บ้านคงจะกลายเป็นบ้านที่เงียบผิดปกติจากทุกวัน ถ้าหากโทรทัศน์ที่ปราศจากคนดูเครื่องนี้ไม่ได้ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ เจ้าชาร์ลีถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว และตอนนี้เขากำลังนั่งสร้างสรรค์ศิลปะแนวใหม่บนผนังบ้านที่คาเลบเพิ่งทาสีขาวไปเมื่อเดือนก่อน ชาร์ลีอาจคิดว่ากำแพงโล่งเกินไป เขาจึงวาดลายใหม่เพื่อความสมบูรณ์ ซึ่งรูปที่เขาวาดนั้นดูเหมือนกับยีราฟที่มีขาเป็นงู บนโต๊ะอาหารมีไอศกรีมของป๊อปปี้ เจลาโต้ จำนวนหกควอทซ์ถูกวางทิ้งละลายไว้อยู่ เมื่อคาเลบเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ารสเชอร์เบทหมดเกลี้ยงกล่องแล้ว ส่วนรสช็อกโกแลตมิ้นต์สี่ที่ รวมถึงรสช็อกโกแลตคาราเมลมาคาเดเมียยังเหลืออยู่เต็มและกำลังแข่งกันละลายเป็นน้ำ ในห้องครัว หม้อต้มบนเตาเดือดปุด ๆ จนเกือบจะไหม้ ชาร์ลีวิ่งมาหาพวกเขาทันทีที่เบียนน่าปิดประตู คราบไอศกรีมเชอร์เบทยังติดอยู่ที่แก้มและริมฝีปาก
 

“ทำไมทิ้งน้องไว้คนเดียวอีกแล้ว” เขาพูดกับตัวเอง เจ้าชาร์ลีวิ่งเล่นเกี่ยวพันรอบขาผู้เป็นพ่ออย่างอารมณ์ดี

“ไอศกรีมละลายแล้วนะที่รัก” เบียนน่าเก็บไอศกรีมเข้าตู้เย็นและเดินไปปิดเตาอย่างใจเย็น

ชาร์ลียังคงเล่นกับพ่อ ปากพูดเจื้อยแจ้วว่า “วันนี้เจสซี่กับอเล็กซ์พาผมไปเที่ยวห้าง เราทานพิซซ่าที่ร้านคุณบินอคคิโน่ แล้วก็พาผมไปเล่นที่สวนสาธารณะ ผมเจอโอลลี่กับเคย์ซี่ด้วย พวกเราเลยเล่นด้วยกันคับ” เสียงของเขาบ่งบอกว่าวันนี้เป็นวันดีของชาร์ลีจริง ๆ “อเล็กซ์ซื้อไอศกรีมมาด้วย มันจะเป็นวันที่ดีที่สุดของผมเลย ถ้าอเล็กซ์ไม่เศร้าแบบนั้น”

ชาร์ลียังเล่าต่อ เข้าชี้นิ้วสั้น ๆ ไปที่ดวงตาตัวเอง “ตาอเล็กซ์แดงก่ำเลยคับ แถมยังแทบไม่พูดไม่จากับใครเลย”

คาเลบและเบียนน่ามองหน้ากัน พวกเขาสัมผัสได้ถึงเรื่องไม่ดีบางอย่าง

“แล้วพี่ ๆ อยู่ไหนล่ะ เจ้าลิงน้อย”

เด็กน้อยยิ้มแล้วชี้ไปยังห้องนอนของพี่สาวทั้งสอง “พอพวกเรากลับมาถึงบ้าน อเล็กซ์ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ผมได้ยินเจสซี่กับไบรซ์คุยกันว่ามันแปลกที่อเล็กซ์เอาแต่เก็บตัวเงียบแบบนี้ อเล็กซ์บอกว่ามีฝุ่นเข้าตาก็เลยร้องไห้ ผมคิดว่าพี่คงเอามันไม่ออก เจสซี่กับไบรซ์เลยไปช่วยดูให้”

“ที่รักคะ” เบียนน่าจับไหล่สามี “ฉันไปดูลูกดีกว่า คุณดูแลชาร์ลีนะคะ” เธอว่า คาเลบพยักหน้า แม้เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอเล็กซิสกันแน่ แต่เมื่อภรรยาสั่ง เขาก็ต้องทำตาม ทว่าเมื่อเบียนน่าไปถึงหน้าประตู เจสซี่กับไบรซ์เดินออกมาพอดี

“เกิดอะไรขึ้นกับน้อง” เบียนน่าซัก

“พวกเขาเลิกกันแล้ว ก็อเล็กซ์กับไอ้โง่เดวี่...โทษครับแม่ ก็...น้องบอกว่าเจอเขากำลังนอน...หมายถึง อยู่กับจูน” พี่ชายคนโตเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกพ่อแม่ฟังอย่างรวบรัด เจสซี่ยังเสริมอีกว่า “อเล็กซ์ต้องการเวลาส่วนตัว โธ่ แม่ครับ! อย่ามองผมแบบนั้นได้ไหม! อเล็กซ์ขอเอง ใช่ว่าผมพูดเองซะหน่อย!”

“เดวี่ทำอะไรอเล็กซ์เหรอคับ” เจ้าชาร์ลีถาม ตากลมจ้องพวกคนโตกว่าคุยกัน “ผมไม่เข้าใจที่เจสซี่พูด”

คาเลบส่งสายตาไปที่เจสซี่ ลูกคนโตถอนหายใจแล้วอุ้มเจ้าชาร์ลีออกไป “ยังไม่ใช่เวลาสมควรที่นายจะรู้เรื่องพวกนี้นะ ไอ้ลิงแคระ”

“แต่ผมอยากรู้เรื่องด้วววย” เสียงสะท้อนของชาร์ลีดังจนหายลับไป

พอคาเลบหันมาขอความเห็นจากไบรซ์ ลูกสาวคนนี้ตอบด้วยการยักไหล่ใส่พ่อแม่ทีนึงแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้าห้องครัวไปเลย

“ให้มันได้อย่างงี้สิ แต่ละคน!”

พวกคาเลบและเบียนน่าไม่สามารถปล่อยให้อเล็กซิสทำตามใจชอบได้หรอก เวลานี้เด็กสาวต้องการกำลังใจและพลังใจจากพวกเขาต่างหาก

เบียนน่าไม่รอช้า เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องเลย คาเลบรีบตามเข้าไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเดวี่กับจูนถึงทำให้ลูกสาวของเขาเสียใจ โดยเฉพาะจูนที่เป็นเพื่อนสนิทของอเล็กซิส เขาเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก จูนอาจไม่ใช่เด็กพูดเก่ง เจ๊าะแจ๊ะ แต่ก็สามารถเข้ากับอเล็กซิสได้เป็นอย่างดี แถมหน้าตาของทั้งสองยังมีคล้ายกันจนเหมือนกับฝาแฝดที่น่ารัก ทั้งสองคบหาเป็นเพื่อนกันมานาน เที่ยว คุย ทำทุกอย่างด้วยกัน พอโตขึ้น จูนยิ่งสวยสะพรั่ง ส่วนอเล็กซิสก็สวยน่ารัก เหมือนเหล่าดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอย่างสดใสด้วยกันทั้งคู่ จูนอาจจะกลายเป็นดาราใหญ่เหมือนแม่ของเธอในวันหนึ่งก็ได้ แล้วทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้

แล้วยังเจ้าเดวี่อีกคน เด็กหนุ่มที่คาเลบเคยรู้จักเป็นคนขี้อายและสุภาพ ในฐานะผู้ชายด้วยกัน คาเลบมองออกว่าความรู้สึกที่เขามีให้กับอเล็กซิสนั้นแท้จริง ทำไมตอนนั้นเขาถึงตาบอดอย่างนั้นนะ ในฐานะที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่และพ่อของลูก เขาควรจะปกป้องลูกสาวได้มากกว่านี้หรือเปล่า

คาเลบไม่คิดว่าตัวเองจะเห็นอเล็กซิสนั่งร้องไห้คร่ำครวญเป็นวรรคเป็นเวร ซึ่งเขาก็คิดถูก ลูกสาวของพวกเขานั่งอยู่คนเดียวในมุมมืดหลังเตียงนอน เขาและเบียนน่ารุดเข้าไปหา เห็นว่าอเล็กซิสกำลังนั่งจ้องมองรูปภาพของตัวเองกับจูนในวัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ท่าทางเศร้าสร้อยแต่ยังคงสงบนิ่งปราศจากอาการสะอึกสะอื้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

ลูกสาวของเขาไม่ได้ร้องไห้หรือคร่ำครวญให้กับความรักและมิตรภาพที่สูญเสียไป แต่กระนั้น ดวงตาของเธอยังมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ เบียนน่านั่งลงข้างเด็กสาว ส่วนคาเลบนั่งเผชิญหน้ากับลูก ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาปลอบเจ้าตัวน้อยคงเมื่อห้าปีก่อน เมื่อพวกเขาสูญเสียเจ้าแบล็กกี้ สุนัขฮัสกี้วัยสิบสองปีไปอย่างไม่มีวันกลับ

“สีหน้าของลูกดูเศร้ามากเหลือเกิน ร้องไห้ออกมาเถอะนะคนดี ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง อย่าเก็บมันไว้เลยนะจ๊ะ” เบียนน่าบอกกับเด็กสาว

“หนูไม่เป็นไร หนูร้องไห้ไปเยอะแล้ว ดูตาหนูสิคะ พ่อและแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูขอเวลาแค่...สองสามวัน แค่สองสามวันเท่านั้น...หนูจะกลับมาเป็นลูกสาวคนเดิมของพ่อและแม่นะคะ” เธอยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้า มันไม่ใช่เรื่องปกติหรือธรรมชาติของอเล็กซิสที่จะกลายเป็นคนเศร้าซึมแบบนี้ คาเลบรักรอยยิ้มของลูกสาว มันเป็นรอยยิ้มที่สวยและสดใสราวกับเธอเป็นคนนำพาความสุขมาให้กับผู้ที่เห็น แต่ตอนนี้อเล็กซิสกลับจมอยู่กับความเศร้า

ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะดำเนินไปได้ด้วยดีสำหรับตัวอเล็กซิส ทั้งการเรียน เพื่อนฝูง คนรัก และอาชีพการงาน เหมือนกับกราฟที่กำลังพุ่งไปสู่จุดสูงสุดแล้วจู่ ๆ หักดิ่งตกลงมา แต่ชีวิตก็แบบนี้แหละ พายุมักเข้ามาในวันที่ดูเหมือนคลื่นลมสงบ วันต่อมา กว่าจะรู้ตัวอีกที ฝนก็ตกหนักเสียแล้ว

“ลูกของพ่อเข้มแข็งเสมอ เขาไม่ใช่คนที่ใช่ และถ้าลูกอยากจะร้องไห้ หรือพูดระบายมันออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มันเป็นปกตินะลูก” คาเลบไม่ใช่แค่ปลอบ แต่ยังลูบหัวเธอเบา ๆ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะปลอบโยนลูกสาว อเล็กซิสมีนิสัยบางอย่างที่ตรงข้ามกับเจสซี่อยู่บ้าง แม้เธอจะร่าเริงกว่าไบรซ์ แต่ก็มีส่วนคล้ายพ่อของเธอ เพราะคาเลบมักเก็บความรู้สึกทุกอย่างไว้กับตัว อเล็กซิสก็เป็นเหมือนกัน และเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องดีที่จะเก็บความเศร้าไว้แบบนี้

อเล็กซิสรับฟังคำพูดของพ่อ ดังนั้นเธอจึงเริ่มระบายความอัดอั้นออกมา “หนูไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาทำกับหนูแบบนี้ หนูไม่เข้าใจจูนเลย เธอโทษว่าหนูทิ้งเธอ เธอโทษว่าพวกเราชอบเอโลดี้

มากกว่าเธอ หนูคิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนรักกัน ทำไมเธอถึงเกลียดหนูขนาดนี้ และเดวี่อีกคน เขาบอกว่าเขารักหนู...มาก”

คู่รักหนุ่มสาว น้อยคนนักที่จะสามารถไปถึงฝั่งฝัน

คาเลบรู้สึกเหมือนกับทั้งเดวี่และจูนเอามีดมาแทงหลังของเขาด้วย ความเจ็บปวดของ

อเล็กซิสคือความเจ็บปวดของผู้เป็นพ่อ เดวี่อาจเป็นเด็กดีก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะต้องพบกับความเปลี่ยนแปลง และมีเหตุผลอยู่สองอย่างที่ทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนไป หนึ่ง เวลาทำให้คนเปลี่ยน และสอง เราอาจไม่เคยทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของคนคนนั้นจนวันที่แสดงออกมา เบียนน่ามองหน้าสามี เร่งให้เขาพูดอะไรก็ได้กับลูก เพราะว่าเธอกลับร้องไห้เสียเอง เมื่อเป็นเรื่องของลูก เบียนน่ากลับอ่อนไหวโดยเฉพาะเวลาที่ลูกของเธอเป็นทุกข์ ผู้เป็นแม่ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ นอกจากแบ่งปันความเจ็บปวดของลูกสาวแทน

“นั่นก็เป็นเพราะว่าลูกสาวของพ่อเป็นเด็กดี ลูกจึงสมควรมีเพื่อนที่ดีกว่านี้ และมีแฟนที่ดีกว่าเขาด้วย พ่อตอบไม่ได้หรอกนะ ว่าทำไมพวกเขาถึงทำร้ายลูกสาวของพ่อ แต่พ่อรู้ว่าชีวิตของลูกต้องดำเนินต่อไป ความรักบางอย่างอาจมีวันหมดอายุ แต่ความรักของพ่อไม่เคยหมด ความรักของครอบครัวก็เช่นกัน พ่อไม่อยากให้ลูกร้องไห้คร่ำครวญที่พวกเขาทรยศลูก แต่ร้องเพื่อระบายมันออกมา การร้องไห้ช่วยบรรเทาความเศร้าได้ เชื่อพ่อสิ พ่ออยากให้ลูกเข้าใจว่ามันไม่ใช่จุดจบของชีวิต ชีวิตยังมีอีกมาก ลูกจะพบกับความสุข ความผิดหวัง บางครั้งลูกชนะ บางครั้งลูกแพ้ ปะปนกันไป ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ลองคิดว่าลูกโชคดีแค่ไหนแล้วที่เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก่อนที่จะสายเกินไป ลูกมีเพื่อนแท้มากมาย อย่างเอโลดี้แล้วยังคนอื่นอีก พวกเรารักลูกมากนะ เป็นห่วงลูกที่สุดเลย และพวกเราจะอยู่เคียงข้างลูกตลอดเวลา”

พอฟังบิดาพูดจบ อเล็กซิสเงยหน้าขึ้น น้ำตาหยดลงเผาะ ๆ

“พ่อคะ” เด็กสาวพิงศีรษะลงบนอกของคาเลบจากนั้นร้องไห้ออกมาในที่สุด เขาและเบียนน่าถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เธอเปิดเผยความรู้สึกออกมา

“โธ่ ลูกแม่” เบียนน่าหอมแก้มเด็กสาวเบา ๆ

“ตอนนี้หน้าของหนูคงเละหมดแล้วใช่ไหมคะ มาสคาร่าทำหน้าหนูพังแล้ว...”

คาเลบและเบียนน่ายิ้มให้กัน ในเวลาแบบนี้ อเล็กซิสยังมีอารมณ์ขัน “หน้าของลูกไม่เป็นอะไรหรอก เจ้ามาสคาร่าที่ลูกใช้อยู่กันน้ำได้ดีสมราคาคุยแล้ว”

ในอ้อมกอดของพ่อ เด็กสาวหัวเราะทั้งน้ำตา คาเลบหวังว่าความรักของเขาจะส่งผ่านไปถึงเธอ และชำระล้างความเจ็บปวดทั้งหมดออกไป

“พ่อคิดว่าหนูทำให้จูนคิดว่า หนูเลือกคบแต่กับเอโลดี้หรือเปล่าคะ”

คาเลบส่ายหน้า “มันไม่ใช่ความผิดของลูก ถ้าให้พ่อพูดตรง ๆ ช่วงหลังมานี้ ลูกอยู่กับเอโลดี้มากกว่าจูนจริง ๆ จูนอาจรู้สึกอิจฉาหรือน้อยใจไป แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จูนจะทำแบบนี้กับลูก ลูกกับจูนเป็นเพื่อนกัน ก็ควรจะคุยกันตรง ๆ มากกว่า”

“นั่นคือสิ่งที่หนูคิดค่ะพ่อ หนูรักพวกเขามาก แต่พวกเขาใจร้ายกับหนูเหลือเกิน”

พวกเขาคุยกัน ถกเถียงกันต่าง ๆ นานา ทั้งยังปลอบใจอเล็กซิสจนหลับไป ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่รักครั้งแรกจะกลายเป็นรักแท้ แต่อย่างน้อยอเล็กซิสโชคดีที่เห็นว่าเดวี่เป็นคนอย่างไรก่อนที่ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จะพัฒนาไปไกล พวกเขาจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตคู่กับคนที่ไม่ใช่ หรือแต่งงาน หรือมีลูกด้วยกัน เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าเด็กสาวอ่อนไหวขนาดไหน แม้อเล็กซิสพยายามปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไป แต่การที่ต้องเห็นภาพแบบนั้นคงเป็นเรื่องที่ฝังใจน่าดู ดังนั้น พอพวกเขามองหน้ายามหลับของเธอแล้ว ทั้งสองรู้ว่าลูกสาวยังคงฝันเห็นแต่พวกเดวี่และจูนอยู่แน่ ๆ คาเลบและ

เบียนน่าจูบหน้าผากของอเล็กซิสแล้วปล่อยให้ค่ำคืนเยียวยาหัวใจที่แหลกสลายไปเอง

เจสซี่ ไบรซ์ และชาร์ลีนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหาร ทั้งหมดรับประทานอาหารเย็นง่าย ๆ ที่ไบรซ์ทำให้ นั่นคือ แซนด์วิช กลิ่นเหม็นไหม้กระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่มีใครพูดถึงมัน หรือแม้แต่จะแสดงความรับผิดชอบว่าเกือบทำให้บ้านไฟไหม้ไปแล้ว

“น้องเป็นไงบ้างครับ” เจสซี่ถามพลางส่งสายตาคาดคั้นพ่อและแม่

“หลับแล้ว” เบียนน่าตอบ

“แต่น้องยังไม่ได้กินข้าวเลยนะครับ”

“แล้วจะให้แม่ปลุกน้องมากินหรือไง”

ชายหนุ่มทำหน้ามุ่ย “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นสักหน่อย”

“ให้น้องพักผ่อนเถอะจ้ะ”

“แล้วเธอดีขึ้นไหมคับ” ชาร์ลีถาม เขาอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมพี่สาวถึงเศร้าเพราะฝุ่นเข้าตาถึงขนาดนั้น และเดวี่ทำอะไรกับพี่ของเขา แต่เขาขอแค่อยากมีส่วนร่วมบ้าง

คาเลบพยักหน้า ต้องดีขึ้นแน่นอน

เวลาสองทุ่มครึ่ง ช่วงอาหารเย็นดำเนินไปอย่างช้า ๆ พวกเขาต้องนั่งฟังเจสซี่บ่นและสบถใส่เดวี่กับจูน (โดยมีเบียนน่าคอยเอ็ดเวลาเขาใช้คำหยาบ) ถ้าเดวี่อยู่ตรงนี้ เจสซี่คงฆ่าเจ้าหนุ่มเรียบร้อย เจสซี่เป็นพวกหัวร้อน คาเลบยังจำได้เลยว่า เพื่อน ๆ ของเจสซี่แปลกใจแค่ไหนเมื่อเขาตัดสินใจจะเรียนกฎหมาย พวกเขาต่างคิดว่า เจสซี่จะสมัครเข้าสมาคมกีฬาหรือไม่ก็สมัครเรียนคอมพิวเตอร์โปรแกรม เขาอาจจะเป็นนักเรียนแถวหน้าแต่ไม่ใช่พวกหน้าติดหนังสือเหมือนกับไบรซ์ ไม่ใช่แค่นั้น คาเลบกับเบียนน่าทึ่งไม่น้อยที่เขาสามารถเรียนจบด้วยคะแนนดีเยี่ยม อย่างน้อย ทั้งสองชื่นชมความพยายามของเขามากพอสมควร

และสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันเกิดอีกจนได้ เดวี่มาหาอเล็กซิสที่บ้าน

เสียงกริ่งดังเมื่อตอนเข็มนาฬิกาเลื่อนไปยังเลขสิบเอ็ด คาเลบเห็นเดวี่ยืนอยู่หน้าประตู เขาดึงคอเสื้อเจสซี่ได้ทันก่อนที่ลูกชายจะทำร้ายอดีตแฟนน้องสาว “พ่อคุยกับเขาเอง เจสซี่ ลูกเรียนกฎหมายมาไม่ใช่เหรอ ใช่หรือเปล่า สงบใจบ้างสิ กลับไปที่ห้องเลย” คนเป็นพ่อเตือนและเอ็ดไปด้วย

เพราะเป็นคนหัวดื้อ เจสซี่จึงคำรามออกมาอย่างหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ ก่อนจะย่ำเท้าหนัก ๆ เดินออกไป คาเลบเปิดประตูออกไปเจอกับเด็กหนุ่ม เขาทำหน้าสำนึกผิดและดูเหมือนจะค่อนข้างเกรงใจคาเลบมากเป็นพิเศษ เพราะรูปร่างแบบนักกีฬา ไหล่กว้าง คิ้วเข้ม ผมสีบลอนด์ออกน้ำตาล และหน้าตาหล่อเอาเรื่องขนาดนี้ คงไม่แปลกที่เขาจะเอาชนะใจสาว ๆ ได้มากมาย เท่าที่คาเลบสังเกตจากอากัปกิริยาของลูกสาวตัวเองที่มีต่อเดวี่ อเล็กซิสคลั่งเขามากเลยทีเดียว เดวี่เคยเป็นเด็กดี แต่ก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายและเป็นเพศชาย ยิ่งโต เขายิ่งแข็งแรงและดูดีมากกว่าเมื่อปีที่แล้วเสียอีก คาเลบนึกถึงตอนที่ทั้งเดวี่และอเล็กซิสจูงมือกันมาบอกพวกคาเลบว่า ทั้งสองกำลังคบหากัน มันผ่านมาหนึ่งปีแล้วหรือเนี่ย ส่วนจูนก็ไม่ใช่เด็กสาวหน้าตาน่าเกลียดเลยสักนิด คนอาวุโสกว่าอย่างคาเลบเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายเป็นอย่างดี พวกผู้ชายบางคนสามารถเปลี่ยนใจได้ทันทีเพียงแค่ชายตามองผู้หญิงคนอื่น แต่ผู้ชายอีกจำนวนหนึ่งก็ถือว่าเป็นข้อยกเว้น เขาเคยคิดว่าเดวี่เป็นข้อยกเว้น คาเลบโทษตัวเองเหมือนเคย

“อเล็กซ์เป็นอย่างไรบ้างครับ” เขาถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“สบายดี” คาเลบตอบเสียงเย็นชา

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจับน้ำเสียงแสดงความห่างเหินของพ่อแฟนสาวได้ เสียงของเดวี่เบาลงเพราะกลัวคาเลบจะดุ พอเขาพูด จึงฟังแล้วเหมือนเดวี่กำลังพูดงึมงำอยู่คนเดียว

“ผมขอโทษ...ครับ ผะ ผะ ผมรู้ว่ามันดึกแล้ว ตะ แต่ผมขอคุยกับ...อเล็กซ์ได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มพูดติด ๆ ขัด ๆ

“ไม่ได้หรอก เธอหลับแล้ว กลับบ้านเถอะเดวี่ ลุงคิดว่าเวลานี้คงไม่สมควรเท่าไรนะ”

ดูเหมือนเดวี่ต้องใช้ความพยายามอยากมาก จึงจะควบคุมตัวเองให้พูดเป็นปกติได้สำเร็จ “ผมเสียใจ ผมเสียใจจริง ๆ คุณยกโทษให้ผมได้ไหม ให้อเล็กซ์ยกโทษให้ผมได้ไหม ผมรักเธอ จริง ๆ นะครับ ได้โปรดอภัยให้ผมเถอะ ได้โปรดบอกเธอว่าผมเสียใจ ผมเสียใจมากที่ทำให้คุณผิดหวัง แล้วยัง...ผมขอโอกาส...จากคุณและอเล็กซ์”

เด็กหนุ่มไม่ขยับ คาเลบเริ่มเห็นใจเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น เท่าที่เห็นตอนนี้ เดวี่รู้สึกผิดจริงและยังห่วงลูกสาวของเขา แถมยังกล้าพอที่จะมาหาอเล็กซิสถึงที่บ้าน เบียนน่าคงพูดว่าทุกคนล้วนทำผิดกันได้ทั้งนั้น ทุกคนควรได้รับโอกาสครั้งที่สองและการให้อภัย

แต่เขาหลอกลวงอเล็กซ์ เขาทำให้ลูกของเราร้องไห้ โทสะของผู้เป็นพ่อเดือดขึ้นมาอีกครั้ง และใจที่อยากจะให้อภัยนั้นมลายหายไป

“อเล็กซ์จะเป็นคนตัดสินเอง กลับบ้านเถอะเดวี่ พ่อแม่ของนายจะเป็นห่วงเอา” เขาเตือนเด็กหนุ่ม โดยที่ไม่ทราบว่าพ่อแม่ของเดวี่ไม่อยู่บ้าน เดวี่รับฟังแล้วเดินกลับไปยังจักรยานของตัวเอง คอตก เศร้าและเสียใจ

คาเลบถอนหายใจ วันนี้อาจไม่ใช่วันที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันเป็นเพียงแค่วันหนึ่งที่

อเล็กซิสพบว่า ชีวิตย่อมพบเจอกับความผิดหวัง ความรักก็เป็นหนึ่งในเรื่องนั้น แล้วพรุ่งนี้ พายุก็จะหย่อนกำลังลง ลูกสาวของเขาก็จะเข้มแข็งขึ้นในวันต่อไป