่คิมมีนิสัยช่างพูดช่างเจรจาต่างจากเจษที่เงียบและนิ่งขรึม

"ขอนั่งด้วยได้มั้ยคะ?" เสียงหวานของสาวสวยที่นั่งร่วมโต๊ะอีกคนกระซิบข้างใบหูของเจษจนทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมอง 

ใบหน้าสวยถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางและริมฝีปากเคลือบไปด้วยลิปสติกสีแดงสดพร้อมกับสวมชุดเดรสรัดรูปที่ดูวับๆ แวมๆ เห็ทรวดทรงของร่างบางได้อย่างชัดเจน แววตาแสนเย้ายวนของหญิงสาวถูกส่งมายังเจษอย่างไม่เปิดเผยซึ่งมองก็คงรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร เจษไม่ได้ตอบสิ่งใดแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนที่จะให้หญิงสาวนั่งข้างกาย 

"..."

"พี่เจษดื่มมั้ยคะ?"

"พี่บอกแล้วครับว่าวันนี้พี่ไม่ดื่ม" เสียงทุ้มเอ่ยก่อนจะหันไปมองยังด้านล่างเวทีที่กำลังจะเริ่มเล่นดนตรีอยู่ ในวันนี่เจษเองก็ตั้งใจแค่จะมาฟังวงใหม่ของร้านคิมก็เท่านั้นและเห็นว่าตนไม่ได้ออกมาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนนานพอสมควรจึงตัดสินใจรีบมา

ครั้นเมื่อร่างสูงกำลังนั่งฟังเพลงจากนักดนตรีที่ว่าของคิมดวงตาคมเหลือบไปเห็นบริเวณโต๊ะชั้นล่างฝั่งตรงข้ามของตน ในคราวแรกเจษแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเสียด้วยซ้ำว่ากลุ่มคนที่นั่งโต๊ะนั้นจะมีคนตัวเล็กที่เจอกันเมื่อสัปดาห์ก่อน

ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองภาพจากระยะไกลสายตาทั้งยังมีแสงไฟสลัวๆ พลันคิดในใจว่าอาจจะไม่ใช่อีกฝ่ายก็เป็นได้หากแต่ยิ่งมองก็ยิ่งปรากฏใบหน้าจิ้มลิ้มพร้อมกับดวงตากลมโตอันเป็นเอกลักษณ์จากอีกฝ่าย บังเอิญเกินไปหรือเปล่า...

เจษนั่งมองคนตัวเล็กกับกลุ่มเพื่อนจากทางด้านบน สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกถึงความสนุกสนานได้อย่างชัดเจนทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นสีหน้ายามหัวเราะหรือรอยยิ้มนั้นกลับทำให้เจษรู้สึกถึงความสดใสในทันที

น่ารักว่ะ...แต่มากับแฟนอีกแล้วเหรอวะ 

ความคิดหนึ่งดังกึกก้องในใจของชายหนุ่มซ้ำแล้วยังตามหลอกหลอนอยู่ไม่ห่าง ก็จริงอยู่ที่เขาอาจจะดูเหมือนหนุ่มแบดบอยจากลุคที่เห็นภายนอกแต่ก็ยังรู้จักผิดชอบชั่วดีว่าอะไรควรหรือไม่ควร และยิ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้วเขาไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เลย 

 

 

"กินเลยที่รัก"

"..."

"เขาว่าถ้าใครกินไม่หมดเป็นพวกกาก" 

"..."

"อิที่รักมึงอย่ายอมอิบุ้งกี๋นะเอาให้หมดแก้วนี้" 

เสียงของเพื่อนในกลุ่มดังแทรกขึ้นแข่งกับเสียงเพลงภายในร้านที่รักในตอนนี้รู้สึกหูอื้อตามัวไปหมดและไม่รู้ว่าจะฟังเสียงใครก่อนดี

ฝ่ามือบางเอื้อมไปหยิบแก้วที่บรรจุแอลกอฮอล์ขึ้นมายกดื่มอยากไม่รอช้า หลังจากที่หมดแก้วเสียงเฮดังขึ้นรอบโต๊ะ

"พวกมึงอย่าไปยุมันได้มั้ยเดี๋ยวก็อ้วกใส่รถกูอีก" บอมจิ๊ปากอย่างขัดใจแต่กลับกันแล้วที่รักรีบตอบอย่างทันควัน 

"เฮ้ย ไม่เมาๆ สัญญาไว้แล้วไงอย่าดูถูกที่รักนะ!"

"..."

"สติยังดีแต่มึนๆ นิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย" ที่รักตอบพร้อมกับโยกศีรษะไปตามเสียงเพลงที่ดังขึ้น 

"เออให้มันจริงเถอะ" บอมตอบพร้อมกับหรี่ตามองเพื่อนตัวเล็กที่กำลังหน้าแดงหากแต่ที่รักไม่ได้ตั้งใจฟังเสียเท่าไหร่เพราะวงดนตรีกำลังเล่นเพลงที่ตนชื่นชอบมาตั้งแต่ช่วงสมัยมัธยม

"บอมๆ เพลงนี้...ชอบเพลงนี้" เสียงเล็กๆ เอ่ยพลางนั่งเท้าคางบนโต๊ะพร้อมกับยิ้มแฉ่งแล้วฮัมเพลงเบาๆ 

 

เป็นไปด้วยรัก...แต่อาจจะขี้หึงเกินไป

แต่ใจทั้งใจมีแต่เธอคนเดียว รักเธอคนเดียว 

ไม่ยอมให้ใครมาเปลี่ยนไป ~ 


[ขี้หึง - Silly Fools]

 

เสียงดนตรีร็อกบีทหนักดังไปทั่วร้าน เสียงร้องของนักร้องก็ยังคงบรรเลงเพลงที่ที่รักชื่นชอบแต่หารู้ไม่ว่ากำลังมีใครบางคนกำลังจ้องมองที่รักจากโซนด้านบนของร้าน คนตัวเล็กไม่รู้เลยนอกเสียจากการได้เจอเพื่อนๆ และฟังเพลงโปรดมันคือความสุขเล็กๆ อย่างหนึ่ง ทว่าไม่นานความรู้สึกอึดอัดและมึนหัวราวกับอาการคลื่นไส้กลับมาเล่นงาน อาการและภาพต่างๆ รอบกายแยกเป็นสองร่างจนทำให้ที่รักต้องส่ายศีรษะเพื่อดึงสติตนเอง

"ที่รักมึงจะไปไหน?" บอมถามทันทีเมื่อเห็นที่รักกำลังลุกขึ้น 

"ไปเข้าห้องน้ามมมม" 

"ให้กูไปเป็นเพื่อนมั้ย?" 

"ม่ายยยย เดี๋ยวมา...ที่รักปวดฉี่ด้วยยยย" เสียงหวานพูดเจื้อยแจ้วด้วยความเชื่องช้าราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังเมาอย่างแน่นอน บอมเองก็อดที่จะเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้หากแต่ที่รักลุกเดินไปหายลับไปเสียแล้ว 

 

 

"เดี๋ยวกูมา" เสียงทุ้มเอ่ยบอกคิมที่กำลังยกแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นจิบ คิมขมวดคิ้วในทันทีที่เห็นเพื่อนของเขารีบลุกขึ้นราวกับมีเรื่องสำคัญ 

ในคราวแรกเจษเห็นว่าคนตัวเล็กดูจะมีอาการสงบนิ่งเมื่อครู่หากแต่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะลุกไปเข้าห้องน้ำเพียงคนเดียวทั้งยังเดินแทบจะไม่ตรงเสียด้วย และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจษถึงต้องรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยคนตัวเล็กขึ้นมา

แถวของผู้คนต่างมาเข้าห้องน้ำและยืนสูบบุหรี่ในพื้นที่ที่จัดไว้ยาวเหยียดและหนาแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย ร่างสูงมองหาคนตัวเล็กที่อยู่ไหนสักแห่งทว่าไม่นานกลับพบคนตัวเล็กยืนโซเซราวกับร่างกำลังอ่อนปวกเปียก

"ขอทางหน่อยครับ" เจษรีบบอกกลุ่มคนที่หนาแน่นพร้อมกับพยายามแทรกตัวเข้าไปหาคนตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าจะล้มลงไปอยู่กับพื้นเมื่อไหร่

ร่างบางที่อ่อนปวกเปียกและโอนเอนที่ไร้เรี่ยวแรงอยู่พักใหญ่และทันใดนั้นที่รักรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะหลับไปเสียอย่างนั้นแต่กลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นโอบเอวบางของตนจากทางด้านหลัง 

"ระวังหน่อย" เสียงทุ้มบอกพลางกระชับเอวบางของคนตัวเล็กไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายล้มลง 

ที่รักรู้สึกตัวด้วยการตั้งสติที่มีอยู่ตอนนี้พลางหันกลับไปมองบุคคลที่อยู่ทางด้านหลังของตนทว่าเมื่อหันไปกลับพบว่าคนคนนี้คือคนที่แวะเวียนมาที่ร้านดอกไม้ของพี่สาวทุกๆ สัปดาห์และเขาก็คือเจ้าของร้านสักที่บอมพูดถึงก่อนหน้านั้น....

"หือ...?" ที่รักขมวดคิ้วด้วยความงุนงง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะพบคนตัวสูงคนนี้บ่อยเกินไปเสียแล้ว ใช่ว่าตนจะเมาจนเกิดภาพหลอนของคนคนนี้หรอกนะ 

"ทำไมถึงมาเข้าห้องน้ำคนเดียว" เสียงทุ้มเอ่ยถาม ที่รักพยายามตั้งสติและส่ายศีรษะไปมาเพื่อความแน่ใจว่าตนไม่ได้เมาหนักจนเกิดภาพหลอนแต่อย่างใด 

ที่รักจ้องมองใบหน้าคมสันพักใหญ่ก่อนจะพบว่านั่นคือภาพจริงของเจ้าของร้านสักที่ชื่อเจษ หากจะว่าไปแล้วลองใช้โอกาสนี้ถามไปเลยเสียจะดีกว่าว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับพี่สาวของตน 

"จะจีบพี่อ้อมใจใช่มั้ย?!?!?" คนตัวเล็กถามพร้อมกับทำหน้าจริงจัง 

"..." เจษไม่ได้ตอบอะไรหากแต่ปล่อยให้อีกคนถามต่อ 

"ถ้ามีแฟนแล้วไม่ให้ยุ่งกับพี่ของที่รักนะ!" 

"..."

"ที่รักไม่ยอมจริงๆ ด้วยถ้าคุณมีแฟนแล้วคิดจะมาจีบพี่อ้อมใจอ่ะ"

เจษจ้องมองคนตัวเล็กที่กำลังหน้าแดงและอุณหภูมิในร่างกายที่เริ่มร้อนขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะอากาศที่ร้อนหรือเพราะอาการมึนเมาจากอีกฝ่ายกันแน่แต่ที่อีกฝ่ายแทนตัวเองว่าที่รักนั้นหมายความว่าอย่างไร 

"ไม่ได้จีบ" 

"โกหกแล่วววว บอกมาเลยนะว่าคุณจะจีบพี่อ้อมใจใช่หรือไม่!" เจษก้มลงมองคนตัวเล็กที่กำลังยู่หน้าด้วยความเอ็นดู ผิวแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อจากอาการมึนเมากลับทำให้อีกฝ่ายดูน่ารักไปในที 

และเพราะไม่รู้ว่าเหตุใดเจษถึงนึกสนุกอยากแกล้งคนตัวเล็กในอ้อมแขนโดยการหลอกถามชื่อเล่นจากอีกฝ่าย เคยได้ยินมานักต่อนักแล้วว่าคนเมามักจะไม่พูดโกหกจึงถือโอกาสนี้ถามชื่ออีกฝ่ายเลยเสียจะดีกว่า 

"ตอบก่อนว่าเราน่ะชื่ออะไร?" เมื่อเจษถามจบคนตัวเล็กคลายปมคิ้วออกเล็กน้อยพลางพยายามผลักให้ร่างสูงใหญ่ของเจษออกห่างด้วยกำลังอันน้อยนิด

"ถามทำไม" 

"ตอบก่อนแล้วจะบอกว่าจีบหรือไม่จีบคุณอ้อมใจ" ที่รักจ้องมองคนตัวสูงพักใหญ่ก่อนจะตอบคำถามที่อีกคนถามเมื่อครู่

"ที่รัก" เสียงเล็กๆ เอ่ยออกมาทำเอาเจษขมวดคิ้วเป็นปมเลยทีเดียวทำเอาร่างสูงถึงกับสับสนว่าคนตัวเล็กพูดชื่อของตนหรือว่าเรียกหาใครบางคน 

"..."

"เราชื่อที่รัก! ทีนี้คุณก็ตอบคำถามมาได้แล้วว่าจีบพี่อ้อมใจหรือเปล่า?" 

ราวกับความสงสัยที่เก็บไว้ในใจของชายหนุ่มคลี่คลายหายไปในทันที...เจษเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายที่ว่าคนตรงหน้านั้นชื่อว่าที่รัก ถึงจะเป็นชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแต่ก็รู้สึกว่าน่ารักอยู่ไม่น้อย และจากวันนั้นรายชื่อจากแอพลิเคชั่นที่เขียนว่าbabeก็คงจะแปลว่าที่รักที่เป็นชื่อของอีกฝ่ายสินะ หากแต่ความสงสัยหนึ่งกลับยังไม่เคยเลือนหายที่ว่าลูกค้าที่สักกับเจษเมื่อคราวก่อนนั้นจะใช่เจ้าของของที่รักหรือเปล่าถ้าหากจะถามก็คงจะดูไม่ดีแน่ๆเจษจึงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพรูลมหายใจเบาๆ

"ไม่ได้จีบครับ" เจษตอบไปตามตรงหากแต่คนที่ได้ยินตอบกลับในทันที 

"โกหก!!!" ที่รักตอบเสียงดังจนคนรอบข้างที่ยืนรออยู่บริเวณนั้นหันมามอง 

"..."

"ปล่อยที่รักได้แล้วนะ!" ที่รักพยายามจะผละร่างบางของตนออกจากคนตัวสูงแต่ก็ไม่ได้อยู่ดีเพราะด้วยกำลังอันน้อยนิดของตนไม่อาจสู้ผู้ชายตัวสูงคนนี้ได้เลย 

เพราะที่รักเสียงดังมากจึงทำให้คนรอบข้างบริเวณนั้นหันมามองทั้งสองด้วยสายตาที่ดูไม่ดีเท่าไหร่นักและเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกอับอายหรือให้คนรอบกายคิดว่าทั้งคู่มีปากมีเสียงกัน

"ขอโทษครับพอดีแฟนผมงอแงนิดหน่อย" เจษแก้ตัวกับคนรอบข้างเพราะไม่อยากให้เข้าใจผิด 

"ดะ...เดี๋ยว" ที่รักยู่หน้า 

"ที่รักอย่าเสียงดัง" 

"ไม่ใช่แฟนนะ...แต่ตอนนี้...ไม่ไหวแล้ว" และเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อตนเองหัวใจกลับเต้นรัวอย่างบอกไม่ถูกและรู้สึกราวกับใบหน้ากำลังร้อนผ่าวมากกว่าปกติ หากแต่ที่รักพยายามขยับกายในอ้อมแขนของเจษด้วยความอึดอัดและอาการคลื่นไส้ตีรวนขึ้นมาในทันที 

"...?"

"จะอ้วก..."

 

 

เสียงชักโครกดังอยู่สองสามครั้งในห้องน้ำที่ปิดสนิท เจษยืนรอที่รักอยู่หน้าประตูห้องน้ำด้วยความเป็นห่วงและในคราวแรกเกือบไปเสียแล้วที่อีกฝ่ายจะอาเจียนออกมาแต่ยังดีที่เจษช่วยอุ้มอีกฝ่ายเข้ามาในห้องน้ำได้ทัน 

"ให้ช่วยมั้ย?" เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่อยู่ในห้องน้ำ

"..." ที่รักเงียบทั้งยังรู้สึกอ่อนล้าก่อนจะหันไปอาเจียนอีกครั้ง

"ถ้าไม่มีคนช่วยลูบหลังก็จะเป็นแบบนี้ไปทั้งคืน" ที่รักเงียบไปครู่หนึ่งพลางประมวลผลตามที่คนตัวสูงบอกอยู่หน้าห้องน้ำ 

เพราะไม่อยากรู้สึกอึดอัดและทรมานไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจหันกลับไปเปิดประตูให้อีกฝ่าย ครั้นเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาจึงปิดประตูในทันที ในสมองของที่รักตอนนี้รู้สึกหลากหลายเต็มไปเสียหมด ทั้งความรู้สึกอึดอัดจากแอลกอฮอล์ตีรวนขึ้นมาอีกครั้งและความกังวลในใจกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลอกล่อตนหรือเปล่า 

"..."

"หันหลัง" 

"บ้าหรือเปล่า! คุณจะทำอะไรเราอะ!" ที่รักหันไปมองคนตัวสูงในทันที 

"ถ้าไม่หันหลังแล้วจะลูบหลังยังไง?" เจษจ้องมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาจากการอาเจียนเมื่อครู่ของอีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มในตอนนี้ดูมอมแมมไม่ต่างจากลูกหมาตัวน้อยเลยและก็เป็นไปตามที่พูดคนตัวเล็กหันหลังกลับไปแล้วอาเจียนลงชักโครกพร้อมกับเจษที่ยืนลูบหลังให้อีกฝ่ายอย่างไม่นึกรังเกียจ 

เป็นการพูดคุยกันและพบกันอีกครั้งที่ประหลาดดีไม่น้อยเลย 

 

"รู้สึกดีขึ้นหรือยัง? "

"อืม" ที่รักพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะกดชักโครกเป็นครั้งสุดท้ายความอึดอัดเมื่อครู่ค่อยๆ หายไปจนทำให้คนเมาได้สติกลับคืนมาบ้างแล้ว

"งั้นก็ออกไปล้างหน้าก่อนจะได้สร่างเมา" คนตัวสูงพูดจบแล้วจึงเปิดประตูห้องน้ำทันที ที่รักเดินตามออกไปอย่างว่าง่ายแต่โชคดีที่ไม่มีคนอยู่ในห้องน้ำเพราะถ้าหากมีคนเห็นว่าทั้งคู่ออกมาจากห้องน้ำห้องเดียวกันต้องคิดไปในทางอื่นอย่างแน่นอน

เจษยืนพิงอ่างล้างหน้าพลางจ้องมองคนตัวเล็กที่ค่อยๆ ล้างหน้าก่อนที่ชายหนุ่มจะยื่นทิชชูให้อีกฝ่ายซับหยดน้ำที่เกาะบนใบหน้าจิ้มลิ้มนั่น คนตัวเล็กรับไปพร้อมกับซับหยดน้ำที่เกาะบนใบหน้าออกจนหมดก่อนจะหันไปมองเจษที่ยืนอยู่ข้างกาย 

ครั้นเมื่อที่รักจะเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่ายทันใดนั้นเสียงของบอมกลับแทรกเข้ามาในทันทีพร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงอาการกังวลไม่น้อยเลย 

"ที่รัก! มึงเป็นไรมั้ยเนี่ย?" เสียงของบอมดังขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาหาที่รักที่กำลังยืนอยู่ด้วยความงง

"..."

"มึงหายไปนานจนกูกลัวว่ามึงจะเป็นอะไร" 

"ไม่ได้เป็นอะไร คือที่รักอ้วกนิดหน่อย" ที่รักยิ้มแหยะๆ ให้กับเพื่อน 

"กูบอกแล้วใช่มั้ยว่ากูจะมาเป็นเพื่อนก็ไม่ยอม"

แต่ก่อนที่บอมจะดุที่รักมากกว่านี้ บอมหันไปสังเกตคนข้างกายของที่รักที่พบชายหนุ่มร่างสูงที่มีใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองทั้งคู่อยู่ บอมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่พบว่าคนที่ยืนข้างกายเพื่อนของตนคือช่างสักที่ตนสักด้วยเมื่อเดือนที่แล้วและกำลังจะไปสักกับช่างเจษในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า 

"อ้าว ช่างเจษ" บอมเอ่ย

"งั้นดูแฟนต่อด้วยนะครับน่าจะสร่างเมาแล้ว" เสียงทุ้มบอกก่อนจะเดินจากไปแล้วปล่อยให้ที่รักและบอมยืนงุนงงกันอยู่เงียบๆ 

"แฟนเหรอ?" ที่รักพึมพำ 

"กูว่าเรื่องนี้ต้องมีคนเข้าใจผิด" 

"ยังไง...คือช่างเจษคิดว่าเราเป็นแฟนกันเหรอ?" 

"เออ"

 

 

เจษเดินออกมาอยู่บริเวณหน้าร้านที่เป็นจุดสูบบุหรี่อีกแห่งของร้านด้วยความหงุดหงิด มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงยีนสีเข้มของตนพร้อมกับหยิบซองบุหรี่และบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบด้วยความไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่เห็นอีกฝ่ายอยู่กับอีกคนถึงได้รู้สึกหงุดหงิดราวกับมีเรื่องชวนให้ว้าวุ่นใจ 

หากแต่ย้อนคิดอีกครั้งก็พบว่าอีกฝ่ายชื่อที่รักอย่างนั้นหรอกหรือแม้จะได้รู้ชื่อของอีกฝ่ายแต่ก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปครอบครองได้เลย 

กลุ่มควันสีเทาลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจุดสูบบุหรี่อีกครั้ง ชายหนุ่มเหม่อมองไปยังท้องฟ้าในเมืองหลวงที่ไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนจะมีก็เพียงแต่เสียงไฟก็เท่านั้น เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังแว่วก่อนจะหยุดอยู่ที่ข้างกายของเจษก่อนที่ชายหนุ่มจะเหลือบมองด้วยปรายตาอยู่ครู่หนึ่งจึงพบว่าเป็นที่รักที่เดินเข้ามาหา 

แปลกใจแต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี...

 

"คุณสูบบุหรี่ด้วยเหรอ?" เสียงของคนตัวเล็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา 

"..." 

"เอ่อ...คือเราจะมาขอบคุณที่ช่วยลูบหลังให้" ที่รักไม่กล้าแม้จะสบตาคนข้างๆ เลยแม้แต่น้อยกลับกันแล้วเจษกลับยืนจ้องมองที่รักอย่างไม่วางตา 

"ไม่เป็นไรครับ" เจษตอบด้วยความสุภาพพลางกดก้นบุหรี่ลงในกระถางสำหรับเขี่ยบุหรี่ 

"..."

"คราวหลังก็หาคนมาเป็นเพื่อนถ้ารู้สึกว่าตัวเองเมา" ร่างสูงบอก 

ที่รักฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่เหมือนว่าจะดุเล็กน้อยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายดูน่ากลัวและดุดันแต่ก็ยังดูใจดีไปในที 

"อื้อ..." 

"..."

"คุณชื่อเจษใช่หรือเปล่า?" ที่รักเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะความสูงที่ต่างกันจึงทำให้ที่รักต้องเงยหน้าคุยกับอีกฝ่าย 

เจษพยักหน้าเป็นคำตอบพลางสบตากลมโตของที่รักที่ในตอนนี้ดูหงอยราวกับลูกหมาก็ไม่ต่าง 

"เรียกพี่ก็ได้" เจษบอกเพราะดูจากรูปร่างหน้าตาและนิสัยของที่รักแล้วก็คงเดาได้ง่ายว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่าและจากที่เช็กบัตรประชาชนของบอมก่อนที่จองคิวสักทั้งสองคนก็คงจะอายุเท่ากัน

"อืม...พี่เจษ" 

เจษเงียบไปครู่หนึ่งร่างสูงไม่ได้แสดงอาการตอบโต้แต่อย่างใดกลับกันแล้วหัวใจของชายหนุ่มกลับเต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพียงแค่อีกฝ่ายเรียกตนว่าพี่ทำไมถึงรู้สึกใจเต้นแรงแบบนี้ไปได้ 

"ออกมายืนคุยกับคนอื่นแบบนี้ไม่กลัวแฟนหึงเหรอ?" ร่างสูงถามและนั่นก็เป็นอย่างที่บอมว่าจริงๆ ที่เจษเข้าใจผิดคิดว่าที่รักและบอมคบหากัน 

ที่รักส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยพลางกลั้นหัวเราะเอาไว้ ที่แท้ก็เข้าใจผิดนี่เอง ซื่อบื้อชะมัด! 

 

"ไม่หึงหรอกเพราะเรายังไม่มีแฟน" 

พูดจบที่รักหันไปยิ้มตาหยีจนเป็นสระอิให้เจษครู่หนึ่งก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินไปจากตรงนั้นที่ทั้งคู่ยืนคุยกันเมื่อครู่...ที่พูดมาจริงหรือ ถ้าอย่างนั้นแล้วเจษก็คงเข้าใจผิดและคิดไปเองอย่างนั้นสินะว่าอีกฝ่ายมีเจ้าของไปเสียแล้ว

ทว่ารอยยิ้มเมื่อครู่กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสั่นไหวในใจราวกับแผ่นดินไหวซ้ำแล้วหัวใจที่มีแต่ความมืดมนกลับมีแสงสว่างสดใสขึ้นวูบ

 

 

 

 

TBC

 

#ที่รักของเจษ