เขาหายตัวไปอย่างปริศนา ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อเล็กซิสตกใจและรับรู้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล เมื่อสื่อทุกแขนงลงข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของจอห์น ลีลอยด์ดังนี้

“...แซลลี่ มัมฟอร์ด วัย 19 ปี พักอาศัยอยู่ในรีสอร์ตพร้อมกับครอบครัวในวันเดียวกับที่ลีลอยด์และเพื่อนอีกสามคนอาศัยในบ้านพักตากอากาศข้างเคียง พยานสาวเล่าว่า ลีลอยด์และกลุ่มเพื่อนจัดงานปาร์ตี้เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงในคืนก่อนที่ทั้งหมดหายตัวไป ตำรวจพบยาเสพติดและเครื่องดื่มมึนเมาที่ผสมสารผิดกฎหมายในที่พัก ลีลอยด์หายตัวไปนานกว่าสองสัปดาห์แล้ว ทางครอบครัวของเขาให้การว่า ผู้จัดการของลีลอยด์แจ้งว่า นักแสดงหนุ่มติดงานจนไม่มีเวลากลับบ้าน พวกเขาจึงไม่เอะใจว่าเขาหายตัวไปเพราะเป็นเรื่องปกติสำหรับอาชีพการงานของนักแสดงหนุ่ม จากการสอบสวนเบื้องต้น ตำรวจกล่าวว่า ทิม ยัง ผู้จัดการของลีลอยด์ พยายามปกปิดข่าวการหายตัวไปเพื่อหาทางทำลายหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจเชื่อมโยงนักแสดงหนุ่มกับยาเสพติด อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของผู้จัดการคนนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าต้องการปกปิดเรื่องยาเสพติดเพียงอย่างเดียว หรือมีเหตุผลอื่นกันแน่ หรืออาจจะโยงไปถึงฆ่าปิดปากของขบวนการค้ายา
 

คาร์ล ปาร์ค สารวัตรตำรวจประจำสำนักงานตำรวจรีเวอร์แลนด์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เนื่องจากวิลล่าของจอห์น ลีลอยด์อยู่ติดกับหน้าผา เป็นไปได้ที่วัยรุ่นทั้งกลุ่มอาจกระโดดลงจากหน้าผานั้น ซึ่งอาจเป็นผลพวงมาจากฤทธิ์ยาเสพติดที่พวกเขาเสพ ขณะนี้ทางตำรวจน้ำเข้าร่วมกับทีมสืบสวนเพื่อค้นหาศพ ในเวลาเดียวกัน ทีมเจ้าหน้าที่ป่าไม้เมืองริเวอร์แลนด์นำกำลังสืบหาร่องรอยของนักแสดงวัยรุ่นและกลุ่มเพื่อนที่อาจหลงทางในป่าก็เป็นได้

จอห์น ลีลอยด์ วัย 20 ปี คือนักแสดงดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนี้ เขาเป็นชาวเมืองบลูเบลล์โดยกำเนิด หนังที่สร้างชื่อคือหนังโรแมนติกวัยรุ่นเรื่อง ‘ซันไรซ์ อิน เดอะ เวสต์’ ลีลอยด์ยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ยีนยี่ห้อดังอย่างเล็กซี่ นาฬิกาสุดหรูโรแวน และเครื่องดื่มแอมบรอเซีย หนังเรื่อง ‘เดอะ ฟอล อ็อฟ อ็อกซีแมนดิอัส’ ต้องเลื่อนการถ่ายทำออกไป เนื่องจากจำเป็นต้องหานักแสดงใหม่สำหรับบทกษัตริย์อ็อกซิแมนดิอัสในวัยหนุ่ม”

อเล็กซิสพับหนังสือพิมพ์ซานโบซ่าโพสต์ลง แล้วพูดขึ้นว่า “ตลกชะมัด”

เด็กสาวยังคงสวมเสื้อยืดเข้ารูปกับกางเกงยีนทรงสกินนี่ กระเป๋าเป้ของเธอนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงของพี่ชาย อเล็กซิสเหยียดขายาวไปจนสุดด้วยท่าทางสบาย ๆ

เธอได้รับโอกาสให้สวมบทเล็ก ๆ ในโฆษณารณรงค์เด็กและวัยรุ่นหันมาดื่มนมกันมากขึ้น ชื่อแคมเปญคือ ‘ดื่มนมกันเถอะ’ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดโดยรัฐบาล จอห์น ลีลอยด์ นักแสดงดาวรุ่งในข่าว ได้รับโอกาสเป็นพรีเซนเตอร์และนักแสดงนำสำหรับสปอตโฆษณาตัวนี้ สถานที่ถ่ายทำจัดขึ้นในเขตปกครองพิเศษพาราดิโซ่ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำหรับพักผ่อนท่ามกลางทะเลสีฟ้างามระยิบระยับพร้อมกับชายหาดทรายสีขาวสะอาด อเล็กซิสเกือบได้วันว่างหนึ่งวันเพื่อเที่ยวรอบเกาะเอซเคป แต่เธอจำเป็นต้องกลับบ้านก่อนเพราะจอห์นหายตัวไป (เพราะถ้าหากเธออยู่ต่อ เธอจะต้องจ่ายค่าที่พักและค่าครองชีพที่แพงสุดขีดด้วยตัวเอง) แม้อเล็กซิสจะได้เงินค่าเสียเวลา แต่เธออยากได้เงินจากค่าจ้างเต็มจำนวนมากกว่าค่าชดเชยเล็กน้อยแบบนี้ อีกอย่าง โฆษณาชิ้นนี้เป็นของรัฐบาลจัดทำเอง ดังนั้นใบหน้าของเธอจะปรากฏอยู่ทั่วสหพันธรัฐแน่นอน มันอาจจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการจุดประกายชื่อเสียงของเธอก็เป็นได้

“ทำไมถึงพูดอย่างงั้น” เจสซี่ถาม พี่ชายวัยยี่สิบสองปีคนนี้เพิ่งจบปริญญาตรีและกำลังจะเข้ารับปริญญาในอีกสองอาทิตย์ แต่ตอนนี้เขาลงเรียนปริญญาโทสาขากฎหมายต่อเรียบร้อยแล้ว เจสซี่ยังเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย ณ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองเฮมส์เวิร์ธอีกด้วย

“จอห์นไม่ดื่มเหล้า เขาแพ้แอลกอฮอล์ และที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ในรีสอร์ตไม่รู้เลยเหรอไงว่าแขกทั้งกลุ่มหายไป พวกเขาทำบ้าอะไรกันอยู่ตอนที่ลูกค้าหายตัวไปยกโขยง” อเล็กซิสพูดพร้อมกับมีน้ำโหนิด ๆ

“เออ นั่นสิ แปลกจริง ๆ”

“มันไม่สมเหตุสมผลเลยต่างหาก!”

แม้จอห์น ลีลอยด์จะเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่จอห์นไม่ใช่คนดังที่ชอบทำตัวหยิ่งยโสเหมือนกับบางคนที่อเล็กซิสเคยเจอ พวกเขารู้จักกันและกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเมื่อตอนที่อเล็กซิสถ่ายแบบให้กับแบรนด์เล็กซี่เพื่อลงในนิตยสารฟาม อเล็กซิสมีโอกาสร่วมงานกับจอห์นถึงสองครั้ง ดังนั้น เธอจึงถือว่าตัวเองสามารถเรียกเขาได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเพื่อน หรือ เพื่อนร่วมงาน หลังจากถ่ายแบบครั้งล่าสุด ทางสตูดิโอจัดงานปาร์ตี้เล็ก ๆ เพื่อฉลอง โดยเฉพาะงานที่ถ่ายทำยาวนานก็จะเป็นแบบนี้ (ยิ่งพรีเซนเตอร์สาวที่ถ่ายคู่กับจอห์นเรื่องมากสุดฤทธิ์ ปาร์ตี้ที่ว่าจึงจัดมาเพื่อปลอบใจทีมงานทุกคน) ทุกคนต่างรู้ดีว่าจอห์นไม่ดื่มเหล้า ดังนั้นทางทีมงานจะเสิร์ฟพวกน้ำผลไม้ น้ำอัดลม หรือไม่ก็น้ำเปล่าแทน มันเป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องที่จอห์นสร้างภาพเพื่อให้คนสนใจ

“แต่เขาอาจจะใช้ยาก็ได้นะ” พี่ชายเดาต่อ

อเล็กซิสหรี่ตามอง “ก็จริงที่ว่างานปาร์ตี้ส่วนใหญ่มีของพวกนี้ ไม่ ฉันไม่เคยลองสักหน่อย! (“อย่ามาโกหก!” เจสซี่เอ็ด) ไม่เคย! อย่าตัดสินฉันแบบนั้นในเมื่อพี่ยังเคยลองเลย (“ไม่เคยสักหน่อย!”) เงียบน่า อย่าชวนออกนอกเรื่องได้ไหม จอห์นไม่เคยแตะของพวกนั้นเลย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนถึงรักเขาไงเล่า ยาเสพติดอาจเป็นของเพื่อนเขาก็ได้ ฉันยังจำได้เลยว่าจอห์นเคยบอกว่า กว่าจะแจ้งเกิดในเส้นทางนี้ยากขนาดไหน แต่จะทำให้ตัวเองเป็นดาวเจิดจรัสไปตลอดนี่สิยากกว่า เขาไม่กล้าเสี่ยงทำชื่อเสียงตัวเองป่นปี้หรอก”

“อาฮะ ฟังดูแล้ว เหมือนเธอจะสนิทกับเขามากเลยนะ แถมเขายังเอาแต่พูดเรื่องอาชีพและความฝันอย่างงั้นอย่างงี้ให้เธอฟัง แล้วเดวี่ของเธอล่ะ เอาไปไว้ไหนแล้ว” พี่ชายยิ้มเจ้าเล่ห์

เด็กสาวจ้องเข้าไปในดวงตาของเจสซี่ มันเป็นสีฮาเซลเหมือนกับแฟนหนุ่มเดวี่ อเล็กซิสรู้ว่าเขาจงใจแซวเล่น แต่ไม่ชอบที่พวกพี่แกล้งเธอแบบนี้เลย เจสซี่กับไบรซ์ชอบใช้คำว่า ‘เดวี่ของเธอ’ เพื่อแหย่น้องสาวเล่น คงเป็นเพราะเธอเป็นสมาชิกคนเดียวในบ้านที่ประกาศตัวว่ามีแฟนอย่างเปิดเผย อเล็กซิสกับเดวี่มักอวดความหวานให้ทุกคนเห็นอยู่เสมอ เหมือนกับพวกข้าวใหม่ปลามันทั่วไป ดังนั้นเจสซี่เลยรู้สึกอิจฉาอยู่นิด ๆ เพราะเขาทำแบบน้องสาวไม่ได้ เจสซี่จำเป็นต้องซ่อนความสัมพันธ์ของตัวเองกับแฟนหนุ่มไว้เป็นความลับ

“มันไม่ใช่แบบนั้น พี่คิดว่าคนอย่างจอห์นจะชอบฉันเหรอไง เป็นไปไม่ได้แน่นอน พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกันแค่นั้น ฉันรู้ว่าตัวเองรู้เรื่องเขาน้อย แต่กล้าบอกเลยนะ ว่าเขาไม่ใช่คนอย่างที่ข่าวพยายามจะให้เป็นแบบนั้นแบบนี้แน่นอน และเดวี่ก็เป็นที่หนึ่งในใจเสม...” อเล็กซิสปิดปากเมื่อรู้สึกว่าพูดมากไป แต่ก็ไม่อาจซ่อนใบหน้าแดงจัดได้ทัน เพราะตัวเองเกริ่นพูดถึงแฟนหนุ่มไปแล้ว

“อาฮะ” เจสซี่หยุดแกล้งน้องสาว แต่ยังคงยิ้มกวน จอห์นอาจเป็นซูเปอร์สตาร์ก็จริง แต่อเล็กซิสใช่ว่าจะเป็นเด็กสาวหน้าสวยทั่วไปสักหน่อย ในฐานะพี่ชาย เขามองออกว่าเด็กผู้ชายมองน้องสาวของเขาด้วยแววตาอย่างไร และเข้าใจสายตาที่พวกเขาชื่นชมเธอด้วย น้องสาวของเขาอยู่ในกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลของโรงเรียนแล้วยังเป็นราชินีงานพรอมปีล่าสุดอีกต่างหาก แล้วซูเปอร์สตาร์คนนั้นจะไม่หวั่นไหวกับอเล็กซิสเลยสักนิดได้อย่างไรเล่า

“โอเค ๆ ไม่แกล้งเธอแล้ว มาคุยเรื่องจริงจังกันดีกว่า สำหรับพี่นะ พี่คิดว่า เขายังไม่ตายหรอก แต่ถูกจับกุมตัวอยู่ต่างหาก”

อเล็กซิสมองพี่ชายอย่างงง ๆ “ถูกจับเนี่ยนะ”

“รู้จักกฎหมายปี 2966 หรือเปล่าล่ะ”

เด็กสาวสั่นหัว ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกฎหมายแต่หมายถึงปฏิเสธข้อสันนิษฐานของพี่ต่างหาก “เขาเป็นภูมิแพ้”

“ไม่เกี่ยว ถ้าเขาทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ทางการเห็นชัดว่าเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มต้องสงสัย เขาก็ไม่มีทางรอดข้อหานี้ จริง ๆ นะ แม้ว่าจอห์นจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงทุกโรคเลยก็ตามเถอะ แต่มันไม่มีทางช่วยเขาให้หลุดพ้นจากกฎหมายนี้ได้หรอก” เจสซี่โยนเอกสารชุดหนึ่งลงบนตักของเธอ “อ่านสิ”

‘...มาตราที่ 1 ย่อหน้าที่ 4 ผู้ที่มีความสามารถพิเศษอันแปลกประหลาดจากความสามารถของมนุษย์ที่พึงมี ผู้นั้นต้องลงทะเบียนว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ณ สถานที่ราชการแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ สถานีตำรวจ...มาตราที่ 2 ย่อหน้าที่ 1 พลเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะรายงานตำรวจเกี่ยวกับเบาะแส ร่องรอย ข้อค้นพบ หรือ ข้อสงสัย ว่าคนคนนั้นจะเข้าข่าย หรือมีแนวโน้มเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง สำหรับกรณีเอชโอวัน การกระทำเพื่อปกป้องสหพันธรัฐไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล...’

“นี่มัน...”

“ข้อกฎหมายในรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติ ปี 2966” เจสซี่ตอบ เขาเอานิ้วมือหวีผมหยิกหย็อยของตัวเอง มันไม่เคยเรียบเลย

“พี่คิดว่าจอห์นถูกจับด้วยกฎหมายนี้เหรอ”

เจสซี่พยักหน้า เขาค้นหาสิ่งของบางอย่างบนโต๊ะ พอเจอก็ยิ้มแล้วส่งเอกสารอีกชุดให้เธออ่าน เจสซี่เคยชินกับการแบ่งปันความคิดของตัวเองให้กับอเล็กซิสฟังมากกว่ากับไบรซ์ เพราะน้องสาวอีกคนชอบทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาอยู่เรื่อย

“การหายตัวไปอย่างลึกลับของเหล่าคนดังในอดีตและอันตรายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกฎหมายรัฐบัญญัติปี 2966 กรณีศึกษา เดสซิเร ดัลคา—โอ๊ย ตายแล้ว!” เธอร้องเมื่อเห็นตราประทับบนหัวกระดาษเขียนว่า ‘เป็นความลับ’ กับ ‘ต้องทำลาย’ ซึ่งวันที่ที่ระบุให้ทำลายนั้นคือเมื่อปีที่แล้ว

ใครสักคนไม่ยอมทำตามคำสั่ง และ ‘คนคนนั้น’ คือพี่ชายของเธอเอง

“เจสซี่! พี่ไม่ควรเก็บมันไว้ ไม่ ๆ พี่ต้องทำลายเอกสารชิ้นนี้ต่างหาก”

“เออ ๆ รู้แล้วน่า แต่อ่านก่อน เร็ว ๆ” เขาเร่ง รำคาญน้องสาวที่ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม

เสียงรถยนต์ดังขึ้น พ่อแม่ของทั้งสองกลับถึงบ้านแล้ว

“ไปเซอร์ไพรซ์พ่อกับแม่ดีกว่า”

เจสซี่รีบรั้งน้องสาวไว้แล้วชี้ไปที่เอกสารที่ว่า “เดี๋ยวไบรซ์ก็บอกพวกเขาเอง อ่านนะ โอเค๊ ไม่มีใครจับตามองพวกเราหรอกน่า ยัยบ๊อง”

“ก็ได้” เธอตอบอย่างอ่อนใจ แล้วจึงรีบสแกนเนื้อหาในเอกสารเข้าสมองอย่างรวดเร็ว

ตามข้อมูลที่อเล็กซิสได้เรียนรู้จากเอกสารชิ้นนี้คือ เดสซิเร ดัลคา เป็นทายาทเพียงคนเดียวของเครือธุรกิจดัลคา หรือ ดัลคาคอร์ปอเรชั่น เธอหายตัวไปเมื่อสองปีก่อน เมื่อดัลคาอายุสิบสามปี พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เด็กสาวตกอยู่ในความดูแลของคุณอา ต่อมา เมื่อเธออายุสิบห้าปี คุณอาของเธอเสียชีวิตลง ข่าวลือในแวดวงสังคมเล่าว่าเด็กสาวก่อคดีฆาตกรรมอาตัวเอง ทว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ เธอจึงไม่ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด เมื่ออายุสิบแปดปีซึ่งเป็นวัยที่เธอบรรลุนิติภาวะแล้ว ดัลคาจึงขายหุ้นทั้งหมดให้กับผู้ถือหุ้น และใช้เงินไปกับงานปาร์ตี้และท่องเที่ยว ผู้คนเล่าว่า ดัลคาปล่อยตัว บ้าปาร์ตี้ และใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงจนไม่มีสิ่งใดมาฉุดรั้งเธอได้อีก สองปีถัดมา ไม่มีใครได้ยินข่าวของเธออีกเลย มีเพียงรายงานการหายตัวของเธอว่าน่าจะข้องเกี่ยวกับการลักพาตัว หรืออาชญากรรม หรือแม้แต่กลุ่มค้ายา แต่ในวันต่อมา ไม่มีช่องทางใด หรือหนังสือพิมพ์ใดรายงานความคืบหน้าการสืบสวนคดีนี้อีก ตั้งแต่นั้นมา ชื่อของดัลคาหายไปจากวงสังคมไฮโซของเมืองฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิส ทั้งชื่อและตัวตนเลือนหายไปตั้งแต่วันนั้น

อเล็กซิสส่งเอกสารคืนให้กับพี่ชาย “เธอนี่อ่านเร็วเป็นบ้าเลยนะ”

“พี่คิดว่าจอห์นก็...”

“ใช่ เชื่อพี่สิ ถ้าเพื่อนของเธอข้องเกี่ยวกับกฎหมายนี้ อีกไม่กี่วันหรอก พวกเราจะไม่ได้ยินชื่อของเขาอีกต่อไป” เจสซี่มั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเอง

อเล็กซิสเอนหลังพิงกำแพงที่มีโปสเตอร์วงโปรดของเจสซี่แปะอยู่ ถ้าจอห์นเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ จะไม่มีจอห์น ลีลอยด์อีกต่อไป เธอคิดแล้วเศร้า ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับใครเลย กฎหมายบทนี้ขัดแย้งกับหลักสิทธิมนุษยชนรวมทั้งนโยบายที่รัฐบาลประกาศเอาไว้เสียดิบดี ‘นิวโฮปกับอิสรภาพครั้งใหม่’ แต่เหตุใดกฎหมายบทนี้จึงยังมีอยู่

เพราะมันเป็นอิสรภาพในรูปแบบใหม่ ไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง ดังนั้นมันก็คืออิสรภาพจอมปลอมไงล่ะ เสียงในหัวของอเล็กซิสตอบคำถามนั้น

มีอีเมลขึ้นมาบนจอภาพ เจสซี่รีบพุ่งไปหาแล็ปท็อปของตัวเอง อเล็กซิสทันเห็นว่าคนส่งชื่อ ‘โจชัว’ เด็กสาวคลี่ยิ้มล้อเลียนพี่ชายเป็นการเอาคืน ในขณะที่เขากำลังอ่านอีเมลของแฟนหนุ่มนั้น ในหัวของอเล็กซิสนึกถึงเอโลดี้ เพื่อนสนิทที่แอบรักพี่ชายของเธอตั้งแต่อายุสิบสองปี เอโลดี้เดตกับเด็กหนุ่มมาหลายคน แต่ไม่เคยตัดใจจากเจสซี่ได้เลย ไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะเมื่อตอนที่เขายังเรียนไฮสคูล เจสซี่เป็นถึงกัปตันทีมฟุตบอล แล้วยังเป็นหนึ่งในหนุ่มฮอตอีกต่างหาก เอโลดี้ก็เหมือนกับเด็กสาวทั่วไป เธอตกหลุมรักเขา และทำได้แต่แอบรักอยู่อย่างนั้น

“พ่อกับแม่รู้ว่าพี่เป็นยังไง และพี่รักใคร พวกเขารอให้พี่บอกความจริงด้วยตัวเองเท่านั้นนะ”

พี่ชายไม่ตอบ เขายักไหล่แล้วปล่อยให้หัวข้อที่น้องสาวพูดขึ้นตกไปเอง

“ลงไปเจอพ่อกับแม่ดีกว่า”

“ไม่เป็นไร พี่แค่อ่านเมลเอง” เขารีบบอก “เธอยังไม่ได้เล่าเรื่องทุนเลย สัมภาษณ์เป็นยังไงบ้าง”

เขาพูดถึงทุนการศึกษาที่เธออยากได้ใจจะขาด ทุนที่มอบโดยรัฐบาลนี้จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนทางการเงินและโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชนะ ทุนคือกุญแจนำไปสู่ความสำเร็จ รวมทั้งการใช้ชีวิตในเมืองหลวงฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิส ทั้งยังเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี การศึกษา และนวัตกรรม ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกคนรวย เดลฟีอาจมีวิทยาลัยทางการแพทย์อันดับต้น ๆ แต่วิทยาลัยแพทย์ของมหาวิทยาลัยฟิวเจอร์ริสติกนั้นคืออันดับหนึ่ง ดังนั้นหากให้อเล็กซิสเลือก เธอย่อมเลือกไปที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจบการศึกษา เธอยังสามารถเข้าทำงานในโรงพยาบาลใดก็ได้ในเมืองหลวง ซึ่งอุปกรณ์และระดับเงินเดือนสูงกว่ามาก มันคือหนทางที่จะลาออกจากการเป็นชนชั้นกลางไปเป็นชนชั้นกลางระดับบน หรืออาจไปถึงชนชั้นสูงเลยก็ว่าได้ เจสซี่กับไบรซ์เคยได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิสอบสัมภาษณ์เช่นกัน แต่ทั้งสองไปไม่ถึงจุดหมาย อเล็กซิสรู้ดีว่าเธอเป็นความหวังสุดท้าย หรือไม่อย่างนั้น ทั้งครอบครัวคงต้องรออีกสิบกว่าปีกว่าชาร์ลีจะโต

“ฉันก็พยายามไม่หวังนะ แต่คิดว่าน่าจะมีโอกาสสูงอยู่ พวกเขาดูสนใจฉันมากพอสมควร” เธอเล่า ดวงตาแสดงออกว่ามั่นใจมากกว่าที่พูด

คิ้วเจสซี่กระตุกทันที อยากรู้รายละเอียด “พวกเขาถามเรื่องรัฐบาล กฎหมาย หรือข้อวิพากษ์ทางสังคมหรือเปล่า”

“ต้องถามสิ มีคำถามหนึ่ง ถามเกี่ยวกับการจัดการทางการทหารเพื่อต่อต้านผู้ก่อการร้าย ฉันบอกว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของรัฐบาล”

“หา?” เจสซี่ทำหน้าราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“รู้น่าว่ามันแปลก แต่ฉันไม่เห็นด้วยจริง ๆ นี่นา และคนปกติก็ต้องคิดแบบนี้หรือเปล่า มาตรการที่ว่าไม่นึกถึงพลเมืองที่อยู่แถวชายแดนเลยสักนิด มันเข้มงวดและไร้มนุษยธรรมเกินไป ฉันอาจไม่เห็นด้วยแต่แสดงทางเลือกให้ด้วย แน่นอนว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า พวกเขาว่าไงรู้ไหม “เยี่ยมไปเลย คุณเดวิส คุณพูดในสิ่งที่เราคิดเลยทีเดียว แถมยังเสนอไอเดียที่เป็นประโยชน์มาก ไม่เลวเลย” เป็นไง เจ๋งใช่ไหมล่ะ พวกเขายังถามเกี่ยวกับเอชโอวันกับรัฐบัญญัตินี้ด้วย”

เอชโอวัน เป็นคำย่อที่ใช้อธิบายลักษณะอาการของผู้ที่มีความสามารถพิเศษที่รัฐบาลมองว่าผิดกฎหมายและถือว่าเป็นหายนะของชาติ เคสเอชโอวันยังเป็นที่มาของการร่างกฎหมายรัฐบัญญัติปี 2966 จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวเมื่อหลายสิบปีก่อน

เจสซี่หัวเราะเสียงดัง “โอ๊ย ตาย ๆ พี่มั่นใจเลยว่าเธอต้องอธิบายว่าเพราะอะไรถึงอยากให้มีการล้มเลิก แถมยังอธิบายวิธีจัดการกับกลุ่มเสี่ยงให้อีกด้วยแน่”

“แน่นอนสิ” เธอพยักหน้าราวกับไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย

“ไม่ได้หรอก ไม่ได้แน่ ๆ หมดหวังเลย พี่หมายความอย่างที่พูดนะ ลองบอกไบรซ์สิ ว่าเธอตอบยังไง เดี๋ยวไบรซ์ก็บอกเหมือนพี่เองแหละ”

คำตอบของพี่ชายตีแสกหน้าเข้าอย่างจัง อเล็กซิสไม่เข้าใจ เธอจำได้ดีว่าพวกกรรมการมองเธอด้วยความชื่นชมมากขนาดไหน

“ไม่...หรอก...”

“พี่รู้ว่าเธอฉลาดมาตลอด แต่บางครั้งเธอก็ติดนิสัยคิดบวกทำให้มองไม่เห็นความเป็นจริงตรงหน้า อ้อ แล้วไอ้นิสัยมั่นใจตัวเองเกินไปด้วย อเล็กซ์ ลองคิดดูดี ๆ สิ ทำไมเขาถึงอยากได้นักเรียนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายมาทำงานร่วมกับพวกเขาล่ะ”

“มันไม่ใช่การหาหุ่นเชิดสักหน่อย...แต่...แต่” ตอนนี้เองที่คำพูดของเธอกลับทำหน้าที่เปิดหูเปิดตาตัวเอง หลังจากจบการศึกษา นักเรียนทุนจะต้องเข้าทำงานกับองค์กรของรัฐบาล “อย่างงั้นเหรอ...เวรจริง ๆ” เธอสบถให้ตัวเองมากกว่าครั้งไหน ๆ เพราะอเล็กซิสอยากได้ทุนนี้มาก

“โธ่ อเล็กซ์เอ๊ย เธอมันไร้เดียงสาจริง ๆ” เจสซี่ขยี้หัวน้องสาว

อเล็กซิสปัดมือเขาออกไป “แล้วทำไมพี่ไม่ชนะ”

“อ้อ เพราะเมื่อก่อนพี่เป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาเหมือนเธอไง แต่ตอนนี้โตพอเข้าใจอะไร ๆ แล้ว”

อเล็กซิสโขกหัวตัวเองกับอกของเขา “เจสซี่!”

เขาหัวเราะ “อะไรอีกเล่า พี่พูดความจริงนี่นา”

“ไม่มีทาง ฉันยังเชื่อมั่นในตัวเองอยู่ เรามารอดูประกาศผลในวันอาทิตย์หน้ากันดีกว่า” เธอยืนขึ้น จ้องหน้าพี่ชายเช่นคนดื้อดึงจากนั้นหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองออกจากเตียง “ซื้อขนมพื้นเมืองมาด้วยนะ อย่าลืมลองชิม”

เพราะห้องเธออยู่ชั้นล่าง แล้วยังต้องแชร์กับไบรซ์ ถ้าเกิดเธอไม่สามารถคว้าทุนได้ ทั้งสองก็ต้องแชร์ห้องอีกครั้งเมื่ออเล็กซิสไปเรียนที่เดลฟี พวกเธออาจมีทะเลาะกันบ้างเพื่อแย่งเขตแดนในห้อง แต่ไม่เคยทะเลาะกันอย่างจริงจังหรือรุนแรง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ วัยรุ่นทุกคนอยากมีห้องนอนเป็นของตัวเองกันทั้งนั้นนี่นา

“อเล็กซ์” พี่ชายเรียกชื่อ

“อะไรอีกล่ะ”

เขาทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่อเล็กซิสดูไม่ออกว่าคืออะไร เขาพูดขึ้นมาว่า “บางทีพี่อาจจะคิดผิดก็ได้ เธออาจจะมีความคิดต่อต้านอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่พวกหัวแข็งไม่เชื่อฟัง...ถ้าพวกเขาเห็นว่าเธอเป็นเด็กดีแบบนี้ ก็คงเลือกเธอมั้ง”

“พี่หมายความว่ายังไง”

เจสซี่ถอนหายใจ “ช่างเถอะ เอ้อ!” เขายังคงรั้งน้อง “อย่ากังวลกับเรื่องเงินมากนะ พี่มีงานทำแล้ว ถึงแม้เรียนปอโทควบไปด้วยจะเหนื่อยก็เถอะ แต่พี่พอมีเวลามากพอ แล้วเธอยังสามารถทำงานได้ช่วงเรียนปีหนึ่งกับปีสองเหมือนกับไบรซ์ หลังจากพี่กับไบรซ์เรียนจบ พวกเราก็จะทำงานกันเต็มเวลาแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง เชื่อพี่สิ” เขาจบประโยคด้วยการขยิบตาแบบที่เขาชอบทำเวลาหลอกโปรยเสน่ห์สาว ๆ

อเล็กซิสยิ้มน้อย ๆ แล้วพยักหน้า ยิ่งเรียนสูง ค่าใช้จ่ายยิ่งเยอะ พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะลดภาระของพ่อและแม่ ทุกคนต่างเติบโตขึ้น พ่อแม่ก็แก่ตัวลงเช่นกัน เด็กบ้านเดวิสทุกคนอยากให้คาเลบกับเบียนน่าลาออกจากงานมาพักผ่อนและอยู่อย่างสบายได้แล้ว

“เอาละ เรื่องสุดท้ายแล้ว เพราะปิดเทอมฤดูร้อนนี้ พ่อกับแม่ยุ่งมาก บางทีพรุ่งนี้ พวกเราชวนไบรซ์ออกไปข้างนอกกันดีกว่า พาเจ้าชาร์ลีออกไปเที่ยว ทานข้าว เดินเล่นในสวน แล้วก็ทานไอศกรีม ไอ้เตี้ยชอบจะตาย เธอชวนจูน เดวี่ของเธอ กับเอดี้ด้วยสิ”

อเล็กซิสขำพรืด “จูนกับเอดี้อ่ะนะ เฮ้อ พี่อยากนั่งดูสองคนนั้นทะเลาะกันใช่ไหม”

“เออ ลืม เอดี้กับเดวี่ หรือ เดวี่กับจูน แต่พี่ชอบคุยกับเอดี้ งั้นเอดี้กับเดวี่” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ไม่เข้าใจพวกผู้หญิงเลย เกลียดกันแต่ก็จับกลุ่มอยู่ด้วยกัน แล้วเธอก็บ้าพอที่จะนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนั้น ไม่ปวดหัวหรือไงนะ”

“ช่างเถอะ ไว้คุยทีหลัง ฉันอยากอาบน้ำแล้ว อยากเจอพ่อกับแม่ด้วย”

เจสซี่พยักหน้าแล้วกลับเข้าห้องตัวเอง ทันทีที่อเล็กซิสย่องเดินลงชั้นล่าง คาเลบและเบียนน่าเปลี่ยนสีหน้าทันทีเมื่อเห็นเธอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน

ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ หรอกนะ ที่ชอบซุบซิบนินทา