2 ตอน หนทางของเหล่าตัวประกอบ
โดย Laksh Mana
ต้องปฏิวัติ!
ชาติก่อนเขาอ่อนแอไม่ต่างอะไรกับแมลง ชาตินี้จะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องสามารถรักษาชีวิตรอดกับสถานการณ์อีกสามส่วนของนิยายที่ร้อยทั้งร้อยมันต้องเต็มไปด้วยการต่อสู้ฟาดฟันตามแบบนิยายกำลังภายในที่อะไรๆ ก็ตระการตาให้ได้
ฉะนั้นเวลาเป็นของมีค่า ร่างกายของเซียนซีหยางแม้ไม่ผอมแห้งเหมือนคนอมโรคแต่ก็ขาดกำลังกายที่ดี ดังนั้นเริ่มจากวันนี้ เขาจะต้องออกกำลังกายและไอ้การออกกำลังกายมันก็เป็น...กิจกรรมที่อยากทำมาทั้งชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ทำ! เหอะๆ ไม่ใช่แค่โรครุมเร้าหรอกนะ แต่เขาไม่มีต้นทุนชีวิตเหมือนคนอื่น เป็นแค่พนักงานที่มีประสบการณ์ไม่เท่าไหร่ นอกจากจะต้องหาเงินเลี้ยงชีพให้พ้นไปแต่ละเดือนแล้วยังต้องหาค่ารักษาพยาบาลอีก ชีวิตอับเฉาหาอนาคตสดใสไม่เจอเช่นนั้น ยาใจเพียงอย่างเดียวถ้าหาไม่ได้จากการ์ตูน นิยาย เขาก็จบชีวิตไปตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดเขาจะต้องจบชีวิตลงเพราะนิยายเรื่องหนึ่งก็เถอะ!
ทว่าเซียนซีหยางก็ได้เห็นข้อดีที่พระเจ้าประทานมาปลอบใจความซวย ก็รู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น
เวลานี้เขาเป็นอิสระจากโรคร้ายน่ารำคาญ ไม่ต้องใช้เวลาสิบแปดชั่วโมงไปกับการคิดว่าเดือนหน้าเหลือเงินเท่าไหร่ หนี้สินอีกเท่าไหร่ ต่อให้ต้องเกิดมาเป็นตัวประกอบของตัวประกอบที่ไร้ค่ายิ่งเศษดินข้างถนนเขาก็ยังยินดี
แต่จะว่าไปแล้วเซียนซีหยางไม่เข้าใจอยู่อย่าง คนแต่งงานกันแล้วก็มักจะแยกเรือนออกไปอยู่กับสามี แต่กรณีนี้ผู้ใดเป็นสามี? เขาถามเฉินฝูแล้วว่าหลังแต่งงานจะต้องย้ายไปที่ใด และเป็นดังคาดเซียนซีหยางจะย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนใหญ่ที่ตั้งในมหานครต้าชิง แต่น่าสงสาร หลัวซาไม่ไยดีทิ้งเขาไว้กลางเรือนเงียบสงัด ทำให้นานวันเซียนซีหยางทนสายตาครหาของผู้อื่นไม่ไหวจึงย้ายกลับมาบ้าน เพราะเรือนของคุณชายสามจอมเก็บตัวเป็นเรือนหลังที่ค่อนข้างสงบและแปลกแยกจากเรือนหลักของบิดาและพี่ชาย
เอาเป็นว่าตอนนี้เขาพอใจกับสภาพที่ไม่มีใครมาวุ่นวาย เขาใช้เวลาอันสงบสุขศึกษาสิ่งของในเรือนของคุณชายสามและออกกำลังกาย
แล้วก็พบว่า...เงินของคุณชายช่างน้อยนิด...
เดี๋ยวเซ่! มันมีบางอย่างไม่ถูกต้องไหม ถึงจะถูกมองเป็นอากาศธาตุบ้าง เป็นตัวกาลกิณีของสกุลบ้าง แต่คุณชายสามไม่น่าจนขนาดนี้ไม่ใช่หรือ เขายังจำบทตอนที่เซียนซีหยางจัดงานแต่งงานได้อยู่เลย เจ้าหมอนั่นบอกว่าจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดด้วยตัวเอง ไม่ใช่ว่าร่ำรวยรึ
“ปกติคุณชายมีอะไรก็ใช้ของในบ้าน ไม่วุ่นวายจะซื้อใหม่ ส่วนเงินได้รับจากมรดกของมารดาท่านเอาไปใช้ในงานแต่งจนเกือบหมดขอรับ นายท่านเองก็ไม่ช่วยออก...” นั่นเป็นคำอธิบายของเฉินฝู
เชี่ยๆ ๆ ๆ ! หมายความว่าเงินของเขากลายเป็นส่วนกลางไปแล้ว ใช้ร่วมกับใครไม่ใช้ดันใช้ร่วมกับพระเอกอีก ลงอีแบบนี้เขาจะกล้าเอาเงินนั่นมาใช้จ่ายหรือเปล่า แถมเฉินฝูยังบอกว่างานแต่งยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี แต่งงานต้องใช้เงินขนาดไหนถึงเขาจะโสดแต่ก็พอรู้ ส่วนบิดาบัดซบเงินสักเหรียญทองแดงก็ไม่คิดจะช่วยออก
ต้องปฏิวัติจริงๆ !
จะมีชีวิตอยู่รอดให้ได้ทุกสถานการณ์ก็ต้องมีเงินมั้ย ขนาดตอนเป็นพนักงานยังมีเงินเก็บมากกว่านี้เลยนะเฟ้ย
ยิ่งเป็นตัวประกอบไม่เอาไหน วรยุทธ์ไม่เป็นได้ แต่จะไม่มีเงินไม่ได้!
ทว่าหาเงินด้วยวิธีใด เขายังมืดแปดด้าน
แต่ต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่าสกุลเซียนเป็นเจ้าของสนามประลองที่ใหญ่เทียบชั้นในมหานครต้าชิง นั่นคือสนามประลองเจี้ยงฉาง ในเมืองอู๋ฉิงที่ขึ้นชื่อเรื่องการชุมนุมจอมยุทธ์นี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก สนามประลองเป็นที่พบปะของจอมยุทธ์ นักรบ และนักสู้ต่างถิ่นในเมืองแห่งนี้ นอกจากสนามประลองใต้ดินเปี้ยนไถอันเป็นจุดกำเนิดของพระเอก ก็มีสนามประลองที่ถูกกฎหมายและเป็นที่นิยมเช่นเจี้ยงฉาง สกุลเซียนเป็นผู้สร้างที่นี่มาหลายชั่วคน เพาะเลี้ยงเหล่านักสู้มือดีไว้ลงแข่งในงานใหญ่ๆ และส่งไปเป็นองครักษ์ให้เจ้าคนนายคนที่เป็นลูกค้าทั่วยุทธภพ กอบโกยเงินได้มหาศาลต่อปี
ถ้าเจ้าเชียนซีหยางคนก่อนมันไม่มัวแต่บ้าผู้ชาย ช่วยเหลือกิจการครอบครัวจนร่ำรวย ด้วยร่างกายของเขาที่ไม่ได้แย่ ซ้ำหน้าตาดีอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้ จะก้าวไปที่ไหนก็ไม่ขาดหญิง...ชายงามล้อมหน้าล้อมหลังแล้ว
เรื่องหน้าตาเองเซียนซีหยางค่อนข้างตกใจ ไม่นึกว่าตัวประกอบริมทางเช่นนี้จะได้รับการใส่ใจรายละเอียดของใบหน้า คุณชายสามไม่ค่อยออกแดด เนื้อตัวค่อนข้างขาวซีด ดวงตาน้ำตาลดำกลมโตแต่หางตาชี้จึงไม่มีใครดูแคลนว่าคล้ายสตรี จมูกก็รับรูปกับกรอบหน้า ปากบางสุขภาพดี ดูรวมๆ แล้วเป็นชายชาตรีที่หล่อเหลาอ่อนโยน...แน่นอนว่าเขาต้องใช้เวลาถึงสี่ห้าวันในการขุนร่างกายทรุดโทรมก่อนหน้านี้ให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนเพื่อให้ตนมีความกล้าไปนั่งพิจารณารูปร่างอยู่หน้ากระจก (ไก่งามเพราะขน ไม่มีทางที่คนหล่อแต่กินไม่อิ่มนอนไม่หลับ ไม่ออกจากบ้านไปสังเคราะห์แสงจะคงสภาพความหล่อไว้ได้! )
และที่สำคัญ เซียนซีหยางเอ๋ย...พระเอกก็คือพระเอก มีไว้คู่กับนางเอกเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ชายงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าเสียหน่อย นายจะลดสเปคไปเกี้ยวชายงามในหอโคมเขียวแทนไม่ได้หรือไง
“คุณชาย วันนี้ท่านจะออกไปไหนรึขอรับ” เฉินฝูนั่งรอคุณชายของตนแต่งตัวเรียบร้อย เขารอแต่งเส้นผมยาวดกดำของคุณชาย ปกติเรื่องทรงผมหากเป็นเมื่อก่อนคุณชายไม่คิดให้ใครมาจัดการ แต่เมื่อคืนวานเฉินฝูเข้ามาในเรือนหลังพร้อมกับสำรับอาหาร เห็นคุณชายกำลังจะตัดผมตัวเอง ก็ตกใจจนสำรับหลุดมือ รีบคว้ามีดสั้นไว้ได้ทัน ยามนั้นคุณชายบ่นว่า
ผมยาวพันกันยุ่งเหยิง! ข้าหวีไม่ถึง!
ดังนั้นเพื่อมิให้ทั่วทั้งยุทธภพคิดว่าเซียนซีหยางของเขากลายเป็นบุตรเนรคุณคน เฉินฝูจำต้องแต่งทรงผมให้เขาทุกเช้า
เซียนซีหยางพอใจกับผมที่ถูกมัดไว้เรียบร้อยเป็นหางม้า แม้ว่าใจจริงเขาอยากจะทำสกินเฮดก็เถอะ คุณชายสามกล่าวอย่างอารมณ์ดี “วันนี้ข้าได้ยินว่ามีการคัดเลือกจอมยุทธ์ที่จะลงงานท้าประลองในเจี้ยงฉาง ข้าจะไปดู” และถือโอกาสเอาเงินไปใช้ประโยชน์สักเล็กน้อย
เฉินฝูวิตกกังวลทันที หลายวันนี้กล่อมไม่ให้คุณชายออกจากบ้านจนกว่าร่างกายจะฟื้นตัว ยามนี้คุณชายดูแข็งแรงทรงภูมิมากกว่าเวลาที่ผ่านมาทั้งชีวิตเสียอีก จะให้ห้ามอีกเกรงว่าจะหาเรื่องใส่ตัว “เช่นนั้น ข้าน้อยจะออกไปเตรียมรถม้า”
เซียนซีหยางพยักหน้าพอใจ ก่อนจะออกไปเขาไม่ลืมหยิบพัดคลายร้อนและถุงเงินไปด้วย
ทุกครั้งที่มีการประลองย่อมมีการพนัน หึๆ ใครบ้างที่ผ่านใครบ้างไม่ผ่าน เขาอ่านผ่านบท ‘ท้าทายสนามครั้งที่ 1’ ก็รู้หมดแล้ว!
รถม้าตอนออกจากบ้านไม่มีปัญหา เพราะบิดาและพี่ชายต่างยังไม่มีใครกลับมา เซียนซีหยางนั่งสบายอารมณ์พร้อมคำนวณรายได้ที่ยังไงก็ต้องได้ในวันนี้ไปพลางกินขนมดื่มชาไปพลาง เมื่อคืนรื้อค้นอยู่นานยังไม่เห็นไอเทมช่วยชีวิตอีกอันที่ต้องมี มันคือแผนที่ของยุทธภพ แม้ว่าเขาจะอ่านนิยายไม่จบ แต่สองส่วนในห้านั้นเล่าถึงการต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคของหลัวซาในสถานที่ต่างๆ ไว้ตั้งแต่เขายังแบเบาะ ทำให้เซียนซีหยางมองเห็นภาพคร่าวๆ ของโลกใบนี้
ยุทธภพแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งอยู่อย่างสงบสุขภายใต้กฎที่ใช้ร่วมกัน การอยู่ร่วมกันแบบไม่มีใครเป็นหนึ่ง เจ้าสำนักจะตัดสินใจเรื่องสำคัญจากการประชุมเลือกเสียงข้างมากและจัดการตามวิธีที่เหมาะสม รวมทั้งภารกิจระวังภัยร้ายซึ่งเป็นของสำนักปราบมารซะส่วนใหญ่ และแหล่งรวมความเจริญไม่พ้นมหานครต้าชิง สถานที่ตั้งของสำนักซางเหรินสิง สำนักปราบมารที่โด่งดังของพระเอก ส่วนอีกด้านเป็นเขตแดนภพมารที่อยู่ของเผ่ามารทั้งหลาย ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การปกครองของจอมมาร มหานครที่ยิ่งใหญ่ในด้านนั้นเป็นเสมือนวังที่ประทับของราชาแห่งเผ่ามาร แม้ว่าพันปีมานี้จะไม่เห็นวี่แววการกำเนิดใหม่ของเขา แต่เผ่ามารเคารพกฎยิ่งกว่าใคร เมื่อจอมมารยังไม่ถือกำเนิดก็ไม่มีใครคิดก่อกบฏขึ้นครองบัลลังก์ ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเข้ามาควบคุมประชากรมารที่แพร่พันธุ์เร็วยิ่งกว่าไข้หวัดนี่ด้วย ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าวันดีคืนดีเผ่ามารจะมาก่อความวุ่นวายในยุทธภพ
เซียนซีหยางจำได้คร่าวๆ ว่า ทั้งสองฝั่งตัดขาดกันด้วยม่านหมอกหนาและป่าใบไม้แดง แต่ไม่ว่าทั้งสองจะต่างกันอย่างไรสิ่งที่มีเหมือนกันคือ พื้นที่รกร้าง พื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการบุกเบิกก็เป็นเหมือนเควสต์ลับในเกมออนไลน์ ถือว่าเป็นแหล่งฝึกวิชาเก็บไอเทมที่มักโผล่มาช่วยอัพเลเวลให้ตัวละคร หากจำไม่ผิดวิหารเทียนฉางตี้จิ่วในมหานครต้าชิงก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวยุทธ์ ทว่าถูกบุกเบิกได้จากการพิชิตเมื่อครั้งในอดีต คล้ายดันเจี้ยนที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในแมพ เขายังจำได้อีกว่ามีตอนหนึ่งที่พระเอกไล่ตามกลุ่มมารเข้าไปหลงในป่าลับแล แล้วดันไปสะกิดให้กลไกวิหารเถ้าจันทราทำงาน จากไล่ล่ามารอยู่ดีๆ กลายเป็นว่าต้องเข้าไปผจญภัยสุดระทึกอยู่ในวิหารประหลาดตั้งยี่สิบกว่าตอน!
“โอ้ะ! ”
จู่ๆ รถม้าก็ชนกับอะไรบางอย่าง เฉินฝูโผล่หัวเขามาในรถกล่าวอย่างร้อนรนว่า “มีรถม้าคันหนึ่งเข้ามาเร็วมากขอรับ ข้าหยุดไม่ทันจริงๆ ! ”
ดูท่าจะไม่ใช่ตนที่เป็นฝ่ายผิด แต่ไฉนเลยจะมีกล้องหน้ารถ ยามนี้ผิดไม่ผิดไร้หลักฐานมีแต่พยาน
เซียนซีหยางจำต้องออกมาดูความเสียหาย ปรากฏว่าเห็นสตรีนางหนึ่งออกจากรถด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ขับประสาอะไรของเจ้า! ข้าแค่รีบไม่ได้อยากตาย! ” นางด่าคนขับรถม้าของตนก่อนจะตวัดสายตามาทางนี้
ประเดี๋ยว...ประเดี๋ยวนะ! นั่นคงไม่ใช่จ้าวฉีหลินใช่ไหม!
เซียนซีหยางเห็นนางก้าวฉับๆ มาอย่างว่องไวก็ตกใจ พิจารณารูปลักษณ์อันงดงามหยดย้อยคล้ายคุณหนูน้อยได้ไม่เท่าไหร่ก็เหลือบไปเห็นตราประจำตระกูลรูปหงส์ลายเมฆาก็ฟันธงทันที
แม่ง...เจอใครไม่เจอ ดันเจอนางร้ายสุดแสบของเรื่อง!
จ้าวฉีหลินชมชอบพระเอกจึงไม่ลงรอยกับนางเอกและโดยเฉพาะคนที่ฉกตัวพระเอกที่รักของนางไปหน้าตาเฉยเช่นเซียนซีหยางนั้น โดนนางเล่นงานมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ได้ข่าวว่าหลังแต่งงานกับหลัวซา นางล้มป่วยไปเกือบเดือน หายดีครั้งนี้จะพกความแค้นมาเยอะแค่ไหนหนอ
“ขออภัยคุณชาย ทางข้าไม่ระวังเอง” นางกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาหัวคิ้วก็หมุนเข้าหากัน
ฉันไม่ถือโทษโกรธเธอเลยสักนิด จะดีมากหากเธอแกล้งทำเป็นจำศัตรูคู่อริไม่ได้
“ไม่ทราบคุณชายคือเซียนซีหยางใช่หรือไม่” จ้าวฉีหลินคล้ายไม่มั่นใจ ชั่ววูบนั้นนางคิดว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงคุณชายท่านหนึ่งที่แวะเวียนผ่านมา เซียนซีหยางเดิมทีคิดหาทางหนี เห็นแม่นางน้อยแสดงสีหน้าเหมือนจะทักคนผิด ก็รวบรวมความกล้าส่ายหน้าให้นาง
เฮ้อ อย่าหาว่าเขากลัวผู้หญิงเกินเหตุ แต่สกุลจ้าวมีชื่อเสียงในมหานครก็เป็นลูกค้าของสกุลเซียน จ้าวฉีหลินอารมณ์ร้ายราวกับเป็นประจำเดือนตลอดเวลา คุณรู้ไหมว่าผู้หญิงมีประจำเดือนสามารถฆ่าคนตายได้นะ...ทางที่ดีรีบหาทางเผ่นก่อนดีกว่า
ทว่ายังไม่ทันที่แม่นางน้อยจ้าวจะว่ากล่าวอะไรต่อเสียงบ่าวของนางก็ดังขึ้น
“คุณหนูจ้าว งานคัดเลือกรอบแรกจะเริ่มแล้วขอรับ” คนขับรถม้าของนางรีบเตือนสติคุณหนูและเตือนสติเขาด้วย เซียนซีหยางสะดุ้ง จากนั้นก็คารวะให้จ้าวฉีหลินก่อนแยกไป ไม่ทันได้ฟังคำว่า ช้าก่อน ของนาง
เซียนซีหยางตบอก “รอดมาได้หวุดหวิด” ดูเหมือนว่าคุณหนูจ้าวเองก็รีบเร่งมาดูการประลองเช่นกัน หรือตามเสาะหาหลัวซาที่หายไปนานก็เป็นไปได้ เช่นนั้นก็พยายามอย่าไปเจอเจ้าหล่อนเลยดีกว่า
เมื่อมาถึง เฉินฝูก็เห็นคุณชายเดินแต่ละก้าวดูคล้ายหวาดระแวง จึงนึกไปว่าเขากลัวคุณหนูจ้าวจะมาพบหรือเจอคนรู้จัก เมื่อครู่เห็นคุณหนูจ้าวเฉินฝูก็ตกใจไม่น้อย แต่ที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือคุณหนูไม่ปรี่เข้ามากระชากผมบีบคอคุณชายของตนทันทีที่เห็น เพราะความเกลียดชังที่มีต่อเซียนซีหยาง คนทั้งเมืองต่างรู้ดีว่าแม่นางผู้นั้นเพื่อชายที่รักยอมเป็นศัตรูกับคนทั้งยุทธภพยังได้ “คุณชายหากไม่สบายใจเรากลับกันได้นะขอรับ”
เซียนซีหยางคลี่พัดปิดบังครึ่งหน้ากล่าวว่า “กลับได้อย่างไร ข้ามองหาลานทดสอบตั้งนานแล้วยังหาไม่เจอเลย”
เฉินฝูพลันเข้าใจ คุณชายไม่เคยออกมาลานประลองเลยสักครั้ง รู้สิแปลก “ทางนี้ขอรับคุณชาย”
เซียนซีหยางเดินตามเฉินฝูมาถึงลานกลางแจ้งที่มีคนต่อคิวยาวเตรียมเข้าประลองคัดเลือกระดับต้น เพราะคนจากทุกทิศทั่วแดนมากมายมหาศาล จึงต้องคัดเลือกให้เหลือเพียงหนึ่งร้อยคนแบ่งออกตามกลุ่ม คนหนึ่งร้อยคนที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าไปประลองในเจี้ยงฉาง ซึ่งหากชนะการประลองในลำดับสามคนสุดท้ายจะมีรางวัลให้อย่างงาม
เซียนซีหยางพยายามมองหาคนที่ได้ไปอยู่ในสนามเจี้ยงฉาง ซึ่งต้องมีเจ็ดคนที่ได้สู้กับหลัวซาและอีกสองคนที่ได้รับรางวัล เก้าคนนี้จะเป็นแหล่งทำเงินให้เขา
แต่ดูเหมือนว่าทั้งหกสนามแรกจะไม่มีใครที่เข้าตาเลยสักนิด รีรอมาครึ่งค่อนวันในที่สุดพยาธิประจำกระเพาะของเขาก็ร้องคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร เฉินฝูจึงพาเขาไปหาอะไรกินก่อนที่การประลองคัดเลือกรอบบ่ายจะเริ่ม ระหว่างนี้ก็ได้ร้านเล็กๆ ข้างทางช่วยชีวิตเอาไว้
เฉินฝูกล่าวว่า “คุณชายที่นี่มีร้านประจำที่สกุลมีหุ้นส่วนอยู่ด้วยนะขอรับ ข้าว่าคุณชายอย่านั่งที่นี่เลย ร้านนี้คนค่อนข้างเยอะข้าเกรงว่า...” ไม่ใช่ว่ารังเกียจร้านข้างทาง แต่เฉินฝูที่รู้ดีเรื่องข่าวลือเสียหายของคุณชายเป็นกังวลว่าเขาจะจิตตกหากมีใครแอบกระซิบนินทาต่อหน้า
เซียนซีหยางยักไหล่หาได้สนใจไม่ “คนจะนินทาอยู่ที่ใดก็ไม่พ้น อีกอย่างข้าไม่ใส่ใจเท่าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่น่าสงสารในกระเพาะของข้าตอนนี้หรอก” คนที่พวกเขานินทานั่นคือเซียนซีหยางคนก่อนไม่ใช่ฉันสักหน่อย ขอเพียงไม่ขว้างอาหารมาก่อกวนก็พอจะมองข้ามได้อยู่แล้ว
เฉินฝูไม่เห็นคุณชายทุกข์ร้อนก็วางใจระดับหนึ่ง บอกเด็กในร้านที่งานล้นมือหาที่นั่งดีๆ ได้หนึ่งโต้ะ หลังสั่งอาหารก็นั่งคุยเล่นเรื่องผู้เข้าประลองกับคุณชาย
เดิมทีบ่าวชราคนนี้เป็นคนที่เก่าแก่ของนายหญิงคนโปรด เขาเลี้ยงดูเซียนซีหยางมาตั้งแต่ทารก เมื่อก่อนคุณชายสามก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทั่วไป ออกจะร่าเริงสดใสแข็งแรงและฉายแววตั้งแต่เด็กเสียด้วยซ้ำ ทว่าหลังมารดาจากไปเด็กน้อยก็แทบจะไม่คุยกับใครอีกเลยนอกจากตน ไม่ออกจากบ้านแถมยังยอมรับว่าเป็นพวกชายตัดแขนเสื้อ ทำเอาคนชราเช่นเขาเศร้าหมองมาหลายปี
วันนี้คุณชายคล้ายกลับไปเป็นดังอดีตเฉินฝูก็ปลาบปลื้มใจ
แน่นอนว่าเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นนี้ เซียนซีหยางคนปัจจุบันไม่มีทางรู้
“นี่...ท่านฟังข้าอยู่หรือไม่ ข้ากล่าวว่าหากเห็นคนที่ตัวสูงกว่าข้า ข้างเอวมีกระบี่ขาวลายพยัคฆ์ หน้าตาดีคล้ายบัณฑิตมากกว่าจอมยุทธ์และมีรอยแผลใต้ตาซ้าย ท่านต้องบอกข้านะ” เซียนซีหยางกำชับเขาหลายครั้ง เพราะบุรุษที่ว่านี่มีจุดเด่นที่เขาจำได้อยู่มากที่สุดแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ต้องเห็นด้วยตาหรือได้ยินชื่อถึงจะนึกออก
“คุณชาย ข้าจำได้ขอรับ แต่อาหารมาแล้วท่านทานก่อนแล้วค่อยกล่าวอันใดเถิด”
อาหารหอมฉุย มีควันร้อนกระจายชวนน้ำลายสอ เซียนซีหยางไม่รอช้าตักทุกอย่างใส่ปากไม่ห่วงมาดสักนิด ทว่าทานไปได้สองสามคำ หูของเขาก็ทำงานดีเกินไป
“นั่นคือผู้ใด ตราบนเสื้อของเขาเป็นคนสกุลเซียนหรือไม่”
“ข้าคุ้นว่าจะเป็น...เซียนซีหยาง?”
“คุณชายวิปริตนั่น! ”
“ชู่! เจ้าเบาหน่อย ทุกคนหันมาสนใจกันหมดแล้ว! ”
เจ้าสิหุบปาก!
เซียนซีหยางนึกเซ็ง ช่างไม่มีเทคนิคในการนินทาคนเอาซะเลย พูดกันไม่ห่วงเสียงดังซ้ำยังหันหน้ามาจ้อง คิดว่าเขาสมองเป็นเต่าหรือไง และถึงแม้เซียนซีหยางคนเก่าจะสมองเป็นเต่าจริงๆ แต่เขาไม่ใช่นะเฟ้ย
คุณชายซับปากสองสามที พลางจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูดีที่สุด เขาหันกลับไปช้าๆ คลี่รอยยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดในชีวิตให้บุรุษสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั่น
“!!! ”
ไม่ได้อยากจะหลงตัวเองแต่เซียนซีหยางยามแย้มยิ้มดูดียิ่งกว่าจ้าวฉีหลินเสียอีก! เขาที่นั่งยิ้มอยู่หน้ากระจกทุกวันขอเอาหัวเป็นประกัน ไม่งั้นก็เอาสีหน้าแดงฉานของชายสองคนนั้นเป็นประกันก็ได้เอ้า!
หึๆ คุณชายสามเพียงไม่ค่อยดูแลตัวเองเท่านั้น หาใช่ชายอัปลักษณ์ เขาเชิดใบหน้าเล็กน้อยหลังบรรลุเป้าหมายก่อนหันกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฉินฝูตาแทบถลนออกจากเบ้า
ทว่าอยู่สงบสุขได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ (2) เขาก็ถูกหาเรื่องอีกแล้ว คราวนี้คนหาเรื่องเดินมายืนจังก้าถึงโต๊ะเลยทีเดียว แถมมากันถึงสามคน เป็นนักเลงหรือไง
มันกล่าวล้อเลียนไม่ไว้หน้า “ได้ยินมาว่ามีคนเห็นคุณชายสามโผล่หัวออกจากกระดอง ไม่นึกว่าสถานที่แรกจะเป็นลานประลอง คุณชายนี่กล้าหาญเสียจริง”
เซียนซีหยางแอบเหงื่อตก ให้ไปงัดกับจอมยุทธ์หรืออันธพาลเขาล้วนเลเวลไม่ถึง จำต้องแอบใช้สกิลพิเศษ เขาวางทีท่าสูงส่งพร้อมทั้งยืนขึ้นคารวะพี่น้องแปลกหน้า “เจี้ยงฉางก็เหมือนสวนหลังบ้านของข้า ผู้ใดที่จะเข้าไปวิ่งเล่นในสวนหลังบ้านข้า ข้าย่อมต้องออกมาดูเสียหน่อย”
พูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นทั้งร้าน พวกเขาต่างไม่คิดว่าคุณชายสามจะมีฝีปากเช่นนี้ เดิมทีเซียนซีหยางปรากฏตัวน้อยมาก นานๆ ทีจะโผล่หน้ามายังหลบหลังบ่าวตัวเอง ท่วงท่าหาใช่คุณชายที่ยืนตรงนี้ไม่
พวกมันต่างไม่คิดว่าคุณชายจะกล้าต่อปากต่อคำ ภาพของเซียนซีหยางในข่าวลือคือเต่าหัวหดชัดๆ ทว่าลูกพี่ใหญ่ของทีมจอมยุทธ์ไม่อยากเป็นอยากเด่นกับอันธพาลกล่าวออกมาว่า “สวนหลังบ้านท่าน? ข้าไม่ยักรู้ว่าคุณชายจะใส่ใจกิจการของสกุลเช่นนั้น มิใช่วันๆ เอาแต่คิดอกุศลกับบุรุษเพศเดียวกันหรอกรึ” จากนั้นก็แสร้งลูบแขนของตัวเองแสดงท่าทีขนลุกขนชัน
เซียนซีหยางร้องหึในลำคอกล่าวไม่อินังขังขอบ “มิต้องห่วงพี่ชาย ต่อให้วันๆ ข้าเอาแต่คิดเรื่อง...ไร้สาระเช่นนั้น แต่พี่ชาย...ท่านไม่เข้าข่ายคนที่ข้าอยากขยิบตาอ้าขาให้เลยสักนิด” เขาจนใจลากเสียงคำว่าพี่ชาย พร้อมกับใช้สายตากวาดมองร่างของเขาจากบนลงล่างจากล่างขึ้นบนแล้วส่ายหน้าเป็นท่าประกอบว่า เจ้าน่ะมันไร้เสน่ห์นะเฟ้ย!
“เจ้า! ”
เซียนซีหยางเห็นเขาใกล้อาละวาดก็รวบรวมความกล้าเตือนเขาว่า “เจี้ยงฉางเป็นการประลองของจอมยุทธ์หาใช่อันธพาล และไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์หรืออันธพาลหากไม่เคารพกฎก็จงกลับบ้านเก่าไปซะ เจี้ยงฉางไม่มีที่ว่างให้ท่าน”
“เจ้าคิดว่าจะสามารถใช้อำนาจของคนในสกุลกดหัวผู้อื่นได้ ทั้งที่ในสกุลของเจ้า เจ้านั่นแหละที่ไร้ค่าสุด” มันว่าอย่างสะใจ
คุณชายสามหุบพัดดังฉับ “ข้าเพียงแต่กล่าวความจริง ไม่เช่นนั้นข้าจะลองเอาเรื่องนี้ไปกล่าวกับบิดาดู ไม่แน่ว่าเขาอาจจะอยากเพิ่มกฎคัดเลือกขึ้นอีกหน่อย”
ไม่เห็นท่าทีจำนนของคุณชาย ทั้งสามที่มาหาเรื่องก็เริ่มหวั่นใจ หากเขามิได้เป็นเช่นข่าวลือพวกเขาไม่หมดสิทธิ์แล้วหรือ เดิมทีพวกเขาก็มาจากที่อื่นแถมยังเป็นหมู่บ้านห่างไกลอีกต่างหาก หากไม่ใช่เพราะข่าวนี่ดังกระฉ่อนไปทั่วเมือง เขาก็คร้านจะใส่ใจ แต่เมื่อครู่ไปมีเรื่องกับคนในพรรคอื่นมาอารมณ์หงุดหงิดจึงคิดจะหาที่ระบาย ไม่นึกว่าจะเจอของหนัก อารมณ์ขุ่นมัวในตอนแรกราวกับถูกแช่แข็ง
เซียนซีหยางเวลานี้ใจก็เต้นตุบๆ เขาอยู่ท่ามกลางมหาชนคนทั้งร้าน สายตาประชาชีจับจ้องราวกับเห็นผี ชวนให้กังวลว่าเรื่องยุ่งยากจะตามมา แต่ไม่พูดเช่นนี้ก็ไม่ได้อีก หากยอมหดหัวให้เฉินฝูออกหน้า เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติเซียนซีหยางจะไม่เป็นผู้เป็นคนกันพอดี เรื่องที่เอาบิดามาแอบอ้างเขาทำได้เพราะดูจากการแต่งกายแล้ว คนพวกนี้ไม่ใช่คนในพื้นที่ หากเป็นชาวเมืองอู๋ฉิงที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับสกุลเซียน เถียงเช่นนี้อาจไม่ได้ผล
“ฮึ เช่นนั้นผู้น้อยก็ต้องขออภัยแล้วที่เสียมารยาท” ดูท่าทีมจอมยุทธ์ไม่อยากเป็นอยากเด่นกับอันธพาลจะหาทางลงแล้ว เซียนซีหยางเห็นดังนั้นก็โล่งใจ เขากล่าวอย่างไม่ถือสาว่า
“ข้าไม่ค่อยได้ออกมาเปิดหูเปิดตา ได้พบพี่ชายก็ช่วยให้ข้าทราบถึงปัญหาของตนเอง ไม่มีอะไรต้องขออภัย” คนลงให้แล้วจะวางท่าสูงส่งไปเพื่ออะไร เซียนซีหยางฉีกยิ้มอ่อนหวาน ท่วงท่าสะอาดหมดจดรับการคารวะ ท่าทีเช่นนั้นทำให้ผู้อื่นเห็นแล้วตะลึง
คุณชายสามแห่งสกุลเซียนไม่คล้ายในข่าวลือ!
แม้แต่ท่าทีของคนทั้งสามตรงหน้าก็ยังแข็งค้าง เมื่อครู่ยกบิดามาข่มขู่ ยามนี้ยอมโอนอ่อนนับว่าไว้หน้าพวกเขาเช่นกัน
“ข้าเห็นแล้วคุณชายไม่เป็นดังข่าวลือ เมื่อครู่เสียมารยาทจริงๆ” ลูกพี่ใหญ่แม้ท่าทางจะอันธพาลเต็มที่ แต่จิตใจไม่ได้หยาบคายเช่นคนเถื่อนซะทีเดียว “ข้าแซ่หวัง นามมู่ ขอเลี้ยงเหล้าคุณชาย”
เซียนซีหยางตามน้ำอย่างรวดเร็ว “พี่มู่ไม่ต้องเกรงใจ วันนี้ข้าเมามิได้แต่ท่านเลี้ยงอาหารข้าได้” ว่าแล้วก็นั่งแหมะลงที่เดิม ตบโต๊ะว่างๆ ข้างตัว “มาๆ นั่งกับข้าแลกเปลี่ยนประสบการณ์แดนไกลของท่านเสียหน่อย” ผูกมิตรย่อมดีกว่าสร้างศัตรู ตอนนี้เซียนซีหยางมีสาวๆ ทั่วเมืองเป็นศัตรูเพราะไปแย่งสามีพวกนางมา จำต้องหามิตรอย่างเร่งด่วน
เฉินฝูที่มองเหตุการณ์การมาตั้งแต่ต้นจนจบก็ตาเหลือกแล้ว คราแรกเขายังคิดว่าถึงตายต้องมิให้คุณชายบาดเจ็บ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันอะไรกัน! เมื่อครู่เหมือนจะมีเรื่องกันใหญ่โต พริบตาก็ชวนเขานั่งทานอาหารร่วมกันเสียแล้ว
แล้วหวังมู่อะไรนั่นมันมาจากบ้านนอกหรืออย่างไร มิรู้หรือว่าไม่ควร ทั้งข่าวลือเสียหายทั้งเรื่องที่เป็นบุตรชายเจ้าของเจี้ยงฉางไม่ได้เข้าหูให้มันขบคิดหรือว่าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ท่าทีที่สนิทสนมราวกับเป็นศิษย์ร่วมสำนักนั่นมันอะไรกัน
“น้องหยาง เจ้าเป็นต้วนซิ่วจริงหรือ” หวังมู่ดื่มกินเฮฮา พอเหล้าเข้าปากความบาดหมางขุ่นเคืองเมื่อครู่ก็พลันสลายไหลลงคอไปด้วย
เฉินฝูอยากขว้างจอกน้ำชาข้ามโต๊ะ ยังไม่ถึงวันก็เรียกคุณชายเสียสนิทสนมแล้ว ไม่พอดันถามคำถามที่ไม่ควรออกมาอีก แต่จะขว้างก็ขว้างไม่ได้ ในเมื่อเซียนซีหยางไม่ได้แสดงอาการกระอักกระอ่วนยามตอบเลยสักนิด
“แน่นอนๆ ข้าเป็นต้วนซิ่ว” เซียนซีหยางไม่ได้รังเกียจพวกชายรักชายออกจะเคารพสิทธิคนอื่นเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาเป็นเซียนซีหยางแล้วและคงเป็นตลอดไป เจ้าของร่างเดิมรวบรวมความกล้าสารภาพกับบิดาจนถึงขนาดขอบุรุษแต่งงานก็น่านับถือแล้ว (แม้จะเป็นการบังคับกลายๆ ก็เถอะ) จะให้มากลับคำ เขาไม่สามารถลบหลู่ความตั้งใจของเซียนซีหยางคนเดิมได้ เอาเป็นว่าจากนี้แม้หลังหย่าจะหาภรรยาไม่ได้ แต่มีเงินใช้เที่ยวหอนางโลมใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่ “แต่ข้าแต่งงานแล้ว พี่มู่ไม่ต้องระแวง”
หวังมู่ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ระแวงเจ้า เพียงข่าวลือของเจ้าทำให้ข้าสับสนนิดหน่อย” เขานั่งตัวตรงกล่าวว่า “ในข่าวลือบอกว่าเจ้า...เป็นต้วนซิ่วน่ารังเกียจไม่พอยังบังคับบุรุษแต่งงานทั้งที่ตนไม่เอาไหน เป็นถึงบุตรเจ้าของเจี้ยงฉางกลับไร้วรยุทธ์ บ้านไม่ยอมออกหัวหดอยู่ในกระดอง”
หวังมู่กล่าวเสร็จก็รู้สึกว่าคำพูดของตนไม่เอาไหนเลย เขารินชาใส่จอกให้เซียนซีหยางกล่าวอย่างเสียใจว่า “ขออภัยด้วย ข้ามันพวกบ้านนอกคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ทำร้ายจิตใจน้องหยางแล้ว”
เหอะๆ ข่าวลือที่ไหน นั่นมันเซียนซีหยางคนเก่าชัดๆ
“ข้าไม่คิดมาก เดิมทีเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“คุณชาย! ” เฉินฝูตกใจเมื่อเห็นคุณชายยอมรับตรงๆ ไม่เกรงกลัวจะถูกเอาไปนินทา ทว่าเซียนซีหยางยกมือปรามเขา “แต่ต่อจากนี้มิใช่แล้ว”
หวังมู่มองคุณชายแล้วอดชื่นชมไม่ได้ “ถูกๆ มิเหมือนแล้ว อย่างน้อยเจ้าก็ไม่เหมือนเต่าหัวหด”
ใช่ เขาจะต้องยกระดับตัวประกอบเช่นนี้สักหน่อย อย่างน้อยๆ ก็ต้องสามารถเดินไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องระแวงว่าใครจะมาลอบกัด “พี่มู่ข้าขอถามหน่อย ท่านเห็นใครที่มีรูปลักษณ์โดดเด่น ท่าทีเหมือนบัณฑิต ใช้กระบี่ขาวลายพยัคฆ์และมีแผลใต้ตาซ้ายบ้างหรือไม่”
หวังมู่เลิกคิ้วคมเข้ม พยายามนึกแล้วก็คิดออก “มีอยู่คนเป็นดังที่เจ้าว่า ท่วงท่าไม่เด่นอะไรแต่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกในพริบตา เขาประลองอยู่สนามข้างๆ ข้านี่เอง”
เซียนซีหยางพลันตื่นเต้น “รอบบ่ายเล่า! ”
“ก็คงเป็นสนามข้างข้าอีกกระมัง หมายเลขของเขาใกล้เคียงกับข้าเลย”
“เช่นนั้นข้าไปดูด้วยดีกว่า”
เซียนซีหยางทานอาหารเสร็จก็ออกไปพร้อมกับมิตรภาพใหม่ ไม่ทันได้สังเกตเห็นสตรีนางหนึ่งที่จดจ้องเขาตั้งแต่เข้าร้าน
การประลองคัดเลือกรอบบ่ายก็เหมือนช่วงเช้า จำนวนผู้เข้าคัดเลือกมหาศาล อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาถึงสามวัน และเพื่อให้ได้กำไรสุดสูงเซียนซีหยางย่อมพลาดไม่ได้สักวัน ตอนนี้เขายืนเกาะติดใกล้ลานประลอง ด้านขวาเป็นสนามสองที่หวังมู่เตรียมรอเรียกชื่อขึ้นประลองกับชาวยุทธ์คนหนึ่ง ด้านซ้ายนั่นเซียนซีหยางตาก็เพ่งมอง หูก็ตั้งใจฟัง
ครู่ต่อมาเสียงประกาศเรียก โจวเสวี่ยน ลงสนาม เซียนซีหยางหลังได้เห็นรูปลักษณ์ของเขาเต็มตาก็อดชื่นชมนักเขียนไม่ได้
ใส่ใจรายละเอียดเกินไปแล้ว จะมีตัวประกอบไหนบ้างไหมที่เกิดมาอัปลักษณ์เนี่ย
“เหล่าเฉิน โต๊ะวางพนันอยู่ที่ใด” เซียนซีหยางเห็นเป้าหมายแล้ว เขาก็รีบจดจำไว้
เฉินฝูคิดว่าตัวเองแก่มากจริงๆ เมื่อครู่ได้ยินคุณชายกล่าวเผลอก้าวขาพลาดซวนเซไปครู่หนึ่ง ที่แท้คุณชายไม่ได้อยากมาเดินเล่นชมเมือง แต่จะมาพนันขันต่อ “ขะ ข้าเกรงว่านายท่านจะ...”
“ท่านพ่อไม่สนใจข้าอยู่แล้วน่า เร็วเข้าจะเริ่มประลองแล้ว โต๊ะวางพนันอยู่ไหน! ” เฉินฝูเห็นท่าทีขึงขังของคุณชายก็รู้สึกหมดแรง หลังจากเขาชี้ไปจุดที่มีคนยืนมุงอยู่เยอะพอๆ กับสนามประลอง ร่างของคุณชายสามก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
แม้การเคลื่อนไหวก็เร็วขึ้นกว่าเมื่อก่อน...เฉินฝูแปลกใจจนตาเหลือก
เซียนซีหยางนับเงินในกระเป๋าดูแล้วก็ตวัดคำว่าห้าสิบเหรียญทองไว้หลังชื่อ โจวเสวี่ยน เรียกเสียงฮือฮาได้อย่างดี
เจ้ามือถึงกับโต๊ะตบรัวๆ “คุณชาย นั่นคนรู้จักของท่านรึ ฝีมือเขาร้ายกาจมากรึ ท่านถึงได้ลงตั้งห้าสิบเหรียญทอง”
เซียนซีหยางตอบอย่างมั่นใจ “มิใช่แค่ร้ายกาจแต่ข้าพนันล่วงหน้าว่าเขาจะชนะไปถึงรอบสุดท้ายที่เจี้ยงฉาง” กล่าวจบเสียงหัวเราะระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น
“คุณชายมั่นใจขนาดนั้นเชียว การแข่งขันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะท่าน”
การแข่งขันไม่แน่นอน แต่นักเขียนแน่นอน โจวเสวี่ยนรอดไปถึงสามอันดับสุดท้าย ผ่านไปแพ้ให้หลัวซาในรอบชิงชนะเท่านั้น คนแบบนี้ต้องเกาะติดให้มั่น ลงขันแค่เขาคนเดียวยังไงก็กำไรเห็นๆ
ปัง!
“ข้าลงข้างโจวเสวี่ยนสองร้อยเหรียญทอง! ” เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับตบกระดาษลงบนโต๊ะพนัน คราวนี้เสียงฮือฮาดังกระฉ่อนยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เซียนซีหยางหันหน้าไปลูกตาแทบหลุด
นี่คือ...จ้าวฉีหลิน!
เขาจำไม่เห็นได้ว่าตัวละครจ้าวฉีหลินเป็นนักพนัน คุณหนูที่กระดิกนิ้วหนึ่งครั้งก็ได้ทุกอย่างทำไมถึงมาปรากฏตัวที่นี่เล่า!
เจ้ามือชักหวั่นใจ ปีนี้เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า เจ้าโจวเสวี่ยนนั่นเป็นคนเมืองอื่นมาแสวงหาโชคหรือเป็นยอดฝีมือกันแน่
เซียนซีหยางยามนี้ยังไม่ทันวางกระดาษจึงเผ่นหนีเช่นเดิมไม่ได้ เขาค่อยๆ ทำตัวให้ลีบๆ เข้าไว้ วางเงินพนันและคิดจะเลื้อยตัวหนีไป ทว่ามือของคุณหนูจ้าวกลับคว้าเขาไว้ได้เสียก่อน
จ้าวฉีหลินเมื่อครู่ไม่ทันได้มอง พอเห็นเซียนซีหยางในดวงตาก็มีแต่ความแปลกใจ “คุณชายเซียนซีหยาง สวัสดี” กล่าวออกมาเช่นนั้น ทำให้ผู้คนรอบข้างตกตะลึงหันขวับมาจ้องหน้าเขาโดยพร้อมเพรียง ในใจต่างคิดคล้ายกันว่า นี่คือคุณชายไม่เอาไหนที่เป็นข่าวไปทั่วเมืองจริงหรือ?
“ตอนแรกข้าไม่คิดว่าจะเป็นคุณชาย แต่เห็นท่านอยู่กับบ่าวเก่าแก่ของสกุลก็มั่นใจ คุณชายเซียนซีหยาง ช่วงนี้มีเหตุอันใดที่ทำให้ท่านยอมก้าวออกจากบ้านมาได้” คุณหนูจ้าวกล่าววาจาแดกดันตามประสาคนเป็นอริ นางไม่ชี้หน้าด่าเขาว่าบุรุษแพศยากลางที่สาธารณะก็นับว่าไว้หน้าเขามากแล้ว เซียนซีหยางไม่คิดจะงัดข้อกับนาง
เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าเพียงออกมาเปิดหูเปิดตาเท่านั้น”
“เปิดหูเปิดตาไยลงขันหนัก ท่านลงข้างผู้ใดกัน ชายอื่นที่มิใช่สามี?” นางก็ช่างกัดไม่ปล่อย เซียนซีหยางปากกระตุก
“เกรงว่าจะเป็นคนเดียวกับคุณหนู” เขาสาบานได้ว่าไม่คิดจะหาเรื่องนาง แค่พูดความจริงเท่านั้น น่าแปลกที่จ้าวฉีหลินไม่ได้โกรธอาละวาดใส่ นางเพียงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เซียนซีหยางจึงถามนางกลับบ้าง
“คุณหนูจ้าวฉีหลิน เมื่อเช้าที่รถม้าชนกันข้าค่อนข้างรีบจึงไม่ได้ทักทาย หวังว่าคุณหนูจะไม่โกรธ ข้ายามนี้สามีทิ้งขว้างก็รู้สึกจิตใจไม่ค่อยสงบสุข จึงออกมาหาเรื่องสนุกทำ ว่าแต่คุณหนูจ้าวเถอะ เหตุใดถึงมาพนันขันต่อที่นี่กัน หากว่าเป็นการเล่นสนุก” เขาเหลือบมาตัวเลขที่นางเขียนลงไป “สองร้อยเหรียญทองนั่นคงเกินจริงไปเสียหน่อย”
จ้าวฉีหลินได้ยินก็ดวงตาเบิกกว้าง ไม่คิดว่าคุณชายสามคนนี้จะกล้าต่อปากกับนาง ทว่านางกลับหาเหตุผลมาเถียงไม่ออก ตอนนี้ในสมองของนางวุ่นวายจนแสดงออกมาทางสีหน้า นางพึมพำเบาๆ ว่า “...ไม่มั้ง ไม่น่าเป็นไปได้ นี่ไม่ถูกต้อง...”
ใช่แล้วๆ ตอนนี้ฉันไม่ใช่เต่าหัวหดอีก เท่านี้ก็เลิกยุ่งซะนะ ไว้ได้หนังสือหย่าเมื่อไหร่ฉันจะบอกเธอเป็นคนแรกเลย
เซียนซีหยางไม่รอให้นางตั้งสติมาเล่นงานเขาก็รีบชิ่งออกมาเสียก่อน ตอนนี้คือหาที่สงบรอรับเงินเอาอย่างเดียวก็พอ
แต่ไม่คาดคิดว่าหลังการประลองของโจวเสวี่ยนจบ เขาเข้ามารับเงินด้วยสีหน้าชื่นตาบานจะพบจ้าวฉีหลินดักรออยู่ก่อนแล้ว แม่นางน้อยคนนี้อะไรจะอาฆาตเขาขนาดนั้น ต่อให้เขาไม่ได้แต่งกับหลัวซาแต่นางก็ไม่แต่งด้วยเหมือนกันไม่ใช่เหรอ สตรีที่ใจแคบเท่ารูเข็มจะเอาอะไรไปสู้นางเอกได้หา!
“เจอกันอีกแล้ว” นางทักทาย ทว่าไม่ปล่อยให้เขาพูดอะไรก็ดักทางไว้เสียก่อน “ไม่ต้องรีบหนีคุณชาย ข้ามีประโยคจะกล่าวกับท่านเพียงประโยคเดียว”
เซียนซีหยางถอนหายใจ “เช่นนั้นคุณหนูก็ว่ามาเถอะ” รอให้นางถากถางแดกดันเขาหนึ่งประโยคจะได้รีบกลับบ้านไปนอน
“ท่านว่า...ตอนจบของนิยายรักปราบมารเรื่อง เทพศาสตร์ เป็นอย่างไร”
“...”
กล่าวอันใดไม่ออก แต่ลูกตาของเขาเด้งออกจากเบ้าเรียบร้อยแล้ว จ้าวฉีหลินเห็นสีหน้าของเขาไม่ต้องเดาก็เดินดุ่มๆ มาช่วยตบลูกตาให้เข้าที่ “ฉันว่าแล้วมันแปลกๆ ตัวประกอบอย่างเซียนซีหยางน่ะเหรอจะคิดกลับตัวกลับใจ ไม่ต้องพูดเรื่องมานั่งเถียงกลับคนอื่น แค่ให้เดินออกจากบ้านตัวเองได้หิมะก็ตกที่สะฮาราแล้ว”
“คุณ...” เซียนซีหยางสติยังไม่กลับเข้าที่ดี เขามองแม่นางจ้าวขึ้นๆ ลงๆ เห็นท่วงท่าของนางเปลี่ยนไป
คุณหนูจ้าวคราแรกเชิดหน้าชูตาหยิ่งยโสเสียเต็มประดา นาทีนี้ถลกแขนเสื้อยาวๆ ยกมือขึ้นกอดอก ถอนหายใจ “ไปหาที่คุยกันเถอะ”
ยามนี้สิ้นเสียงประกาศ จอมยุทธ์เริ่มปล่อยของที่ตนมีเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ ทั้งเสียอาวุธกระทบกัน เสียงปรบมือ เสียงโห่ร้องและเสียงก่นด่าดังปนเปกันไปจนแยกไม่ออก คุณชายเซียนหลังจากรับตั๋วเงินได้ไม่ทันไรก็ถูกแม่นางน้อยจ้าวฉีหลินกึ่งลากกึ่งดึงออกไปไหนไม่รู้
“คุณคงไม่ได้บังเอิญเป็นคนที่มาเกิดหลังจากอ่านนิยายเรื่อง เทพศาสตร์ เหมือนผมหรอกใช่ไหม” คุณชายสามในที่สุดก็ได้สติเสียที
จ้าวฉีหลินยื่นมือออกมา “ยินดีด้วย นายเจอเพื่อนแล้ว”
เชี่ย! เซียนซีหยางร้องลั่น ไม่ได้มีแค่เขาจริงๆ ด้วย มิน่าเล่า เดิมทีจ้าวฉีหลินเป็นนางร้ายที่รักบังตายิ่งกว่าเซียนซีหยางเสียอีก ไม่มีครั้งไหนที่เจอหน้าแล้วนางจะไม่พุ่งเข้ามาตบตีคู่แค้นของตน ทว่าทั้งสองครั้งที่พบกัน ในดวงตาของจ้าวฉีหลินมีแต่ความงุนงงล้วนๆ
“คุณ คุณอยู่เป็นจ้าวฉีหลินมานานแค่ไหนแล้ว” เซียนซีหยาง
จ้าวฉีหลินที่บัดนี้มีไส้ในเป็นคนในโลกเดียวกับเขากล่าวว่า “เมื่อเดือนก่อน นายล่ะ”
“เมื่อหกวันก่อน...”
จ้าวฉีหลินร้องอ้อ “มิน่าเล่า! ตัวประกอบอย่างเซียนซีหยางมีเอกลักษณ์คงตัว ไม่มีทางโผล่หน้ามาปรากฏตัวที่นี่คนเดียวแน่ ฉันคิดมาตลอดตั้งแต่เห็นนายที่ร้านอาหารนั่นแล้ว”
“คุณก็อยู่เหรอ” เซียนซีหยางแปลกใจ ทำไมตนไม่ได้สังเกต “จริงสิ ตอนนั้นคุณถามผมว่าตอนจบของเรื่องเทพศาสตร์เป็นยังไง คุณอ่านไม่จบเหรอ”
จ้าวฉีหลินกล่าวว่า “ไม่ใช่แค่อ่านไม่จบ ฉันแทบไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ นายล่ะ”
“ผม...ผมอ่านถึงแค่เลยจุดจบของตัวเองไปหน่อยเดียว” เซียนซีหยางกล่าวติดตลก “ก็เลยถูกพระเจ้าส่งมาเกิดใหม่เป็นตัวประกอบนี่ไง”
คุณหนูจ้าวส่ายหน้า “ไม่ไหวๆ นายมาเกิดเพราะอยากรู้ตอนจบสินะ ฉันนี่สิถูกพระเจ้าลงโทษมาเกิดใหม่”
“ลงโทษ?”
“อ่านสปอยล์”
“...” เจอพวกสุดโต่งเข้าซะแล้ว “งั้นตอนจบของเรื่องนี้เป็นไง”
“ไม่รู้ ยังอ่านสปอยล์ไม่จบ”
ว๊อท!
เซียนซีหยางอดคร่ำครวญไม่ได้ “อ่านสปอยล์ทั้งที ทำไมคุณไม่อ่านให้จบรวดเดียวไปเลยหา! ”
จ้าวฉีหหลินเลิกคิ้วมองเขา “เกอก็ต้องทำงานนะน้องชาย เกองานยุ่งมาก”
เกอ? เซียนซีหยางชะงัก “คุณ ทำไมแทนตัวเองว่าเกอ...”
จ้าวฉีหลินถอนหายใจหนักหน่วง “นายคิดดูสิ เกอแค่อ่านสปอยล์ไปหน่อยเดียวกับคอมเมนต์ว่าตัวละครอย่างจ้าวฉีหลินมีสมองอยู่ที่หน้าอกแค่นี้ พระเจ้าถึงกับลงโทษให้เกอมาเกิดเป็นผู้หญิงไร้สมองซะได้”
“คุณเป็นผู้ชาย...” เซียนซีหยางจ้องมองหน้าอกของจ้าวฉีหลินอย่างอดไม่อยู่
“แม่น! ” จ้าวฉีหลินตบบ่าเขาสองสามที “ไม่ต้องห่วงๆ เกอไม่ได้เป็นพวกคลั่งไคล้สตรี มองดูเรือนร่างแม่นางน้อยนี่ก็เหมือนมองน้องสาวแก้ผ้าเท่านั้นแหละ”
เชี่ย!
เซียนซีหยางสบถในใจ เจอพวกข้ามเพศซะแล้ว หนักว่าชายตัดแขนเสื้อ (3) เช่นเขาซะอีก “คุณทำใจได้แล้วเหรอ...จะว่าไปตอนที่เจอกันผมดูไม่ออกเลยสักนิดว่าคุณเคยเป็นผู้ชายอะ”
“จะอยู่ให้รอดมันก็ต้องสมบทบาทก่อนไหม เฮ้อ...แรกๆ ก็มีสติแตกบ้างแหละ แต่คิดไปคิดมาจะชายหรือหญิงก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เมื่อก่อนเกอมัวแต่ทำงานเอาหัวซุกคีย์บอร์ด สนใจแค่สุขภาพของตัวเองเท่านั้น” จ้าวฉีหลินมีไส้ในเป็นผู้ชายเช่นนี้ เซียนซีหยางทำตัวไม่ถูก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจ “แสดงว่าตอนนี้คุณไม่สนใจพระเอกแล้ว”
“เกอไม่สนอยู่แล้ว” จ้าวฉีหลินยืนยัน
“งั้นนางเอก” เซียนซีหยาง
จ้าวฉีหลินกลอกตาไปมา “เกอไม่มีไอ้นั่นแล้วไม่เห็นเหรอ ตอนนี้เกอมีเป้าหมายใหม่แล้ว ไหนๆ ก็ได้มีโอกาสเกิดมาอีกครั้งว่าจะลองทำดูสักหน่อย”
เซียนซีหยางค่อนข้างจะสนใจ เขาจึงถามอย่างกระตือรือร้น ปรากฏว่าได้คำตอบที่ชวนมึนหัวมาอีกหนึ่ง “เมื่อก่อนเกอเป็นเกมเมอร์ที่เก่งมากเลยนะ เข้าชิงแชมป์ในลีกอาชีพตั้งหลายปี ตอนนี้ไม่มีคอมให้ซุกหัวแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไร วันหนึ่งก็เลยนึกได้ไม่อยากทิ้งอาชีพที่เกอเล่นมานานไป”
“อาชีพ? ในเกมออนไลน์” สมองของเขากำลัง error
จ้าวฉีหลินพยักหน้ากล่าวว่า “อาชีพนักรบเทพสงคราม เกอว่าจะลองเป็นดู”
“คุณ...ถึงโลกนี้มันจะแฟนตาซี แต่ตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงนะ แถมยังเป็นจ้าวฉีหลิน มองยังไงมันก็เป็นไปได้ยากอะ” เซียนซีหยางอยากจะดึงสติของเขากลับมา แต่จ้าวฉีหลินจุ๊ปาก เขาเลิกเรียกตัวเองว่าเกอแล้วกล่าวอย่างเป็นงานเป็นการว่า “เป็นไปได้ยาก ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ อีกอย่างนายก็คิดซะว่านี่เป็นเกมที่ตายแล้วตายเลย ตอนนี้พวกเราต่างก็เป็นนู้บ (4) ต้องค่อยๆ เก็บเลเวลไปเรื่อยๆ อัพเกรดตัวละครไปเรื่อยๆ เหมือนที่นายทำอยู่ตอนนี้ ยกระดับตัวละครของเซียนซีหยาง ฉันก็จะทำให้จ้าวฉีหลินกลายเป็นหญิงงามที่แข็งแกร่งจนไม่ต้องมีสามี เท่านี้ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าพาแม่สื่อเข้ามาให้รำคาญใจอีก”
เซียนซีหยางคิดตามก็พอจะเข้าใจ การยกระดับสติปัญญาของตัวประกอบเป็นเรื่องที่ควรต้องทำจริงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดเรื่องเทพสงครามอะไรนั่นอีก “ถ้าอย่างงั้นคุณอ่านสปอยล์ถึงตรงไหน เนื้อเรื่องหลังจากที่ผมตายเป็นยังไงบ้าง”
จ้าวฉีหลินเบ้หน้า “คร่าวๆ ก็เละเทะวุ่นวาย” กล่าวว่า “มารน้อยเสียเยี่ยเข้าไปภพมาร ออกมาอีกที่กลายเป็นมารโลหิตคลั่ง สกุลเซียนของนายเขาก็ไม่ไว้หน้า ศัตรูของนายเขาก็ฆ่าไม่เหลือ เฮ้อ...เจ้าเซียนซีหยางเป็นตัวประกอบประสาอะไรเนี่ย ดูเหมือนจะไม่สำคัญแต่ดันสร้างวายร้ายขึ้นมาได้ แถมยังเป็นต้นเหตุเรื่องเลวร้ายในอนาคตอีก”
ขอโทษด้วยละกัน...
คุณหนูจ้าวพูดต่อว่า “แต่ไม่ใช่แค่เสียเยี่ยที่รับมือยาก ปัญหาคือเรื่องภัยพิบัติที่เรียกยอดไลค์ไปมหาศาลนั่นต่างหาก เนื้อเรื่องหนักหน่วงสุดๆ เป็นปัญหาหลักที่พระเอกจะต้องรับมือไปจนจบเรื่อง”
ภัยพิบัติ? เซียนซีหยางนึกไม่ออกสักนิด “เกิดภัยพิบัติอะไรขึ้น คุณเก็บรายละเอียดส่วนนี้ได้บ้างไหม”
“ได้มานิดหน่อย” จ้าวฉีหลินยักไหล่ “จ้าวฉีหลินตายช่วงแรกๆ หลังภัยพิบัติกลายเป็นประเด็นร้อน นอกจากนั้นฉันเก็บเอาจากสปอยล์ไปจนถึงตอนที่พระเอกกับพลพรรคยกคนข้ามเขตแดนเพื่อพิชิตภัยพิบัติและจอมมาร”
“จอมมารถือกำเนิดด้วย?” เนื้อเรื่องชักดีเทลเยอะเกินไปแล้ว
“จะว่าไงดี เพราะการถือกำเนิดของจอมมารทำให้มารน้อยของนายก่อภัยพิบัติ”
เซียนซีหยางยิ่งฟังยิ่งงวยงง “คุณอย่าปล่อยมาทีละอย่างสิ เห็นแก่ตัวประกอบด้วยกันเล่ามาให้หมดเลย”
จ้าวฉีหลินออกความเห็นว่าสนทนาเรื่องนี้ค่อนข้างยาวให้นัดแนะกันหลังการประลองจบ พวกเขาจึงกลับไปสนามประลองด้วยกัน คุณชายสามหันไปมองสนามประลองหนึ่ง ดูเหมือนว่าหวังมู่เองก็ไม่เลวเลย ชัยชนะของเขาขึ้นกับเวลาเท่านั้นเอง
“คุณชายกลับมาแล้วหรือ” เฉินฝูไม่ทันสังเกตเห็นคุณหนูจ้าวกล่าวกับเซียนซีหยาง หลังเขาพยักหน้าพอใจถึงได้เหลือบไปเห็นคู่อาฆาตของคุณชาย “คะ คุณหนูจ้าว! บังเอิญอะไรเยี่ยงนี้...”
เซียนซีหยางเห็นเขาสั่นงกๆ คาดว่าคงมีความหลังไม่ดีกับจ้าวฉีหลินจึงกล่าวว่า “เหล่าเฉิน วันนี้ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้ามีนัดสนทนาเล็กน้อยกับคุณหนูจ้าว”
เฉินฝูตกใจ รีบขอร้องคุณชาย “ข้าน้อยจะไม่ไปขอรับ! ”
เข้าใจผิดแล้วผู้เฒ่าเฉิน...เซียนซีหยางจนใจยิ่ง จังหวะนั้นจ้าวฉีหลินก็สอดขึ้นว่า “เหล่าเฉิน ข้าเชิญคุณชายของท่านไปดื่มชาสนทนาปรับความเข้าใจเท่านั้น ไม่ได้คิดจะลอบจับคนฆ่า ท่านอย่ากังวล”
...แม่นางจ้าว ที่พูดน่ะชวนกังวลมากที่สุดโว้ย!!
เซียนซีหยางจ้องจ้าวฉีหลินเขม็ง นาง...? เขา...? เอาเป็นว่านางเลยยอมปรับบทพูด “ข้าน่ะหลายเดือนมานี้ล้มป่วย เห็นว่าเป็นเพราะยึดติดมากเกินไป ตอนนี้ข้าคิดตกแล้วจะลองเปลี่ยนแปลงตนสักครั้ง”
เฉินฝูขมวดคิ้วแน่น เหตุใดคำพูดของนางคล้ายกับคุณชายเมื่อห้าหกวันก่อนเช่นนั้นเล่า
“ฉะนั้นท่านไม่ต้องห่วง ก่อนพระอาทิตย์ตกข้าจะไปส่งเขาที่สกุลเอง” จ้าวฉีหลินดวงตาไม่มีเสแสร้ง เฉินฝูจำต้องกำชับมิให้คุณชายเสียมารยาทและให้กำลังใจเขาก่อนจะจำใจจากลา
สิ้นวี่แววของเฉินฝู จ้าวฉีหลินหงุดหงิดใส่เซียนซีหยางทันที “ทำไมเขาต้องทำเหมือนนายเป็นดอกไม้ในเรือนกระจกด้วย เกิดเป็นผู้ชายอกสามศอกยังถูกปกป้องยิ่งกว่าคุณหนูอย่างฉันซะอีก”
เซียนซีหยางไอค่อกแค่กรีบแก้ตัว “คุณก็ว่าไป เซียนซีหยางเป็นคนยังไงคุณก็อ่านเข้าใจดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผมใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะขุนคุณชายผอมแห้งเหมือนคนขี้โรคให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ ในระยะเวลาจำกัดอย่างนี้เอาร่างกายของเซียนซีหยางออกจากกระดองได้ก็บุญแล้ว”
“จะว่าไป” จ้าวฉีหลินมองเขาขึ้นๆ ลงๆ ครู่หนึ่งก็ลูบไล้ใบหน้าของเขา “เป็นแค่ตัวประกอบที่ตายก่อนฉันแท้ๆ ทำไมนักเขียนจะต้องลงรายละเอียดหน้าตาของนายออกมาดีขนาดนี้ด้วยล่ะ ขนาดตัวประกอบยังดูดีแล้วพระเอกจะเป็นยังไง”
เซียนซีหยางขนลุกขนชันผละออกมาอย่างรวดเร็ว “คุณยังไม่เคยเจอหลัวซาเหรอ”
จ้าวฉีหลินกล่าวว่า “เขาหายหัวลงใต้ไปกับสำนักเกือบสองอาทิตย์หลังแต่งงาน ส่วนจ้าวฉีหลินล้มป่วย เห้อ! นายใช้เวลาหกวัน ฉันสิเกือบเดือนกว่าจะหอบสังขารจับไข้พิษรักลงจากเตียงได้ ตัวประกอบตามืดบอดแบบจ้าวฉีหลิน ฉันละเสียดายจริงๆ”
หลังไปรับเงินชนะพนัน จ้าวฉีหลินและเซียนซีหยางคนหนึ่งเดินไปบ่นไป ส่วนอีกคนเดินไปฟังคำบ่นไปอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาก็เจอโรงน้ำชา คุณหนูจ้าวแม้ได้เงินมาเยอะก็ไม่งก ตบหน้าอกอวบอั๋นไม่เกรงใจเจ้าของร่างเดิม เลี้ยงน้ำชาคุณชายสามโดยไม่สนสายตาใคร่รู้ทั่วทิศที่มองมา จนเขาต้องกระซิบเตือน “คุณหนูจ้าว...แบบนี้ข่าวลือพวกเราจะไม่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเหรอ”
จ้าวฉีหลินกระซิบตอบ “เชื่อเถอะน่า เอาข่าวฉาวเรื่องของเราไปขายยังไม่ดังเท่าข่าวบังคับชายงามที่สาวๆ ทั้งแผ่นดินอยากได้เป็นสามีมาแต่งงานของนายคนเดียวเลย”
ก็จริง ผ่านมาตั้งหนึ่งเดือนแล้วข่าวพฤติกรรมน่าอับอายของเซียนซีหยางไม่ซาลงแม้แต่นิด ไม่ใช่ว่าเขากลายเป็นของขึ้นชื่อที่ใครเห็นก็ต้องแวะมาแดกดันไปแล้วเหรอ “แต่แบบนี้ก็กลายเป็นว่าผมมีเรื่องให้เป็นข่าวเพิ่มอีกแล้วสิ”
“พวกเขากล้าโจมตีนายไม่กล้าโจมตีฉัน หากคิดจะสร้างข่าวเราแอบคบกันอะไรทำนองนั้นเกรงว่าต้องดูสีหน้าเจ้าบ้านจ้าวเสียก่อน” จ้าวฉีหลินเชิดหน้าอย่างมั่นใจ
เซียนซีหยางกะพริบตาปริบๆ คุณหนูจ้าวเป็นบุตรคนเล็กของเหล่าพี่ชาย ถูกตามใจจนเสียคน ขนาดไปก่อเรื่องไว้มากมายยังช่วยตามเช็ดตามล้างให้ เห็นทีสกุลจ้าวจะรักบุตรสาวคนนี้มากทีเดียว
หลังได้ที่นั่งดื่มชาแบบส่วนตัว เซียนซีหยางยังไม่ทันเปิดปากถามอะไร จ้าวฉีหลินก็ชิงถามก่อน “จากนี้ไปนายจะทำไงต่อ”
ได้ยินคำถามแบบนั้นเขาก็หมุนคิ้วลังเล “ตอนแรกผมว่าจะหย่ากับหลัวซา จากนั้นก็หางานทำเก็บเงินออกท่องเที่ยว ไหนๆ ข่าวที่ว่าเซียนซีหยางเป็นเกย์ก็ดังไปทั่วเมืองแล้ว คงไม่มีแม่สื่อคนไหนกล้ามาทาบทามอีก แต่ว่าตอนนี้ก็ขึ้นกับว่าเนื้อเรื่องอีกสามส่วนที่ยังไม่ได้อ่านเป็นยังไง”
จ้าวฉีหลินพยักหน้า ส่วนเรื่องต้วนซิ่วอะไรนั่น เขาที่ต้องอยู่ในร่างของผู้หญิงไปตลอดชีวิตย่อมไม่ใส่ใจจะพูดถึง จากนั้นก็เริ่มเล่าเนื้อหาในส่วนของตัวเอง “จากส่วนที่ฉันอ่านโดยตรง มารน้อยเสียเยี่ยกลับมาล้างแค้นให้นายถือว่าสำเร็จครึ่งไม่สำเร็จครึ่ง ที่สำเร็จคือเขาถล่มสกุลเซียนกับสำนักซางเหรินสิงซะพินาศ แต่ยังไงก็ฆ่าหลัวซาและกัวชิวถงนางเอกของเรื่องไม่ได้ หลังหลัวซาโกรธจนระเบิดสกิลพระเอก เขาก็หนีไปพร้อมกับพรรคมาร ทว่าด้วยสายเลือดครึ่งหนึ่งของเสียเยี่ยเป็นมนุษย์เขาบาดเจ็บหนักจนแม้ปราณมารก็รักษาไม่หาย เสียเยี่ยมีชีวิตได้อีกไม่นานเขาจะต้องหาทางฆ่าหลัวซาก่อนตัวจะตาย”
“และโชคเข้าข้างเขา จอมมารเยว่จุนที่หลับใหลไปกว่าพันปีตื่นจากการจำศีลอีกครั้ง นายรู้หรือเปล่าว่าทุกครั้งที่จอมมารถือกำเนิดหรือตื่นขึ้นจะเกิดงานเลี้ยงภูตผีเป็นการต้อนรับการกลับมาน่ะ เสียเยี่ยใช้โอกาสนั้นเข้าพบจอมมารโดยตรงแสร้งถวายการรับใช้ แต่จริงๆ คือเขาคิดจะทำให้งานเลี้ยงภูตผีกลายเป็นภัยพิบัติอเวจีเคลื่อน เนื้อหาต่อจากตรงนี้ฉันอ่านสปอยล์มาว่าหลังงานเลี้ยงภูตผีเขาทำให้ประตูอเวจีปิดไม่ได้เพื่อปล่อยปีศาจนรกออกมา แต่ที่เขาไม่รู้คือประตูจะเปิดนานไม่ได้ ปริมาณปีศาจนรกเยอะจนล้นทะลักทำให้นานวันเข้ากลายเป็นรอยร้าวจนประตูแตกในที่สุด เหล่าเจ้าสำนักประชุมหาทางออกและได้ข้อสรุปว่าจะส่งขบวนไปพบจอมมารเพราะภัยพิบัติแบบนี้พึ่งเกิดครั้งแรก รู้ว่าประตูนรกไม่ปิดสู้ไปก็ไร้ประโยชน์ แต่เวลานี้จอมมารก็จนปัญญาจะปิดเหมือนกัน ลำพังเขาแค่ควบคุมประชากรมารงานก็ล้นมือแล้ว ปีศาจนรกไม่เหมือนเผ่ามาร จอมมารควบคุมไม่ได้ทั้งหมด หนำซ้ำเผ่ามารเองยังโดนเล่นงานก็มี ทว่าสุดท้ายหลัวซาก็หาทางจนเจอ” จ้าวฉีหลินพักดื่มชาครู่หนึ่งก่อนจะเล่าต่อว่า
“พืชมีดอกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในรอบห้าร้อยปี เมล็ดของมันจะเพาะได้เฉพาะในเขตไอมารหนาแน่น เมื่อเมล็ดแตกมันจะฝังรากลึกเหนียวแน่นเปี่ยมด้วยพลังและยากทำลาย เมล็ดของพืชชนิดนี้จึงเป็นเหมือนกับกาวที่เอาไว้ประสานรอยแตก หลัวซาคิดจะใช้เมล็ดพืชต้องห้ามผนึกประตูนรก”
เซียนซีหยางพลันตื่นเต้น “แล้วไงต่อ ได้ผลไหม! ”
“ไม่รู้” จ้าวฉีหลินฉีกยิ้ม “ก็ฉันอ่านไม่จบนี่นา...”
นาทีนี้เซียนซีหยางห่อเหี่ยวมาก ดันมาตายตอนสำคัญซะได้ “ถ้างั้น ผมไม่ต้องเก็บมารน้อยเสียเยี่ยมาเลี้ยงก็เป็นการตัดปัญหาภัยพิบัติในอนาคตได้แล้ว”
จ้าวฉีหลินถามเขาทันทีว่า “นายคิดดีๆ ตอนที่เซียนซีหยางเจอมารน้อยเสียเยี่ย เขาอยู่ในสภาพไหน”
อยู่ในสภาพไหน เซียนซีหยางนึกคิดอย่างถี่ถ้วนก็ตอบ “เป็นทาสที่กำลังจะถูกขายให้ลานประลองใต้ดินเปี้ยนไถ สภาพไม่ต่างจากสุนัขจรจัด...”
“หากมารน้อยไม่ถูกนายช่วยมา นายจะรับประกันไหมว่าเขาจะไม่กลายเป็นมารร้ายก่อนเวลาอันควร”
เชี่ย! มารร้ายที่เดิมทำเพื่อแก้แค้นให้คนคนหนึ่งจนเลยเถิดกับมารร้ายที่คิดแค้นคนทั้งโลก เกรงว่าเป็นต้นกำเนิดหายนะที่มีประสิทธิภาพทั้งคู่
“เอาเป็นว่าถ้านายไม่อยากเก็บมารน้อยมาเลี้ยงเป็นภาระ ก็หาทางฆ่าเขาทิ้งไปเลยดีกว่า อย่างนั้นย่อมชัวร์ที่สุด”
“เชี่ย! คุณจะให้ผมฆ่าเด็กน้อยตาดำๆ ที่มีรังสีบอสสาดเต็มตัวเหรอ! หรือในเกมคุณก็เอานู้บเวลหนึ่งไปตบกับบอสลับในดันเจี้ยนหา! ” เซียนซีหยางรีบพูดว่า “ถึงเก็บมาเลี้ยงก็ใช่ว่าจะเป็นภาระซะทีเดียว ถ้าหากผมไม่ตายก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้วนี่ ผมสั่งสอนให้เขาเป็นเด็กดีก็พอ”
คุณหนูจ้าวครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แบบนั้นก็ไม่เลวนะ แต่อย่าให้สามีนายจับได้ก็แล้วกัน ไม่งั้นจุดจบของพวกเราต้องอนาถกว่าของดั้งเดิมแน่ๆ”
“คุณอย่าพูดว่าสามีของผมได้ไหม...” ลืมไปเลยว่าหลัวซาเป็นมือปราบมาร หากเขารู้ว่าเก็บมารมาเลี้ยงก็เป็นข้ออ้างสังหารหรือขับไล่เซียนซีหยางได้พอดี “เรื่องนั้น...เอาไว้ถึงเวลาค่อยคิดก็แล้วกัน ว่าแต่หากพลาดไปเรายังมีทางรอดอีกทางไม่ใช่เหรอ พืชมีดอกอันนั้นคุณรู้ไหมว่ามันชื่ออะไร จะหาได้ที่ไหน”
“เอาตามตรงนะ นอกจากรู้ว่าหลัวซาได้มาจากตำราเก่าแก่ในเขาหลิ่งจูแล้ว ฉันก็ไม่รู้อะไรอีก นายต้องเข้าใจนะว่ามันคือสปอยล์ แถมเป็นสปอยล์นิยายที่มีความยาวถึงแปดร้อยสามสิบสี่ตอน ใครมันจะว่างมานั่งใส่รายละเอียดยิบย่อยขนาดนั้น” จู่ๆ จ้าวฉีหลินก็นึกขึ้นได้ “แต่เหมือนว่าเขาหลิ่งจูจะอยู่เลยสำนักฮุ่ยหมิ่นที่ฉันสังกัดอยู่ไปไม่ไกล อีกอย่างหากโชคดีนายไม่ตาย เสียเยี่ยไม่เสียมาร พืชนั่นคงไม่ต้องใช้ละมั้ง”
แบบนั้นก็ดีน่ะสิ! เซียนซีหยางรู้ดีว่าเร่งรัดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทุกอย่างมีเวลาปะทุในตัวของมัน เขาจึงเปลี่ยนคำถาม “แล้วคุณล่ะ ตอนนี้คุณเป็นคุณหนูจ้าวที่นิสัยไม่ได้ดีไปกว่าคุณชายเซียนซีหยางเท่าไหร่ จากนี้ไปคุณจะใช้ชีวิตในร่างผู้หญิงแบบนี้ยังไง มีหนทางจะเป็นเทพสงครามยังไง”
พอกล่าวเช่นนั้น จ้าวฉีหลินกระแทกถ้วยชาอย่างแรงกล่าวอย่างกับหาคนระบายความอึดอัดใจมานาน “ชีวิตของจ้าวฉีหลินทำเอาฉันอยากอ้วกวันละหลายๆ รอบ นายรู้ไหมว่าการถูกคนตามก้นต้อยๆ ทั้งวันและทำเหมือนเราเป็นเด็กสามขวบมันน่าอึดอัดขนาดไหน ชีวิตของฉันเกิดมาพึ่งจะเจออะไรแบบนี้ จะกินจะนอนก็ต้องมีคนช่วยเหลือ ฉันไม่ได้พิการสักหน่อย เลี้ยงกันมาแบบนี้ไม่โตมาเสียคนสิแปลก”
แต่แล้วคุณหนูจ้าวก็นึกอะไรบางอย่างออก “จริงสิ ไหนๆ ที่นี่ก็เป็นโลกของจอมยุทธแล้ว ฉันเริ่มเรียนวรยุทธ์ไปเลยดีกว่า ดีไม่ดีได้มีโอกาสลงประลองในเจี้ยงฉาง ถึงตอนนั้นนายต้องลงพนันข้างฉันด้วยล่ะ”
พรูด!
เซียนซีหยางพ่นชา จ้าวฉีหลินพลิกหลบฉับไวพร้อมกับกล่าวต่ออย่างลื่นไหล “จ้าวฉีหลินมีพรสวรรค์ที่จะเรียนวรยุทธ์ แต่พ่อบัดซบนั่นดันส่งไปเรียนศิลปะทั้งสี่ (5) ที่สำนักฮุ่ยหมิ่น เสียของจริงๆ”
“เดี๋ยวๆ คุณรู้เหรอว่าจะฝึกวรยุทธ์ยังไง อ่านเอาจากตำรา?” เซียนซีหยาง
“มันก็ต้องหาอาจารย์มั้ย นายคิดว่ามีตำราอย่างเดียวแล้วจะทำได้เหรอ”
เออ ก็จริง
จ้าวฉีหลินถอนหายใจ “เฮ้อ...ฉันแนะนำด้วยความหวังดีนะ อนาคตของนายอันตรายกว่าฉันซะอีก คนที่น่าจะเรียนวรยุทธ์ติดตัวไว้บ้างน่ะ มันนายไม่ใช่เหรอ”
ก็...จริงอีกนั่นแหละ เวลานี้ยังหย่ากับหลัวซาไม่ได้ ในอนาคตยังต้องรับมือกับมารน้อย หากยังเป็นคุณชายไม่เอาไหนอยู่เกรงว่าภายภาคหน้าต้องหลบหลังคนอื่นตลอดไป “ผมจะคิดเรื่องนี้ดู”
หลังจากนั้นพวกเขาก็นัดแนะเจอกันในวันพรุ่งนี้เหมือนเดิม เพราะถึงอย่างไรทั้งคู่ต่างมีความคิดเร่งด่วนเหมือนกันอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือหาเงิน เซียนซีหยางเป็นคุณชายแต่ไม่ค่อยมีเงิน ส่วนคุณหนูจ้าวจะหยิบที่บ้านมาใช้แต่ละครั้งต้องรายงานตลอด เรื่องจุกจิกในบ้านเช่นนี้ไส้ในที่เป็นเนิร์ดเกมไม่ชอบใจอย่างแรง สองสามวันมานี้พวกเขาจึงใช้เวลาทั้งวันในการเค้นความจำเรื่องผู้ผ่านเข้ารอบ แบ่งกันติดตามทุกสนามประลองและรวมมทุนกันลงขันพนันจนได้เงินเป็นกอบเป็นกำ
ยิ่งชนะพนันกันมาเท่าไหร่ก็ยิ่งกลายเป็นที่พูดคุยของชาวบ้านมากเท่านั้น บางคนที่ไม่รู้จักถึงกับนับถือเรียกเขาว่าลูกพี่และเจ้หญิง คนที่นินทาคุณชายวันก่อนยังอดมาลงขันตามไม่ได้ เพียงสามวันทั้งคู่ก็กลายเป็นคนดังประจำวงพนันไปแล้ว แม้แต่ข่าวลือเสียหายของคุณชายเซียนยังโดนนักพนันปัดตกเป็นประเด็นรองด้วยซ้ำ
“น้องหยาง ช่วงนี้มือขึ้นจนเป็นที่ร่ำลือเลยนะ เจ้ารู้ไหมว่าข้าได้ยินข่าวลือมาว่าอย่างไร คุณชายเชียนซีหยางสายตาเฉียบแหลมเพียงมองดูก็รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ น่าทึ่งจริงๆ” หวังมู่กระซิบถามเขา “เจ้าว่าข้าจะเป็นหนึ่งในร้อยคนไหม”
เซียนซีหยางกระแอมไอ ที่เฉียบแหลมคือสมองหรอก เขากับจ้าวฉีหลินเค้นอยู่ทั้งคืนกว่าจะกลั่นคนชนะออกมาได้เจ็ดแปดคน ทั้งพยายามนึกถึงคนที่เข้ามาหาเรื่องตายกับพระเอก คนที่แพ้ให้พระเอกและคนที่มีบทเล็กๆ น้อยๆ ชนิดไม่ถึงหนึ่งย่อหน้าจากห้าสิบตอนนั่นน่ะ มันสิ้นเปลืองพลังงานมาก แต่นั่งนึกขนาดนั้นเขาก็ยังจำไม่ได้ว่าหวังมู่ผ่านเข้ารอบหนึ่งร้อยคนหรือไม่ “พี่มู่ ข้าไม่ได้เป็นดังข่าวลือเช่นนั้น เพียงแต่ดวงขึ้นนิดหน่อย รอบหน้าเป็นรอบคัดอีกห้าสิบคนสุดท้ายแล้ว ท่านเจอใครหรือ”
“คนที่เจ้าถามหาตอนนั้นไง” หวังมู่คล้ายไม่ใส่ใจ เพราะโจวเสวี่ยนไม่เป็นที่สะดุดตาเท่าไหร่ แม้อันดับของเขาจะดีมากก็ตาม แต่เซียนซีหยางแข็งค้างไปแล้ว พี่มู่...จะกล่าวอย่างไรให้ท่านช้ำใจน้อยดีหนอ
ไม่คิดว่าต่อมาหวังมู่จะตบบ่าเขา “เห็นสีหน้าเจ้า ข้าคงแพ้ละสิ ฮ่าๆ ๆ อย่าคิดมาก เดิมทีก่อนมาที่เมืองนี้ข้าหวังเต็มที่ว่าจะต้องเข้าแข่งที่เจี้ยงฉางให้ได้ แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเจี้ยงฉางจัดงานปีละสามครั้ง พลาดครั้งนี้ข้าลับฝีมือมาครั้งหน้าก็ไม่มีปัญหา”
เซียนซีหยางเห็นความใจกว้างของเขาก็กระตือรือร้น “หากท่านมาข้าจะลงพนันข้างท่านอย่างแน่นอน แม้ว่าข้าจะหมดตัวก็ตาม! ”
หวังมู่จากที่ตบเบาๆ ก็ใส่แรงหนักไปหนึ่งที “เจ้านี่ ข้าไม่แพ้ง่ายๆ หรอกเว้ย! กับเจ้านั่นก็ใช่ว่าข้าจะแพ้ซะหน่อย เรื่องแพ้ชนะในการแข่งขันเป็นเรื่องไม่แน่นอน”
เหอะๆ ...ท่านแพ้แน่นอนอะพี่มู่ โจวเสวี่ยนไม่ใช่แค่ชนะท่าน เขายังฝ่าไปถึงสามคนสุดท้ายได้ แถมยังประลองแพ้ชนะตัดสินในรอบสุดท้ายอย่างดุเดือดกับพระเอกอีกด้วย
เซียนซีหยางแม้ปวดแปล๊บแต่ก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็เป็นดังคาด หวังมู่แพ้ยับ โจวเสวี่ยนลงสนามครั้งนี้ดุดันจนผู้ชมตกตะลึง เขาพึ่งสลัดคราบบัณฑิตไร้พิษสงทิ้งไป รัศมีตัวเต็งของการประลองที่เจี้ยงฉางทำให้คนผ่านเข้ารอบต้องจดจำไว้ ทั้งท่วงท่าสงางามและหลักการต่อสู้ไร้รูปแบบ ทำให้เขาเป็นที่สนใจในพริบตา
...ขอบใจนะโจวเสวี่ยน หากได้มีโอกาสรู้จักกันฉันจะเลี้ยงข้าวนายแน่นอน!
เซียนซีหยางตบถุงเงินหนักๆ อย่างอิ่มอกอิ่มใจ สามวันมานี้เขาจึงไม่ได้ไปไหนนอกจากบ้านกับสนามประลอง ลืมเรื่องที่หลัวซากลับมาพบบิดาตนในวันนี้เสียสนิท แต่ถึงจำได้คุณชายสามก็ไม่พลาดงานนี้อยู่ดี จ้าวฉีหลินวันนี้บอกว่าจะออกไปช็อปปิ้งแล้วกลับก่อนจึงฝากเงินลงขันไว้กับเขา เดี๋ยวแบ่งเงินเสร็จแล้วเขาค่อยให้เฉินฝูส่งไปให้นาง
ในที่สุดวันนี้ก็จบลงด้วยเงินสามพันเหรียญทองเต็มกระเป๋า เซียนซีหยางมองดวงตะวันใกล้ตกดิน จำต้องกลับบ้านแล้ว สองวันที่ผ่านมาเขาไม่ให้เฉินฝูติดตามมาด้วยเพราะกลัวจะวิตกจริตที่เห็นเขาสนิทสนมกับจ้าวฉีหลินผู้ที่เคยสาดน้ำชาใส่ตนเมื่อครั้งในอดีตอย่างกับเพื่อนร่วมรบ เขาจำต้องค่อยๆ ขี่ม้ามาเองอย่างเชื่องช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน
ม้ามันขี่ยากนะคุณ โดยเฉพาะคนที่เคยแพ้ขนสัตว์ทุกชนิดมาก่อนจนไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์มีขนน่ะ
เซียนซีหยางขึ้นม้าอย่างทุลักทุเล ทว่าเมื่อม้าเดินได้สองก้าวเด็กเปรตบ้านไหนไม่ทราบวิ่งตัดหน้าอย่างไม่กลัวตาย เซียนซีหยางตกใจจนเผลอกระชากบังเหียนอย่างแรง ม้าที่ขึ้นขี่ก็ตกใจจนสลัดเขาร่วงลงมา ทว่าพริบตาที่รอรับความเจ็บปวด แผ่นหลังของคุณชายสามก็มีท่อนแขนแข็งๆ รองรับไว้
“อ่า...” เซียนซีหยางตะลึงค้าง ผู้ช่วยชีวิตไม่ให้เขาหัวทิ่มพื้นตายอนาถคนนี้เป็นแหล่งเงินในอนาคตของเขานั่นเอง
โจวเสวี่ยน
เซียนซีหยางรีบตั้งหลัก กล่าวคารวะขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า”
โจวเสวี่ยนปรายตามองทั้งม้าทั้งคน กล่าวอย่างตำหนิ “ขี่ไม่เป็นก็ไม่ควรขี่ ข้าเพียงเดินอยู่ใกล้ม้าเจ้าจึงโดนลูกหลงไปด้วยเท่านั้น”
เซียนซีหยางอับอาย รู้ว่าทำคนอื่นเดือดร้อนแล้ว “พี่โจวเสวี่ยนข้าผิดเอง ให้ข้าเลี้ยงอาหารตอบแทนท่านได้หรือไม่”
โจวเสวี่ยนมองเขาอย่างพิจารณา “ข้าเป็นคนต่างถิ่นไม่เคยแนะนำตัวกับใคร ทำไมถึงรู้จักชื่อแซ่ของข้า”
“พี่โจวเสวี่ยนข้าตามดูท่านประลองอยู่ทุกสนาม ย่อมรู้ชื่อท่าน” เซียนซีหยางตบถุงเงินกล่าวอย่างใจกว้างยิ่งกว่าแม่น้ำมหาสมุทร “เงินที่ได้จากการพนันของข้า ท่านมีส่วนด้วยเช่นกัน ไหนๆ วันนี้ข้าก็ได้มีวาสนารู้จักพี่แล้ว ให้ข้าเลี้ยงอาหารมื้อนี้เถอะนะ”
โจวเสวี่ยนพยายามมองหาความเสแสร้งที่มักจะปรากฏกับพวกคุณชายเช่นเซียนซีหยาง แต่นอกจากดวงตาใสๆ นั่นก็ไม่มีอะไรให้เอามาแดกดันเลยสักนิด เขาลังเลนิดหน่อยเพราะตนก็ยังไม่ได้กินอะไร จากนั้นไม่นานก็พยักหน้า
ตอนแรกเซียนซีหยางคิดจะพาเขาไปเลี้ยงในโรงน้ำชาที่จ้าวฉีหลินไปคราวนั้น แต่พบว่าคนเยอะมาก จึงเปลี่ยนร้านอาหารที่สกุลเซียนเป็นหุ้นส่วนเพื่อจะได้เอาสกุลหน้าชื่อมาใช้หาที่นั่ง ตอนแรกเถ้าแก่เนี้ยของร้านไม่สนใจคุณชายคนนี้เพราะคนในร้านก็เยอะมากแล้ว แต่พอเข้าแจ้งชื่อไปเถ้าแก่ก็รีบส่งเด็กให้พาเขาไปที่โต๊ะสะอาดๆ ที่หนึ่ง พร้อมกับสายตาดูแคลน
เอาน่า...ไม่ถูกไล่ออกมาก็ดีแล้ว เซียนซีหยางเมินสายตาของเขา แต่โจวเสวี่ยนก็กลับขมวดคิ้วจ้องเขม็งจนเถ้าแก่เนี้ยรู้ตัว เหงื่อกาฬไหลเป็นสายรีบออกไปในทันที
หลังมื้ออาหารที่เซียนซีหยางสั่งมาจนเต็มโต๊ะ เขาปล่อยสกิลตีสนิทไปท่าใหญ่ ไม่นานก็ทราบว่าพี่โจวเสวี่ยนผู้นี้มาจากหมู่บ้านที่ยากจนที่สุด ถูกปล้นบ่อยสุด ทำให้เขาที่เป็นวรยุทธ์กลายเป็นความหวังของน้องๆ ในหมู่บ้าน โจวเสวี่ยนไม่ได้ลงสนามประลองครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นสนามประลองที่ไหน หากมีรางวัลเขาย่อมไปหมด เพื่อที่จะเอาเงินไปเลี้ยงปากท้องของน้องๆ ในหมู่บ้าน ส่วนกระบี่ขาวลายพยัคฆ์ก็ได้มาจากโจรที่เข้ามาปล้นสะดมนั่นเอง
เซียนซีหยางฟังแล้วน้ำตาไหลเป็นทาง “พี่โจวว ชีวิตท่านช่าง...ช่างทรหดยิ่งนัก! ” เขารู้ว่าไม่ควรกล่าวคำว่าน่าสงสารกับคนที่มีศักดิ์ศรีเช่นนี้ได้ แล้วยิ่งไม่สามารถมอบน้ำใจในมือให้เปล่าๆ ได้ เพราะเกรงว่าโจวเสวี่ยนจะพิโรธที่ทำราวกับตนเป็นขอทาน คุณชายจึงกล่าวออกมาว่า “พี่โจวหากท่านเข้ารอบยี่สิบห้าคนในเจี้ยงฉาง ท่านมาเป็นหุ้นส่วนของข้านะ เงินพนันของข้าแบ่งให้พี่โจวครึ่งหนึ่ง”
“เจ้ากล่าวอันใดไร้สาระ คิดจะผูกมัดข้าไว้กับสกุลเซียนหรือ” เมื่อครู่เขารู้แล้วว่าเซียนซีหยางเป็นคนในข่าวลือ แต่ไม่ได้รังเกียจจะสนทนาด้วย ทว่าหากคิดจะจับเขาไปเป็นลูกสุนัขในสกุล เขาก็จะจับเจ้าคุณชายนี่ยัดหัวลงชามเกี๊ยวเดี๋ยวนี้เลย
เซียนซีหยางเห็นเขาอารมณ์ขุ่นมัว รีบอธิบายก่อนจะถูกจับยัดชามเกี๊ยวจริงๆ “เข้าใจข้าผิดแล้วพี่โจว ในสกุลข้าไม่มีสิทธิ์อะไรกับเจี้ยงฉางทั้งนั้นแหละ ไม่เช่นนั้นข้ายังต้องออกมาตากแดดจนตัวคล้ำลงพนันขันต่อหาเงินเองอย่างนี้หรือ อีกอย่างท่านก็เห็นสายตาของเถ้าแก่คนนั้นแล้วนี่นา” คุยกับคนเช่นนี้ กล่าวความจริงย่อมได้ผลที่สุด และผิวขาวซีดของเซียนซีหยางในคราแรกกลายเป็นขาวธรรมดาและกำลังเป็นสีน้ำผึ้งเพราะตากแดดทั้งวันจริงๆ “ข้าแค่อยากช่วยเหลือท่าน ที่ข้าชนะพนันเป็นเพราะพี่โจวชนะการประลอง หากมาเป็นหุ้นส่วน ของข้า ถึงเวลาพี่จะไปข้าจะมีปัญญารั้งตัวไว้ได้อย่างไร หากไม่เชื่อใจพี่รับคำข้าปากเปล่าไม่ต้องเขียนหนังสือสัญญายังได้ ถึงเวลาข้าจะทำตามคำพูดเอง”
โจวเสวี่ยนมองใบหน้ากระตือรือร้นของเซียนซีหยางพลันนึกถึงน้องชายที่หมู่บ้าน “ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าข้าจะแพ้หรือชนะก็มีแต่เจ้าที่ขาดทุนไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ขาดทุนหรอกน่า ข้ายังไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง” เซียนซีหยางกล่าวอย่างมั่นใจ ทว่าประโยคต่อมาทำให้โจวเสวี่ยนงวยงง “ยกเว้นรอบสุดท้าย รอบนั้นข้าขอไม่ลงข้างท่าน”
“เพราะเหตุใด”
“เพราะคู่ต่อสู้ของท่านคือหลัวซา” เซียนซีหยางกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านเอาชนะเขาไม่ได้หรอก”
“ข้ารู้ว่าหลัวซาคือผู้ใดและเหตุใดเจ้ากล่าวเช่นนั้น ทว่าข้าหมายถึงทำไมเจ้ามั่นใจนักว่าข้าจะเอาชนะไปจนถึงรอบสุดท้าย” โจวเสวี่ยนลงสนามมาตลอดชีวิต นอกจากน้องๆ ในหมู่บ้านไม่เคยมีผู้ใดคาดหวังหรือมั่นใจในตัวของเขามาก่อน คุณชายผู้นี้เป็นคนแปลกหน้า พบกันครั้งแรกก็เชื่อว่าเขาจะชนะอย่างไม่มีเหตุผล คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ
เซียนซีหยางเองก็จนปัญหาจะอธิบาย จะบอกได้ยังไงนี่เป็นลิขิตของนักเขียนคนหนึ่ง ไม่ว่าระหว่างทางท่านจะอยู่ในสภาพไหนแต่รอบสุดท้ายต้องไปเจอพระเอกแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นที่ต้องตาต้องใจของสำนักปราบมารหลายแห่งที่มาชมการประลองจนถูกทาบทามได้ยังไง
“ข้า...ข้า” ข้าน้ำท่วมปากอึดอัดจะตายแล้ว!
“ช่างเถอะ” โจวเสวี่ยนคล้ายหมดความอดทน แต่พอเห็นสีหน้าเหมือนเด็กที่คิดจะทำดีแต่ถูกผู้ใหญ่ดุด่าเพราะไม่เข้าใจ ไม่รู้ทำไมถึงมองเห็นเขาซ้อนทับกับน้องชายที่บ้านเกิด อึดใจต่อมาจึงกล่าวว่า “หากเจ้าชนะพนันข้างข้าไปถึงรอบหกคนได้ ข้าจะยอมเป็นนักสู้ลงสนามประลองให้เจ้าหนึ่งปีก็แล้วกัน”
“!!! ” เซียนซีหยางตาโต มองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ คนที่มีฝีมือเก่งกาจเช่นนี้จะยอมเป็นเด็กในสังกัดเขาถึงหนึ่งปี ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าเช่นนั้นเขาก็รอดแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องถูกหลัวซาฟันฉับเดียวตาย “จริงหรือพี่โจว”
“ข้าให้วาจาคำไหนคำนั้น แต่ไว้รอถึงตอนนั้นค่อยพูดกันก็ยังไม่สาย” กว่าจะได้เริ่มประลองก็อีกหลายวัน
โจวเสวี่ยนถอนหายใจอย่างอ่อนอกที่พบคนแปลกหน้าเพียงวันเดียวก็เผยข้อมูลให้เขาซะขนาดนี้ แต่เขาเข้าเมืองมาตัวเปล่าไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว กว่าเขาจะได้ไปถึงรอบหกคนสุดท้าย เขายังต้องอาศัยที่พักซอมซ่อราคาถูกซุกหัวนอนอยู่เลย “เมื่อครู่เห็นท่าทีของเถ้าแก่มองเจ้า เจ้าเป็นดังข่าวลือรึ”
เซียนซีหยางเมื่อครู่ยังดีใจอยู่ ตอนนี้เห็นเปลี่ยนเรื่องก็ตื่นตัวงัดเอาสกิลตีสนิทระดับสูงออกมาใช้ นั่นคือการแสดงความจริงใจ
บอกแล้วนี่ว่าตอนนี้เขาเป็นอริกับสตรีทั้งเมือง ต้องรีบหามิตรด่วน ยิ่งเป็นมิตรที่แข็งแกร่งเช่นโจวเสวี่ยนก็ต้องรีบคว้าไว้ เขาหัวเราะ “ฮ่าๆ ๆ เมื่อก่อนเป็นเช่นข่าวลือจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าปรับปรุงตัวแล้ว” เซียนซีหยางกล่าวจบไม่เห็นว่าเขาจะรังเกียจก็เลยเสริมไปอีกประโยค “เรื่องที่เป็นต้วนซิ่วก็เหมือนกัน แต่พี่โจวไม่ต้องกังวลข้าแต่งงานแล้ว”
โจวเสวี่ยนไม่เหมือนหวังมู่ที่แม้มาจากต่างถิ่นแต่ก็ไม่ได้ไม่ใส่ใจทุกเรื่อง เขาถามอย่างจริงจังว่า “เจ้าบังคับบุรุษแต่งงานจริงหรือ”
เซียนซีหยางนิ่งอึ้งกล่าวอย่างเสียใจ “พี่โจวเมื่อก่อนข้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่หลังสะ สะ สามี...ไม่ใส่ใจ เย็นชากับข้า จึงทำให้ข้าคิดได้ว่าต้องกลับตัวกลับใจเสียใหม่” เขามองโจวเสวี่ยนน้ำตานองหน้า “พี่โจวรังเกียจข้าหรือ”
นี่มันมิตรในอุดมคติที่เซียนซีหยางอยากได้เลยนะ หากผูกสัมพันธ์กันดีๆ เขาไม่เชื่อว่าคนอย่างโจวเสวี่ยนจะไม่มาช่วยเพื่อนในยามที่ถูกสามีไล่ฆ่า...
โจวเสวี่ยนเห็นเขาร้องไห้ก็หมดอารมณ์ตำหนิ เซียนซีหยางยามนี้ไม่เหมือนในข่าวลือเลยสักนิด เขาไม่เหมือนกระทั่งพวกคนตัดแขนเสื้อด้วยซ้ำ เห็นแก่ความพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองของเขาจึงกล่าวออกมาว่า “ข้าไม่ได้รังเกียจ เลิกร้องไห้เสีย เป็นชายชาตรีอกสามศอกร้องไห้ทำไมกัน น่าทุเรศจริงๆ”
โฮๆ ๆ ได้ยันต์กันตายมาอีกหนึ่งใบแล้ว เซียนซีหยางน้ำตาแตกกว่าเดิม ทว่าพอเห็นใบหน้าโจวเสวี่ยนคิดจะเอาซาลาเปาอุดปากเขา เขาก็ทำการอุดปากตัวเองเสียก่อน
“เจ้าไปไหนต่อหรือไม่” โจวเสวี่ยนถามเขาเมื่อเห็นฟ้ามืดสนิทแล้ว
เซียนซีหยางกลืนเจ้าก้อนซาลาเปาเสร็จก็ตอบเขา “ข้าว่าจะแวะซื้อตำราสำหรับผู้เดินลมปราณขั้นเริ่มต้นแล้วก็จะกลับ”
“เจ้าไม่เป็นวรยุทธ์?”
“ไม่เคยฝึกเลย” เซียนซีหยางยอมรับอย่างไม่อาย
โจวเสวี่ยนอยากจะถามเขาว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าเอาอะไรมาดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการประลองกัน! พึ่งดวงรึ!
“...ไว้ข้าว่างจะแวะมาแนะนำ” โจวเสวี่ยนกล่าวไปเช่นนั้น เขามองคุณชายสามคนนี้เป็นน้องชายที่หมู่บ้านไปซะแล้ว
หลังถูกกำชับหลายต่อหลายครั้งเรื่องการขี่ม้า เซียนซีหยางก็ตัดสินใจจูงม้ากลับมันซะเลย! โจวเสวี่ยนเห็นเขาถอดใจแล้วก็รู้สึกหดหู่แทน สุดท้ายพี่ชายท่านนี้ก็ไม่ได้กลับที่พักแต่เดินจูงม้าให้คุณชายสามขี่ไปพลางสั่งสอนไปพลาง
“จำไว้ไม่ว่าจะสถานการณ์ใด ม้าตกใจได้คนห้ามตกใจ ไม่เช่นนั้นสติเตลิดคุ้มม้าไม่อยู่ ตกลงลงมาจากหลังม้าทำให้บาดเจ็บถึงตายได้” โจวเสวี่ยนยกตัวอย่างประกอบด้วย เช่นลงผิดท่าตกมาแขนหัก ขาหัก คอหัก จนเซียนซีหยางคิดว่าหากต้องมาอีกคนเดียว เขาจะขี่ลามาแทน
“ข้าจำได้แล้วๆ พี่โจวท่านมาส่งเช่นนี้จะกลับยังไง ทางไม่ใช่ใกล้ๆ หลังออกจากตลาดแล้วให้ข้าไปเองเถอะ” เซียนซีหยางแม้อยากเก็บยันต์คุ้มภัยไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดนั้น
พี่ชายโจวกล่าวกับเขาว่า “นี่ตะวันลับฟ้าไปแล้ว แม้คนในบ้านจะไม่ใส่ใจเจ้า แต่โจรย่อมใส่ใจถุงเงินของเจ้า วันนี้เจ้าได้มาไม่น้อยโด่งดังในวงพนันไม่คิดหรือว่าขากลับจะโดนดักปล้น”
เชี่ยว่ะ! ลืมคิดจริงๆ ด้วย มิน่าจ้าวฉีหลินแอบหนีกลับก่อน
เห็นสีหน้าซีดเผือดของเซียนซีหยาง เขาก็ถอนหายใจอีกจนได้
เดิมทีในทางกลับมีโจรดักซุ่มอยู่จริงๆ ทว่าตอนนี้มีคนมาส่งแถมยังเป็นนักสู้ที่เข้ารอบหนึ่งร้อยคนสุดท้าย เหล่าโจรทั้งหลายต่างก็ไม่กล้าลงมือ เซียนซีหยางจึงได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ก่อนเข้าบ้านเขาวางบังเหียนม้าในมือของโจวเสวี่ยนกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ม้านี่พี่โจวขี่กลับเถอะ พี่เดินมาส่งข้าเกรงใจจะแย่แล้ว หากพี่โจวไม่สบายใจก็คิดว่าข้าให้ยืม วันหลังค่อยเอามาส่งคืนข้า”
ทว่าโจวเสวี่ยนร้องหึ “ทำไมข้าต้องคืนเจ้า บ้านเจ้าอยู่ชิดชานเมืองไม่ได้ใกล้เจี้ยงฉางสักนิด ข้าเดินจนปวดขาหมดแล้ว ม้านี่ข้าจะรับไว้ รีบกลับเข้าบ้านไปซะ ต้องมีสักคนเป็นห่วงเจ้าอยู่แน่” จากนั้นมือของเขาก็ขยี้ลงบนหัวของเซียนซีหยางอย่างกับระบายเรื่องยุ่งยากเมื่อครู่ใส่
คุณชายสามได้รับการเอ็นดูแบบสนิทสนมพี่ชายน้องชายเป็นครั้งแรกรู้สึกตื้นตันใจ เขาโบกมือให้อีกครั้งก่อนจะปิดประตูบ้าน เดินอย่างสบายอารมณ์เพื่อไปเรือนหลัง ไม่ทันได้สังเกตว่าวันนี้บ่าวรับใช้อยู่ที่เรือนเยอะผิดปกติ จนกระทั่งเฉินฝูเข้ามาหาอย่างร้อนรน
“คุณชาย! ท่านกลับมาแล้ว” เฉินฝูคราแรกจะใช้รถม้าออกไปตาม เพราะเซียนซีหยางกลับช้าผิดปกติ เวลานี้ยามซวี่ (6) แล้วคุณชายพึ่งถึงบ้าน จึงเร่งตรวจร่างกายว่ามีส่วนใดได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“อ่า ข้าไม่เป็นไร พอดีได้เพื่อนใหม่เลยสนทนากันนานไปหน่อย” เซียนซีหยางปลอบชายชรา “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า วันนี้ข้า...”
“คุณชายวันนี้มือปราบหลัวมาพบนายท่านเซียนหลี่ซัง คืนนี้เขาจะค้างที่นี่” สิ้นคำเฉินฝู เซียนซีหยางเกือบจะสำลักเอาปอดออกมาด้วย
2] หนึ่งเค่อ = 15 นาที
3] ชายตัดแขนเสื้อ = ผู้ชายที่นิยมไม้ป่าเดียวกัน
4] นู้บ = Noob เป็นคำสแลงสำหรับกลุ่มคนที่ใช้ชุมชนออนไลน์เช่น เกม, เว็บบอร์ด เรียกๆ กันมาจากคำว่า Newbie ซึ่งแปลว่ามือใหม่หรือผู้เล่นใหม่ เหมือนด่ากันว่าเอ็งอ่อนเหมือนคนเพิ่งเล่นว่างั้นแหละ
5] ศิลปะทั้งสี่ = ศิลปะนันทนาการคลาสสิคทั้ง 4 ของจีน นั่นก็คือ "ฉิน ฉี ซู ฮว่า" มาจาก พิณโบราณ, หมากล้อม, การเขียนอักษรและการวาดภาพ
6] ยามซวี่ = หนึ่งยาม 19.00-21.00
Comments (0)