5 ตอน การประลองในเจี้ยงฉาง
โดย Laksh Mana
แม้เมื่อก่อนจะป่วยบ่อย แต่ด้วยหน้าที่การงานและปริมาณเงินที่ขัดสน หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ลาหยุดอย่างเด็ดขาด จนบางครั้งเพื่อนร่วมงานก็สารภาพว่าอยากจะเอาเก้าอี้ทุ่มเขาให้สลบเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องถูกหัวหน้ากดดันว่าทำงานสู้คนอมโรคไม่ได้ เวลานี้ร่างกายของเซียนซีหยางไม่ได้มีโรครุมเร้า พักฟื้นสองสามวันอาการก็ดีขึ้นมาก รอยฟกช้ำดำเขียวก็หายไปเกือบหมด แต่ติดอยู่ที่สองสามวันนั้นเขาต้องรีบถักด้ายขนเซียนจิ้งจอกให้เสร็จ ซ้ำยังต้องฝึกเขียนยันต์อัพสกิลเอาตัวรอด ต่อให้เจ็บหนักกว่านี้ก็ไม่มีทางนั่งๆ นอนๆ รอแผลหาย
ทว่าติดอุปสรรคอยู่อย่างเดียวก็คือหลัวซา...
ท่านมือปราบผู้นี้ถูกวิญญาณเข้าสิงหรืออย่างไร ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปสักที ยิ่งเขาเอาแต่วนเวียนอยู่รอบกายเลยทำให้บิดาต้องเข้ามาพบบ่อยๆ เซียนซีหยางพยายามย่องหนีก็แล้ว หาข้ออ้างก็แล้ว หลัวซาก็ดักเขาไว้ทุกทางพูดอยู่ประโยคเดียวว่า
“อย่าขยับมาก บาดแผลจะเปิด”
กวนตีนเขาอยู่ใช่หรือไม่!
คุณชายเซียนไม่มีทางเลือก จำต้องส่งเฉินฝูไปเทียบเชิญจ้าวฉีหลินมาหา คุณหนูจ้าวเมื่อรู้ว่าได้ของที่ต้องการก็ไม่รีรอบุกมาเยี่ยมถึงบ้าน สร้างความตกใจให้คนในสกุลเซียนอย่างยิ่ง
“คุณหนูจ้าวไม่เจอกันนาน” เซียนหลี่ซัง
“จ้าวฉีหลินคารวะท่านเซียนหลี่ซัง” จ้าวฉีหลินยามนี้กิริยาอ่อนช้อยงดงาม ถูกจริตผู้หลักผู้ใหญ่อย่างมาก “ข้ามาวันนี้เพื่อพบคุณชายเซียน มิทราบเขาอยู่ที่ใดรึเจ้าคะ”
เซียนหลี่ซังขมวดคิ้วแน่น ความสัมพันธ์ของแม่นางผู้นี้กับบุตรชายตน ได้ยินมาว่าย่ำแย่ขั้นสุด จากปากของเฉินฝูก็เคยเล่าว่านางสาดน้ำชาร้อนใส่เซียนซีหยางยามเดินผ่าน เดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจ แต่เมื่อวานบุตรชายตนบาดเจ็บกลับมา ซ้ำยังบอกเพียงว่าตกม้า รายละเอียดเป็นเช่นไรนั้น แม้แต่หลัวซาก็ยังไม่ได้บอก แต่แค่เพียงเรื่องที่บุตรชายผู้ไม่เอาไหนทั้งร่างกายและสติปัญญาขี่ม้าได้ ก็ทำให้เซียนหลี่ซังตกตะลึงจนเกือบลืมกิจวัตรยามเช้าไปหมดสิ้นแล้ว เวลานี้เขาบาดเจ็บอยู่หากแม่นางคิดจะมาซ้ำเติม เกรงว่าคงให้ลงมือไม่ได้ ยิ่งในสกุลก็ยิ่งไม่ได้เด็ดขาด
เซียนหลี่ซังหยั่งเชิงว่า “คุณหนูจ้าวมีธุระอันใดกับบุตรของข้า”
จ้าวฉีหลินทราบดีว่าเมื่อก่อนตนเป็นเช่นไร แค่ให้โผล่หน้ามาสกุลเซียนก็มีแต่คนคิดเพียงว่านางมารังแกเซียนซีหยางแล้ว ดังนั้นจ้าวฉีหลินไม่อยากมา แต่ด้วยเนื้อความในจดหมายที่ส่งมาให้มันดูประหลาดอย่างบอกไม่ถูก นางจึงต้องแบกหน้ามาถึงที่นี่
จะระแวงอะไรฉันนัก จ้าวฉีหลินมีแต่เล่นงานซึ่งๆ หน้าไม่เคยลอบกัด พฤติกรรมเยี่ยงโจรน่ะเขาเอาไว้ทำตอนเห็นของที่อยากได้แต่ไม่ได้มาต่างหาก
คุณหนูจ้าวแสร้งกล่าวอย่างร้อนใจว่า “เมื่อวานทราบว่าคุณชายบาดเจ็บจึงเข้ามาเยี่ยม ข้าไม่มีเจตนาอย่างอื่นเจ้าค่ะ”
ยกเว้นว่าลูกชายท่านคิดอยากจะหนีตายขึ้นมากะทันหัน ข้าน้อยก็ช่วยไม่ได้
เซียนหลี่ซังคิดจะแย้ง ทว่าเฉินฝูก็รีบร้อนเข้ามาแทรกเสียก่อน “คุณหนูจ้าวมาแล้วรึขอรับ คุณชายรอพบท่านอยู่ที่เรือนหลัง โปรดตามข้ามาเถอะ” จากนั้นเฉินฝูก็รีบหันไปทำความเคารพเจ้าบ้านอย่างลืมตัว
จ้าวฉีหลินผู้ไม่อยากอยู่สนทนาให้ถูกจับผิดนานพยักหน้า รีบตามคนสนิทของเขาไป บ้านของสกุลเซียนใหญ่โตแต่ตกแต่งเรียบง่ายเหมาะกับสภาพแวดล้อมของเมืองอู๋ฉิง ภายในกำแพงรั้วมีลานกว้างๆ ไว้ฝึกวิชา และคอกเลี้ยงม้าที่ค่อนข้างใหญ่ ทว่าเรือนหลังของเซียนซีหยางมีต้นไม้เยอะกว่า ตัดขาดจากเรือนหลักด้วยแนวต้นไผ่สูงและสระบัว ร่มเย็นภายใต้แดดรำไร จ้าวฉีหลินทั้งสนุกกับการอ่านสปอยล์และเปิดเนื้อหาบ้างเลยทำให้ทราบว่าเซียนหลี่ซังมีภรรยาและอนุภรรยาหนึ่งคน พี่ชายทั้งสองของเซียนซีหยางเกิดจากอนุภรรยา ส่วนตัวเขาเป็นบุตรชายของภรรยารัก เดิมทีมรดกของบ้านคุณชายสามสมควรได้รับช่วงต่อจากบิดาเสียด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่าทำวงสกุลเสื่อมเสียจากการเป็นต้วนซิ่วแถมยังแต่งงานกับบุรุษ เซียนหลี่ซังยกเรือนหลังให้เขาก็นับว่าเมตตามากแล้ว
เซียนซีหยางบัดนี้ได้โอกาสเหมาะ หอบข้าวของมานั่งในสวนด้านหน้า กำลังจุ่มปลายพู่กันบรรจงเขียนกระดาษยันต์อย่างตั้งใจ พอเห็นว่าจ้าวฉีหลินมาถึงแล้วก็ไม่ได้ลุกขึ้นทักทาย บอกให้เฉินฝูเอาของที่ฝากไว้ออกมา พวกเขาต่างก็มองเห็นไส้ในกันหมดแล้วไม่จำเป็นจะต้องเสแสร้ง
“ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า ทำไมในจดหมายที่ส่งมาเมื่อเช้าถึงดูเหมือนนายกำลังหนีตาย หรือว่าแผนแตกถูกจับได้แล้วคิดจะหนีตายจริงๆ”
“แผนยังไม่แตก แต่โม่งผมจะแตกแล้ว” เซียนซีหยางกระแทกพู่กันลง กล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “หลัวซามันลูกรักของนักเขียนจริงๆ คุณรู้ไหมว่าเมื่อวานผมต้องเจอกับอะไรมาบ้าง”
จ้าวฉีหลินไม่แตกตื่น เมื่อเช้าบ่าวรับใช้เอาเรื่องซุบซิบจากตลาดมาเล่าให้นางฟัง ปกติหากไม่มีอะไรนางจะศึกษาลมปราณไม่สนใจอย่างอื่น ทว่าเรื่องนั้นดันมีชื่อของเซียนซีหยางอยู่ด้วย
“แลกกับแผลแค่นี้ ชนะการประลองได้มันก็ดีอยู่หรอก แต่ผมไม่นึกว่าหลัวซาจะไปอยู่ที่นั่นด้วย เขาถึงกับเดาออกว่าเซียนซีหยางคนปัจจุบันเป็นคนอื่น”
คราวนี้แม่นางจ้าวถึงกับสะดุ้ง “ไม่มั้ง...”
“เขาไม่คิดจะหย่าแล้ว ทั้งยังไม่ได้ไปฝึกที่เจี้ยงฉาง เอาแต่วอร์มร่างกายอยู่ที่สวนในบ้านผม แบบนี้ผมจะเอาเวลาที่ไหนมาสร้างไอเทมกัน” เดิมทีหลัวซาจะต้องไปอยู่เจี้ยงฉางตั้งแต่วันมาถึง เพราะให้ตายอย่างไรพระเอกคนนี้ก็ไม่ยอมอยู่ใต้ชายคาเดียวกับคุณชายสาม ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด
จ้าวฉีหลินเห็นเขาลำบากใจ ก็รู้สึกละอายที่ปล่อยเขาขึ้นการประลองเมื่อวาน “แผลนายเป็นยังไงบ้าง”
“ถูกแทงทะลุไหล่ แต่ยาในเมืองนี้พัฒนามาสำหรับรักษาบาดแผลโดยเฉพาะ สมกับที่เป็นเมืองบ้าพลังจริงๆ”
“ความจริงฉันควรจะส่งยามาให้นายเป็นการขอบคุณ แต่สกุลจ้าวอยู่ต้าชิง ให้ขนย้ายยาสมุนไพรมาบ้านสกุลเซียน เดี๋ยวสักพักต้องมีข่าวลือประหลาดว่าทั้งสองสกุลจะเชื่อมไมตรีด้วยงานมงคลอะไรนั่นอีก โทษทีนะ” จ้าวฉีหลินไม่ใช่คนที่ไม่สำนึกบุญคุณ นางจึงกล่าวว่า “ถ้านายเข้ามหานครเมื่อไหร่ ฉันจะต้อนรับอย่างดีรับรองว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าปาข้าวของใส่นายแน่”
“ผมไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้นหรอกน่า แค่ตอบแทนเรื่องที่คุณช่วยหาไอเทมจับมารน้อยเท่านั้น อีกอย่างผมไม่อยากเข้าไปต้าชิง ถ้าเป็นไปได้อยู่หากินที่เรือนหลังนี้สบายใจกว่า” เซียนซีหยางบ่นกระปอดกระแปด “เว้นแต่มือปราบหลัวจะสิงอยู่นี่ไม่ยอมไปไหน ผมถึงค่อยหาทางย้ายที่อยู่”
“ตอนนี้เขาอยู่ไหน”
“สวนด้านหลัง” เซียนซีหยางลุกขึ้นพาจ้าวฉีหลินย่องๆ ไปด้านข้างของเรือนหลัง ซุ่มพุ่มไม้เหมือนคนพยายามซ่อนชู้ ให้มิตรสหายได้ยลรูปโฉมของพระเอก หลัวซายามนี้ฝึกฝนร่างกายอยู่ลำพังในลานด้านหลังไม่เหมือนเช่นที่ฝึกในลานเรือนหลัก ที่นี่มีต้นไผ่เยอะมือปราบหลัวจึงใช้กระบี่ในการฝึก ฟาดฟันต้นไผ่ขาดครึ่งไปหลายสิบต้นด้วยท่วงท่าลื่นไหลงดงาม
เซียนซีหยางพึมพำด้วยสีหน้ามืดหม่น “ต้นไผ่ของผม...อีกหน่อยคงไม่เหลือแม้แต่ต้นเดียวแน่ๆ ...”
แม่นางเจ้าอุทานออกมาหนึ่งคำรบ “เข้...งามมาก จ้าวฉีหลินตัวจริงไม่อายที่ตามจีบเขาเลยเหรอ! ”
“ต้องถามผมสิ หน้าด้านขนาดไหนไปบังคับเขามาแต่งงานเนี่ย” เซียนซีหยางยิ่งคิดน้ำตายิ่งไหล
ทว่าทั้งคู่อยู่ชื่นชมปนริษยาได้ไม่นานก็ต้องกุลีกุจอหลบหนีออกไป เพราะเมื่อครู่ทำให้เขารู้ตัวแล้ว พวกเขากลับไปนั่งจมความคิดกันอยู่ที่เดิม เฉินฝูยกของที่คุณชายสั่งมาพร้อมชาหอมกรุ่น จ้าวฉีหลินอดใจไม่ไหวรีบเปิดชม
“อืมๆ เป็นของจริงๆ”
เซียนซีหยางเริ่มลงมือขีดๆ เขียนๆ อีกครั้งหูก็ฟังแม่นางน้อยอธิบายไปด้วย “หยกเขียวนี่จริงๆ แล้ว คือกีบเท้าของเผ่าอาชามาร ทั้งแข็งแกร่งและมีพลังวิญญาณค่อนข้างสูงมาก ถ้าไม่ได้เป็นพวกนักเล่นแร่แปรธาตุไม่มีทางมองออกหรอก”
“แล้วคุณรู้ได้ไง” จ้าวฉีหลินไม่ได้เป็นนักเล่นแร่ แม้จะมีวรยุทธ์อยู่บ้างแต่ไม่มีทางมองออกในครั้งเดียว อีกอย่างตอนที่นางอยากได้นางยังไม่ได้เห็นมันด้วยซ้ำ
“ด้วยพลังแห่งสปอยล์” นางกล่าวหน้าตาย
“อ้อ...”
เซียนซีหยางพลันหมดคำพูด
“จ้าวฉีหลินไม่ค่อยมีสมอง พอเห็นพระเอกในดวงใจจะข้ามเขตไปปราบมารก็ติดตามไปด้วย เหอะ! นอกจากไปเป็นตัวถ่วงแล้วจะทำอะไรได้อีก แม่นางน้อยคนนี้เลยถูกเผ่าอาชามารสับตายคาที่ อนาถมากขอบอก ก่อนเวลานั้นมาถึงฉันจะเก็บเอาไว้ รออัปสกิลเรียบร้อยก่อน นี่เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการสร้างอาวุธ”
“คุณจะทำอาวุธ? เดี๋ยวสิ งั้นคุณไม่ต้องตามพระเอกไปก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ” เซียนซีหยางแย้งขึ้น
“เฮ้อ~ น้องชาย นายนี่ไม่รู้อะไรเลย เกอเกิดใหม่อยากเป็นเทพสงคราม เวลามีสงครามไม่เข้ารบแล้วมันจะไปมีความหมายอะไร อีกอย่างไอ้เรื่องรนหาที่ตายแบบนี้ก็เป็นงานถนัดของพวกตัวประกอบอยู่แล้ว”
“งานถนัดบ้านคุณสิ! แบบนี้ไม่เรียกหาหนทางเอาชีวิตรอดแล้ว คุณอยากตายมากก็อย่าลากผมลงไปด้วยสิ! ” พอเห็นเซียนหยางโวยวาย จ้าวฉีหลินก็เข้าโหมดจริงจัง
“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนนายยังไม่ได้ตัวเสียเยี่ยมาด้วยซ้ำจะรู้ได้ยังไงว่าเนื้อเรื่องต่อไปจะเป็นไปตามนักเขียนลิขิตหรือเปล่า ถ้าพวกเรามีสิทธิ์เลือกไม่เข้าร่วมได้ก็ดีไป แต่ถ้าความเสียหายกระจายเป็นวงกว้างต่อให้ไม่อยากก็ไม่มีทางเลือก ถึงตอนนั้นนายจะทำยังไง”
ก็เหมือนจะมีเหตุผล...คุณชายสามพูดไม่ออกอีกแล้ว
เมื่อเห็นเขาเงียบไปจ้าวฉีหลินก็ถามต่อว่า “ขนเซียนนี่นายจะถักเมื่อไหร่” เมื่อเอ่ยถามถึงเรื่องนี้ เซียนซีหยางก็หดหู่ลง “ผมว่าจะแอบเอาไปถักตอนอาบน้ำ ช่วงนั้นน่าจะปลอดภัยสุด และคงต้องรีบถักให้เสร็จในคืนเดียว”
จ้าวฉีหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “หากนายคนปัจจุบันสลัดหลัวซาไม่หลุด งั้นก็ให้เซียนซีหยางเมื่อก่อนจัดการซะสิ”
ให้เซียนซีหยางจัดการ? “คุณหมายความว่า...”
“เมื่อก่อนนายทำให้เขาเกลียดยังไง ตอนนี้ก็ทำแบบเดิม”
“จะให้ผมลดสติปัญญาลงกลายเป็นเซียนซีหยางแบบฉบับดั้งเดิมน่ะเหรอ” เซียนซีหยางตาโต
จ้าวฉีหลินแยกเขี้ยวใส่ “ไม่ใช่เฟ้ย ฉันหมายถึงนายแค่ต้องกลับไปเกาะแข้งขาพระเอกเรียกเองเออเองว่า สามีของข้าๆ เท่านั้น นายบอกมาสิ ถ้ามีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาบังคับนายแต่งงานแล้วเรียกนายว่าสามีจะรู้สึกยังไง”
นึกตามแล้วก็ขนลุกเกรียวบวกอยากอาเจียนด้วย “ไอเดียไม่เลวผมจะเก็บไว้พิจารณา”
จากนั้นเซียนซีหยางก็นึกขึ้นได้ “จริงสิ เมื่อเช้าผมถามเฉินฝูแล้ว เขายังไม่ได้เอาเงินพนันส่งให้คุณ จะเอากลับไปเลยไหม”
จ้าวฉีหลินส่ายหน้า “นายเก็บเอาไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นค่าเหนื่อย ฉันได้กีบอาชามารก็พอใจแล้ว” ยังไงนางก็ไม่ใช่คนงก อีกฝ่ายช่วยเอาไอเทมลับหายากมาให้ทั้งยังบาดเจ็บ จะรับเงินไปก็น่าเกลียดไปสักหน่อย แต่เซียนซีหยางก็เสนอว่า
“เงินไม่น้อยเลยนะ ยังไงคุณก็ลงขันมากกว่าผมไม่งั้นเก็บไว้สักส่วนก็ได้”
คุณหนูจ้าวเหล่มองเขา เห็นท่าทางคำพูดไม่ได้กล่าวพอเป็นพิธีก็ตกลงรับไว้ส่วนเดียว ในใจรู้สึกถูกชะตากันอย่างบอกไม่ถูก “จริงสิ คนในบ้านของนายรู้เรื่องที่ขึ้นประลองจนบาดเจ็บแล้วหรือยัง ทำไมปฏิกิริยาถึงได้เฉื่อยชากันจัง”
“ผมบอกไปว่าแค่ตกจากหลังม้า ขอไม่ให้หลัวซาบอกพวกเขาด้วย”
“เพื่อ?”
“มันน่าอายออกนี่นา ผมถูกแทงแถมตกจากเวทีอีก”
“เหอะๆ ตามใจนายละกัน แล้วเรื่องยันต์ไปถึงไหนแล้ว”
“พึ่งเริ่มไม่นาน ผมไม่ถนัดการใช้พู่กันเลยอะ แต่หาเท่าไหร่ที่นี่ก็ไม่มีปากกาขนนกให้สักอัน” เซียนซีหยางถนัดการเขียนแถมลายมือไม่เลว ทว่าไม่เคยใช้พู่กันขนนุ่มนิ่มมาก่อน ลงมือหนักไปเส้นก็แตก หมึกหยดเลอะเต็มยันต์จนใช้งานไม่ได้แล้ว เวลานี้เขาเพียงพยายามลอกให้เหมือนยันต์ต้นฉบับอย่างง่าย ยังไม่ได้นำมาลองใช้เลยด้วยซ้ำ
“เรื่องนั้นฉันพอช่วยได้ ที่บ้านสกุลจ้าวมีของสะสมหายากอยู่เยอะ น่าจะหาให้ได้” จ้าวฉีหลินหยิบยันต์ที่เขาลอกมาดู “แต่คงไม่ทันช่วงสองวันนี้ ฉันว่านายใช้นิ้วเขียนน่าจะดีกว่า นิ้วคุณชายไม่ได้จับอาวุธเช่นนายทั้งเรียวทั้งสวยใช้งานได้แน่”
เซียนซีหยางมองสำรวจปลายนิ้วตัวเองก็ลองเอามาจุ่มหมึก เขียนลงบนกระดาษยันต์ พบว่าเขียนได้ดีกว่ามากจริงๆ “แค่ใช้งานได้ก็พอน่า”
จ้าวฉีหลินเห็นเขาเขียนเสร็จก็รีบถาม “นี่คือยันต์อะไร”
“ยันต์ไฟ” คุณชายเซียนเช็ดมือลวกๆ เอามาลองใช้งาน เมื่อขว้างออกไปก็พบว่าไม่อะไรเกิดขึ้น แผ่นยันต์ร่อนลงพื้นเงียบๆ “ยังใช้ไม่ได้หรือ” เขาค่อนข้างผิดหวังหลังจากนั้นก็พบว่ามันน่าผิดหวังตรงไหน พึ่งหัดใช้ครั้งแรกจะหวังผลเลยคงยาก หว่านเมล็ดวันเดียวจะให้ใบงอกคงเป็นไปไม่ได้
เซียนซีหยางจึงลอกอยู่นานแต่ก็พบว่าใช้งานไม่ได้สักแผ่น บัดนี้เหลือแผ่นสุดท้ายก็ห่อเหี่ยวแล้ว
จ้าวฉีหลินนั่งหาวหวอดๆ ดูเขาฝึกยันต์แต่ขว้างจนกระดาษเต็มพื้นก็ไม่มีอะไรปรากฏ สุดท้ายจึงเอ่ยออกมาว่า “หรือว่ายันต์ก็ต้องใช้ลมปราณ นายช่วยใส่พลังอะไรสักอย่างลงไปหน่อยได้ไหม”
“แต่นี่มันยันต์ชาวบ้านธรรมดาๆ เลยนะ” เซียนซีหยางรีบแย้ง เขาเขี่ยนิ้วเปื้อนหมึกลงบนยันต์แผ่นสุดท้ายอย่างเซ็งๆ หรือว่าตนไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลย?
สุดท้ายเขียนบนยันต์เป็นตัวจีนภาษาปัจจุบันคำว่าอะไรก็ไม่ทราบ เซียนซีหยางขว้างออกไปเล่นๆ ครู่หนึ่งแผ่นยันต์เผาไหม้เกิดปรากฏการณ์ที่คาดไม่ถึง
หวีด....ตูม!!!
ซ่า!!
“ (O.O!! ) ” จ้าวฉีหลิน
“∑ (o0o!!! ) ” เซียนซีหยาง
เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจึงขอย้อนสโลว์โมชันสักเล็กน้อย เมื่อครู่ตอนที่ขว้างแผ่นยันต์ออกไป มันได้เผาไหม้ตัวเองด้วยไฟสีแดง จากนั้นก็เกิดลำแสงประหลาดคล้ายแสงเลเซอร์ออกจากแผ่นยันต์พุ่งลงที่สระบัวระเบิดเป็นเอฟเฟคตระการตาจนน้ำในสระพุ่งสูงสาดกระจาย
จ้าวฉีหลินเห็นอานุภาพยันต์แผ่นนี้ก็ฟันธงว่ามันไม่ใช่ยันต์ชาวบ้านใช้ นางคว้าคอเสื้อคุณชายมาเขย่ารัวๆ “มะ มะ เมื่อกี้นายทำได้ยังไง!! ไอ้นั่นมันอะไร!! ”
เซียนซีหยางถูกเขย่าเป็นลูกป๋องแป๋งยังอยู่ในสภาพช็อก เขากล่าวเสียงสั่นว่า “ผะ ผมแค่เขียนไปเรื่อยเปื่อยเพราะยันต์มันเลอะแล้ว...”
“นายเขียนยันต์อะไรไป”
“แอ็คชั่น บีม...”
“ห้ะ?”
“มันเป็น...ท่าไม้ตายของหน้ากากแอ็คชั่นที่ชินโนะสุเกะเอามาเล่นกับเพื่อน”
“หน้ากากแอ็คชั่น? ชิน...โนะสุเกะ?”
“คุณไม่เคยดูเรื่องเครยอนชินจัง ของอาจารย์โยะชิโตะ อุซุอิเหรอ”
“...”
ท่าประจำของตัวละครเด็กอนุบาลกลายเป็นท่าใหญ่ที่ทำเอาสระบัวเละไปค่อนสระ ทั้งสองคนยังช็อกค้างไม่หาย หลัวซาก็เอาดาบปราบมารพุ่งมาจากด้านหลัง “เกิดอะไรขึ้น?”
ทั้งคู่สะดุ้งกอดกันกลม เซียนซีหยางยังไม่ทันนึกข้อแก้ตัว ท่านมือปราบผู้นี้ก็เหลือบไปเห็นซากกระดาษยันต์เปื้อนหมึกเลอะเทอะกระจายเต็มโต๊ะ “พวกเจ้าทดลองยันต์?”
จ้าวฉีหลินพลันได้สติ สลัดเซียนซีหยางออกก็รีบแก้ตัวว่า “พวกเราทดลองฝึกซ้อมยันต์กันอยู่ เมื่อครู่ผิดพลาดไปหน่อยยันต์เลยระเบิด”
“พลาดระเบิด?” หลัวซามองความเสียหาย คิ้วคมหมุนเข้าหากัน พลาดอย่างไรมือใหม่ถึงได้ทำสระระเบิดเช่นนั้น เขาปักดาบสีดำเอาไว้เดินเข้ามาสำรวจคุณชายสาม พอเห็นว่ามือเปื้อนหมึกก็เดาได้ว่าใครเป็นคนทำ จากนั้นถึงได้ทักทายจ้าวฉีหลินพอเป็นพิธี “สวัสดีคุณหนูจ้าว”
จ้าวฉีหลินเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเห็นว่าคุณชายเซียนบาดเจ็บเพราะข้า ก็เลยมาเยี่ยมเยือน”
“บาดเจ็บเพราะคุณหนู?”
“ใช่แล้ว ของรางวัลในงานประลองเมื่อวานข้าอยากได้เองจึงขอร้องคุณชายให้ช่วยเหลือ ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนั้น อย่างไรก็รบกวนมือปราบหลัวดูแลด้วย ท่านเป็นสามีของเขามิใช่หรือ” กล่าวเช่นนี้ จ้าวฉีหลินหวังจะให้หลัวซาแสดงอาการอึดอัด รังเกียจเซียนซีหยาง เป็นการช่วยให้เขาอยากหย่าขาดได้เร็วขึ้น แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหลัวซาจะรับคำง่ายๆ “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
เชี่ย...
จ้าวฉีหลินยิ้มค้าง มองคุณชายสามที่ครึ่งหน้าขีดเป็นเส้นตรงอย่างเห็นใจ
“เกิดอันใดขึ้นในบ้านข้า! มีมารบุกหรือ! ”
เสียงกัมปนาทของเซียนหลี่ทำเอาต้นเหตุสองหน่อสะดุ้งโหยงพร้อมกัน เซียนซีหยางตะลีตะลานเก็บแผ่นยันต์เต็มพื้นแทบไม่ทัน ทว่าคว้าได้สามแผ่นเจ้าบ้านเซียนก็รุดหน้ามาถึงแล้ว ด้านหลังยังมีเซียนอวี้เฉิง พี่ชายคนโตของเขาและเด็กในสังกัดอีกหลายคน
“ชิบหาย...พวกเราเริ่มแผนการหนีตายกันตอนนี้เลยดีไหม” จ้าวฉีหลินกระซิบ
“คุณคิดว่าจะหนีจากดาบเซ่อหุนของหลัวซาได้เหรอ” เซียนซีหยางกระซิบตอบ
“ซีหยาง เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เซียนหลี่ซังเค้นบุตรชายคนเล็กของตนก่อน ทว่าพอเห็นกระดาษยันต์ปลิวว่อน เนื้อตัวเปื้อนหมึก เขาก็เลิกคิ้วแปลกใจ “เจ้าใช้ยันต์หรือ”
“ข้าเพียงแต่ลองดู เมื่อครู่ไม่ทันระวังทำแผ่นยันต์ระเบิด ขะ ข้าขอโทษขอรับ” ก้มหน้ารับโทษไปสิ หลักฐานคาตาเช่นนี้จะเอาอะไรมาแถ
จ้าวฉีหลินรีบช่วยเขาแก้ตัว “เป็นข้าที่อยากดูเอง คุณชายพึ่งเริ่มฝึกข้าก็อยากให้เขาเอามาอวด เอ่อ เรื่องค่าเสียหายขอให้ส่งไปสกุลของข้า...”
เซียนหลี่ซังปัดมือ “เพียงแค่นี้เท่าไหร่กันเชียว ข้าเพียงแต่แปลกใจที่เขาใช้ยันต์ได้” จากนั้นก็หยิบกระดาษยันต์ที่ตกพื้นแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู ปรากฏว่าลายมือช่างอุบาทว์จนต้องขมวดคิ้ว “หากจำไม่ผิด ลายมือเจ้าไม่น่าจะดูไม่ได้เช่นนี้”
“แค่กๆ ข้าขยับแขนไม่ค่อยถนัด”
“มิใช่ว่าจับพู่กันไม่เป็นหรือ” หลัวซาเอ่ยขึ้น ในมือของเขามายันต์แผ่นแรกที่เซียนซีหยางใช้พู่กันเขียนอยู่
สายตาจับผิดอะไรเยี่ยงนั้นพ่อคุณ...ไอ้นักเขียนจะลดไอคิวมันลงหน่อยไม่ได้หรือไง
เซียนอวี้เฉิงแม้ข้องใจว่าจ้าวฉีหลินเหตุใดมาอยู่ที่นี่ แถมยังดูไม่เหมือนคนที่เคยเป็นอริกับน้องชายต่างมารดาของตน ก็สอบถามว่า “บาดเจ็บกันหรือไม่”
หลังจากที่ส่ายหน้ากันเป็นลูกป๋องแป๋ง พี่ชายใหญ่ก็เรียกคนมาเก็บกวาด เฉิงฝูเมื่อครู่ออกไปนับเงินให้คุณหนูจ้าวไม่ทันได้เห็นเหตุการณ์ ออกมาอีกทีสระบัวก็เละเป็นโจ๊กไปเสียแล้ว เขารีบเอาผ้าสะอาดมาให้คุณชายของตนเช็ดมือ เจ้าบ้านสกุลเซียนอยากจะไต่สวนเซียนซีหยางอีกสักหน่อย แต่ติดว่ามีคนนอกอยู่ด้วยจึงไม่สะดวก ไหว้วานให้เซียนอวี้เฉิงจัดการ ส่วนตนมีธุระต้องออกไปเจี้ยงฉาง
หลัวซาเทียบสายตากับยันต์สองแผ่นก็รู้ว่าแผ่นหนึ่งใช้พู่กันส่วนอีกแผ่นใช้ปลายนิ้ว แผ่นที่ลงด้วยนิ้วมือลายเส้นงดงามกว่ามาก ไม่บิดเบี้ยว มั่นคง ทว่าเมื่อก่อนเขาเคยเห็นเซียนซีหยางเขียนตัวหนังสือด้วยพู่กันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร
คุณชายสามรู้ตัวว่าถูกสงสัยเหงื่อก็แตกพลั่ก เขาไม่ห่วงที่ต้องใช้ยันต์ต่อหน้ามือปราบเพราะเป็นยันต์คุ้มภัยอย่างง่ายเอาไว้ป้องกันตัวที่ใครๆ ก็ใช้ได้ ทว่าลายมือเป็นสิ่งสำคัญ เขาย่อมไม่มีทางรู้ว่าลายมือของเซียนซีหยางเป็นเช่นไร ตัวประกอบรากหญ้าไม่จำเป็นที่นักเขียนจะต้องใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้นลงในนิยาย ดังนั้นสายตาประหนึ่งโคนันของหลัวซา ทำให้เขาร้อนๆ หนาวๆ
หรือจะต้องงัดเอาท่าประจำของคุณชายสามเวอร์ชันก่อนมาใช้จริงๆ ?
“สามีท่านเหนื่อยไหม สามีท่านหิวหรือไม่...สามีข้ารักท่าน สามี....” โอ้ก!! ทำใจไม่ได้! หากต้องเรียกหลัวซาว่าสามียังงั้นสามียังงี้ ก็หมายความว่าเขายอมรับตนเองเป็นภรรยาน่ะสิ
ฝันร้ายชัดๆ
“ข้าเซียนอวี้เฉิง ขอเชิญคุณหนูจ้าวอยู่ทานอาหารด้วยกัน” เซียนอวี้เฉิงเทียบเชิญแขกแต่หน้าตานิ่งไม่บอกอารมณ์ไม่รู้ว่าที่พูดเมื่อกี้แค่พอเป็นพิธีหรือเปล่า แต่นั่นไม่สำคัญ จ้าวฉีหลินไม่สะดวกจะรับมือคนสกุลเซียนที่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ชอบขี้หน้านางนัก เพียงแต่มีธุรกิจร่วมกันเฉยๆ จึงเมินสายตาขอความช่วยเหลือของเซียนซีหยางหลบหนีเอาตัวรอดออกไปก่อน
ระหว่างกำลังกลับก็ไม่ลืมกำชับเขาอย่างจริงจัง “พระเอกติดสกิลแล้วอันตราย แต่หลัวซาตอนนี้ยังไม่ได้ผ่านการอัพสกิลพระเอก นายยังมีโอกาส” จากนั้นตบลงที่บ่าทั้งสองข้างของเขา “เมื่อกี้ลองหยั่งเชิงดูแล้ว สรุปว่ารับมือยากมากต้องขออำลาก่อน นายก็สู้ๆ นะ”
“อย่าพูดเหมือนคุณไปเจอบอสลับแล้วสู้ไม่ไหวก็มาฝากเพื่อนร่วมทีมที่เวลต่ำกว่าสิ ผมพึ่งคุณอยู่นะ” เซียนซีหยางมาส่งแม่นางน้อยหน้าบ้านคนเดียวย่อมโวยวายได้
จ้าวฉีหลินถอนหายใจ “เกอจะพยายามรีบอัพสกิล พอถึงตอนนั้นนายค่อยมาหลบหลังเกอก็แล้วกัน”
“นี่คุณอยู่ค้างไม่ได้เหรอ” เซียนซีหยางอยากลงไปกอดขานางด้วยซ้ำ เขารับมือหลัวซาที่ไม่เล่นตามบทไม่ไหว
จ้าวฉีหลินส่ายหน้า “เกอเป็นกุลสตรีนะ ชื่อเสียงแม่นางน้อยจ้าวก็ต้องรักษายังไม่ทันแต่งเข้า จะไปอยู่ร่วมชายคากับชายอื่นได้ยังไง”
เซียนซีหยางเหล่มอง “คุณไม่ต้องมาเสแสร้ง ความเป็นกุลสตรีของคุณมันติดลบไปตั้งแต่เข้าวงพนันแล้ว! ”
สุดท้ายหลังบอกลาจ้าวฉีหลิน เขาต้องคิดหาคำอธิบายเหมาะๆ ไว้ตอบคำถามบิดา ทว่าสมองยังไม่ทันจะทำงาน เซียนอวี้เฉิงก็เป็นฝ่ายดักถามเขาเอง
“เจ้าคิดจะกระทำอันใด” สายตาของพี่ใหญ่ไม่เป็นมิตรอย่างมาก เขาเองก็คงไม่ชอบน้องชายต่างมารดาผู้นี้ ทว่าเซียนซีหยางไม่รู้จักนิสัยพี่ชายคนโตสักเท่าไหร่ ในนิยายไม่ได้กล่าวถึงเขามากมายอาจจะน้อยกว่าเฉินฝูด้วยซ้ำไป
คุณชายสามจึงตอบด้วยความละอาย “ข้าเพียงแต่...อยากใช้ยันต์ให้ได้เท่านั้น ไม่ได้คิดจะพังบ้านสกุลเซียนสักนิด พี่อวี้เฉิง โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
เซียนอวี้เฉิงคล้ายไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรขึ้นมากะทันหัน เมื่อก่อนน้องชายผู้นี้ไม่เคยอยู่ในสายตา แม้ตอนเด็กจะเคยเล่นด้วยกันบ้างแต่นั่นมันก็นานมากแล้ว เซียนซีหยางคนนั้นเป็นเช่นไรเขาจำไม่ได้
พอเห็นว่าพี่ใหญ่เงียบไปเขาจำต้องพูดเยอะอีกหน่อย “พี่อวี้เฉิง ข้าแค่อยากปรับปรุงตัว หากมีวิชาติดตัวไว้บ้างยามพบผู้คน สกุลจะได้ไม่ต้องขายหน้าเพราะข้า”
นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้แล้วมั้ง เซียนซีหยางคิดเช่นนั้น
“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ” เซียนอวี้เฉิงเห็นเขาพยักหน้าก็อดจับคางเขาขึ้นตรวจสอบไม่ได้
น้องชายผู้นี้ใบหน้าคล้ายมารดาเกินไป เวลานี้มีเค้าโครงคล้ายเด็กชายตัวน้อยในความทรงจำเมื่อนานมาแล้วของเขา เซียนอวี้เฉิงพึมพำเบาๆ อย่างไม่ค่อยมีสติว่า “เมื่อก่อนเจ้ามักจะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่...”
แต่ในระยะประชิดขนาดนี้ เซียนซีหยางย่อมได้ยินชัด เขาเดาว่าความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่กับน้องเล็กก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก จึงมีความมั่นใจเรียกเขาออกไป
“แน่นอนพี่ใหญ่! ”
เซียนอวี้เฉิงนิ่งอึ้ง ทว่าเขาไม่รอให้พี่ใหญ่ได้สติรีบเผ่นหนีไปก่อน “ข้ายังต้องไปเก็บของที่เรือนอีก ไว้ค่อยสนทนากันนะพี่ใหญ่! ”
เซียนซีหยางจงใจเน้นคำว่า พี่ใหญ่ ชัดๆ
หลังเขาวิ่งหนีหายไปแล้ว เซียนอวี้เฉิงก็ได้สติ รอยยิ้มเล็กๆ เกิดขึ้นที่มุมปาก
เซียนซีหยางตรงดิ่งมาเรือนหลัง พอมาถึงก็เห็นหลัวซากำลังเก็บซากยันต์เน่าๆ ของเขาที่กระจายอยู่เต็มพื้น คุณชายสามไม่มีทางเลือก สูดลมหายใจพร้อมเผชิญหน้ามือปราบ นั่งย่อลงช่วยเขาเก็บยันต์ มือเก็บไปในหัวก็หาข้อแก้ตัวไปด้วย
“อาหลัว เรื่องยันต์นี่...”
“เจ้าได้มาจากที่ใด” ยังไม่ทันจบประโยคหลัวซาก็ตัดบทเขาด้วยคำถามที่ตอบยาก “เมืองอู๋ฉิงไม่ค่อยมีคนใช้ยันต์เป็นอาวุธ ซ้ำยังไม่มีสำนักปราบมารตั้งอยู่ในเมือง แต่เจ้ากลับหามาได้ทั้งกระดาษเปล่าแล้วก็ตำราเล่มนั้น ได้มาจากที่ใด”
น้ำเสียงคล้ายกำลังสอบสวนนักโทษ ทำให้เซียนซีหยางใจแป่ว “ขะ ข้า เมื่อวานเจอร้านโดยบังเอิญ”
“บังเอิญหรือ” หลัวซาย่อมไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรต่อ เขาครุ่นคิดจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูด หันมาวิจารณ์ยันต์ที่เซียนซีหยางเขียน
เขารู้ดีว่าหลัวซาไม่ได้เชื่อ เขาเพียงแค่ปล่อยไปก่อน เหมือนแมวหยอกหนู รอดูว่าคุณชายสามจะหลุดอะไรออกมาอีก
“ข้าจำได้ว่าลายเส้นของเจ้าดูดีกว่านี้”
เช่นเรื่องลายเส้นลายมือของเซียนซีหยาง ทำให้เขาปวดขมับอย่างมาก คุณชายแถสีข้างถลอก “จู่ๆ ข้าก็ลืมวิธีเขียนพู่กัน” จากนั้นก็นึกได้ว่าจ้าวฉีหลินแนะนำอย่างไร จึงงัดเอาความหน้าด้านหน้าทนออกมาใช้ เข้าเกาะแขนของหลัวซา ใช้สายตาและน้ำเสียงเหมือนกำลังอ้อนขอขนม “ไม่ทราบว่า...สามีจะช่วยฝึกให้ได้หรือไม่”
เจอความเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกินไปเช่นนี้ ต่อให้เป็นหัวหน้ามือปราบที่โหดเหี้ยมอย่างหลัวซาก็แอบขนลุกอยู่บ้าง ทว่าพอมองเจตนาของเซียนซีหยางออก ครู่ต่อมาถึงได้กระตุกยิ้มมุมปากวูบหนึ่ง “อืม”
อืม? อืมอันใดหรือท่าน!
เซียนซีหยางพลันถอยสองก้าว ทว่าข้อมือถูกยึดแน่นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ อีกฝ่ายกระตุกเบาๆ ก็ดึงเขาประชิดตัวเองได้แล้ว “เริ่มคืนนี้เลยเป็นเช่นไร”
“เริ่ม?”
“เจ้าลืมวิธีเขียนพู่กันมิใช่หรือ ข้าจะเริ่มสอนให้คืนนี้” หลัวซากล่าวเช่นนั้นมีจุดประสงค์จะยั่วเขาใช่หรือไม่!
เซียนซีหยางเกือบลืมวิธีพูดไปด้วย
.....
คืนนั้นคุณชายสามโดนเจ้าบ้านสกุลเซียนไต่สวนจนพอใจ ก็ได้รับการสนับสนุนเป็นค่าตอบแทน เมื่อเซียนหลี่ซังเห็นบุตรมีพัฒนาการก็ย่อมสนับสนุน กระดาษเปล่าที่หมดไปจึงไม่ต้องออกไปซื้อเอง พรุ่งนี้จะมีส่งมาให้เขาใช้ถึงที่ หลังจากนั้นเซียนซีหยางก็แอบเอาขนเซียนจิ้งจอกเข้าไปถักตอนอาบน้ำ ใช้เวลาอยู่หนึ่งชั่วยามก็เสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แม้ว่าหนึ่งชั่วยามนี้จะทำให้เฉินฝูต้องคอยเคาะประตูเรียกอยู่หลายครั้ง เพราะคิดว่าคุณชายจะเป็นลมจมน้ำในอ่างไม้ตาย
ด้ายขนเซียนมีขนของจิ้งจอกเก้าหางอยู่หลายสิบเส้นที่เหลือเขาใช้ไหมราคาแพงที่ทนทานหน่อย ถักผสมกันออกมาเป็นสร้อยข้อมือหนึ่งเส้น เซียนซีหยางเก็บมันไว้กับเฉินฝูเช่นเดิม กะว่าพอถึงเวลาประลองที่เจี้ยงฉางถึงจะใส่มันไป
หลังจากซวนเซออกจากอ่างน้ำ เดิมทีเขาคิดจะเข้านอนเลย แต่ไม่นึกว่าหลัวซาจะเอาคำพูดของเขามาเป็นจริงเป็นจัง ตั้งโต๊ะฝนหมึกรอเขาอยู่ข้างเตียง
“เอ่อ อาหลัวนี่ก็ดึกมากแล้ว...” ข้าว่าเจ้าออกไปนอนข้างนอกเถอะนะ...ประโยคนี้ติดอยู่ที่ปากไม่กล้าถ่ายทอดออกไป
หลัวซาตรวจสอบปลายพู่กันกล่าวว่า “เป็นเพราะเจ้าอาบน้ำนานเกินไป รีบมานั่งสิ” ดวงตาคมตวัดมองอย่างตำหนิ คล้ายด่าเขาว่า อาบนานขนาดนี้ เจ้าเป็นสตรีใช่หรือไม่
เซียนซีหยางจนใจ จำต้องลงไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา กระดาษแผ่นใหญ่เลื่อนมาตรงหน้าพร้อมพู่กัน “ลองเขียนสักตัวให้ข้าดู”
เหอะๆ เขียนแค่ตัวเดียวความก็แตกแล้วมั้ง เขาคิดแต่ก็หยิบพู่กันจุ่มหมึกดำ บรรจงเขียนบนกระดาษ
เซียนซีหยางเขียนคำว่า ‘ไฟ’ ซึ่งเป็นตัวอักษรง่ายๆ ปรากฏว่าเส้นโค้งยังเบี้ยว หมึกที่จุ่มเยอะเกินไปหยดเป็นดวงๆ หลัวซามองครั้งเดียวก็รู้ว่าเขาจับพู่กันไม่ถูกต้องและกะน้ำหนักเส้นไม่ได้ เหมือนคนไม่เคยใช้มาก่อน
“เบามือหน่อย มิต้องจุ่มหมึกจนถึงโคนเช่นนั้น”
เซียนซีหยางเห็นเขาชี้แนะไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรจะต้องดึงดันอีก ยอมรับการสั่งสอนแต่โดนดี ทว่าคราวนี้ทำตามที่บอก เส้นคำว่าไฟ เล็กและหยัก เหมือนเกร็งมือมากเกินไป ทำให้เส้นไม่เป็นธรรมชาติ หมึกก็จุ่มเติมหลายครั้งจนคุณชายสามขมวดคิ้วไม่ได้ดั่งใจ
เมื่อก่อนใครๆ ก็บอกว่าลายมือฉันสวยมาก ซ้ำยังควงปากกาเก่งด้วยนะเว้ย
หลัวซาเห็นเขาเขียนจนหมดหน้ากระดาษแล้วเริ่มหงุดหงิด จึงย้ายมานั่งฝั่งเดียวกัน หลังจากวางกระดาษแผ่นใหม่ลงบนโต๊ะก็ใช้พู่กันจุ่มหมึกให้เขาดูให้เขาถือ หลัวซาจับมือของเขาบรรจงเขียนคำว่าไฟลงบนกระดาษ ประคองน้ำหนักให้เขารู้ เหมือนสอนเด็กๆ อย่างไรอย่างนั้น
เซียนซีหยางเห็นว่าลายเส้นดีขึ้นมากก็แอบจดจำไว้ ไม่ได้สังเกตว่าพวกเขานั่งใกล้ชิดกันเพียงใด หลัวซาทาบทับอยู่ด้านหลัง กระซิบถามว่า “จับพู่กันครั้งแรกเป็นเช่นไร”
“ก็ดี...! ” ด้วยความที่ใช้สมาธิมากไปหน่อย เขาจึงตอบไปตามสัญชาตญาณไม่ทันได้คิดวิเคราะห์ก็ตกหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุดดักไว้แล้ว “เอ่อ ขะ ข้า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น! ”
พอจะแก้ตัวก็พบว่าทั้งคู่นั่งเบียดกันอยู่ข้างเดียว เซียนซีหยางแสนจะอึดอัดใจเหลือเกิน
พี่ครับ ลุกออกไปหน่อยเถอะ เข้ามาอีกก็สิงร่างผมแล้วนะ!
หลัวซาไม่ได้รอให้เขาแก้ตัวเสร็จ พยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะลุกออกไปนั่งที่เดิมได้ราวกับอ่านใจ เพียงแต่เขาไม่ได้อ่านใจ เขาเพียงแต่ปล่อยไปก่อนต่างหาก มือปราบกล่าวว่า “คัดชื่อตัวเองจนกว่าลายเส้นของเจ้าจะนิ่ง”
วางกระดาษปึกหนึ่งลงตรงหน้า เซียนซีหยางพึ่งรอดตายมาได้รีบคว้ากระดาษมาเขียนเพื่อที่ตนจะได้ไม่ต้องสนใจเขา
แรกๆ ลายเส้นก็ย่ำแย่ ทว่าพอผ่านมาสักพักก็เริ่มดีขึ้น จนกระทั่งแผ่นกระดาษหมดไปครึ่งหนึ่งลายเส้นของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว บางเส้นก็ลากเลยขอบกระดาษแถมยังช้าลงเรื่อยๆ หลัวซามองลายเส้นตัวอักษรของเขาแล้วก็เงยหน้ามองเจ้าของลายเส้น ภาพตรงหน้าดูอัศจรรย์พิลึก
เซียนซีหยางนั่งสัปหงก คอพับลงด้านหน้า ด้านข้าง ดวงตาก็ปิดสนิท หนำซ้ำน้ำลายยังไหลยืดลงมา นี่ไม่ใช่การงีบ แต่ดูท่าแล้วน่าจะหลับลึกไปเลยมากกว่ากระมัง
นั่งหลับสนิทเช่นนี้ตัวกลับไม่ได้ไหลลงไปกองบนโต๊ะ ช่างน่านับถือเสียจริง
หลัวซาคิดอยากจะใช้นิ้วจิ้มเขาสักสองที ดูว่าจะยังทรงตัวอยู่ได้หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ทำ เขาดึงพู่กันออกจากมืออีกฝ่าย อุ้มร่างปวกเปียกอ่อนย้วย วางนอนบนเตียงดีๆ ไม่คาดว่าหัวคุณชายถึงหมอนเขาก็วาดมือไม้สะเปะสะปะควานหาผ้าห่ม จากนั้นก็ม้วนห่อตัวเองเป็นรังไหม เหลือเพียงเส้นผมที่ลอดออกมา
นี่คือท่านอนประจำของเขา?
หลัวซาย่อมไม่รู้มาก่อนว่า พนักงานกินเงินเดือนที่โหมงานทั้งวันทั้งคืนให้ทันเดดไลน์มีสกิลการนั่งหลับอย่างยอดเยี่ยมและการตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอกในวันหยุดก็เยี่ยมยุทธ์ไม่แพ้กัน ดังนั้นเมื่อเห็นท่านอนไม่ได้สำรวมกิริยาเช่นคุณชายก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะดีไหม
คนแปลกหน้าผู้นี้คือใครกัน?
คำถามที่อยู่ในใจของเขารอให้ค้นหา แต่หลัวซาไม่ได้รำคาญที่ลองทำเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ดูสักครั้ง
ก็แค่คุณชายอ่อนแอผู้หนึ่ง เล่นสนุกกับเขาหน่อยจะเป็นอะไรไป
เหตุการณ์เป็นเช่นนั้นสองวัน จ้าวฉีหลินหลังจากนั้นก็ไม่ได้แวะเวียนมาเยี่ยมเขาอีก เพียงส่งจดหมายมาสองฉบับ ฉบับหนึ่งกล่าวเวลานัดแนะเมื่อถึงวันงาน เผื่อเซียนซีหยางจะไม่ทราบว่าโต๊ะพนันอยู่ตรงไหน ส่วนฉบับที่สองแนบแผนที่เขียนมืออุบาทว์ๆ มาหนึ่งแผ่น เป็นเส้นทางค้าทาสเข้าสู่เปี้ยนไถ ทั้งสองอย่างสำคัญกับเขาทั้งสิ้น
สองวันมานี้เซียนซีหยางฝึกเขียนยันต์ไม่คืบหน้า เขาไม่กล้าเขียนอะไรแปลกๆ ลงไปจึงได้แต่ทำตามตำราแนะนำ ตกดึกหลัวซาก็ลากมาฝึกเขียนพู่กัน ฝึกอยู่ค่อนคืนถึงได้นอน
“หาวว...” เซียนซีหยางปิดปากสงวนท่าทีเล็กน้อย ทว่าการหาวยาวจนน้ำตาซึมบ่งบอกถึงความง่วงอันล้นพ้นของเขาได้อย่างดี หากไม่ติดว่านั่งรถม้าคันเดียวกับพระเอกที่ชักจะหลุดพล็อต เขาจะเอนตัวลงนอนมันข้างล่างซะเลย
เซียนซีหยางลอบมองมือปราบ เห็นเขานั่งหลับตาคล้ายทำสมาธิ ตัวเองก็ทำตามบ้าง ทว่าเขาไม่ได้ทำสมาธิแต่แอบงีบหลับ
หลัวซาลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้าเงียบไปสักพัก ปกติเขานั่งได้ครู่หนึ่งก็ต้องขยับตัวคลายเมื่อย ทว่าตอนนี้นั่งหลับตาพริ้ม รถม้าโคลงเคลงทำให้หัวของเขาเอียงจวนจะกระแทกกับผนังรถ หลัวซาไม่รู้ในใจคิดเช่นไรย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกับเซียนซีหยางประคองหัวเขาให้พิงไหล่
หลังรถม้าจอดสนิทในเจี้ยงฉาง เซียนซีหยางก็ตื่นมาขยี้ตา ก่อนจะตาเหลือกขึ้นตามลำดับ
อ๊ากก สวรรค์! ก่อนงีบจำได้แท้ๆ ว่านั่งกันคนละฝั่ง ทำไมกลายเป็นว่าเอาไหล่กิตติมศักดิ์ของพระเอกมาใช้แทนหมอนอิงไปได้เล่า!
“ออกมาได้แล้ว” หลัวซากล่าวเบาๆ ทำให้คุณชายสามจำต้องเช็ดน้ำลายลวกๆ ก่อนจะรีบตามเขาออกไป
ยลโฉมสนามประลองที่ยิ่งใหญ่ของสกุลตัวเอง เจี้ยงฉางมีรูปทรงโครงร่างคล้ายโคลอสเซียม ด้านในบรรจุผู้คนได้หลายสิบพัน ลานด้านล่างตอนนี้ถูกแบ่งเป็นเวทีประลองทั้งหมดหกที่ด้วยกัน เพื่อคัดผู้ประลองหนึ่งร้อยคนแรกให้เหลือครึ่งหนึ่งก่อน ลานจะกลายเป็นเวทีเดียวก็ต่อเมื่อเหลือผู้ประลองเพียงสองคน ขณะนี้ผู้ประลองลงทะเบียนเตรียมตัวกันอยู่ด้านใน เหล่าผู้ชมที่ผ่านการคัดกรองแล้ว ก็ทยอยหลั่งไหลเข้ามาดุจสายน้ำ บรรยากาศโดยรวมถือว่าคึกคักกำลังดี
สกุลเซียนรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพเช่นทุกครั้ง เซียนหลี่ซังหลังลงจากรถม้าก็ตรงไปกล่าวทักทายกับแขกเหรื่อมากหน้าหลายตาทั้งที่เซียนซีหยางรู้จักบ้าง ไม่คุ้นบ้าง
อุ้ย! นั่นคือสกุลกัว! กัวชิวถง ใช่หรือไม่
บุตรสาวเพียงคนเดียวของกัวจื่อกวง นางเอกผู้น่ารักและเด็ดเดี่ยว มีหน้าตาที่ทรงเสน่ห์มาก ดวงตา จมูก ปาก คิ้ว เข้ากับรูปหน้า ผิวพรรณขาวผ่องสะอาดหมดจด ท่วงท่างดงามอ่อนช้อยสมตำแหน่งมาก
แม้ว่าไม่ควรเอานางมาเทียบกับหลัวซา แต่เซียนซีหยางก็อดให้กำลังใจสาวงามที่ต้องมีสามีงามกว่าอย่างนางไม่ได้จริงๆ
ทำเกินไปแล้วนักเขียน อย่างน้อยคุณควรจะให้สิทธิพิเศษกับนางเอกบ้างสิ!
“ท่านอาเซียน กัวชิวถงขอคารวะท่านและคุณชายทั้งสาม” นางกล่าวทักทายผู้ใหญ่อย่างรู้กาลเทศะ ทว่าดวงตาแอบเหลือบมองหลัวซานั้น ฉันก็เห็นนะ เหอะๆ
“มิต้องเกรงใจ แม่หนูกัว ข้ากับบิดาของเจ้าก็คนกันเองทั้งนั้น” เซียนหลี่ซังเห็นนางมาตั้งแต่เด็ก ย่อมต้องเอ็นดูเป็นธรรมดา ยังคิดเสียด้วยซ้ำว่าหากไม่ติดอะไรจะสู่ขอนางให้บุตรคนโต ทว่าพอเห็นสายตาแม่นางชำเลืองมองบุตรชายคนเล็กกับหลัวซา ก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา
“ศิษย์พี่หลัวไม่ได้พบกันเสียนาน” นางส่งยิ้มละลายให้หลัวซา แต่คนที่เคลิ้มกลับเป็นเซียนซีหยาง
ยามแย้มยิ้มของนางเอกก็งามพอสู้ใบหน้าเฉยชาของอาหลัวได้น่า!
หลัวซาพยักหน้าให้นางหนึ่งที เซียนซีหยางเห็นว่าพวกเขามีเรื่องจะสนทนากัน ก็กลัวจะอยู่ทำสาวงามอึดอัด จึงเริ่มมองหาหนทางหนี ก่อนหันซ้ายไปพบสกุลจ้าว เห็นจ้าวฉีหลินสบตามาพอดี
จ้าวฉีหลินคราวนี้มาพร้อมบ้านสกุลตนเอง ถูกบังคับจับแต่งตัวจนงามเช่นนางพญาไม่พอ ยังได้สองบุรุษประกบซ้ายขวา หงุดหงิดจนใบหน้าบิดเบี้ยว พอเห็นเซียนซีหยางสบตากันพอดี ก็ไม่รอช้าถีบสองบุรุษออกไปก้าวฉับๆ มาทางนี้
สองสกุลเห็นคุณหนูจ้าวรีบเร่งตรงมาก็บังเอิญใจตรงกัน เหลือบสายตาไปยังเซียนซีหยาง
ฉันรู้นะพวกนายคิดอะไรอยู่! ในเนื้อเรื่องดั้งเดิมมันก็ประมาณนี้แหละ จ้าวฉีหลินเดินมาปุ๊บก็กระชากฝ่ามือประทับบนแก้มของคุณชายสามอย่างเดือดดาล เซียนซีหยางเวอร์ชันเก่าไม่ได้ตอบโต้ออกจะอับอายเสียด้วยซ้ำที่ถูกเรียกว่าบุรุษแพศยา
แต่ว่าคุณหนูจ้าว ท่าทางเธอเหมือนกำลังจะปรี่เข้ามาตบฉันจริงๆ นะ ช่วยเปลี่ยนท่าเดินให้มันสมหญิงกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ!
ทว่าท่าทีเช่นนี้ทุกคนต่างคุ้นชินกันแล้ว เจ้าบ้านจ้าวยังมาไม่ถึงจึงไม่มีใครคุมคุณหนูเล็กของพวกเขา ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องใดอีก จึงไม่มีใครคิดจะวุ่นวายกับการชิงรักหักสวาทของนาง
แต่หนนี้ไม่เป็นเช่นพล็อตเดิม เมื่อเซียนอวี้เฉิงเดินขึ้นหน้าดันน้องชายของตนไปด้านหลัง หากจ้าวฉีหลินเบรกไม่ทันก็ชนเขาเต็มๆ อย่างแน่นอน
จ้าวฉีหลินไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องในใจของเซียนซีหยาง พอเห็นเป้าหมายถูกเซียนอวี้เฉิงดันไปไว้ข้างหลังก็ขมวดคิ้ว แปลกใจไม่ต่างจากทุกคน จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่งานสังสรรค์ในบาร์ที่อยากทักใครก็ทัก “ข้า...คารวะเจ้าบ้านทุกท่าน ขออภัยจริงๆ ข้าเพียงแต่รีบไปหน่อย”
“คุณหนูจ้าว บิดาของเจ้าเล่า” กัวจื่อกวงไม่ได้ถือเอาความกับนาง ถามหาเจ้าบ้านจ้าวผู้เป็นญาติของตน
จะว่าไปในนิยายบอกว่ากัวชิวถงเป็นญาติผู้พี่ของจ้าวฉีหลินนี่หว่า แต่นิสัยดั้งเดิมต่างกันราวกับฟ้ากับเหว
“ท่านพ่อของข้า แวะทักทายอาจารย์ในสำนัก สักครู่ก็มาถึงเจ้าค่ะ” นางชะเง้อมองด้านหลังของเซียนอวี้เฉิง ก่อนจะใช้จริตมารยาหญิงกับพี่ใหญ่ของเขา “พี่อวี้เฉิง ข้าอยากชวนซีหยางไปชมนอกลาน มิทราบอนุญาตได้หรือไม่เจ้าคะ”
“แค่กๆ” เห็นจริตของแม่นางจ้าว เซียนซีหยางอยากสำลัก ไม่รู้ว่าไส้ในของนางจะแอบกัดผ้าเช็ดหน้าอยู่ไหม
เซียนอวี้เฉิงไม่ได้ตอบนางทันที ทว่าก็ไม่ได้ขยับหนี เขาหันมาถามน้องชายตัวเอง “เจ้าอยากไปหรือไม่”
คุณชายสามรีบตอบ “ข้าอยากไปพี่ใหญ่! ข้านัดเพื่อนไว้แล้วด้วย”
คราวนี้เป็นหลัวซาที่ขมวดคิ้ว “เพื่อนคนใด”
เซียนซีหยางหัวเราะหึๆ “ย่อมเป็นผู้ประลอง”
“โจวเสวี่ยน?” หลัวซา
เซียนซีหยางสะดุดกึก มองเขาเหมือนเห็นเกมเมอร์ที่แอบใช้สูตรโกง
บัดซบ! รู้ได้ไงวะ! จากเดิมมันต้องอีกสิบกว่าตอนเขาถึงจะเห็นโจวเสวี่ยนอยู่ในสายตามิใช่หรือ เซียนซีหยางปากกระตุกหงึก กัดฟันถาม “เจ้ารู้ได้ไง”
“ผู้ที่จับคู่กับเจ้าเมื่อคราวนั้น เหตุใดข้าจะจำหน้ามิได้”
“เช่นนั้นหรือ...” เซียนซีหยางสูดลมหายใจ ส่งยิ้มหวานมอบให้ “เพราะเรื่องคราวก่อน ข้าเลยลงขันข้างพี่โจวให้เข้ารอบชิง...” คุณชายสามวางมือบนแผ่นอกของเขา ยิ้มตาหยี “เจ้าเองก็สู้ๆ แล้วกันนะ สามี”
ตกลงจะเล่นเช่นนี้?
ดวงตาของหลัวซาปรากฏคำถาม ทว่าคนอื่นๆ คล้ายถูกแช่แข็งไปตั้งแต่ที่มือปราบหลัวพูดคุยถามไถ่คุณชายสามไปแล้ว
มิใช่เกลียดบุรุษผู้นั้น? เหตุใดให้เขาวางมือบนอกโดยไม่ปัดออก แม้แต่กัวชิวถงยังอดแปลกใจไม่ได้ เมื่อก่อนหลัวซาเว้นกระทั่งระยะเดินกับเขา อย่าว่าแต่พูดคุย แม้แต่หน้าเขาก็ยังไม่อยากจะมอง เหตุใดยามนี้ถึงได้เปลี่ยนท่าที
หลัวซาไม่ทราบทำคนเป็นใบ้กันไปหมด เขาเอื้อมมือกระตุกเชือกรัดผมของเซียนซีหยาง “เช่นนั้นให้นี่ไว้แทนใจเจ้าก็แล้วกัน”
ไม่มีเชือกผูกรัดเส้นผมกระจายเต็มแผ่นหลัง เซียนซีหยางแทบจะกระโดดคว้าเชือกกลับมา ทว่าช้าไปแล้ว เขาผูกมันไว้ที่ข้อมือขวา
“ผมข้า...ยุ่งเหยิงแน่” เขาพึมพำอย่างเหม่อลอย
บัดนี้ก็ยังไม่ทราบว่าผู้ที่พบเห็นตาโตเป็นไข่เป็ด จ้าวฉีหลินลอบปาดเหงื่อ รู้สึกว่าไม่เจอกันแป๊บเดียว หลัวซาอัพสกิลขึ้นมาอีกขั้น เห็นทีแผนนี้จะไม่ได้ผล หรือว่าเขารู้ตัวแล้วจริงๆ
พอไม่มีเชือกรัดผม เซียนซีหยางคล้ายจะหงุดหงิด เขากล่าวกับทุกคนว่า “ข้าไม่อยู่รบกวนการสนทนาแล้ว ขอตัวสักครู่” จากนั้นก็คว้ามือของแม่นางจ้าว ลากตัวออกมาทั้งอย่างนั้น
ลับสายตาทุกคน จ้าวฉีหลินก็รีบขอโทษขอโพย “ขอโทษที ฉันไม่น่าพรวดเข้าไปแบบนั้น”
“ไม่หรอก คุณมาได้จังหวะพอดี เมื่อกี้เห็นกัวชิวถงไหม”
“เห็นสิ นั่นญาติผู้พี่ของจ้าวฉีหลิน ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ แม่นางน้อยจ้าวสร้างเรื่องมากไปหน่อย”
เซียนซีหยางพยักหน้าเข้าใจ นอกจากคุณชายสามที่โดนนางร้ายผู้นี้เล่นงานแล้วก็ยังมีนางเอกที่ถูกนางรังแกเช่นกัน “ฉันจำไม่ได้ว่านัดพี่โจวไว้นะ พวกนายนัดกันเหรอ”
“ซะเมื่อไหร่ ผมหาข้ออ้างไปงั้นแหละ ไม่นึกว่าหลัวซาจะจำได้ ตอนนั้นเขายังไม่ได้ถามชื่อแซ่กันด้วยซ้ำ”
จ้าวฉีหลินมองเขาอย่างลึกซึ้ง “ท่าทางเขาจะมีความสนใจในตัวนายอยู่นะ ไม่งั้นไม่ยอมให้นายจับหน้าอกได้แบบนั้นหรอก”
“ผม ผมไม่ยักรู้ว่าตัวเองจะน่าสนใจขนาดนั้น ถ้าขนาดนี้ยังสลัดเขาไม่หลุดจะทำยังไง”
“ก็ทำใจไง” จ้าวฉีหลินยักไหล่ นางดันไหล่เขา “ไปๆ โต๊ะตั้งพนันรอบแรกน่ะไม่มีหรอก เราไปหาโจวเสวี่ยนกันเถอะ”
โจวเสวี่ยนหลังลงทะเบียนก็ปะปนอยู่ในผู้ร่วมประลอง ทว่าเขาสวมชุดที่ขาวสะอาด รูปร่างสูงโปร่ง แผลใต้ตาก็เห็นชัด ไม่นานเซียนซีหยางก็เห็นเขานั่งแยกตัวอยู่ใต้ร่มไม้
พี่ชายโจวเห็นพวกเขาลากดึงกันมา ท่าทางลำบากจนดูไม่ได้ คุณหนูจ้าวรวบกระโปรงยาวลากดินขึ้นสูงจนเผยต้นขาก็ว่าแย่แล้ว แต่เซียนซีหยางเหตุใดถึงผมหลุดรุงรังเช่นนั้น?
“พวกเจ้า หากจะมาในสภาพนี้ก็กลับไปหาที่นั่งชมดีๆ เถอะ”
เซียนซีหยางปัดผมไปด้านหลังก็โดนลมตีกลับมาอีก ความจริงต่อให้ปล่อยผมมันก็ไม่ได้ยุ่งเช่นนี้ ทว่าก่อนออกจากบ้านเฉินฝูรวบเกล้าขึ้นให้เขาจนหมด หลัวซาดึงเชือกออกเส้นเดียวผมก็ร่วงกระจายเต็มหลังสภาพเหมือนคนพึ่งตื่น หน้านี้อากาศร้อนขึ้นแต่ลมปลายหนาวยังมี พัดเอาเส้นผมพันกันไปหมด “เชือกข้าหลุดไปแล้ว พี่โจวสู้ๆ นะ”
“เชือกเจ้าหลุดได้ยังไง สภาพเหมือนคนหนีตายยังมีหน้ามาให้กำลังใจข้าอีก สามีเจ้าเล่า”
พอโจวเสวี่ยนพูดถึงสามีของเขา ก็พลันมองซ้ายขวาไปด้วย เซียนซีหยางกระอักเลือดออกมา “พี่โจว นั่น...นั่นมันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด! ”
“อืม?”
จ้าวฉีหลินหัวเราะคิกคัก “พี่โจว ซีหยางไปบังคับมือปราบแต่งงาน จะไม่ถูกเขาเกลียดขี้หน้าเอารึ”
โจวเสวี่ยนขมวดคิ้ว เกลียดขี้หน้าแล้วทำไมต้องประคองโอบเซียนซีหยางเมื่อวันนั้น หรือว่าแสร้งทำ “เช่นนั้นก็สมควร ใครใช้ให้เจ้ากระทำตัวเอง”
เซียนซีหยางกระอักเลือดติดต่อกัน กระผมเปล่าทำสักหน่อย!
“ช่างเถอะๆ นี่ใกล้เวลาแล้ว พี่พร้อมไหม”
“ก็แค่การประลอง” โจวเสวี่ยนเหมือนจะใส่ใจแต่ก็ไม่ เขาขึ้นเวทีออกจะบ่อย เวลานี้ไม่มีประหม่าเพียงแต่ตื่นเต้นเล็กน้อยที่ต้องสู้กันต่อหน้าคนเยอะๆ เท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าไปก่อนนะ ผ่านรอบนี้จะลงพนันข้างพี่แน่นอน”
เซียนซีหยางบอกลาเขาแล้วทั้งคู่ก็หามุมอับนั่งสุมหัวกัน จ้าวฉีหลินรีบถามเขาเรื่องด้ายขนเซียน เขาเปิดแขนเสื้อขึ้นก็เห็นสร้อยข้อมือสีขาวดำเส้นหนึ่ง
“เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าผมไม่รู้ควรจะยัดมันลงมือเสียเยี่ยยังไง”
จ้าวฉีหลินกล่าวว่า “นายอ่านนิยายมาไม่ใช่เหรอ ใช้มันเป็นไกด์สิ”
“เซียนซีหยางไม่มีวรยุทธ์ เขาพบเสียเยี่ยที่หนีออกจากขบวนมาโดยบังเอิญเนื้อตัวมีแต่รอยแผล บนใบหน้ามีปานแดงของเผ่ามาร ไม่รู้ทำไมจึงมอบเสื้อคลุมให้เขาพรางกาย แต่มารน้อยคิดว่าเขาจะทำร้าย เลยทำเซียนซีหยางบาดเจ็บ พอเห็นว่าคุณชายแค่จะมอบเสื้อให้ เขาที่พึ่งเคยได้รับความเมตตาจากสารรูปเช่นนั้นครั้งแรกก็เลยติดตามคุณชายขึ้นรถม้ากลับไป”
จ้าวฉีหลินไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแต่ครุ่นคิดโดยละเอียดก่อนจะถามว่า “ระบุเวลาได้ไหม”
“เวลา?”
“เวลาที่เซียนซีหยางเจอตัวเขาไงเล่า” จ้าวฉีหลินชี้นิ้วขึ้น “เสียเยี่ยหนีออกจากขบวนรถย่อมโดนตามล่า แต่เซียนซีหยางกลับพบเขาในช่วงเวลาที่ไม่โดนสะกด หลบมุมสายตาพ่อค้าทาสได้อย่างเหมาะเจาะ หากไม่รู้ว่านั่นเป็นช่วงเวลาไหน นายจะตามเส้นทางขบวนรถไปยังไง งานประลองมียอดฝีมือ บางคู่แข่งกันยืดเยื้อ ซ้ำยังต้องพักเป็นช่วง โดยเฉพาะรอบสุดท้ายที่ต้องยกไปประลองตอนเย็น ยิ่งหลัวซากับพี่โจวสู้กันทีสนามประลองแทบพัง”
เซียนซีหยางหลับตาคิด เนื้อเรื่องมันต่อหลังจากตอนที่คุณชายคิดจะผลักนางเอกตกจากที่นั่งแต่ถูกจับได้ก็เลยโดนไล่กลับ ช่วงนั้นหลัวซากำลังจะขึ้นประลองกับโจวเสวี่ยนพอดี กว่าคุณชายที่จิตตกขั้นสุดจะกลับถึงบ้าน เขาแวะข้างทางนั่งร้องไห้เป็นช่วงหลังตะวันตกดิน “หลังตะวันตกดิน...เฮ้อ ผมกะเวลาไม่ได้มากกว่านี้แล้ว เนื้อหาบรรยายไว้ว่า หลังอาทิตย์อัสดง คุณชายสามนั่งร้องไห้อย่างโดดเดี่ยวจนสายลมเปลี่ยนทิศ หรือผมต้องหาที่นั่งรอจนสายลมเปลี่ยนทิศถึงจะรู้”
“นายรู้เหรอว่าต้องไปนั่งรอตรงไหน”
“...”
จ้าวฉีหลินส่ายหน้า “แผนที่คร่าวๆ ที่วาดให้เป็นเส้นทางที่ฉันได้มาจากการสอบถามข้อมูลจากพวกพ่อค้า มีเส้นทางเลียบตีนเขาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นถนนเส้นเล็กที่ลัดเลาะจากนอกเมืองไปเปี้ยนไถ”
เซียนซีหยางรีบกางแผนที่เปิดดู “ถ้าไปตามเส้นทางที่รถม้าผ่านแล้วลงตรงนี้ จะต้องเดินเท้าผ่านป่าไปอีก...”
“ฉันเดาว่าเซียนซีหยางพักระหว่างทางขากลับถนนเส้นเดิม แต่หยุดกลางทางที่เป็นป่า นั่งร้องไห้จนเสียเยี่ยหนีออกจากป่า เส้นทางนี้อันตรายเกินไป นายอาจจะต้องพึ่งดวง รอให้เสียเยี่ยออกมาหาเอง”
“เอ่อ...เรื่องนี้ผมต้องทำคนเดียวจริงเหรอ” เซียนซีหยางชักอยากจะถอยแล้วจริงๆ นี่เขาหาเรื่องตายก่อนเวลากำหนดหรือเปล่า กว่าเซียนซีหยางเวอร์ชันเดิมมันจะตาย ก็ตั้งเกือบปี รอจนเสียเยี่ยกินพลังวิญญาณมารที่พบระหว่างทางจนโตถึงได้ส่งไปสังหารกัวชิวถง
“ถ้าไม่ไหว ฉันไปด้วยก็ได้ อ้างว่านายลืมของไว้ที่บ้านอยากจะเอามาให้สามีเป็นของรางวัลอะไรงี้”
คุณชายสามอยากถีบแม่นางสักครั้ง หากไม่ติดว่าเปลือกนอกเป็นสตรี เขาต้องถีบจ้าวฉีหลินจริงๆ แน่ “แผนคุณไม่ได้เรื่องเลย หลัวซาไม่สะทกสะท้านแถมผมยังโดนปั่นหัวกลับอีก”
“ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นยังงั้น นายก็รุกหนักกว่านี้หน่อย ทำให้เขาอับอายต่อหน้าประชาชี เดี๋ยวเขาก็เขี่ยนายทิ้งเองนั่นแหละ”
“ผมก็ต้องอับอายขายขี้หน้าเหมือนกันไหม” อาจจะหนักกว่าด้วยเพราะโดนสาวงามทั้งแผ่นดินรุมทึ้งรุมฉีกออกเป็นชิ้นๆ “ช่างเถอะ ไว้ผมค่อยหาทาง ตอนนี้เข้าไปข้างในดีกว่าผมได้ยินประกาศผู้ร่วมประลองสิบสองคนแรกแล้ว ไม่รู้ว่าพี่โจวเสวี่ยนอยู่อันดับที่เท่าไหร่”
“อันดับไหนยังต้องลุ้นอีกเหรอ” จ้าวฉีหลินกลอกตา เดินตามคุณชายสามไป
ขณะนั้นเองเซียนหลี่ซังก็ได้พบปะเจ้าบ้านสกุลเจ้า พวกเขาต่างก็ย้ายมาสนทนากันที่ที่นั่งชั้นบนสุด ด้านล่างคือเวทีประลองที่ตระเตรียมอย่างดี หลังจากหลัวซาขอตัวไปพบอาจารย์จากสำนักซางเหรินสิงของตนแล้ว เขาก็ไปลงทะเบียนอยู่ด้านล่าง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจเซ็งแซ่ของสาวงามทั้งหลาย
สกุลกัวและสกุลจ้าวมากันพร้อมเพรียง นอกจากนั้นยังมีเจ้าสำนักปราบมาร จิ้งหยี่เสียง แห่งสำนักซางเหรินสิงที่มาพร้อมกับจูเจ๋อรุ่ย อาจารย์ของหลัวซา เจ้าสำนักเถียฉื่อ เหยาโจวและอาจารย์หญิง หยางโถว เจ้าสำนักค่ายซานฝู่ เกาฮ่วนเปิง รวมทั้งสำนักฮุ่ยหมิ่น เจ้าสำนักซุนจิ้นซู ของจ้าวฉีหลิน
ทั้งหมดนั่งอยู่ไม่ไกลกัน การสนทนาจึงได้ยินกันชัดเจนไม่มีสะดุด
“อาเซียน ไม่ได้พบท่านซะนานสบายดีหรือไม่” จ้าวเฟยตี๋ บิดาของฉีหลินทักทายอย่างเป็นกันเอง เซียนหลี่ซังต้อนรับเขาอย่างดีทุกครั้ง แม้ว่าบุตรสาวของตนจะไปก่อเรื่องไว้กับบุตรชายของเขา ความใจกว้างใจเย็นเช่นนี้ ทำให้ต้องรักษาน้ำใจกัน
“อา ช่วงนี้ราบรื่นดี ได้ข่าวว่าท่านส่งบุตรเข้าสำนักฮุ่ยหมิ่นไปเมื่อครึ่งเดือนก่อนรึ” เซียนหลี่ซัง
“ใช่แล้ว นางจับไข้พิษ ข้าอยากให้นางไปอยู่ในบรรยากาศสบายๆ คลายเรื่องกวนใจบ้าง” ส่วนสาเหตุนั้นก็รู้ๆ กันดีว่าเป็นเพราะเซียนซีหยางไปทำเรื่องงามหน้าเอาไว้ แถมบิดาของเขาก็ไม่ได้ขัดขวาง ทว่าจะให้กล่าวออกมาตรงๆ เกรงว่าจะหักหน้ากันเกินไป “ช่วงนี้นางดีขึ้นมาก อารมณ์ก็เย็นลงเยอะ ต้องขอบคุณเจ้าสำนักฮุ่ยหมิ่นจริงๆ” จ้าวเฟยตี๋คารวะเจ้าสำนักหนึ่งครั้ง
ทว่าพอได้ยินเรื่องของแม่หนูสกุลจ้าว เจ้าสำนักซุนจิ้นซูก็หางคิ้วกระตุก กัดฟันกล่าวว่า “มิต้องขอบคุณสำนักข้า นางไม่ได้ป่วยและข้าก็ไม่ได้มีหน้าที่บำบัดคนป่วย”
“แม่หนูฉีหลินมีปราณที่แกร่งไม่เลว แต่นางไม่เหมาะจะมาเรียนศิลปะทั้งสี่ อาจารย์สำนักข้าเอานางมากลั่นจนตัวซีดเป็นกระดาษ แม้แต่เขียนพู่กันนางยังคัดได้ไม่คล่องด้วยซ้ำ”
ได้ยินเจ้าสำนักซุนจิ้นซูกล่าวเช่นนั้น ผู้เป็นบิดาก็ขมวดคิ้วตกใจ เป็นไปได้หรือ เมื่อก่อนบุตรของตนร่ายรำงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง เครื่องดนตรีก็เล่นได้อย่าว่าแต่เขียนพู่กัน แม้แต่วาดภาพก็งดงามมากเช่นกัน เหตุใดหลังฟื้นอาการไข้ถึงทำไม่ได้แล้วเล่า
คล้ายอัดอึดใจมานาน เจ้าสำนักระบายออกมาว่า “วันๆ เอาแต่พาศิษย์ร่วมสำนักไปผจญภัยหลังเขา ข้าย้ำหนักหนาว่าอันตรายก็มิฟัง เฮ้อ สามสี่วันมานี้ก็แวะเวียนมาที่เมืองอู๋ฉิงดูการประลองตลอด ท่านจ้าวเฟยตี๋ สอบถามแม่หนูดูหรือยังว่าความจริงนางอยากเรียนวรยุทธ์หรือไม่”
จ้าวเฟยตี๋มึนงงไปหมดแล้ว จ้าวฉีหลินแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยชมชอบการต่อสู้ หากมิใช่ว่าชายในดวงใจเป็นผู้ร่วมประลอง งานเช่นนี้มีหรือที่นางจะมา
“จะว่าไป ช่วงนี้คุณหนูจ้าวก็สนิทสนมกับเซียนซีหยางบุตรชายคนเล็กของข้าเช่นกัน” เซียนหลี่ซังกล่าวเช่นนั้นชวนให้ผู้ที่เคยอยู่ในลานพิธีแต่งงานสุดอัปยศของมือปราบหลัวสนใจอย่างยิ่ง “เมื่อวันก่อนก็แวะมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง วันนี้ก็ไปเดินเล่นด้วยกันอีก”
จ้าวเฟยตี๋นึกขึ้นมาได้ “จริงสิ บุตรข้าจู่ๆ ก็บอกว่าเจอเพื่อนแล้ว จึงขอตัวไปก่อน มิทราบนางไปกับคุณชายสาม?”
พอเห็นเจ้าบ้านสกุลเซียนพยักหน้าก็รู้สึกพิศวงขึ้นมาอีก
“มิทราบทั้งสองคนหายไปไหนแล้วรึเจ้าคะ” กัวชิวถงไม่เห็นญาติผู้น้องมาสักพักแล้ว ไม่รู้หายไปที่ใด นางมาถึงก็สลัดผู้ติดตาม ไปไหนไม่ได้บอกกล่าวแน่ชัด กัวชิวถงก็ไม่สะดวกใจจะพูดคุยกับญาติผู้นี้เท่าไหร่นัก
จ้าวฉีหลินเกลียดขี้หน้านางอย่างกับอะไรดี
“คง...อยู่ตรงนั้นกระมัง” เซียนอวี้เฉิงคอยจะมองหาน้องชายคนเล็กอยู่ตลอดหลังจากเขาหายไป จนเซียนหลานยังไม่พอใจที่เขาเอาใส่ใจเด็กนั้นเกินไป ทว่าระหว่างที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันดวงตากว้างไกลของเขาก็เห็นสองบุคคลเป้าหมายพอดี
เมื่อทุกคนมองตาม ก็พบว่าทั้งคู่ยืนอยู่ในหมู่ผู้ชมทั่วไป ฝั่งทางซ้ายมือไม่ได้ไกลมาก ทว่าบริเวณนั้นมีแต่พวกบ้าพลังและเซียนพนัน เป็นจุดที่มีการตั้งโต๊ะพนันของผู้ชมทั่วไป
มิใช่ว่าเจ้าบ้านและเจ้าสำนักจะไม่เข้าร่วมการพนันขันต่อ สำหรับพวกเขาถือเป็นเรื่องขำๆ เล่นพอสนุก ทว่าโต๊ะพนันข้างล่างนั้นเล่นกันแบบจริงจังถึงชีวิต บางคนล้มละลายบางคนกลายเป็นเศรษฐี พวกเขาทั้งคู่ไปอยู่ที่ตรงนั้นได้อย่างไร
คนด้านบนย่อมไม่เข้าใจ ยิ่งเห็นคุณชายสามที่ปกติไม่ชอบเข้าสังคม หันซ้ายหันขวาสนทนากับชายฉกรรจ์ข้างๆ ไป ถกเถียงกับจ้าวฉีหลินไป ขาก็เตะนางสองสามทีอย่างไม่สุภาพ ส่วนคุณหนูถูกเตะจะเตะคืนก็ไม่สะดวก จึงตบหลังเขาเป็นการเอาคืน ท่าทางเหมือนเพื่อนในวงเหล้าเช่นนั้นทำเอาคนด้านบนทำสีหน้าไม่ถูก
“นั่นคือเซียนซีหยางรึ”
ยามนี้มีหลายสกุลเริ่มเข้ามาทักทายเจ้าบ้านเซียน เว่ยเจ้าเฟิง คุณชายเจ้าสำราญแห่งสกุลเว่ยมากับคนสนิทเพียงสองคน เมื่อทักทายผู้ใหญ่เสร็จก็เห็นว่าพวกเขามองบุคคลที่พึ่งประลองกับตนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน “แผลเขาหายดีแล้วรึ”
“แผลอันใดหรือคุณชายเว่ย” เซียนหลี่ซังเห็นเขารู้จักกับบุตรตนก็สงสัยใคร่รู้
“แผลที่ถูกข้าแทงในงานประลองจับคู่เมื่อไม่กี่วันก่อนขอรับ ข้าพลาดไม่คิดว่าเขาจะไม่หลบ” กล่าวเช่นนั้นไม่ได้มีแต่คนสกุลเซียนที่สนใจ แม้แต่เจ้าสำนักต่างๆ กันหันมาฟังบทสนทนานี้ด้วยเช่นกัน เซียนอวี้เฉิงคล้ายไม่เข้าใจ “ประลองอันใดหรือ”
เว่ยเจ้าเฟิงไม่ทราบอันใด ตอบตามความจริงว่า “ดูเหมือนคุณชายจะไม่มีวรยุทธ์ ทว่าอย่างไรก็ไม่อยากแพ้การประลองจับคู่ชาวบ้านชาวยุทธ์ ตอนแรกข้าเพียงแค่จะขู่ให้เขาออกจากสนามไปซะ คาดไม่ถึงว่าเขาจะเอาตัวเองเข้ารับกระบี่จนบาดเจ็บ” เว่ยเจ้าเฟิงกัดฟันกรอดๆ “พาข้าตกจากเวทีไปด้วย...คู่ของเขาจึงเอาชนะคนของข้าได้”
เซียนหลี่ซังพลันตกตะลึง บาดแผลเมื่อวันวานเขาเห็นเพียงได้รับการรักษาแล้ว จึงไม่ทราบว่าเซียนซีหยางถูกแทงด้วย แต่ที่ชวนให้นิ่งอึ้งไปนั้นคือ คุณชายสามถึงกับกล้าลงประลองจับคู่? แล้วหลัวซารู้ใช่หรือไม่
พอเห็นสีหน้าตกตะลึงของคนสกุลเซียน เว่ยเจ้าเฟิงถึงรู้ว่าเจ้าเซียนซีหยางไม่ได้เล่าการกระทำรนหาที่ให้ผู้ใดฟัง ส่วนตนก็ไม่ได้วางท่าบาตรใหญ่เล่าความเท็จ “คุณชายแม้ไม่เป็นวรยุทธ์ทว่าใจเด็ดผิดคาด ข้าไม่คิดว่าเขาจะเอาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงดึงข้าลงจากเวทีได้ ตอนนี้ไม่ทราบว่าเขาจะมาด้วยจึงไม่ได้มาทักทายแต่แรก”
เซียนหลี่ซังถอนหายใจ เซียนซีหยางเปลี่ยนไปราวกับคนละคนในเวลาสั้นๆ ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรกับบุตรชายคนเล็กนี้ดี
เซียนอวี้เฉิงพยักหน้าพอใจ “หากบาดเจ็บบนลานประลองก็โทษเจ้าไม่ได้”
หากไม่ใช่บนลานประลองก็จะโทษข้าสินะ เว่ยเจ้าเฟิงรู้สึกคันยุบยิบ ได้ข่าวว่าพี่น้องบ้านเซียนไม่ถูกกับน้องคนเล็ก ทว่าท่าทีของเซียนอวี้เฉิงดูไม่เป็นเช่นนั้น
“ไว้พบคนค่อยสนทนาเถอะ ตอนนี้การประลองเริ่มแล้ว” จูเจ๋อรุ่ยเรียกความสนใจจากทุกคนด้วยการประลองรอบแรก ทว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้จดจ่อที่การประลองสักเท่าใด แต่ชำเลืองมองไปกลุ่มเซียนพนันข้างล่าง
เซียนซีหยางไม่ทราบว่าตกเป็นเป้าสายตาตั้งแต่เมื่อไหร่ ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจมานั่งฝั่งนี้ บังเอิญเจอพี่น้องเพื่อนพ้องของหวังมู่ จากที่กำลังจะกลับไปจุดนั่งชั้นบน ก็ลงมาเฮฮาอยู่ข้างล่างกับจ้าวฉีหลิน พี่น้องของหวังมู่รู้จักคุณชายสามแบบผิวเผิน ทว่าพี่ใหญ่ของตนเรียกเขาว่า น้องหยาง ทุกคนก็เคารพเขาเหมือนพี่น้องคนหนึ่ง ยิ่งเห็นว่าคุณหนูจ้าวท่วงท่าสูงส่งแต่เอาเข้าจริงกลับเป็นคนง่ายๆ ไม่ถือตัว ซ้ำยังต่อบทสนทนาการประลองลื่นไหลกว่าเซียนซีหยาง ไม่นานก็กลมกลืนเป็นพี่น้องร่วมคณะไปด้วยอีกคน หวังมู่นั้นมาหาที่นั่งรอใกล้โต๊ะพนัน พอเห็นว่าเซียนซีหยางจะมานั่งด้วยก็แนะนำเขากับเพื่อนนักประลองที่ไม่ผ่านเข้ารอบ ถึงความแม่นยำในการลงขัน เซียนซีหยางแรกๆ กระอักกระอ่วน ทว่าอยู่ไปอยู่มาบรรยากาศคล้ายจับกลุ่มดูบอล วิเคราะห์ทีมแทงบอล ไม่นานก็เริ่มติดลม
สักพักก็วิเคราะห์ผู้ประลองกับจ้าวฉีหลิน ทายคนที่ไม่ถูกบรรยาย ไม่ก็แข่งกันงัดความทรงจำเอามาประลองกันดูว่ามีใครชนะในรอบไหนบ้าง
รอบแรกยังไม่มีการพนัน เซียนพนันจะใช้รอบนี้วิเคราะห์ผู้ร่วมประลองว่ามีใครบ้างที่ผ่านเข้ารอบหกคน ส่วนคู่ไหนที่ประลองกับหลัวซา คู่นั้นมักจะไม่ถูกเอามาพนัน
เจ้ามือไม่รับพนันข้างหลัวซา ในรอบแรกๆ ก็ไม่มีใครพนันข้างคู่แข่งของเขาเหมือนกัน
หลังจากการคัดห้าสิบคนแรกออก การประลองช่วงที่สองก็เริ่มขึ้น คราวนี้สถานการณ์คึกคักขึ้นมาหน่อยเพราะบางเวที ยอดฝีมือเจอยอดฝีมือสู้กันมันคนดู เซียนซีหยางไม่เคยเห็นการต่อสู้เช่นนี้ในชีวิตจริง ย่อมตื่นเต้นกว่าชาวบ้าน ดูได้สองสามเวทีก็หันมาขอความคิดเห็นจ้าวฉีหลิน ผู้มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนในเกมออนไลน์
“ความจริงแล้ว PK (11) ฉันก็ไม่ได้ถนัดขนาดนั้นหรอกนะ ในเกมเราเจอคู่ต่อหลายอาชีพก็จริง แต่ตัวละครก็มีท่าให้ศึกษาล่วงหน้า ส่วนคนพวกนี้เป็นชาวยุทธ์ อย่างหมอนั่นถึงใช้กระบี่อ่อน แต่ก็เหมือนเอามาเป็นตัวล่อ เขาพยายามหาช่องโหว่สกัดจุดมากกว่า”
“ผมมองไม่ออกเลย” เซียนซีหยางเบิกตากว้างสุดขีด ก็มองไม่ออกจริงๆ จ้าวฉีหลินกล่าวว่า “ล้วนต้องอาศัยประสบการณ์ ว่าแต่ยันต์ของนายไปถึงไหนแล้ว”
“ล้วนต้องอาศัยประสบการณ์...”
เห็นเขาเลี่ยงก็พอจะเดาได้ จ้าวฉีหลินไม่ถามมาก เมื่อการประลองลดจำนวนคนลงอีกครึ่งหนึ่ง ทั้งคู่ก็ตบกระดาษพนันลงบนโต๊ะพร้อมเพรียงกัน แทงข้างโจวเสวี่ยนคนละห้าร้อยเหรียญทอง ทำเอาวงพนันสั่นสะเทือน หวังมู่ไม่รอท่าลงขันตามเซียนซีหยางทันที
ข้างล่างคึกคัก ข้างบนก็คึกคักพอเป็นพิธี เจ้าสำนักต่างก็ส่องหาเพชรมาเจียระไน อาจารย์หญิงหยางโถว เห็นโจวเสวี่ยนลงสนามคราวนี้วาดลวดลายน่าดูชมก็อุทานออกมา
“ผู้นั้นไม่เลวเลย เลขที่ยี่สิบแปดคนนั้น”
“นั่นโจวเสวี่ยนขอรับ อาจารย์อาหยาง” เว่ยเจ้าเฟิงกล่าวตอบนาง เขายังไม่ได้กราบเป็นศิษย์สำนักไหน แต่ทุกสำนักก็อยากต้อนรับเขาทั้งนั้น เว่ยเจ้าเฟิงจึงไม่ได้ถือตัวกับอาจารย์สำนักท่านใด
“เจ้ารู้จักเขาหรือ เจ้าเฟิง”
“เขาเป็นผู้ชนะการประลองจับคู่ เป็นคนที่จับคู่กับเซียนซีหยางขอรับ”
เซียนซีหยางอีกแล้ว?
เจ้าสำนักต่างก็เลิกคิ้วสงสัย
11] Player Kill หรือ PK - หมายถึงการฆ่าผู้เล่นด้วยกัน ส่วนใหญ่เพื่อความสะใจ แต่บางเกมก็ได้ผลประโยชน์บางอย่างหรือบางทีก็มีผลเสีย
Comments (0)