เชี่ยแล้วๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เขาลืมสนิทเลยนี่หว่า!

“เขา...มานานหรือยัง”

“ซีหยาง” เสียงเรียกทรงพลังดังขึ้นด้านหลังของเซียนซีหยาง เขาตัวแข็งทื่อหันกลับไปท่าทางเหมือนหุ่นกระบอกไม่ได้หยอดน้ำมัน

โอ้...ตายหอง นั่นเซียนหลี่ซังใช่ไหม บิดาที่สูงส่งของคุณชายสามคนนั้นแสร้งมองเขาเป็นอากาศธาตุ หน่อยไม่ได้หรือไง

เซียนซีหยางส่งยิ้มโง่ๆ ให้หนึ่งทีก่อนจะทำความเคารพบิดาของตน “คารวะท่านพ่อ ไม่เจอกันนาน”

เซียนหลี่ซังเลิกคิ้วแปลกใจ ลูกชายไม่เอาไหนของหญิงที่รักคนนี้กล้าแสดงออกได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่สนใจมารยาท เห็นหน้าบิดาก็วิ่งหนีหายไปเลย ครานี้นอกจากคารวะตนแล้วยังส่งยิ้มพิลึกๆ ให้อีก

“ข้าพึ่งกลับมาเมื่อเย็นวันนี้ มาทานมื้อดึกด้วยกันสิ เจ้าจะได้เจอหลัวซาอย่างไร” ว่ากันตามตรงหลัวซานั้นคือบาดแผลในใจของเซียนซีหยางชัดๆ ทว่าคุณชายสามยินยอมดาหน้าเข้าไปรับเองมันก็ช่วยไม่ได้ นี่เป็นคำขอสุดท้ายของบุตรชายเช่นเขา เซียนหลี่ซังที่เห็นว่าได้รับผลประโยชน์นิดหน่อยจึงยอมช่วย แน่นอนว่าหลังจากนี้เซียนซีหยางไม่มีสิทธิ์ได้อะไรในสกุลนี้อีกแล้วนอกจากที่ซุกหัวนอนในเรือนหลังแห่งนั้น

คุณชายสามเวลานี้น้ำตานองหน้าอยู่ในใจ เขายังไม่ได้ทำใจแท้ๆ เลยโว้ย!

“ข้าทานมาจากข้างนอกแล้ว เกรงว่า...”

“ทานจากข้างนอก? จริงสิ ช่วงนี้เห็นว่าเจ้าออกไปข้างนอกบ่อยขึ้น ข้าใคร่อยากรู้ว่าเจ้าไปทำอะไรมาบ้าง” เซียนหลี่ซังมีเรื่องจะคุยกับเขาและคุยต่อหน้าหลัวซาเสียด้วย คุณชายสามพอจะทราบว่าเรื่องอะไร

เจ้าบ้านสกุลเซียนไม่อยากให้เขาไปปรากฏตัวในวันประลองที่เจี้ยงฉาง เพราะรู้ดีว่าบุตรชายที่หลงใหลในตัวหลัวซาจะต้องขอติดตามไปด้วยแน่นอนไม่ว่าเขาจะชอบมันหรือไม่ แต่เซียนซีหยางคนเก่านั้นโหมดจะดื้อ ก็ดื้อจนน่าระอา สุดท้ายเรื่องก็ไปจบที่โดนไล่กลับมานั่นแล

เหอๆ เดิมทีไม่คิดจะไป แต่ติดที่ว่ารับปากโจวเสวี่ยนจะพนันข้างเขาไปแล้ว อีกอย่างโต๊ะพนันที่เจี้ยงฉางให้เงินสูงกว่าเห็นๆ ถึงต้องอับอายขายขี้หน้าแต่เพื่อความสุขสบายในอนาคตยังไงก็ต้องไปให้ได้

“เช่นนั้น ข้าขอทานอีกนิดหน่อยก็พอ” เซียนซีหยางตอบตกลงบิดาแล้วก็แอบส่งถุงเงินให้เฉินฝู กระซิบบอกเขาให้แยกเงินของจ้าวฉีหลินออกและอย่าลืมเอาไปส่งให้นางด้วย

เฉินฝูรับถุงเงินมาอย่างเหม่อลอย คุณชายยังจะห่วงเรื่องนี้อีกหรือ!

เซียนซีหยางเดินตามบิดาเข้ามาที่เรือนหลัก พอถึงห้องอาหารเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพนกวินที่เดินหลงเข้ามาในดงแมวน้ำ ทางซ้ายของโต๊ะมีพี่ใหญ่และพี่รอง ทางขวานั้นเป็น...

แม่เจ้า!!!

เขาตะลึงเกือบอ้าปากค้าง เคยจินตนาการถึงใบหน้าของพระเอกนิยายเรื่องนี้ทุกครั้งที่เห็นตัวประกอบคนอื่นดูดี แต่ไม่นึกว่านักเขียนมันจะหมกมุ่นกับความงามตระการตาของตัวละครเช่นนี้

พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไม สาวงามทั้งแผ่นดินถึงได้หลงใหลพระเอกคนนี้นัก

หลัวซานั่งอยู่ด้านซ้าย ใบหน้าที่งดงามราวกับเทพเซียนไม่มีส่วนประกอบใดเลยให้ตำหนิ ทั้งจมูก ริมฝีปาก เส้นผมยาวดกดำถูกรวบไว้ และดวงตาดำสนิทคมเข้มเพียงปรายตามองก็ทำให้เซียนซีหยางเข่าอ่อน (ด้วยความกลัว) กับพระเอกลูกรักเช่นนี้ เขายังสามารถชมตัวเองได้อีกหรือ

หลัวซาเอ๋ย...ถ้านางเอกไม่งามเท่านาย นายไม่กลัวว่าหล่อนจะน้อยใจบ้างหรือไง แถมที่ว่างเพียงหนึ่งเดียวของฉันยังเป็นเก้าอี้ข้างๆ นายอีก กะจะกดกันให้จมดินเลยสินะ

แสร้งทำเป็นลื่นล้มหัวฟาดพื้นตรงนี้เลยได้ไหม?

“ซีหยางอย่าเอาแต่เหม่อ รีบเข้ามานั่งเถอะ”

คุณชายสามเวลานี้เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ชักอย่างกลับไปเป็นเซียนซีหยางคนเก่าที่บทจะหนีก็ไปเลยไม่สนหัวใครซะแล้ว เขาก้าวขาอย่างเชื่องช้านั่งลงด้วยใจเต้นตุบๆ

สวรรค์! พอมานั่งใกล้ๆ แล้วถึงได้เห็นความต่างชั้นชัดเจน หลัวซายามนี้อยู่ในวัยขาขึ้นไม่มีลง ร่างกายกำยำเปล่งรัศมีพระเอกจนเขาต้องยกมือป้องดวงตา ไอ้เจ้าเซียนซีหยางคนก่อนมันเอาความกล้าจากขุมนรกไหนไปบังคับพระเอกของแผ่นดินแต่งงานได้วะเนี่ย นับถือจริงๆ !

ในใจของเขายังคงคิดเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าคนอื่นบนโต๊ะจ้องมองตนอย่างแปลกใจมากแค่ไหน ไม่ต้องถึงกลับมานั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่น เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็ทำให้ทุกคนในที่นี้มองอย่างทึ่งๆ ได้แล้ว

คุณชายสามที่พวกเขารู้จัก เจือจางไม่ต่างกับอากาศธาตุ เขามีร่างกายซูบผอมผิวซีดเซียว ใบหน้าตอบคล้ายคนเป็นโรค ดวงตาก็ไม่สดใส แต่บุรุษที่นั่งตรงนี้กับไม่มีตรงไหนไม่เหมือนคุณชายผู้ทรงภูมิ เจ็ดแปดวันมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในสกุลเซียนกัน คุณชายสามมิได้ถูกผีเข้าใช่หรือไม่

ทุกคนเก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเริ่มทานอาหาร หลัวซาแม้แปลกใจไม่แพ้คนอื่นแต่ก็ยังไม่ได้ปริปากเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวเช่นกัน ทุกคนสนใจอาหารตรงหน้า มีเพียงคุณชายสามที่ทั้งอิ่มมาก่อนทั้งถูกไอ้คนข้างๆ กดดันจนความอยากอาหารติดลบ ได้แต่นั่งมองชามข้าวตัวเอง

เดิมทีเซียนหลี่ซังไม่ได้สนใจเรื่องบนโต๊ะอาหารของเขา แต่หลังจากที่พบว่าเซียนซีหยางไม่ได้วิ่งเข้ามาเกาะแขนของหลัวซาอ้อนให้เขากลับมาอยู่บ้านกับตนเองอย่างหน้าไม่อายดังเช่นเคย ก็อดเหลือบมองเขาบ่อยขึ้นไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่แตะต้องอะไรสักอย่างบนโต๊ะก็ยอมเปิดปากสนทนากับบุตรชายที่ไม่ได้ทำมานาน และอาจจะไม่เคยเสียด้วยซ้ำ

“ข้าได้ยินจากบ่าวในเรือนว่าช่วงนี้เจ้าออกไปข้างนอกบ่อยขึ้นใช่หรือไม่”

เซียนซีหยางคิดอะไรเพลินๆ อยู่ดีๆ พลันสะดุ้งเฮือก เขารีบตั้งสติกล่าวตอบบิดา “ขอรับท่านพ่อ”

“เจ้าไปทำอะไรมาบ้าง พอจะบอกข้าได้หรือไม่” เซียนหลี่ซัง

“ฮ่าฮ่า...” ท่านไม่ต้องมาแสร้งเป็นบิดาที่เอาใจใส่ลูกตอนนี้ได้ไหม ข้าจะบอกท่านได้ยังไงว่า ข้าไปลงขันพนันกับชาวบ้านมา แต่บอกไม่บอกอีกไม่นานเรื่องนี้ก็ต้องแดงอยู่ดี สู้ยอมรับไปเลยดีกว่า ยังไงชีวิตของเซียนซีหยางไม่มีอะไรจะเสียให้สกุลนี้อยู่แล้ว “ข้าเห็นว่าถึงวันที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองแล้วจึงลองออกไปกระทำเรื่องกล้าหาญมาขอรับ”

ไม่ใช่แค่เซียนหลี่ซังที่เลิกคิ้วแปลกใจ แต่คนอื่นๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะหลัวซา

เซียนซีหยางถูจมูกกล่าวว่า “เห็นว่าโต๊ะพนันนับเป็นธรรมเนียมที่ต้องมีในการประลองไปแล้ว ข้าเลยไปลองดู”

หากไม่เกรงใจคนบนโต๊ะ เซียนหลี่ซังคงได้พ่นอาหารออกจากปากเป็นแน่ เขามองหาความล้อเล่นในตัวของเซียนซีหยาง ก็พบเพียงความเขินอายบนในหน้าเท่านั้น

“เจ้า เจ้า...” เจ้าอยู่ครึ่งค่อนวันเจ้าบ้านสกุลเซียนก็ไม่รู้จะกล่าวอันใดได้อีก

เซียนซีหยางกล่าวว่า “ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ข้าใช้เงินเก็บของตัวเองไม่ให้เดือดร้อนสกุลแน่นอนขอรับ”

“...ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถอะ” เซียนหลี่ซังพึมพำ ข้าไม่ได้ตกใจหรือกังวลเรื่องนั้นสักหน่อย... “วันนี้ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้าตามตรง ในวันประลองที่เจี้ยงฉางแม้หลัวซาจะเข้าประลองด้วย แต่ข้าเกรงว่าจะให้เจ้าไปไม่ได้”

โห...โหมดจะเข้าเรื่องก็ไม่ให้เขาตั้งตัวเลยนะท่านพ่อ

เขาแสร้งไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใดขอรับ”

“เพราะมิใช่แค่คนในเมืองอู๋ฉิงที่เข้ามารับชม แต่มีทั้งแขกที่มาจากทั่วทิศทั่วแดนและจากสำนักปราบมาร เกรงว่าให้เจ้าไปจะไม่เหมาะสม” บิดากล่าวอย่างมีน้ำอดน้ำทน เซียนซีหยางพนันได้เลยว่าในใจของเขาก่นด่าความโง่ของบุตรชายตัวเองอยู่แน่นอน

“ท่านกลัวข้าจะไปทำเรื่องเสียมารยาทให้เป็นที่ขายหน้าใช่หรือไม่ขอรับ” คุณชายสามกล่าวยิ้มๆ “ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ที่อยากไปเพราะมีจุดประสงค์เพื่อพบปะคนรู้จักเท่านั้น อีกอย่างข้ารับปากเขาแล้วว่าจะไปดู”

“เจ้ามีเพื่อนด้วยหรือ” คราวนี้ไม่ใช่บิดาแต่คำถามออกมาจากปากของเซียนหลานพี่รองของเขาเอง “ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้ามีคนคบ คงไม่ได้พึ่งหาเมื่อไม่กี่วันนี้หรอกกระมัง”

หาได้ก็บุญแล้วเฟ้ย! อีกอย่างยังไม่ถึงวันด้วยซ้ำ!

ก็อย่างที่เห็น เซียนหลานปากคมกริบกว่ากรรไกรดายหญ้าซะอีก เซียนซีหยางกล่าวอย่างจริงจัง “ข้ามีนะขอรับ ยังไงก็ต้องไป” เขาหันไปกล่าวกับบิดา “ไม่ไปในฐานะบุตรสกุลเซียนก็ได้ ข้าจะเข้าชมในฐานะผู้ชมทั่วไป”

ผู้ชมทั่วไปต้องเข้าไปจับจองที่นั่งกันเอง แต่สกุลเซียนและแขกเหรื่อจะนั่งในชั้นพิเศษด้านบนที่มองเห็นครอบคลุมทั่วลานประลองทั้งหกในสนาม

บิดาได้ยินเช่นนั้นในใจรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เซียนซีหยางตั้งแต่ก้าวเข้ามาให้ห้องอาหารไม่ได้พูดอะไรกับหลัวซาแม้แต่คำเดียวก็น่าประหลาดแล้ว นี่ถึงกับบอกว่ามีเพื่อนและจะไปเจี้ยงฉางเพื่อพบเพื่อน หากเป็นคนอื่นไม่นับว่าแปลกอะไร แต่กับบุตรชายของตน บทสนทนานี้ทำให้เขาตกตะลึง

ทว่ายังไม่กล่าวอันใด บุรุษที่นั่งข้างๆ เขาก็เอ่ยวาจาเรียบๆ ออกมาก่อน “ให้เขาไปเถอะขอรับ ท่านอาเซียน” หลัวซากล่าวเช่นนั้นก่อนจะหันมามองเซียนซีหยางเหมือนมองสัตว์ประหลาดตนหนึ่งที่กำลังจะแอบเขยิบตัวหนี “หากเกิดปัญหาเขาย่อมต้องรับผิดชอบ”

เออน่า...ฉันรู้แล้ว นายไม่จ้องขนาดนั้นได้ไหม!

เซียนซีหยางรู้สึกจุกคอหอย พูดอะไรไม่ออก

เจ้าบ้านเซียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กล่าวว่า “เจ้ายังเป็นคนของสกุลเซียนอยู่ หากทำเช่นนั้นจะทำให้สกุลถูกตราหน้าได้ จะไปก็ไปเถอะ” เขากล่าวกับหลัวซา “เรื่องงานประลองไว้ค่อยพูดกันพรุ่งนี้ คืนนี้เจ้าค้างที่นี่เสีย”

“ขอรับ” หลัวซาตอบรับคำหนึ่ง เสียงราบเรียบแต่ฟังแล้วสบายหู ช่างต่างกันกับยามที่เขาสนทนาถึงตนยิ่ง น้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างแต่จิตสังหารเต็มเปี่ยม!

เซียนซีหยางหัวเราะเหอะๆ เจตนาไม่ปิดบังความรังเกียจทำไมเจ้าเวอร์ชั่นเก่าถึงยังหน้าด้านอดทนมาได้วะ ส่วนตัวเขานั้นขอโบกมือบ๊ายบายเถอะ พอเห็นว่าหมดเรื่องแล้วก็รีบหาทางเผ่น

“เช่นนั้น ข้าขอตัวกลับเรือนก่อนนะขอรับ” ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวขาบิดาก็จับเขาโยนลงโลงพร้อมตอกฝาให้

“ให้หลัวซาค้างที่เรือนเจ้า”

“!!! ” เซียนซีหยางแม้ใบหน้าแข็งค้างแต่ในใจกระอักเลือดพร้อมกับสำลักตอบว่า “เกรงว่าไม่ดี”

“ไม่ดีอย่างไร” เซียนหลี่ซังอุตส่าห์เปิดโอกาสให้บุตรชายตนได้กระชับมิตรกับมือปราบหลัว แต่ท่าทางของเซียนซีหยางคล้ายเหยื่อที่ถูกจับมัดให้นักล่าอย่างไรอย่างนั้น

“เรือนข้ารกมาก หลายวันมานี้ข้าได้ของจากตลาดกลับมาทุกวัน เก็บไว้จนไม่มีห้องว่าง บนเตียงของข้าครึ่งหนึ่งยังมีหนังสือกองอยู่ หากจะให้...” เขานึกถึงเวลาที่เซียนซีหยางในเนื้อเรื่องดั้งเดิมเรียกหลัวซา “หากจะให้อาหลัวพักกับข้า เห็นทีคงมีแต่พื้นข้างเตียงที่นอนได้”

เวลานี้ทั้งเจ้าบ้านเซียนทั้งพระเอกหลัวซาต่างก็พูดไม่ออกแล้ว เซียนซีหยางถูกผีเข้าจริงๆ ใช่หรือไม่ เมื่อก่อนแทบจะกอดขารั้งเขาไว้ ยามนี้ถึงกับหาข้ออ้างไม่ยอมให้เข้าเรือน

เรื่องน่ายินดีเช่นนี้เกิดขึ้นกับเขาจริงหรือ?

เซียนหลี่ซังเห็นท่าทีถึงตายก็ไม่ยอมของบุตรตนเอง กำลังจะหาทางออกให้หลัวซา ทว่ามือปราบเอ่ยขึ้นมาก่อน “ข้างเตียงก็ไม่เป็นไร”

แม่มัน! ในที่นี้ควรเป็นนายที่ดีใจที่สุดไม่ใช่เหรอห้ะ!

สะบัดหน้าไปนอนที่เรือนหลักไม่ก็กลับสำนักไปสิโว้ย!

เซียนซีหยางหน้ากระตุกนึกอยากตะโกนสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองออกมาจริงๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนี่เห็นเขาเปลี่ยนไปจนคิดว่าโดนมารสะกดอะไรทำนองนี้หรอกนะ จะตามไปจับตาดูเขาแล้วหาโอกาสฟันฉับให้ตายในดาบเดียวใช่หรือไม่!

“เช่นนั้นก็หมดปัญหา” เซียนหลี่ซังทำเป็นไม่เห็นสีหน้าฟ้าถล่มของบุตรตน เวลานี้เขาอยากพักผ่อน อีกอย่างหลัวซาแม้ไม่ใช่เด็กในสังกัดเจี้ยงฉางเหมือนเมื่อก่อน แต่เมื่อแต่งงานกับบุตรสกุลเซียนเขาย่อมมีความเกี่ยวพันกัน เขามีความยำเกรงต่อตนเองนับว่าเป็นเรื่องดี ไม่เช่นนั้นการแต่งงานบ้าๆ ของบุตรชายตน ก็คงยอมให้เกิดไม่ได้ เวลานี้เขาจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ขอเพียงไม่สร้างความวุ่นวายให้สกุลก็พอแล้ว

หลังแยกย้าย หลัวซาเดินตามเขามายังเรือนหลัง เมื่อเปิดเข้ามาข้างในก็พบว่าไม่มีอะไรที่รกรุงรังดังที่กล่าว เซียนซีหยางไม่คิดหาข้อแก้ตัว เขาพูดออกมาตามจริง

“เจ้าก็รู้แล้วว่าข้าโกหก ทำไมไม่เล่นตามน้ำแล้วไปพักที่เรือนหลัก” เขาถามอย่างฉงน “ไม่ใช่ว่าเจ้ารังเกียจจนไม่อยากจะหายใจในอากาศเดียวกับข้าหรอกรึ”

เฉินฝูต้มน้ำเสร็จเดิมทีคิดจะเข้ามาแจ้งคุณชาย ทว่าเมื่อเห็นมือปราบหลัวอยู่ด้วยก็ชะงักเท้าไว้ หลัวซาจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา ไม่รู้ว่าตัวเองพยายามมองหาสิ่งใด มาร? มนตร์สะกด? ไม่มีสักอย่าง ทว่าการจดจ้องเช่นนี้ทำให้คุณชายสามรู้สึกเหมือนกบที่โดนงูจ้องตา เมื่อครู่พูดอะไรออกไป ทำให้พ่อพระเอกคนนี้โกรธอยู่หรือไม่

“เจ้าคิดได้แล้ว?” หลัวซากล่าวเช่นนั้น เซียนซีหยางไม่เพียงไม่น้อยอกน้อยใจเหมือนเมื่อก่อน ยังพยักหน้าให้เขาหนึ่งทีโดยไม่ต้องคิดด้วย

เขาลอบปาดหน้าผากพยายามเกลี้ยกล่อมมือปราบท่านนี้ “ใช่แล้วๆ ข้าพึ่งคิดได้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วเพราะงั้นรีบออกไปซะนะ ข้าจะได้อาบน้ำนอนสักที” เขาง่วงจะตายอยู่แล้ว สองสามวันมานี้วิ่งพนันไปทั่วจนร่างกายอ่อนล้า อยากจะอาบน้ำซุกที่นอนแล้วนะเว้ย

ทว่าหลัวซาไม่ได้เดินออกไปเช่นที่คิด เขาเพียงไปปิดประตูให้สนิทแล้วกลับมา “ทำไมข้าต้องออกไป คืนนี้ข้ากล่าวว่าจะนอนที่นี่แล้ว...เจ้าไม่พอใจ?”

ฉันไม่พอใจ? มันยังฉายชัดบนหน้าไม่พอรึไง นายอยากให้ฉันอายุสั้นเลยคิดจะยั่วโมโหกันใช่ไหม! ? เหอะ! คิดว่าจ้องเขม็งแบบนั้นจะข่มขวัญได้เหรอ...

“เปล่า...ข้าไม่ได้ไม่พอใจ”

ก็ได้น่ะสิ! เขายังรักชีวิตตัวเองอยู่นะ

หลัวซามองคนคอหูตกรู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเขาก็ไม่สนใจเจ้าของห้อง ออกไปเปลี่ยนชุดแล้วเดินไปยังห้องอาบน้ำ ทิ้งให้เซียนซีหยางอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม

หลัวซาไม่ได้สนใจเฉินฝูที่มองเขาราวกับเห็นผี รวมทั้งไม่ได้สนใจว่าถังอาบน้ำนี่เตรียมให้ใคร เขาอาบน้ำจนเสร็จด้วยจิตใจสับสน มือปราบคิดว่าคุณชายสามผู้นี้มีแผนการในใจ ทั้งเรื่องที่เขาออกไปข้างนอกและดึงดันจะไปงานประลองยุทธ์ทั้งที่ปกติไม่ชอบ

หลัวซาแม้ไม่เคยมองเซียนซีหยางเต็มตา ไม่อยู่ด้วยกันเช่นคู่แต่งงาน แต่เรื่องที่คุณชายสามไปก่อไว้กับเพื่อนร่วมสำนักเช่น กัวชิวถง เขารู้ดี นางเป็นคนใกล้ชิดที่ตามเขาออกไปล่าปีศาจปราบมารทุกครั้ง คุณชายสามไม่ชอบนางจนกลั่นแกล้งในยามที่เขาไม่อยู่ ทำให้จากที่เกลียดธรรมดา กลายเป็นทั้งเกลียดมากและรังเกียจเขาด้วย เพราะไม่ใช่แค่เอาการแต่งงานมาผูกมัด แต่ยังเป็นการทำลายชื่อเสียงของเขา มือปราบแห่งสำนักซางเหรินสิงต้องแต่งกับบุรุษนั้นทำไม่ให้เขาสืบสายเลือดไม่ได้ไม่ใช่หรือ เซียนซีหยางอาจยอมรับได้ แต่เขาได้ถามความสมัครใจของคู่แต่งงานแล้วหรือยัง มาวันนี้คิดกลับใจหลัวซาย่อมไม่เชื่อง่ายๆ

คนเราเปลี่ยนกันง่ายเช่นนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเซียนซีหยางคิดจะทำอะไร เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์ร่วมสำนักของเขาหรือไม่ หากว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมากพอจนสามารถลงโทษสังหารเขาได้โดยชอบธรรม มือปราบหลัวจะไม่เกรงใจเซียนหลี่ซังอย่างเด็ดขาด

เช่นนั้นจึงตัดสินใจแล้วว่าจะจับตาดูเซียนซีหยางผู้นี้ไปสักระยะ

มือปราบเปิดโหมดระแวงเต็มที่ แต่คุณชายสามไม่ได้รับรู้ด้วย เขารู้เพียงว่าวันนี้ยังไงก็สลัดหลัวซาไม่พ้น จึงปูที่นอนไว้ข้างเตียงหนึ่งที่ อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าพระเอกคนนั้นจะกล้านอนเตียงเดียวกับพวกต้วนซิ่ว

ทว่าหลังอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่เฉินฝูต้องเตรียมให้ใหม่เสร็จ ก็พบว่าหลัวซายึดเตียงของเขาไปแล้ว “แบบนั้นไม่ได้นะ เจ้าบอกเองว่านอนข้างเตียงได้ รีบคืนเตียงของข้ามา” เซียนซีหยางโวยวายไม่กลัวตายครั้งแรก ล้อเล่นหรือเปล่า เหนื่อยมาทั้งวันเช่นนี้ จะยอมนอนบนฟูกแข็งๆ ได้ยังไง

หลัวซาไม่ได้ลงจากเตียง เปิดหนังสือของเขาอ่านพลางๆ พร้อมกล่าวหน้าตายว่า “สามีนอนบนเตียง เจ้านอนข้างล่างเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”

สะ สามีอะไรวะ ตัวเองรังเกียจการแต่งงานครั้งนี้จะแย่ยังกล้าพูดออกมาได้ว่าเป็นสามี เซียนซีหยางกระตุกทั้งหน้า แต่แล้วก็รู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง “สามีอันใด ข้าเป็นฝ่ายขอเจ้าไม่ใช่รึ ข้าต้องเป็นสามีสิถึงจะถูก”

หลัวซาชะงัก ความทรงจำเลวร้ายในวันแต่งงานย้อนกลับมา ตอนนั้นเซียนซีหยางกล่าวว่าเช่นไรนะ “ ‘ข้าจะเป็นภรรยาที่ดี จะยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของท่าน’ ประโยคนั้นมิใช่เจ้าพูด?”

อันที่จริงในเนื้อหานั้นกล่าวไว้ว่า [เซียนซีหยางมองใบหน้าเย็นชาแฝงไอสังหารของมือปราบอย่างหลงใหล เขากล่าวอย่างอ่อนหวานกับบุรุษที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาตรงๆ ว่า “ขอเพียงท่านมอบความรักให้ข้าบ้าง ข้าจะทำหน้าที่ภรรยาที่ดี เชื่อฟังท่าน จะยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของท่านไม่มีวันทรยศ” ]

“...” เขาพูดไม่ออกจำไม่ได้ว่ามีส่วนนั้นอยู่ในเนื้อหาจริงๆ หรือไม่ ทว่าพอคิดเรื่องที่เขากล่าวไปเช่นนั้นแล้วก็อยากปิดหน้าร้องไห้...ไอ้เซียนซีหยาง! ศักดิ์ศรีน่ะมีบ้างไหม! นายยอมเป็นภรรยาได้ยังไง อยู่ใต้ฝ่าเท้าอะไร นั่นไม่ใช่หน้าที่ภรรยาแล้ว นั่นมันขี้ข้าดีๆ นี่เอง รับไม่ได้โว้ย!! “ข้าลืมไปแล้ว...ช่างเถอะ” คืนนี้นอนข้างล่างก็ได้ ฮือๆ

“จริงสิ” มัวแต่สะเทือนใจกับเซียนซีหยางเวอร์ชันเก่าจนเกือบลืมเจตนาของตน “หลังจบการประลองแล้ว เจ้าหาเวลาเหมาะๆ เขียนหนังสือหย่าให้ข้าด้วย”

หลังพูดจบหลัวซาก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เขาหรี่ตามองตามคนที่ขยับตัวเชื่องช้า “หมายความว่าเช่นไร”

“ข้าจะหย่ากับเจ้าไง ไม่ดีหรือ” เซียนซีหยางคลานมาซุกในร่มผ้าปากก็พูดไปเรื่อยเปื่อย “เจ้าจะเป็นอิสระไปแต่งกับหญิงที่รัก ไปสร้างครอบครัว มีลูกๆ ที่น่ารักน่าชังอย่างไร ยังไงซะข้ากับเจ้ามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องทั้งหมดข้าเป็นคนผิดฝ่ายเดียว” ยามหัวถึงหมอนเซียนซีหยางก็หนักเปลือกตา เมื่อเคลิ้มเต็มที่ประโยคถัดมาก็ง่อนแง่น “งืม...ไว้ตอนนั้นหากเจ้าอภัยให้ข้า...ก็ ให้ข้าตั้งชื่อลูกเจ้าคนนึง...” ปากงึมงำดวงตาก็ปิดสนิท ครู่ต่อมาคุณชายสามก็ไปเฝ้าพระพุทธองค์เรียบร้อย

หลัวซายามนี้ไม่ได้กล่าวอะไร แต่ในใจรู้สึกได้ว่ามันผิดปกติอย่างมากจนอดจ้องเขาจริงจังไม่ได้

ปกติหากไม่มีอะไรที่ต้องหันไปมอง หลัวซาจะไม่เอาเขามาอยู่ในสายตาให้ขุ่นมัวใจอย่างเด็ดขาด ทว่าเวลานี้เขากลับจับจ้องคนที่เกลียดชังอย่างตั้งใจ มองดูว่ามีตรงไหนผิดปกติหรือไม่ หากเป็นมารจำแลงกายมาเขาไม่แปลกใจสักนิด แต่จนแล้วจนรอด บุรุษที่มีดีแค่ใบหน้าพอดูได้นิดหน่อยก็ไม่เผยพิรุธใดออกมาให้เห็น

“...” มือปราบหลัวมองใบหน้ายามหลับใหลของเขาอีกครั้งก่อนล้มตัวลงนอน

ในใจรู้สึกไม่ค่อยสงบ ยามนี้ดึกมากแล้ว คุณชายสามก็หลับเป็นตายแต่หลัวซาที่พึ่งเคยนอนในห้องเดียวกับเขาครั้งแรกรู้สึกแปลกประหลาดกับคนผู้นี้อย่างมาก

....

การคัดเลือกผู้เข้าประลองทั้งหนึ่งร้อยคนจบไปแล้ว การประลองอย่างเป็นทางการที่เจี้ยงฉางจะถูกจัดขึ้นอีกสามวัน เพื่อเป็นการพักฟื้นร่างกายของผู้ประลอง ในยามนี้เซียนซีหยางจึงไม่มีธุระที่ต้องออกไปทำข้างนอก เขาจึงเลือกหยิบตำราเรียนการเดินลมปราณออกมาศึกษา ทว่าอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ จุดลมปราณเอย เส้นทางเดินเอย ยิ่งอ่านก็ยิ่งมึนงง ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ปิดตำราเล่มนั้น

หรือว่าเขาควรต้องหาอาจารย์จริงๆ แต่จะว่าไปหลัวซาก็ไม่มีอาจารย์สั่งสอนให้ตั้งแต่แรก เขาใช้วิธีเอาชนะความกลัวตายสั่งสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ

โธ่เอ๊ย ฉันจะเอาหลัวซามาเป็นแบบทำไม หมอนั่นมันมีคำว่าพระเอกแปะหน้าผากอยู่ ต่อให้เกิดมาพิการเขาก็เก่งกว่าตัวละครประกอบอย่างฉันอยู่ดี

เซียนซีหยางคิดเพลินๆ ไม่ทันรู้ตัวก็เกือบชนกับคนผู้หนึ่งที่เดินเลี้ยวเข้ามา มือปราบหลัวอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนมีเหงื่อพราวเกาะ ท่าทางเหมือนผ่านการออกกำลังกายอย่างหนักมาอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเช้านี้เซียนซีหยางตื่นหลังเขา จึงไม่รู้ว่าหลังจากตื่นนอนกิจวัตรประจำวันของมือปราบหลัวคือฝึกฝนร่างกายทุกวัน หากเขาพักที่สำนักก็จะต้องฝึกเช้าพร้อมกับศิษย์น้องและมือปราบทั้งหลายเป็นการเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่ได้กลับไปทำหน้าที่หัวหน้ามือปราบ แต่หลัวซาก็ไม่ได้ละเลย

คุณชายสามมองรูปร่างของเขาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา พลันรู้สึกริษยาร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามมัดกำลังพอเหมาะเช่นเขา พอหันมานึกถึงรูปร่างของตัวเองแล้วก็สาบานในใจเงียบๆ ว่าต่อจากนี้จะขุนร่างกายให้เป็นแบบหลัวซาให้ได้

ความอิจฉาริษยาของเซียนซีหยางแสดงออกมาทางสีหน้า ทำให้มือปราบหลัวพอจะเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงเอาแต่จ้องมองไม่ยอมกล่าววาจา ทว่าความรู้สึกที่ถูกบุรุษผู้นี้จ้องเมื่อก่อนกับวันนี้ช่างแต่ต่างกันมาก เวลานั้นเขาทั้งขยะแขยงทั้งรังเกียจ แต่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ชวนให้ขนลุกขนชันนอกจากความอึดอัดที่พอรับได้...

“จะหลบทางหรือให้ข้าหลบ” หลัวซากล่าวเช่นนั้นเพื่อเรียกสติของเขากลับมา แต่เซียนซีหยางกลับไม่ได้ฟังคำถามของเขาสักนิด

“อาหลัว เจ้าใช้เวลานานเท่าใดถึงเพาะกล้ามเนื้องดงามเช่นนี้ออกมาล่อลวงสตรีได้”

หลัวซาพลันขมวดคิ้ว ล่อลวงสตรี?

“ไม่ยุติธรรม...ไม่ยุติธรรม...ปั้นตัวประกอบหน้าตาดีมาแล้ว ทำไมไม่ใส่ใจปั้นร่างกายดีๆ ออกมาบ้าง...” เซียนซีหยางยิ่งคิดยิ่งเพ้อเจ้อ เขาสะบัดหัวสองสามทีกล่าวว่า “ไม่มีอันใด ข้าพึ่งตื่นพูดจาเพ้อเจ้อไปบ้างอย่าได้ถือสา” เขารีบหลบทางให้พระเอกเดิน เตือนอย่างเป็นห่วงกลัวว่าตนจะลื่นเหงื่อที่ไหลหยดลงพื้นของเขา “เสียเหงื่อมากๆ ร่างกายจะขาดน้ำ เจ้ารีบไปเถอะ”

หลังจากสะบัดข้อมือไล่เขากลายๆ แล้วก็รีบเดินหนีออกมา ทว่ายังไม่ทันหมุนตัว ข้อมือของเซียนซีหยางก็ถูกรวบไว้ก่อน ผู้ที่คว้าข้อมือของเขาถามขึ้นว่า “วันนี้เจ้าจะไปไหนหรือไม่”

พี่ชายครับ...หลายสิบบทตอนในนิยายพี่ไม่เคยออกปากถามไถ่ วันนี้อุตส่าห์มองเห็นไรฝุ่นอย่างผมด้วย ปลาบปลื้มจริงๆ ...แม่ง!

เซียนซีหยางเหงื่อกาฬจากไหนไม่ทราบผุดขึ้นเต็มหลัง “อีกสักครู่จะออกไปตลาดหาคนผู้หนึ่ง”

“ใครหรือ” เขาถามนิ่งๆ คล้ายไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“สำคัญด้วยหรือ” คุณชายสามหลบตา

สำคัญด้วยรึ...ยามปกติย่อมไม่สำคัญ แต่เมื่อคืนเซียนซีหยางทำให้เขาฉงนสนเท่ห์อยู่ค่อนคืนไม่ใช่ว่ามีแผนการหรอกหรือ หลัวซากล่าวว่า “เมื่อคืนเจ้าพูดกับข้าเรื่องใดยังจำได้อยู่หรือไม่”

เมื่อคืนแม้ง่วงมาก แต่สติของเขาไม่ได้เลอะเลือน คุณชายสามพยักหน้าแน่วแน่เพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นกังวลกลัวตัวเองจะกลับคำ

ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้นเฟ้ย!

“เช่นนั้นก็ดี” เขายอมปล่อยมือของอีกฝ่าย ระหว่างเดินสวนกันก็กล่าวกับเขาว่า “หวังว่าเจ้าจะจำคำพูดของตัวเองไปได้ตลอด”

ไม่ต้องห่วงพี่ชาย ฉันยังอยากมีชีวิตยืนยาว แม้จะเป็นแค่ตัวประกอบก็ตาม

เซียนซีหยางถอยหลีกทางให้หลัวซา เมื่อเห็นแผ่นหลังเงางามหายเข้ามุมเลี้ยวไปแล้ว เขาก็รีบก้าวเท้าจากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน และไม่ทันนึกว่าไอ้หยดเหงื่อบนพื้นของมือปราบหลัวนั่นจะทำให้เขาลื่นหน้าทิ่มได้จริงๆ

“...อู้ย แม้แต่เหงื่อของเขาก็ยังเป็นอาวุธได้ ร้ายกาจๆ ...” เซียนซีหยางคลานขึ้นจากพื้นบ่นงึมงำๆ ไปเรื่อยเปื่อย

ยามนี้คุณชายจะออกไปไหนก็จะพาแค่เฉินฝู คนสนิทเก่าแก่ไปเพียงผู้เดียว ในเรือนหลักของสกุลเซียนมีพี่ใหญ่กับพี่รองของเขากลับมาแล้ว เซียนซีหยางย่อมไม่ไปแตะต้องบ่าวไพร่ในเรือนหลัก มือปราบหลัวเข้าไปเปลี่ยนชุดที่เรือนหลังเช่นเดิม ทว่าเดินเข้ามาในห้องนอนที่ตนนอนเมื่อคืนก็พบว่าบนเตียงมีตำราเดินลมปราณขั้นต้นอยู่ หลัวซาหยิบมาพลิกหน้าจึงเห็นร่องรอยการเปิดอ่านไปบ้างแล้ว ส่วนหน้าหลังๆ กลับยังไม่ถูกจับต้อง เห็นได้ชัดว่าตำราเล่มนี้พึ่งซื้อมาใหม่และคนอ่านก็ความอดทนต่ำเกินไป

เป็นคุณชายสาม...เพราะเหตุใดจึงคิดเริ่มเรียนวิชาเอาตอนนี้ มีจุดประสงค์อันใด? “มิใช่คิดจะก่อการใหญ่จริงๆ ใช่หรือไม่”

หลัวซาเผลอออกแรงที่ฝ่ามือ ทำเอาตำราเล่มนั้นยับบิดเบี้ยว เขาวางมันลงที่เดิมก่อนจะละสายตาออกไปนอกประตูเห็นแผ่นหลังไวๆ ของเซียนซีหยางกำลังขึ้นขี่ม้าอย่างทุลักทุเล

เซียนซีหยางจำต้องหนีตายออกมาจากเรือนหลังแสนสงบสุขเพียงเพราะมือปราบผู้นั้นมีธุระจะสนทนากับบิดาของตน จากเนื้อหาในนิยายเหมือนจะเป็นเรื่องการประลอง หลัวซาแม้ไม่ได้เข้ารับการคัดเลือกเหมือนหลายปีที่ผ่านมา แต่ตำแหน่งในหนึ่งร้อยคนถูกล็อกไว้ให้เขาแล้วหนึ่งที่ การกระทำเช่นนี้เซียนหลี่ซังเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง แรกๆ มีเสียงค้านมากมายว่าไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่น แล้วยังไง? เจ้าไม่เชื่อว่าเขาเหมาะสมก็ล้มเขาให้ได้ในเจี้ยงฉางสิ

คำตอบเช่นนั้นของเซียนหลี่ซัง ทำให้ปีแรกที่หลัวซาได้สิทธิพิเศษนี้ไปกลายเป็นศัตรูของคนมากมาย ทว่าไม่มีใครเอาชนะเขาได้แม้แต่คนเดียว เสียงทัดทานจึงซาลงในเวลาต่อมา ปีนี้ก็เหมือนดังเช่นเคย หัวหน้ามือปราบมีภารกิจรัดตัวไม่ว่างมาประลองรอบคัดเลือก แต่เขาจะได้ลงสนามที่เจี้ยงฉางและเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน

หากถามว่าเช่นนั้นการพนันจะมีไปทำไมในเมื่อผู้ชนะยังคงเป็นหลัวซา ฮ่าฮ่าฮ่า คนที่รู้ว่ายังไงหลัวซาก็เป็นผู้ชนะมีแต่เขาเท่านั้นแหละ

ปีนี้มีผู้ท้าประลองโหดๆ หลายคน ยอดฝีมืออย่างโจวเสวี่ยนที่ไปโดดเด่นตั้งแต่รอบแรก เซียนพนันไม่น้อยจึงเทข้างเขา โดยเฉพาะอาจารย์หญิงแห่งสำนักเถียฉื่อ สาวงามที่ชอบตกหนุ่มหล่อๆ เข้าฮาเร็ม แค่กๆ ๆ เข้าสำนักตัวเอง โจวเสวี่ยนเป็นที่ต้องตาต้องใจของอาจารย์หญิงผู้นั้นชนิดที่โดนตามตื๊ออยู่หลายวัน แต่ว่าน่าสงสาร ไม่ใช่แค่พระเอกที่ถูกยกให้เป็นสามีแห่งชาติ นางเอกอย่างกัวชิวถง ก็เป็นแม่นางน้อยที่ชายทั่วยุทธภพอย่างแต่งเป็นภรรยาเช่นกัน โจวเสวี่ยนย่อมเป็นหนึ่งในนั้น เขาจึงตัดสินใจเข้าสำนักซางเหรินสิง

อยากเตือนพี่โจวของเขาชะมัดว่า นางเอกก็คือนางเอก เกิดมาเพื่อคู่พระเอกคนเดียวเหมือนกัน

“ซีหยาง! ทางนี้! ”

เซียนซีหยางยามนี้เดินทอดน่องอยู่ในตลาดพอเห็นจ้าวฉีหลินโบกมือให้ ก็รีบจูงม้าเดินไปหา วันนี้คุณหนูจ้าวสวมชุดแปลกตา ดูเหมือนเอาสบายเข้าว่ามากกว่าเรียบร้อย จ้าวฉีหลินเห็นเขาเอาม้ามาด้วยก็คึกคักยิ่งกว่าเดิม “บ้านของนายมีม้าให้ใช้ด้วยเหรอ ดีชะมัด”

เซียนซีหยางอธิบายว่า “มีสิ บ้านของสกุลเซียนมีคอกม้ากับลานฝึกวรยุทธ์ หากคุณมาเกิดเป็นคนในสกุลเซียนละก็ต้องชอบมากแน่”

จ้าวฉีหลินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย “สำนักฮุ่ยหมิ่นก็สงบดีไม่เลว แต่อาจารย์ในสำนักไม่ถ่ายทอดวิชาต่อสู้ให้ศิษย์หญิง เอาแต่สอนศิลปะทั้งสี่ เกอเป็นชายแท้ทั้งแท่งนะ จับมานั่งคั้นให้ตายก็กลั่นเอาความเป็นกุลสตรีออกมาไม่ได้สักหยดหรอก”

เซียนซีหยางปลอบใจ ตบไหล่แปะๆ สองสามทีกล่าวว่า “อย่าเศร้าไปเลย อย่างน้อยคุณก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตายวันตายพรุ่งหรือเปล่า ผมสิ สลัดหลัวซาไม่พ้นจนต้องเป็นฝ่ายเผ่นออกมาเนี่ย”

จ้าวฉีหลินตาโต “เจอหลัวซาแล้ว”

เซียนซีหยางพยักหน้า “ใกล้ชิดระยะเผาขน”

“เป็นไง”

“สมกับที่เป็นพระเอก”

จ้าวฉีหลินขมวดคิ้วไม่เข้าใจความหมาย ทว่านางร้ายผู้นี้ไม่ได้สนใจพระเอกเช่นมือปราบหลัวแล้วจึงไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจให้มาก คุณหนูจ้าวออกมาวันนี้พึ่งสลัดผู้ติดตามหลุดได้ครู่หนึ่งก่อนจะพบเซียนซีหยางโดยบังเอิญ ส่วนคุณชายเซียนเพียงหาข้ออ้างหนีพระเอกออกมาเท่านั้น ทั้งคู่จึงไม่มีเป้าหมายอะไรเพียงแต่เดินชมของคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเซียนซีหยางก็นึกได้เรื่องหนึ่ง

“ฉีหลิน ผมพึ่งนึกออกเมื่อกี้ ตอนที่เซียนซีหยางพบมารน้อยเสียเยี่ย เขาหนีออกจากขบวนค้าทาสที่กำลังจะมุ่งหน้าไปเปี้ยนไถ ตอนนั้นเขามีรูปลักษณ์และพลังมารชัดเจนมาก ปราณมารของเขาไร้การควบคุม กว่าเซียนซีหยางจะพากลับมาได้ก็บาดเจ็บไม่น้อย ที่เขายังรักษาความลับเอาไว้ได้เพราะทุกคนทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน หลัวซาเองไม่ได้แวะกลับมาสกุลเซียนอีกเลยนับจากวันนั้น แต่ว่า...” คุณชายสามปากกระตุกหน้าตาบิดเบี้ยว “ผมดันแหกนิสัยดั้งเดิมของเซียนซีหยางต่อหน้าคนในสกุลไปแล้ว แม้แต่หลัวซายังเอาแต่จับผิดผมไม่ยอมไปนอนเรือนหลักด้วยซ้ำ เกรงว่าหากพามารน้อยกลับมา ผมคงไม่ต้องรอให้วันนั้นมาถึงก็คงตายคาดาบของเขาเรียบร้อยไปแล้ว”

จ้าวฉีหลินชักหัวเราะไม่ออกร่ำไห้ไม่ได้ “ไม่รอบคอบเลย! แบบนี้จะทำยังไง เอามาไว้กับฉันแทนเหรอ”

“ผมจะไปรู้เหรอว่าหลัวซาจะเป็นแบบนั้น นี่ก็ผิดแผนของผมเหมือนกันนะ” เซียนซีหยางยิ่งคิดเรื่องโดนแย่งที่นอนเมื่อคืนก็ยิ่งหงุดหงิด

แต่แล้วคุณหนูจ้าวก็ร้องขึ้นว่า “จริงสิ! มีวิธีอยู่นี่นา” จากนั้นนางก็ลากเขาเดินวนๆ อยู่ที่ตลาดหลายรอบจนมาหยุดที่หน้าบ้านโทรมๆ หลังหนึ่ง “เมื่อวันก่อนฉันได้ตำราอัพสกิลจากที่นี่ ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านขายไอเทมลับให้มือปราบมารมากกว่าผู้ประลอง”

“แล้ว?” เซียนซีหยางยังคงไม่เข้าใจ

จ้าวฉีหลินทำหน้าประมาณว่า น้องชายช่างอ่อนหัด เสร็จก็ลากเขาเข้าไปข้างใน เห็นคนที่นั่งปัดเช็ดของอยู่ในนั้นคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง “เหล่าจ้าง (7) !!! ข้าพาลูกค้ามาให้!! ”

เสียงกัมปนาทของคุณหนูจ้าวทำให้เซียนซีหยางอุดหูแทบไม่ทัน ทว่าผู้เฒ่าคนนั้นค่อยๆ หันมาช้าๆ กล่าวเสียงล่องลอยว่า “แม่หนูเรียกข้า มีอันใดหรือ”

อา...เป็นท่านผู้เฒ่าที่หูตึง

“ข้า-พา-ลูก-ค้า-มา-ให้!!!!! ” นางกล่าวซ้ำอีกรอบด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“อา ยินดีต้อนรับเส้าเยี่ย (8) น้อย ท่านอยากได้อะไรรึ” ผู้เฒ่าค่อยๆ วางไม้ปัดฝุ่นอย่างเชื่องช้า เดินออกมาต้อนรับอย่างเชื่องช้า ยกมือคารวะอย่างเชื่อง.....ช้า.....

เซียนซีหยางหันไปถามจ้าวฉีหลิน “เมื่อวานคุณใช้เวลาไปเท่าไหร่กว่าจะได้ตำรากลับไปเนี่ย”

จ้าวฉีหลินหัวเราะหึๆ “คุ้มค่าให้รอน่า” นางกล่าวกว่า “ผู้เฒ่าคนนี้คือ ชุ่นปู้อี๋ อย่างที่เห็นเขาค่อนข้างหูตึง แล้วก็ไม่ต้องนึกให้เปลืองสมองนี่คือตัวละครลับที่นิยายได้ใส่รายละเอียดเอาไว้ไม่เกินหนึ่งบรรทัดนายจำไม่ได้หรอก เหล่าจ้างงงๆ !! ข้าอยากได้ตำราสะกดมาร!!! ”

เซียนซีหยางพลันสะดุ้ง เอาง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ

“หืม? ว่าอันใดนะคุณหนู” ผู้เฒ่าชุ่นเงี่ยหูฟัง จ้าวฉีหลินกระแอมคออีกหนึ่งทีก่อนจะกล่าว

“ตำรา-สะกด-มารรรร!!!!!! ”

...ไม่ใช่ผู้เฒ่าหูตึงธรรมดาซะแล้ว แต่เป็นผู้เฒ่าที่หูโคตรๆ ตึงเลยเว้ย! กว่าจะคุยกันจบคอแม่นางไม่ทะลุแล้วเหรอ แต่คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าชุ่นคนนี้จะรู้อะไรดีไปซะหมด ยกเก้าอี้เอ่ย น้ำชาเอ่ย ออกมาตระเตรียมไว้ให้...ด้วยกิริยาที่เชื่องช้ายิ่งกว่าท่าขี่ม้าของเซียนซีหยางเสียอีก

“อา ตำราสะกดมาร” ผู้เฒ่าชุ่นปู้อี๋ลูบเคราครุ่นคิด “เส้าเยี่ยน้อยจะเอาไปทำอะไรหรือ”

“เอ่อ ข้าจะเอาไว้...”

“ผดุงธรรม!!! ” จ้าวฉีหลินแทรกขึ้น พลางสะกิดเขายิกๆ

อืมๆ ผดุงธรรมก็ผดุงธรรม “ผดุงธรรมขอรับ! ”

“อืม? ว่าอันใดหรือ?” ผู้เฒ่ายื่นหูเข้ามาหา

“ผดุงธรรมขอรับ!!!! ” เซียนซีหยางตะโกนเสียงดังขึ้น

“อะไรธรรมๆ นะ?” ผู้เฒ่าเกาหัวแกรกๆ

“ผดุงธรรมไงเล่า!!!!!!!! ” คุณชายตะโกนสุดเสียงจนแทบพ่นเลือด จ้าวฉีหลินเลื่อนถ้วยน้ำชาให้เขาด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ

“โอ้ เช่นนี้เอง! นับถือๆ เส้าเยี่ยน้อยมีใจรักคุณธรรมข้าจะพาไปดูตำราเอง” ผู้เฒ่าชุ่นปู้อี๋ลุกขึ้นเดินนำพวกเขาไปอย่างเชื่องช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน ครู่หนึ่งก็หันมามองคุณชายอย่างใคร่รู้ “มิทราบเส้าเยี่ยน้อยนามว่าอะไร”

ไม่...อย่าบังคับให้เขาพูดเลย!

เซียนซีหยางอยากเป็นลม

หลังน้ำชาถ้วยที่สามสี่ เสียงของเขาคล้ายจะดีขึ้น ระหว่างที่รออากัปกิริยาอันเชื่องช้าของผู้เฒ่าชุ่น เซียนซีหยางอดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “ทำไมคุณรู้ว่านี่เป็นร้านขายไอเทมลับให้มือปราบ”

จ้าวฉีหลินที่ซดน้ำชาล้างคอไม่ต่างกันอธิบายว่า “เคยมีคนสงสัยว่าสำนักปราบมารมีฝ่ายบู๋นไหนบ้างหนุนหลัง ใครไม่รู้มาสปอยล์ในลงในเพจว่าที่เมืองอู๋ฉิงมีบ้านร้านโทรมๆ ของผู้เฒ่าคนหนึ่ง คอยซัพพอร์ตไอเทมต่างๆ ให้สำนักปราบมาร แน่นอนว่าเนื้อความส่วนนี้ถูกเขียนให้ลึกลับด้วยการกระจายเนื้อหาที่รวมแล้วมีไม่ถึงหนึ่งย่อหน้า ถ้าไม่ใช่ว่ามีพวกว่างงานจนเจ็บไข่ไปเอามาศึกษา อีสเตอร์เอ้กส์ (9) นี่คงไม่ถูกค้นพบ” นางสะกิดเขาให้มองไปรอบๆ “นายดูสิ ของพวกนั้นมองผ่านๆ ก็เหมือนของเก่าในร้านขายของชำ แต่เกือบทั้งร้านเป็นอุปกรณ์ที่เอาไว้ปราบมารและภูตผีโดยเฉพาะ เมื่อวันก่อนฉันเดินหาทั้งวัน ร้านไม่สะดุดตาเลยเดินผ่านไปตั้งหลายครั้ง โชคดีที่ผู้เฒ่าชุ่นหูตึงอยู่เหงาๆ ไม่มีคนคุยด้วยมานานพอได้คนมาสนทนาด้วยก็ใจดีลดราคาให้ แถมยังใจกว้าง ตำราไหนไม่เข้าใจก็เปิดอ่านสอบถามได้ในร้าน”

เซียนซีหยางอดทึ่งไม่ได้ เขาเดินดูของพวกนี้อย่างสนใจจากนั้นถึงไปสะดุดที่ยันต์แผ่นหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันจะดึงออกมาดูผู้เฒ่าชุ่นก็คลานออกมาจากซอกเล็กๆ ในสภาพมอมแมม เซียนซีหยางรีบเข้าไปช่วยเขาตบฝุ่น ก่อนจะรับตำราปกหนังสัตว์สีดำมาไว้บนมือ

พวกเขามองหน้ากันสักพักก็มาสุ่มหัวเปิดดูตำราสะกดมารเล่มนี้ “มารน้อยเสียเยี่ยเป็นมารโลหิตคลั่ง นับเป็นชนเผ่ามารชั้นสูงที่เหลือไม่กี่ตน” จ้าวฉีหลินเปิดหาคำว่ามารโลหิตคลั่งพบว่ามีข้อมูลอยู่ไม่กี่หน้า

เซียนซีหยางเค้นจนสมองบวมก็ได้ข้อมูลออกมาว่า “ตอนที่เสียเยี่ยถูกหลัวซาทำร้ายจนเจ็บหนัก หลัวซาใช้ดาบปราบมารฟันที่ศีรษะถูกปานแดงบนหน้าผากของเขาพอดี จากนั้นปราณมารของเสียเยี่ยก็แปรปรวนแตกซ่าน หรือนั่นเป็นจุดรวมพลังมารของเขา”

“เสียเยี่ยเป็นลูกครึ่งมาร หากเป็นแบบนั้นเราหาทางสะกดปานแดงนั่นไว้ก็น่าจะได้แล้ว” จ้าวฉีหลินอ่านข้อมูลจากตำราแล้วก็อธิบายให้เขาฟัง “ปกติมารโลหิตคลั่งที่โตเต็มวัยในภพมารจะสามารถฆ่าคนได้จากการควบคุมเลือดที่ตนได้สัมผัสและอยู่ในรัศมีที่ไอมารเข้าถึง นั่นก็ขึ้นกับความแข็งแกร่งของมารแต่ละตนด้วย นอกจากนี้เขายังใช้เลือดตัวเองแปลงเป็นอาวุธได้ เป็นยาพิษก็ได้...สะดวกดีแท้ มิน่ามารโลหิตถึงเป็นเผ่ามารที่ถูกล่ามากที่สุดในช่วงหนึ่ง ลองมีแบบเสียเยี่ยสักหนึ่งโหลสิ สำนักปราบมารงานเข้าไม่รู้ออกแน่”

“การสะกดมาร...ต้องใช้ด้ายที่ถักจากขนของเซียนจิ้งจอกเก้าหาง”

ขนของเซียนจิ้งจอกเก้าหาง? “ผมว่ามันแปลกๆ นะ ก่อนเสียเยี่ยหนีออกมาจากขบวนรถเขาต้องถูกสะกดมาก่อนไม่ใช่เหรอหรือพ่อค้าทาสพวกนี้ก็มีไอเทมหายากนี่ด้วย”

จ้าวฉีหลินครุ่นคิด “ฉันจำได้ว่ามีสปอยล์หนึ่งบอกเกี่ยวกับการสะกดมารของจอมมารเยว่จุน ตอนนั้นเป็นการควบคุมประชากรมาร เยว่จุนใช้วิธีหนึ่งสะกดมารที่ไม่เชื่อฟัง”

“วิธีนั้นคือ?”

“ใช้โซ่ดำตรึงสะบัก”

เซียนซีหยางขนลุกซู่ การร้อยโซ่ตรึงกระดูกสะบักเป็นการทรมานที่เหี้ยมโหด เมื่อสะบักถูกตรึงพลังปราณไม่ต่อกันทำให้อ่อนแออย่างถึงที่สุด ต่อให้มารร้ายอย่างเสียเยี่ยก็ไปไม่เป็นเช่นกัน

“การใช้โซ่ดำไม่ใช่วิธีที่ลึกลับมากนัก ขอเพียงเป็นคนที่มีวิชาฝึกฝนเฉพาะทางหน่อยก็สามารถทำได้ ฉันเชื่อว่าพ่อค้าทาสจะต้องมีคนซัพพอร์ตเรื่องนี้อยู่แล้วถึงกล้าเอาชนเผ่ามารออกมาขายตามสนามประลองใต้ดิน”

“คุณจะให้ผมใช้วิธีนั้น..” เซียนซีหยางนึกตามแล้วส่ายหน้ารัวๆ จ้าวฉีหลินตบท้ายทอยเขาหนึ่งที “บ้าเหรอ แบบนั้นชวนให้ความแตกยิ่งกว่าเดิมอีก ฉันแค่พูดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้นเสียเยี่ยถึงได้โดนจับมาขายต่างหาก ส่วนไอ้ด้ายขนเซียนจิ้งจอกอันนี้...” นางกวาดตามองรอบๆ ก็เห็นผู้เฒ่าชุ่นรื้อค้นของอย่างหนึ่งออกมา วางไว้ตรงหน้าพวกเขา

มันคือกล่องไม้เก่าอันไม่เล็กไม่ใหญ่ พอเปิดออกมาก็พบเส้นขนสีขาวยาวๆ อยู่หลายเส้น

“...”

“...”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเก้อเขินว่า “เห็นเส้าเยี่ยน้อยกับคุณหนูจ้าวจ้องเรื่องของมารโลหิตคลั่งมาตั้งนาน แต่ไม่ยอมถามวิธีกับข้า ก็เลยว่าจะให้สิ่งนี้ไป” ผู้เฒ่าเลื่อนกล่องไปให้เซียนซีหยาง “นั่นคือขนของเซียนจิ้งจอกเก้าหางขาว ข้าเก็บได้ตอนหนุ่มๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรแล้ว เส้าเยี่ยอยากได้ก็เอาไปเถอะ”

“เชี่ย!!!! ” เซียนซีหยาง/จ้าวฉีหลิน ร้องออกมาพร้อมกัน

“มิต้องเกรงใจๆ” ผู้เฒ่ากล่าวถ่อมตนตามประสา

เซียนซีหยางอ้าปากค้างตกใจไม่หาย “นี่ๆ ๆ นี่มันสุดยอดร้านไอเทมชัดๆ สุดยอดผู้เฒ่าด้วย ไม่ใช่ว่าเคยเป็นยอดฝีมือมาก่อนใช่ไหม!! ”

“ยังกะเปิดสูตรโกงแน่ะ ฉันบอกแล้วว่าคุ้มค่าที่รอ! ” จ้าวฉีหลินตบผัวะๆ กลางหลังของเขา กล่าวขอบคุณชุ่นปู้อี๋ผู้นี้กันยกใหญ่

ระหว่างนั้นเองเซียนซีหยางก็ได้ถามข้อสงสัยของตนออกไป “เหล่าจ้าง ข้าอยากทราบเรื่องยันต์แผ่นนั้น” (โปรดอ่านผ่านเครื่องขยายเสียง)

เขาชี้ไปยังกระดาษยันต์แผ่นแรกที่หยิบขึ้นมาดู ผู้เฒ่าลูบเคราแล้วกล่าวว่า “เป็นยันต์คุ้มภัย แบบชาวบ้านธรรมดา เส้าเยี่ยน้อยสนใจรึ”

“ขอรับ ข้าไม่เป็นวรยุทธ์จะออกไป...ผดุงธรรม เกรงว่าจะไม่รอด” เซียนซีหยางเวอร์ชันเก่าได้แผลสาหัสกว่าจะจับตัวมารน้อยได้ เขาไม่อยากเป็นเช่นนั้น “ไม่ทราบข้าพอจะใช้ยันต์อย่างง่ายได้บ้างหรือไม่” (ย้ำว่าต้องอ่านผ่านเครื่องขยายเสียง)

ผู้เฒ่าครุ่นคิดขณะที่มองเขาขึ้นๆ ลงๆ หลายรอบ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ “เส้าเยี่ยมิเคยฝึกลมปราณ แต่ผู้เฒ่าเช่นข้าดูแล้วมีแววบางอย่างในตัวท่าน ลองเอากระดาษยันต์เปล่าไปฝึกคัดใช้เองย่อมได้ผลระยะยาวกว่าเอายันต์ผู้อื่นใช้” ผู้เฒ่าชุ่นเดินเชื่องช้าเช่นเดิม หยิบตำรายันต์ต่างๆ ให้เขา เซียนซีหยางกล่าวขอบคุณอย่างใจจริง

วรยุทธ์ยามนี้ยังไงก็ไม่รอด ต้องหาทางเสริมสกิลอื่นทดแทนเร่งด่วน อย่างน้อยก็ต้องสามารถคุ้มครองตัวเองได้ก่อนวันพบเสียเยี่ย

เซียนซีหยางมอบเงินหนึ่งร้อยเหรียญทองให้ผู้เฒ่าชุ่นอย่างใจป้ำ กล่าวย้ำกับเขาให้ระวังตัวและรักษาสุขภาพ เพราะเอาเข้าจริงแล้วไม่มีของชิ้นใดในบ้านหลังนี้ที่เป็นขยะ ทั้งหมดเป็นของมีค่ามหาศาล หากไม่ใช่ว่ามันทรุดโทรมจนเหมือนบ้านร้างมีผี เกรงว่าสักวันจะถูกปล้นได้ แต่คิดมาคิดไปร้านเล็กแห่งนี้ซัพพอร์ตสำนักปราบมาร เขาจะไม่ได้รับการคุ้มครองเชียวหรือ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้

กว่าพวกเขาจะได้ออกจากร้านไอเทมลับนั่นมาได้ก็คอแหบแห้ง เซียนซีหยางให้จ้าวฉีหลินเป็นคนเก็บตำราสะกดมารไว้เพราะกลัวว่าหลัวซาจะพบเข้าแล้วโมเมว่าเขาจะก่อเรื่อง ส่วนขนจิ้งจอกเก้าหางเขาจะหาเวลาเหมาะๆ ถักออกมาให้มันใช้งานได้เอง จ้าวฉีหลินถึงอยากจะเค้นคอท่านผู้เฒ่าว่าเคยเป็นยอดฝีมือมาก่อนหรือไม่ก็หมดเสียงเสียก่อน แม่นางน้อยจึงยอมแพ้ไป บอกว่าจะหาวันมาอีก

“นั่นพี่โจวใช่ไหม” เซียนซีหยางสะกิดสตรีที่เดินไปพลางซดน้ำชาอย่างผิดกิริยาไปพลาง

“พี่โจว?”

เซียนซีหยางอธิบายว่า “โจวเสวี่ยน ผมพึ่งผูกมิตรกับเขาไปเมื่อวาน”

ดวงตาของคุณหนูจ้าวโค้งเรียว “ใช้เวลาวันเดียวก็ตกยอดฝีมือได้แล้ว นายแน่มาก”

“ชีวิตต้องทำเรื่องรนหาที่ตายตั้งหลายอย่าง จะเดี้ยงตอนไหนก็ยังไม่รู้” เซียนซีหยางบ่นๆ แล้วก็ลากจ้าวฉีหลินไปหาบุรุษผู้นั้น “พี่โจวๆ นี่ข้าเองเซียนซีหยาง”

“เซียนซีหยาง?” คนผู้หนึ่งกล่าวออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณชายวิปริตผู้นั้นน่ะรึ?” จากนั้นเสียงเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นติดๆ กัน

ชิบหาย...

จ้าวฉีหลินยกถ้วยชาจรดปาก หรี่ดวงตางดงามมองเขาเหมือนมองไอ้โง่ นายทำตัวเองเองนะ

“เซียนซีหยางจริงๆ ..ละ แล้วนั่นใช่คุณหนูสกุลจ้าวหรือไม่! ”

“เหตุใดมาด้วยกัน?”

“หรือว่าจะมีเรื่องกันแล้ว! ”

“คุณชายผู้นั้นคือ คนที่ชนะพนันตลอดสามวันในงานคัดเลือกใช่ไหม”

ประโยคนั้นไม่รู้เซียนพนันคนไหนกล่าว ทว่าเวลานี้เซียนซีหยางกลายเป็นที่สนใจของผู้คนไปซะแล้ว เขากระซิบสหายร่วมสายตาข้างตัว “เอาไงดี”

“รีบเผ่นดีไหม” จ้าวฉีหลินออกความคิดเห็น แม้จะตรงใจเขามากแต่ทำแบบนั้นผลที่มาตามน่ากลัวว่าจะเป็นข่าวลือเสียหายยิ่งกว่าเดิม “ไม่งั้นก็แสร้งว่าเราทะเลาะกัน ให้ฉันต่อยหน้านายสักหมัด ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าพวกเรามาทำอะไรกันที่นี่”

“ผมว่า...ไม่ดีกว่า เราแค่ทะเลาะกันนิดหน่อยก็พอ ผมจะแสร้งเป็นพูดไม่ออกแล้วเดินหนีไป”

“เด็กหนอ...”

“ผมไม่เชื่อว่าคุณอายุเยอะกว่า! ” เซียนซีหยางเกือบตะคอกออกมาจริงๆ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ลับฝีปากกัน โจวเสวี่ยนที่เห็นทั้งคู่อยู่ท่ามกลางสายตาไม่ประสงค์ดีของคนอื่นก็อดก้าวเท้ามาหาไม่ได้ พอเห็นหน้าซีดๆ ของเซียนซีหยางก็คิดไปเองว่าเขากำลังโดนดูถูก

“ซีหยาง” โจวเสวี่ยนเรียกเขาเสียงไม่ดังไม่เบา “ขี่ม้าไม่ได้ ไยถึงพาม้ามาอีก”

“...” จ้าวฉีหลินตาโต

“พี่โจว...” เซียนซีหยางหมดแรง นี่คือการเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ของท่านหรือ!

ข้าเพียงแต่ขี่ม้าไม่เก่งเท่านั้นเอง!

เห็นสีหน้าตัดพ้อของเซียนซีหยางก็พลันทำตัวไม่ถูก เมื่อครู่เหลือบมองเห็นม้าสีดำของเขาจึงเกิดความคิดชั่ววูบขึ้น ไม่ทันยั้งปากถ่ายทอดมันออกไปก่อน โจวเสวี่ยนกระแอมไอตวัดสายตาคมกริบออกไป ชาวบ้านที่ว่างงานก็รีบแตกกระจายเผ่นหายไปทันที

“ขอบคุณพี่โจวมาก” เซียนซีหยางแทงศอกใส่จ้าวฉีหลินให้นางหยุดดื่มชาได้แล้ว

โจวเสวี่ยนฟังเสียงของเขาแล้วก็ขมวดคิ้ว “ทำไมเสียงของเจ้าถึงได้เหมือนคนป่วยเช่นนี้” เขาก้าวเข้ามาสัมผัสหน้าผากของคุณชาย ดุเหมือนเขาเป็นน้องชายที่บ้านเสียอย่างนั้น “หากไม่สบายก็ไม่ควรออกมาข้างนอก”

“พี่โจว...” เออ เสียงอุบาทว์จริงๆ นั่นแหละ “ข้าใช้เสียงมากไปหน่อยไม่ได้ป่วยอะไรเลยขอรับ”

“เป็นเช่นนั้นหรือ” โจวเสวี่ยนเห็นว่าร่างกายของเขาปกติดีจึงไม่ซักไซ้ต่อ เขาเพียงหันสายตามามองจ้าวฉีหลิน แล้วขมวดคิ้วอีกครั้ง เซียนซีหยางรีบอธิบายก่อนที่เขาจะเข้าใจอะไรผิดๆ

“นี่คือจ้าวฉีหลิน นางเป็นเพื่อนของข้าเองขอรับ”

จ้าวฉีหลินคำนับโจวเสวี่ยนท่วงท่าไม่งดงามมากแต่ก็ไม่แข็งกระด้าง “โปรดเรียกข้าว่าฉีหลิน เมื่อวานข้าก็ลงพนันข้างท่านเหมือนกันขอข้าเรียกท่านว่าพี่โจวได้ไหม” นางกล่าวเช่นนั้นดวงตาช่างเปล่งประกาย แล้วจะให้เขาทำอย่างไรเล่า

“แล้วแต่คุณหนูเถอะ”

“เช่นนั้นพี่โจวอย่าเรียกข้าว่าคุณหนูเลย พี่เรียกเขาว่าซีหยาง งั้นเรียกข้าว่าฉีหลินด้วยสิ”

เออ...เนิร์ดเกมผู้นี้ปรับตัวไวอย่างกับกิ้งก่า ครู่เดียวก็สามารถรวบรวมความกล้าตีสนิทกับโจวเสวี่ยนได้แล้ว

โจวเสวี่ยนไม่ใช่คนไม่รู้กาลเทศะ แต่เห็นท่าทียามเขาเรียกตนว่าคุณหนูค่อนข้างแข็งกร้าวคล้ายไม่ชอบใจอย่างมาก จึงไม่ดึงดัน “เช่นนั้นฉีหลินก็ฉีหลิน”

จ้าวฉีหลินยิ้มพอใจ ทำให้คนอื่นไม่เรียกว่าตนโดยขึ้นคำว่าคุณหนูได้ สุดแสนจะปลาบปลื้มยิ่งนัก

“พี่โจวจะไปไหนหรือ” เซียนซีหยางเห็นเขาไม่ได้ตั้งแง่กับจ้าวฉีหลินมากนักก็เบาใจ จึงสอบถามเขา

โจวเสวี่ยนส่งกระดาษบางแผ่นหนึ่งให้เซียนซีหยาง บนนั้นเขียนว่า

ประลองชิงรางวัล ผู้ใดสามารถชิงผ้าจากคู่ของอีกฝ่ายได้ จะได้รับตั๋วเงินและผ้าขนสัตว์อย่างดี แต่มีข้อแม้ว่าผู้ที่จับคู่ด้วยจะต้องเป็นชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น

“หมายถึงการจับคู่ชาวยุทธ์กับชาวบ้านสินะ” จ้าวฉีหลินคล้ายสนใจ “ให้ฝ่ายชาวบ้านถือผ้าไว้ ส่วนชาวยุทธ์หาทางชิงผ้าจากฝ่ายตรงข้าม อีกทางก็ต้องค่อยปกป้องฝ่ายของตัวเองด้วย”

“พี่โจวจะลงแข่งหรือ” เซียนซีหยางเห็นเขาขมวดคิ้วคล้ายคิดหนัก

“ก็อยากอยู่ แต่ข้าไม่รู้จักผู้ใด” เขากล่าวตามตรง ตั๋วเงินกับของรางวัลถูกระบุไว้ชัดเจนและจำนวนก็ไม่ใช่น้อย ทว่ามีใครบ้างกล้าจับคู่กับชาวยุทธ์เอาตัวเองลงไปเป็นเหยื่อล่อให้เขาไล่สับ หากไม่ใช่เป็นคนรู้จักกันคงหาไม่ได้แน่

จ้าวฉีหลินพลันตาตื่นรีบกล่าวว่า “ข้ากับเขาไงคนรู้จักของพี่โจว”

เซียนซีหยางสะดุ้ง ส่วนโจวเสวี่ยนดุนาง “กล่าวอันใด เจ้ากับเขารู้จักกับข้ารวมกันแล้วยังไม่ถึงหนึ่งวันเสียด้วยซ้ำ”

ใช่แล้ว ไม่ถึงจริงๆ เซียนซีหยางพบเขาช่วงใกล้ค่ำของเมื่อวาน ส่วนแม่นางจ้าวผู้นี้นับแล้วยังไม่ถึงหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ ทว่าจ้าวฉีหลินกลับตอบอย่างมั่นใจ “นานเท่าใด เมื่อตกลงเป็นมิตรสหายแล้วก็คือมิตรสหาย พี่โจวท่านอย่าได้เกรงใจเลย”

เอ่อ...เซียนซีหยางสะกิดนาง “อยากลงสนามประลองเหรอ”

จ้าวฉีหลินกระซิบตอบ “อยากได้หยกเขียวในรายการของรางวัล” จ้าวฉีหลินกัดฟันตอบเสียงเบา “เป็นไอเทมช่วยชีวิตของจ้าวฉีหลินในอนาคต”

หลังจากเซียนซีหยางตายอีกสามสี่ปีก็เป็นคราวตายของจ้าวฉีหลิน หยกเขียวที่ปรากฏในรายการของรางวัลเป็นเศษจากของทวนศึกด้ามหนึ่งของเผ่าอาชามาร จ้าวฉีหลินที่อ่านสปอยล์ในช่วงนั้นรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าชิ้นส่วนหนึ่งนั้นจะมาปรากฏเร็วขนาดนี้

เซียนซีหยางเห็นใบหน้าของคุณหนูมีแววตึงเครียดจึงคิดช่วยบ้าง เพราะยังไงเขาก็ได้ความช่วยจากเพื่อนที่คาดไม่ถึงคนนี้อยู่เหมือนกัน

“พี่โจว ข้ารู้ว่าพี่ไม่ชอบคนพูดปด เช่นนั้นข้าขอพูดความจริงก็ได้” เซียนซีหยางกลั้นใจถามเขา “ข้าอยากได้หยกเขียวชิ้นนั้น ไม่ทราบว่าพี่โจวจะช่วยได้หรือไม่”

หยกเขียว? โจวเสวี่ยนแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ชอบของประดับเช่นนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าต้องการแค่ตั๋วเงินเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเจ้าจะเอาตัวเองลงไปเสี่ยง” เขากล่าวตักเตือนว่า “การประลองไม่มีออมมือเห็นใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหากลงไปอยู่ในลานนั่นแล้วก็จะต้องรับมือกับคมหอกคมดาบ เอาชีวิตรอดเองให้ได้เท่านั้น เจ้าอยากตายหรือ”

ถะ ถึงตายเลยหรือ...เซียนซีหยางเหล่มองแม่นางจ้าว นางไม่ยอมแพ้กล่าวว่า “นั่นข้าอยากได้เอง ให้ข้าจับคู่กับพี่โจวเถอะ ข้าจะพยายามไม่เป็นตัวถ่วงท่าน”

พอเห็นความแน่วแน่ของจ้าวฉีหลินแล้วเขาก็เข้าใจ นางเองแม้จะทำตัวชิลล์ๆ แต่ความจริงก็พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดเช่นกัน เชียนซีหยางตบหน้าตัวเองสองทีเรียกสติ ทว่ายังไม่ทันจะกล่าว เสียงของผู้ติดตามคุณหนูจ้าวดังขึ้นจากด้านหลัง

เชี่ย...จ้าวฉีหลินสบถในใจ

“ถูกตามเจอจนได้” นางกัดฟัน “ซีหยาง...ฉัน”

“รู้แล้วๆ ให้ผมจัดการเอง” เซียนซีหยางตบไหล่นาง “ตอบแทนที่คุณช่วยเรื่องไอเทมพวกนี้ไง” เขาส่งสายตาไม่ให้จ้าวฉีหลินกังวล

ต่อมาคุณหนูจึงถูกพาตัวกลับไปทั้งที่ไม่เต็มใจ แต่ก็ดึงดันไม่ได้เพราะบ่าวของนางเล่นกอดขาร้องไห้อยู่เป็นนานกลัวคุณหนูที่สกุลรักเอ็นดูจะบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นหัวพวกนางคงไม่ได้อยู่บนบ่าอีกต่อไปแน่

สิ้นเงาของคุณหนูจ้าว เซียนซีหยางรู้ดีว่ายังไงก็พลาดไม่ได้ จึงกล่าวกับโจวเสวี่ยนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่โจว ของชิ้นนั้นสำคัญต่อฉีหลินมาก หากท่านไม่ช่วยข้าก็ไม่เป็นไร ข้าจะลองจับคู่กับผู้อื่นดู”

โจวเสวี่ยนพลันปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันที ตอนแรกเป็นตนที่อยากได้ ยามนี้เจอคนที่เต็มใจจับคู่ด้วย ก็ดันเป็นคนที่อ่อนแอเกินไปจนผู้ที่มั่นใจในฝีมืออย่างเขายังกลัวจะทำคุณชายเช่นเซียนซีหยางตายคาสนาม ทว่ายามนี้คนรู้จักกันเมื่อวานกลับเป็นฝ่ายอยากลงประลองเอง คิดจะไปหาผู้อื่น? จะไปตายหรือ?

“ไม่ต้อง” โจวเสวี่ยนคลึงศีรษะที่ปวดหนึบ “ข้าเองก็ได้”


7] เหล่าจ้าง = เป็นคำเรียกยกย่องชายสูงอายุ

8] เส้าเยี่ย = คุณชาย

9] อีสเตอร์เอ้กส์ = Easter Eggs [ความลับและสิ่งแปลกประหลาดที่ผู้สร้างเกมสร้างขึ้นโดยให้ผู้เล่นค้นหากันเอาเอง] มีที่มาจาก Easter Eggs ซึ่งเป็นไข่ที่ใส่ของขวัญให้กับเด็กๆ ในเทศกาล Easter ของฝั่งตะวันตก