9 ตอน การสอบสวน
โดย JES
พอเจสซี่บอกว่าไม่มีอะไรต้องกังวลอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ อเล็กซิสคลายใจลง สุดท้ายเธอสามารถข่มตานอนหลับได้สนิท แม้ต้องนอนบนพื้นที่ทั้งแข็งและเย็นก็ตาม เธอหลับไปไม่นานมากนักและตื่นขึ้นมาพร้อมกับความมั่นใจว่าจะถูกปล่อยตัวในวันนี้ อเล็กซิสเห็นว่ายังมีเพื่อนบางคนที่ยังหลับไม่ลง แม้ทุกคนทราบแล้วว่าเบลินดา คาร์เตอร์ เป็นคนแจ้งความกับตำรวจว่ามีกลุ่มเสี่ยงปะปนอยู่ในงานปาร์ตี้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะนิ่งนอนใจว่าขั้นตอนการตัดสินจะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว บางคนรู้สึกเฉย ๆ บางคนยังลุกลี้ลุกลน อาจเป็นเพราะกฎหมายฉบับนี้เกี่ยวข้องกับเคสเอชโอวันโดยตรง ทางการจึงมองกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัยเป็นตัวอันตรายต่อสหพันธรัฐ ดังนั้น ถึงแม้ยังไม่มีคำตัดสิน คนที่ถูกจับก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสายตาของเจ้าหน้าที่ที่มองพวกเขาอย่างจับผิด ทว่าในทางกลับกัน เพราะพวกอเล็กซิสถูกจับกุมตัวอันเนื่องจากมีการแจ้งความเท็จ ถ้าหากกฎหมายเข้มงวดแต่คงไว้ซึ่งหลักยุติธรรม ทางการจะไม่ปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับอาชญากรแน่นอน อเล็กซิสเชื่อมั่นในความเที่ยงธรรมของกฎหมายและเจสซี่ พี่ชายของตัวเอง
ต้องขอบคุณโชคหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ช่วยให้เธอไม่ต้องอยู่ร่วมห้องขังห้องเดียวกับเวดและเบลินดา ทั้งสองดันถูกขังไว้ด้วยกัน ไม่ต่างจากคุณมิลเลอร์และคุณนายคาร์เตอร์ รุ่นลูกต่างตะโกนเถียงกันอย่างเมามัน พอหยุดพักเหนื่อยก็กลับมาทะเลาะกันใหม่ อเล็กซิสมองเห็นไอร้อนเป็นวงกว้างรอบตัวสองคนนั้น ซึ่งคงร้อนกว่าความร้อนในหน้าร้อนแน่ ๆ เพราะเพื่อน ๆ ต่างถอยห่างออกจากรัศมีของคนทั้งคู่ ปล่อยให้พวกเขาปะทะกันตรงกลาง เวดและเบลินดาไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน จนกระทั่งวันนี้
เบลินดาถูกกดดันจากสายตาโกรธเคืองหลังจากที่พ่อแม่ของทุกคนบอกว่าใครเป็นคนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้น พวกเขากล่าวโทษเบลินดาทุกเรื่อง มันอาจจะเป็นเรื่องยากสักหน่อยที่จะเชื่อว่าประธานนักเรียนทำเรื่องพรรค์นี้ ทีแรก อเล็กซิสรู้สึกเฉย ๆ กับพฤติกรรมของเบลินดา แต่หลัง ๆ เริ่มมีน้ำโหตามคนอื่น เพราะเพื่อนคนนี้เอาแต่ยืนกรานว่าเธอทำในสิ่งที่ถูกต้อง บางครั้งพวกคนฉลาดก็อาจทำเรื่องโง่โดยที่ไม่มีใครคาดคิดได้ แต่อเล็กซิสอยากรู้สาเหตุที่แท้จริงมากกว่า ว่าทำไมเบลินดาถึงทำแบบนี้ ซึ่งเธอก็ไม่ยอมรับผิดสักที
เวลาผ่านไป พอเวดกับเบลินดาทะเลาะกันหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นเกือบลงไม้ลงมือ เพื่อนคนอื่นจำต้องยื่นมือเข้ามาขวางไว้ มิฉะนั้น ทั้งสองอาจจะฆ่ากันตายก่อนที่จะได้รับอิสรภาพก็เป็นได้ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป พวกเขาทะเลาะกันใหม่อีกรอบ พฤติกรรมน่ารำคาญวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
ผ่านไปครึ่งวัน พวกตำรวจเริ่มปล่อยตัวเพื่อนบางคนออกจากห้องขัง อย่างน้อยทีมเชียร์ลีดเดอร์ก็ถูกปล่อยยกทีม อเล็กซิสและออสโล่นั่งมองเพื่อนออกจากห้องขังตาปริบ ๆ บางคนร้องไห้ไปด้วยเพราะดีใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พวกอเล็กซิสที่เหลือรอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าเมื่อไรจะถึงตาโดนเรียกบ้าง แต่จวบจนแสดงอาทิตย์หายไปจากช่องหน้าต่างบานเล็กที่อยู่เหนือหัว ความวิตกกังวลที่หายไปแล้วกลับผุดขึ้นมาใหม่และหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะมีแต่อเล็กซิส ออสโล่ เวด และ
เบลินดาเท่านั้นที่นั่งคอยคำสั่งปล่อยตัว แม้แต่เวดกับเบลินดายังหยุดทะเลาะกันชั่วคราว ทั้งหมดนั่งจ้องหน้ากัน สับสน เคว้งคว้าง
“ทำไมถึงเหลือแต่พวกเรา” ออสโล่ถามขึ้น คิ้วทั้งสองข้างย่นเข้าหากัน ดูเหมือนพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก
“มีคนเยอะมั้ง พวกเราอาจจะแค่กลุ่มสุดท้าย” อเล็กซิสพยายามอธิบายสถานการณ์ที่เป็นอยู่
“ทำไมถึงไม่ปล่อยฉันนะ” เบลินดาครวญ
อเล็กซิสเห็นเส้นเลือดบนหน้าผากของเวดกระตุก เธอจึงชวนเขาคุยเพื่อกันไม่ให้ทะเลาะกันอีก “ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวพวกเขาก็มาเรียกพวกเราเอง”
“มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ พวกเราล้วนเป็นนักเรียนที่เข้าชิงทุนด้วยกันทั้งนั้นนะ” ออสโล่ยังคงตั้งคำถาม และมันค่อนข้างมีเหตุผลให้น่าคิดพอสมควร
“โอ๊ย ไอ้หัวแครอท พวกเราไม่ใช่ผู้ชิงทุนกันแล้ว ต้องขอบคุณยัยนี่” เวดตอบ ไม่วายส่งสายตาเคืองไปที่เด็กสาวข้างกาย
ไม่กี่นาทีต่อมา อเล็กซิสเริ่มที่จะเข้าใจประเด็นของออสโล่มากขึ้น เพราะมันนานเกินไปแล้วจริง ๆ แถมพวกที่ยังอยู่คือหัวกะทิของโรงเรียนทั้งนั้น พวกเขาควรได้รับคำสั่งปล่อยตัวตั้งแต่เช้า หรือพร้อมกับคนอื่นถึงจะถูก นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย
“ต้องใช้เวลา ๆ” อเล็กซิสท่อง ไขว้นิ้วสองนิ้วให้กำลังใจตัวเอง
ย่างเข้าช่วงดึก โจเซฟ เจ้าหน้าที่ตำรวจชายคนหนึ่งเรียกให้กลุ่มวัยรุ่นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่พ่อแม่ของพวกเขาจัดมาให้ ทั้งหมดตกใจกันถ้วนหน้า วัยรุ่นทั้งสี่ขอร้องให้นายตำรวจตอบว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงอยู่ในห้องขัง
“ทำไมพวกคุณไม่ปล่อยพวกเราคะ”
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ”
“ได้โปรดเถอะ ผมอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
“พวกเธอ...ใจเย็นก่อน เราพบว่าข้อมูลของพวกคุณผิดปกติ จริง ๆ แล้ว ผมก็ไม่มีหน้าที่จะมาอธิบายหรอกนะ ดังนั้น ต่อไปนี้อย่าถามอะไรให้มากความอีก ตามมาเงียบ ๆ ก็แล้วกัน” ตำรวจหนุ่มคนนี้ดูเย็นชากว่าทุกคน
“เย็นชาชะมัด” อดีตหัวหน้าทีมฟุตบอลพึมพำ
ออสโล่กับอเล็กซิสมองตากัน เห็นความสับสนในใจคนทั้งคู่ เธอนึกถึงคำแนะนำของเจสซี่ให้ทำตัวเรียบร้อยเข้าไว้ ดังนั้น เธอจึงยอมเชื่อฟังแต่โดยดีและบอกให้ทุกคนทำตาม พวกเด็กผู้หญิงถูกพาไปอาบน้ำฝั่งผู้หญิง ห้องอาบน้ำจะแยกเป็นห้องเล็ก ๆ เหมือนกับห้องอาบน้ำในโรงยิมของโรงเรียน แต่สัดส่วนเล็กกว่ามาก พวกเธอได้รับอนุญาตให้สวมชุดที่พ่อแม่เตรียมมาให้ และเพราะมันไม่ใช่ชุดนักโทษ อเล็กซิสเลยสบายใจขึ้นมาหน่อย
เจสซี่ ฉันยังเชื่อใจพี่ได้ใช่ไหม
มันเป็นการอาบน้ำที่ยาวนานที่สุดเท่าที่อเล็กซิสเคยเจอ การที่ต้องมาอยู่กับเบลินดาสองต่อสองไม่ต่างจากนั่งแช่ก้นลงบนก้อนน้ำแข็งขนาดเท่าภูเขา ในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันอย่างผิวเผิน แต่เดิมทั้งอเล็กซิสและเบลินดาปฏิบัติต่อกันปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายแล้วแต่โอกาส แต่ตอนนี้
เบลินดากลับทำท่าเย็นชาใส่ราวกับเป็นศัตรูกันมาชาติกว่า ถึงกระนั้น ความเปลี่ยนแปลงของอดีตประธานนักเรียนไม่ได้ทำให้อเล็กซิสหัวเสียเท่ากับใบหน้าที่ปราศจากความรู้สึกผิด เบลินดาเชื่อว่าเธอทำถูก แม้แต่พูดโกหกออกไปจนทุกคนเดือดร้อน มันน่าโมโหที่ต้องอยู่กับคนประเภทนี้ พวกที่ชอบโทษคนอื่นแต่ไม่โทษตัวเอง เกลียดทุกสิ่งแต่ลืมแก้ทัศนคติของตัวเอง
ตอนแรกก็จูน ตอนนี้มาเจอเบลินดาอีก...อเล็กซิสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่เจอกับปัญหาไม่รู้จบ
เธอมั่นใจว่าครอบครัวของเด็กทั้งหมดจะต้องมาเยี่ยมและหวังว่าจะพาพวกเขากลับบ้านได้ในวันนี้ แต่เพราะยังไม่มีคำสั่งปล่อยตัว พ่อแม่ของแต่ละคนคงนั่งรออยู่สักที่ไหนสักแห่งในสถานีตำรวจ หรือไม่ก็นั่งหน้าเศร้ารอคอยข่าวดีอยู่ที่บ้าน
“พวกนายคิดว่าพวกเราจะได้ออกไปไหม” ออสโล่ถามเมื่อทั้งหมดกลับมานั่งในห้องขัง พร้อมกับเนื้อตัวหอมสะอาดสะอ้าน เวลานี้เด็กวัยรุ่นที่เหลือถูกนำมาขังในห้องเดียวกัน ห้องขังห้องอื่นจึงโล่ง ว่างเปล่า เพราะซานโบซ่าเป็นเมืองที่สงบและมีอัตราการเกิดอาชญากรรมเพียงแค่ 0.02 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น พอเหลือผู้ต้องขังอยู่เพียงสี่คน บรรยากาศจึงเงียบลงทันตา
“ฉันไม่รู้สึกแบบนั้นแล้วสิ” อเล็กซิสยอมรับว่าความเชื่อมั่นที่มีต่อคำพูดเจสซี่ลดลงทุกวินาที ยิ่งเมื่อเห็นเข็มนาฬิกาขยับไปเรื่อย ๆ ความหวังของเธอเริ่มหมดลง เธอต้องการแค่ความยุติธรรม แต่ความหวังที่ไร้ซึ่งแสงสว่างก็ไม่ต่างอะไรจากความสิ้นหวัง
“เราต้องได้ออกสิ บางทีอาจต้องใช้เวลาตรวจสอบว่าเราบริสุทธิ์ วิดีโอที่ฉันถ่ายก็เป็นมายากลธรรมดา ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่ายัยสารเลวข้าง ๆ ฉันเนี่ย แจ้งความเท็จ”
เบลินดาเหลือบมองเวดตาขวาง อเล็กซิสพยายามไม่มองหน้า เพราะรำคาญท่าทางที่อีกฝ่ายเชิดหน้าทำราวกับว่าเป็นผู้ถูกกระทำ มันทำให้อเล็กซิสยิ่งรู้สึกโกรธ
“เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกว่าข้อมูลของพวกเราผิดปกติ” ออสโล่ทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้ยินให้ทุกคนฟัง “แต่ว่า ไอ้ความผิดปกติที่ว่าคืออะไร อันนี้แหละที่ฉันคิดไม่ออก”
ทุกคนนั่งเงียบ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
“ถ้าเกิด...ถ้าเกิดพวกเราไม่ได้ออกไปล่ะ”
เวดสั่นหัว “ไม่มีทาง หยุดพูดแบบนั้นได้แล้วออสซี่”
“ออสโล่ ชื่อออสโล่โว้ย” หนุ่มผมแดงตะคอก “เบล ทำไมเธอทำแบบนี้ล่ะ” เขาหันไปหา
เบลินดาแทน เวดไม่จุดชนวนทะเลาะแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีมาก เขาปิดปากเงียบ คงอยากรู้สาเหตุเหมือนกัน
เบลินดากอดอกตัวเองแน่น แล้วเขยิบถอยไปที่มุมห้อง ตอบกลับสั้น ๆ ว่า “ฉันทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นย่ะ”
เวดหัวเราะอย่างดูถูก “ยัยนี่ ทุกคนเขารู้กันหมดแล้วโว้ยว่าเธอพยายามจะกำจัดพวกเราออกจากลิสต์ เธออาจหลอกตัวเองได้นะ คิดตามที่เธอพอใจเลย...ยัยบ้าเอ๊ย” เขาเขยิบถอยห่างจากเด็กสาวราวกับเธอเป็นแมลงที่น่ารังเกียจที่สุดจนเขาทนไม่ได้แม้แต่จะอยู่ใกล้ ขณะเดียวกัน อเล็กซิสกับออสโล่ได้แต่ถอนหายใจ
อเล็กซิสเข้าใจเวดดีที่เขาฉุนเฉียวง่าย แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเค้นเอาความจริงจากคนที่ไม่แม้แต่จะรู้สึกผิดเลยสักเศษเสี้ยวหนึ่ง สถานการณ์ในตอนนี้ต่างหากที่เธอพะวงมากกว่า และมากกว่ามานั่งโทษเบลินดาด้วย เพราะมันเกี่ยวกับอนาคตของเธอ
ฉันจะยังเชื่อพี่ได้อยู่หรือเปล่า ฉันยังเชื่อพี่ได้ใช่ไหม เจสซี่ เธอรำพันในใจ เจสซี่ไม่เคยผิดสัญญาหรือพูดโกหกเพื่อให้เธอสบายใจ แต่มันต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ ๆ เธอแน่ใจว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น
วันต่อมา เจ้าหน้าที่คนเดิมปลุกพวกเขาในตอนเช้า ทีแรกพวกเขาดีใจคิดว่าจะถูกปล่อยตัว แต่กลับเจอความผิดหวังอีกระลอก เมื่อนายตำรวจแค่นำขนมปังมาให้กินเป็นอาหารเช้าเท่านั้น เวดไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เหมือนเดิม เขาเริ่มโทษเบลินดาเหมือนเมื่อวาน แต่ครั้งนี้คู่กรณีเลือกที่จะใช้วิธีนอนหลับและไม่สนใจเขาแทน ซึ่งมันทำให้บรรยากาศสงบลงมากเมื่อเวดไม่มีคนให้ทะเลาะด้วย อย่างไรก็ตาม บรรยากาศยังคงคุกรุ่นเมื่อเวดพยายามที่จะให้เบลินดาตอบเขาให้ได้ว่าทำไมเธอถึงทำลายงานปาร์ตี้ของเขา จนกระทั่งออสโล่หมดความอดทนที่จะฟัง
“มิลเลอร์! นายช่วยหุบปากสักทีได้ไหม น่ารำคาญเป็นบ้า ฉันจะประสาทแดกเพราะนายนี่แหละ!”
ก่อนที่เวดจะตอกกลับ อเล็กซิสรีบห้ามทัพทั้งคู่ได้ทัน ดีกว่าปล่อยให้เกิดมวยคู่ใหม่ “อย่าทะเลาะกันเลย ขอร้องล่ะ พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก อย่าเถียงกันอีกเลยนะ เวด เชื่อฉันเถอะ ต่อให้นายตะโกนหรืออ้อนวอนหรือกล่าวโทษใครต่อใคร ก็ไม่มีใครมาปล่อยตัวพวกเราหรอก ถ้าพวกตำรวจไม่ได้รับคำสั่งก็เปล่าประโยชน์ ทำใจให้สงบเถอะนะ ฉันขอล่ะนะ อย่าลืมที่พี่ชายฉันเคยเตือนสิ”
เธอวางมือลงบนไหล่ของเขาเป็นการปลอบโยน ดูเหมือนว่าอเล็กซิสเพิ่งรู้วิธีกดปุ่มควบคุมสติและปุ่มอดกลั้นของเวดได้ เด็กหนุ่มเหมือนนึกขึ้นได้ว่าเธอเคยเตือนเขาเรื่องทำนองนี้มาก่อนจึงหุบปากในที่สุด ไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเดินมา
“พวกเธอตามฉันมา คณะสอบสวนรอพวกเธออยู่”
ทั้งหมดมองหน้ากัน ส่วนเบลินดาเอาแต่พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก”
“ทำไมพวกเราต้องถูกสอบสวนด้วยคะ” อเล็กซิสถามเจ้าหน้าที่สาว
เธอไม่ตอบ เด็กทั้งหมดจำต้องตามเธอไปเหมือนเดิม ไม่มีใครให้ข้อมูล ไม่มีใครอธิบาย เจ้าหน้าที่พวกนี้ไม่ชอบให้พวกเขาถามมากความ ทั้งหมดทำสีหน้าไร้อารมณ์ด้วยกันทุกคน พวกตำรวจไม่ใช่คนในเมือง แต่เป็นคนที่มาจากเมืองอื่น เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะสลับกันมาประจำในพื้นที่ทุก ๆ สองหรือสามปี จึงไม่มีใครสนิทสนมหรือรู้จักคนในพื้นที่เท่าไรนัก
เมื่อไปถึงห้องสอบสวน อเล็กซิสพบว่ามันไม่เหมือนกับห้องที่เธอเคยเห็นในหนังเลยสักนิด ห้องสืบสวนที่เธอรู้จักจะมีโต๊ะหนึ่งตัววางไว้ตรงกลางระหว่างตำรวจที่ทำหน้าที่สอบสวนกับผู้ต้องหา ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นจะยืนฟังบทสนทนาหลังหน้าต่างกระจก ห้องที่อยู่ตรงหน้าห่างไกลจากในหนังมาก หนำซ้ำยังน่ากลัวกว่า เพราะมันไม่มีโต๊ะสักตัว มีแต่เก้าอี้สำนักงานจำนวนสี่ตัว กับเก้าอี้ไฟฟ้าอีกสี่ตัวที่ดูเหมือนเครื่องทรมานในหนังสยองขวัญ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเก้าอี้ไฟฟ้าพวกนั้นเตรียมไว้ให้ใคร นอกจากพวกอเล็กซิส บรรยากาศเริ่มไม่ชอบมาพากลแล้ว พวกเจ้าหน้าที่จะทำอะไรกับพวกเขากันแน่ อเล็กซิสไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนพวกนี้ถึงปฏิบัติกับพวกเธอราวกับเป็นอาชญากรร้ายแรง
มือของเธอเย็นเยียบ
ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวยังคงอยู่
พวกเขาให้เบลินดานั่งเก้าอี้ตัวแรก เด็กสาวร้องไห้หวาดผวาจนถูกกดลงไป เวดนั่งตัวที่สอง เด็กหนุ่มปิดปากเงียบ คงอึ้งพอสมควร อเล็กซิสนั่งตัวที่สามและยังคงเชื่อฟังแต่โดยดี ส่วนออสโล่นั่งตัวสุดท้าย
ขาของอเล็กซิสเหมือนอ่อนแรงลงประเดี๋ยวนั้น เธอมองเจ้าหน้าที่ที่กำลังล็อกแขนของเธอกับที่วางแขน จากนั้นเขาหยิบหมวกเหล็กมาสวมให้เธอ มันมีสายไฟโยงหากันกับเก้าอี้ ออสโล่และอเล็กซิสสบตากันอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย และทำไมต้องวิธีนี้ ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่สอบสวนในชุดสีดำเดินเข้ามาพร้อมกันสี่คน พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้ว่างที่เหลือ เป็นชายสองหญิงสอง ผู้หญิงนั่งตรงข้ามกับเด็กผู้หญิง ส่วนผู้ชายนั่งตรงข้ามกับเด็กผู้ชาย เจ้าหน้าที่สาวตรงหน้าอเล็กซิสมีใบหน้ารูปไข่ เธอปั้นหน้านิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาจดจ่ออยู่กับอเล็กซิส ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่พาพวกเขามาที่นี่ รวมทั้งเจ้าหน้าที่โจเซฟยืนเฉย ๆ เหมือนกับเป็นเพียงผู้ช่วย ความเงียบค่อย ๆ เขย่าประสาทคนที่นั่งรออยู่ เวลาที่กำลังไหลไปช้า ๆ ทำลายกำลังใจไปทีละนิด ทีละนิด อเล็กซิสได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กับเสียงหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
เธอยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
“สวัสดีนะพวกเธอ สบายดีกันหรือเปล่า ที่พวกเราพาพวกเธอเข้ามาในห้องนี้ก็เพื่อขอสอบถามข้อมูลที่มีประโยชน์และความจริงจากปากเท่านั้น อย่ากลัวไปเลย” ชายที่นั่งตรงข้ามกับเวดเกริ่นนำ “เรามีคำถามธรรมดาจะถามพวกเธอ ขอเพียงแค่พูดความจริง พวกเธอก็เห็นว่านั่งอยู่บนเครื่องจับเท็จ อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องจับเท็จเพียงอย่างเดียว เพราะหากพวกเธอพูดโกหก เก้าอี้จะปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อกร่างทันที”
เขาหยุดแล้วยิ้มเหมือนเอ็นดู คงคิดว่าตัวเองกำลังสาธิตวิธีแปรงฟันให้เด็กอนุบาลฟังอยู่ “ฟังให้ดี โกหกครั้งหนึ่ง เพื่อนของพวกเธอทางด้านซ้ายจะถูกไฟฟ้าช็อกทันที และเจ้าหนุ่มหัวแดง” เขาพูดกับออสโล่ “นายโกหกเมื่อไร คุณคาร์เตอร์โดนแน่ ๆ
“ขอเตือนไว้ก่อนนะ หากไม่อยากให้เพื่อนตัวเองเจ็บตัวก็อย่าเสี่ยง เข้าใจกันใช่ไหม”
พวกเขาพยักหน้าช้า ๆ เวดจ้องอเล็กซิสเขม็ง พยายามจะสื่อสารผ่านดวงตาว่าเขาไม่ควรนั่งข้างเบลินดาเลย เพราะคนที่โกหกได้หน้าตาเฉยก็คือเบลินดานี่แหละ
“ฉันโดนย่างสดแน่ ๆ” เธอได้ยินเสียงเขากระซิบ ซึ่งมันไม่ใช่มุก แต่เป็นน้ำเสียงที่กล่าวออกมาจากความกลัวข้างใน
“เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีกว่านะจ๊ะ คุณคาร์เตอร์” หญิงสาวทางด้านขวาสุดพูดขึ้น “คุณคาร์เตอร์ ตอบฉันได้ไหมจ๊ะ ว่าคุณแจ้งความเท็จหรือไม่ โดยกล่าวหาว่าเพื่อนของคุณที่อยู่ในงานปาร์ตี้ที่คฤหาสน์ครอบครัวมิลเลอร์มีพฤติกรรมบางอย่างตรงกับคุณสมบัติที่เข้าข่ายว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง”
“เปล่าค่ะ”
เวดร้องโหยหวนเสียงดังทันทีเมื่อกระแสไฟฟ้าช็อกเข้าตัว อเล็กซิสตัวแข็งทื่อขึ้นมาเดี๋ยวนั้น เธอตกตะลึงเมื่อเห็นร่างกำยำของเพื่อนชายดิ้นพล่านรุนแรง เสียงร้องของเขาทำให้เลือดในตัวเย็นเฉียบ กระแสไฟฟ้านั้นช็อกร่างเด็กหนุ่มเพียงหนึ่งวินาที ใช่ แค่หนึ่งวินาที แต่เป็นวินาทีที่ทำลายความหวังในใจลงจนหมด ไม่มีรอยไหม้ปรากฏบนตัวเวด แต่เด็กหนุ่มหายใจหอบแรง แล้วยังตัวสั่นอยู่อีกหลายนาที
“สัตว์! อีนี่” แต่อย่างน้อยก็ยังมีแรงไว้ด่าคู่กรณี
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า” อเล็กซิสถาม ยังคงตกใจอยู่ หัวใจของเธอแทบหยุดเต้นไปแล้วเมื่อครู่ เพราะเสียงร้องที่บ่งบอกว่าเจ็บปวดไปถึงกระดูกของเวด เด็กหนุ่มส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นอะไร อเล็กซิสมองไม่เห็นเบลินดา แต่ได้ยินเสียงร้องไห้ดังลั่น บางทีเธออาจจะเสียใจที่เผลอทำร้ายเวด หรือไม่ก็กลัวว่าตัวเองจะโดนบ้าง
พ่อพูดถูก ไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด นี่มันห้องทรมานชัด ๆ ไม่ใช่ห้องสอบสวนสักหน่อย อเล็กซิสพยายามอย่างยิ่งที่จะหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมพวกเจ้าหน้าที่ถึงทำแบบนี้กับพวกเธอ แต่นึกเท่าไรก็หาเหตุผลมาตอบไม่ได้
“ฉันขอถามคุณอีกครั้งนะจ๊ะ คุณ-โก-หก-พวก-เรา-หรือ-เปล่า” หญิงสาวเน้นคำ
“...ค่ะ”
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครถูกไฟฟ้าช็อก เวดถอนหายใจโล่งอก
“ทำไมคุณถึงโกหกจ๊ะ”
แทนที่จะตอบคำถาม เบลินดาเลือกที่จะร้องไห้แทน ไม่กี่วินาที เวดร้องอีกครั้ง พอตัวเองตั้งหลักหายใจได้ เขาตวาดทันที “ตอบไปเซ่”
“ฉะ...ฉะ...ฉันอยากจะชนะทุนค่ะ ฉันอยากกำจัดเธอออกไป ถ้าเธอถูกถอนชื่อออก ฉันคิดว่าฉันจะชนะทุน”
เธอเหรอ เบลินดาต้องการให้เราถูกจับเพียงคนเดียวเหรอ นี่มันอะไรวะเนี่ย อเล็กซิสลืมความกลัวไปชั่วขณะ เธออยากจะร้องตะโกนออกมาดัง ๆ ระบายความซวยที่โถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“เธอที่ว่า หมายถึง คุณเดวิสเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ...ใช่ค่ะ...ถูกแล้ว เดวิสมีโอกาสชนะมากที่สุด...ฉันอยากได้ทุนมาก ไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายคนอื่น ตะ...แต่ ฉันหาวิธีกำจัดเดวิสคนเดียวไม่ได้ค่ะ”
“โธ่เด็กน้อย ต่อให้คุณเดวิสชนะ คุณก็ยังสามารถชนะทุนได้อยู่ดี ทุนการศึกษาของรัฐมีไว้เฉพาะนักเรียนห้าคนที่คุณสมบัติผ่านเท่านั้นก็จริง แต่เราไม่ได้จำกัดโควตาเฉพาะเขตสักหน่อย โอกาสที่พวกคุณทั้งสี่คนจะชนะพร้อมกันก็เป็นไปได้เหมือนกัน”
เบลินดาร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ คุณคาร์เตอร์ คุณทำผิดกฎหมายตามรัฐบัญญัติเฝ้าระวังและควบคุมกลุ่มเสี่ยงภัยต่อมนุษยชาติปี 2966 มาตรา 31 บทลงโทษต่อการกล่าวหาเท็จด้วยจุดประสงค์เพื่อใส่ร้ายผู้อื่นว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มต้องสงสัย ผู้กระทำผิดจะถูกระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และคุณถูกตัดสินว่ากระทำผิดด้วยความผิดนี้”
จำคุกตลอดชีวิตเลยเหรอ อเล็กซิสคิดว่าบทลงโทษรุนแรงเกินไป แต่เมื่อลองคิดดูอีกที ข้อกล่าวหาเท็จสามารถทำลายชีวิตคนคนหนึ่งได้เลย ตัวอย่างแรก ทั้งเวด อเล็กซิส และออสโล่หมดสิทธิ์ในการเข้าชิงทุนทันที นี่คือตัวอย่างที่เบาที่สุดแล้ว บางทีบทลงโทษที่ว่าก็ฟังดูไม่เยอะเกินไป อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่พิสูจน์ได้ว่าคนที่เหลือบริสุทธิ์ บทลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสำหรับเบลินดาก็อาจจะรุนแรงเกินไปสำหรับเด็กสาวที่กำลังมีอนาคต
เด็กสาวอ้อนวอนขอให้ลดโทษ แต่อเล็กซิสจับคำพูดเธอไม่ออกเท่าไร เพราะเบลินดาทั้งอ้อนวอนทั้งร้องไห้จนฟังไม่รู้เรื่อง
“คุณคาร์เตอร์ คุณทำใจให้สงบก่อน (ใครจะสงบได้ อเล็กซิสคิด) ถ้าการกระทำของคุณทำให้เราจับกุมกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยงได้ แม้คุณตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หรือจะเพราะโชคช่วยก็ตาม เราจะลดหย่อนบทลงโทษที่ว่าให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะยกเลิกการลงโทษทั้งหมด เพียงแต่จะเป็นวิธีอื่นแทน” หญิงสาวพลิกกระดาษบนตักไปมา ไม่ยี่หระต่อคนตรงหน้า “อีกเรื่องที่น่ายินดี นั่นคือเราไม่พบหลักฐานที่ว่าคุณเข้าข่ายกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น โปรดรอคำตัดสินของเพื่อน ๆ ก่อน เราจะกลับมาตัดสินการกระทำของคุณในขั้นสุดท้าย”
เธอจบบทสนทนาด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง ส่วนเบลินดาคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่แล้ว บทลงโทษจำคุกคลอดชีวิตเท่ากับหมดอนาคต เด็กสาวคงไม่คาดหวังว่าจะมีบทลงโทษที่เบากว่านี้และทำให้เธอสบายใจขึ้นอีกแล้ว อเล็กซิสเกิดความรู้สึกกึ่ง ๆ ระหว่างสงสารเบลินดาและสมน้ำหน้าในเวลาเดียวกัน
เจ้าหน้าที่ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเวดหันเหความสนใจจากเบลินดามายังเด็กหนุ่มแทน เขาจัดกองเอกสารอยู่หลายรอบก่อนที่จะเริ่มต้นถามคำถาม
“คุณมิลเลอร์ โปรดตอบคำถามของพวกเราให้ดี คุณคิดอย่างไรกับรูปพวกนี้”
เขาโชว์รูปของปีเตอร์เดินอยู่ในสระน้ำ เนื่องจากเป็นรูปที่แคปมาจากวิดีโอ ภาพจึงไม่ค่อยชัดเท่าไร
เวดกลั้นหายใจ พร้อมที่จะตอบคำถามทุกอย่าง “พวกเราพยายามจะอัดวิดีโอเล่นมายากลเพื่ออัปโหลดลงในเว็บคอมมูนิตี้ของโรงเรียน คุณก็เห็นอยู่ว่ามีแผ่นกระจกอยู่ใต้น้ำ และเด็กหนุ่มสี่คนก็จับไว้อยู่ ผมเป็นคนอัดวิดีโอนี้เอง ในวิดีโอจะทำให้ดูเหมือนว่าเขาเดินในน้ำได้ พวกเรากะจะหลอกเพื่อน ๆ และคิดว่าจะอัปโหลดวิดีโอที่สองเพื่อเฉลยกล แต่ว่านะ ตอนนั้นผมเมามาก พอเห็นรูปตอนนี้แล้ว ดูยังไงก็ดูหลอกตาชัด ๆ”
หลังเวดตอบเสร็จ อเล็กซิสไม่ถูกกระแสไฟฟ้าช็อกแต่อย่างใด เธอตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เพราะลึก ๆ รู้อยู่แล้วว่าเวดจะไม่โกหก แถมตัวเขาเองได้ลิ้มลองรสชาติความเจ็บปวดมาแล้ว คงรู้ดีว่ามันแย่แค่ไหน คำตอบของเขาชัดถ้อยชัดคำไม่มีสะดุดหรือตะกุกตะกัก อเล็กซิสคิดว่าเธอคงไม่โดนอะไร
“ดีมาก แล้วอันนี้ล่ะ” เจ้าหน้าที่โชว์อีกรูป มันเป็นยาเสพติดที่อยู่ในงานปาร์ตี้ มีทั้งห่อโคเคน บุหรี่กัญชา แล้วก็ถุงยาง
เวดสารภาพทันที “แค่ห่อเดียวที่เป็นของผม ที่เหลือของใคร ผมไม่ทราบครับ”
“อันไหนเหรอ”
“โคเคนที่อยู่ในถุงซิปล็อกสีฟ้าครับ”
“นี่พวกเธอจัดปาร์ตี้มั่วสุมกันแบบนี้บ่อยเลยเหรอ” เจ้าหน้าที่ทำเสียงหัวเราะเยาะ ส่วนคนที่เหลือเหลือเออออ
“หนึ่งครั้งต่อเดือน คุณว่าบ่อยหรือเปล่าล่ะ” เวดหยุดคิดสักพัก เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าปากเสีย เขามองอเล็กซิสเพื่อสำรวจให้แน่ใจว่าวิธีการตอบของเขาจะไม่ทำให้เธอโดนเล่นงาน อเล็กซิสบอกว่าไม่เป็นอะไร เวดจึงพูดต่อ “ไม่ครับ มันเป็นงานปาร์ตี้ธรรมดา คุณพบของพวกนี้ได้ทุกงานแหละ ทั้งงานปาร์ตี้ของเด็กและผู้ใหญ่มักมีของแบบนี้เสมอ”
“แต่มันผิดกฎหมายนะ แถมเธอยังเป็นผู้เข้าชิงทุนแล้วยังเป็นหัวหน้าทีมฟุตบอลอีกต่างหาก”
“ถุงยางก็ผิดกฎหมายเหรอครับ”
เจ้าหน้าที่ชายหันมามองอเล็กซิสด้วยดวงตาที่ทำให้เธอขนลุก เวดเข้าใจทันทีว่าตัวเองพูดไม่ถูก จึงรีบแก้ตัว “ผมผิดเองครับ ผมรู้อยู่เต็มอกว่ามันผิดกฎหมาย”
เจ้าหน้าที่พยายามอดทนต่อถ้อยคำและท่าทีกวนโอ๊ยของเด็กหนุ่ม เวดอาจติดนิสัยกวนประสาทอยู่บ้าง แต่เขาควรรู้ว่าเวลาไหนควรระงับปากตัวเองให้สงบ
“คุณมิลเลอร์ คุณถูกตัดสินว่ากระทำผิดด้วยข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองจำนวนต่ำกว่า 100 กรัม และจะถูกปรับเป็นจำนวนเงิน 50,000 เรล หรือจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปี ถ้าหากเราสืบพบกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยง โทษของคุณก็จะเบาลง ซึ่งเราจะมอบโทษอื่นให้แทน เช่นเดียวกับคุณคาร์เตอร์ เราไม่พบว่าคุณมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น โปรดรอคำตัดสินในขั้นสุดท้ายอีกที”
อเล็กซิสคาดการณ์ไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ แต่เป็นเรื่องยากนักที่คนเราจะควบคุมอารมณ์ให้คงที่ได้ ในเมื่อคำตัดสินมันไม่ยุติธรรม
“ขอโทษนะครับ ผมต้องรอผลตัดสินขั้นต่อไปด้วยเหรอ ถ้าพวกคุณพบว่ามีกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยงอยู่ในนี้ ผมต้องเข้าโปรแกรมด้วยใช่หรือเปล่า เพื่อปิดปากผม ปิดปากพยานในห้องนี้ใช่ไหมล่ะ ผมรู้นะว่าพวกคุณคิดทำอะไร ถามหน่อยเหอะ มันเกี่ยวกับความผิดของผมยังไง ไม่ยุติธรรมเลย ผมต้องการที่จะจ่ายค่าปรับเท่านั้น”
เพียงเท่านั้น กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างอเล็กซิสทันที เธอไม่อาจทำอะไรได้นอกจากกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด พวกเขาช็อกเธอเพียงหนึ่งวินาทีเหมือนกับเวด แต่เจ็บปวดราวกับไม่เคยเจ็บเท่าไหนมาก่อน ราวกับพลังงานในร่างกายถูกสูบออกไปจนหมด และเธอทำได้เพียงแค่พยายามหายใจอย่างยากลำบาก มือทั้งสองข้างบิดเกร็ง อเล็กซิสพยายามคุมสติเพื่อคุมอวัยวะที่กำลังสั่น
เครื่องจับเท็จที่ไหนกัน มีคนคุมมันชัด ๆ
“ขอโทษอเล็กซ์ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอเจ็บนะ” เวดขอโทษและหุบปากเงียบโดยปริยาย เขาสูญเสียความกล้าที่จะคัดค้านคำตัดสินที่ปราศจากความเที่ยงตรง นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่าคำเตือนของเจสซี่ไม่ผิดเลย คนพวกนี้คิดคำตัดสินมาแล้ว พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากฟังคำพูดงี่เง่าที่คนเหล่านี้พ่นออกมา
“มีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า คุณมิลเลอร์”
เวดกลืนน้ำลาย “ไม่มีแล้วครับ”
“ดี”
อเล็กซิสคอตก ผิดหวัง เจสซี่อาจจะพูดถูกแต่ไม่ถูกทุกเรื่อง อย่างน้อย เขาแค่คาดการณ์ถูก ว่าหากคนใจคดขึ้นมามีอำนาจ คนพวกนี้ย่อมใช้อำนาจในทางที่ผิดตามนิสัย คนพวกนี้เลือกที่จะรังแกคนที่อ่อนแอกว่าโดยไม่สนถูกผิด เหมือนอย่างกรณีของนายมิลเลอร์ พ่อของเวด ที่ปฏิบัติกับพวกตำรวจด้วยการข่มขู่เพื่อหวังจะช่วยลูกชายของเขา แต่ผลลัพธ์มันกลับตรงกันข้าม การกระทำของเขากลับกลายเป็นช่องทางให้คนพวกนี้รังแกลูกชายของเขาแทน และที่สำคัญ เวดมองออกว่าทางการพยายามจะปิดปากพวกเขาด้วยการสอบสวนที่แสนโหดร้ายและคำตัดสินทุเรศแบบนี้ อเล็กซิสรู้สึกว่าคนจากรัฐบาลพยายามที่จะยัดข้อหาในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำ เธอพยายามเตรียมใจน้อมรับต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อถึงตาของเธอ
อเล็กซิสใช้เวลาอยู่ประมาณหนึ่งกว่าจะค้นหาคำตอบได้ว่าทำไมเจ้าหน้าที่พยายามยัดข้อหา เพราะถ้าเหล่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้รับการปล่อยตัวทั้งหมด รัฐบาลจะกลายเป็นองค์กรหน้าโง่ในสายตาประชาชนทันที เพราะพวกเขาเชื่อคำโกหกของเบลินดาโดยไม่สืบสวนให้ดีเสียก่อน อเล็กซิสคิดว่าเธอรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเธอ เด็กสาวกำหมัดแน่น ไม่เอาน่า เราจะผ่านมันไปได้ ฉันจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นเองว่าพวกเขากำลังข่มขู่คนบริสุทธิ์ พวกเขาไม่มีทางยัดข้อหาเราได้แน่
เจ้าหน้าที่สาวตรงหน้าเผยอรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่อ่อนหวานในแบบที่ฆาตกรโรคจิตยิ้มให้เหยื่อก่อนจะสังหารทิ้งอย่างโหดร้าย
“คุณเดวิส คุณตอบพวกเราได้ไหมว่า ที่คุณสตีเว่นพยายามจะปกปิดความสามารถพิเศษของคุณ มันคือความสามารถแบบไหนกันแน่”
อเล็กซิสรู้สึกได้ว่าพวกเพื่อน ๆ กำลังมองเธออยู่ แต่เธอไม่เข้าใจ พยาบาลคนนั้นเกี่ยวกับอะไรกับเธอ “คุณสตีเว่นเหรอคะ” อเล็กซิสเจอกับนางพยาบาลคนนี้บ่อย ๆ เมื่อตอนเด็ก แต่นานมาแล้ว ถ้าให้พูดตรง ๆ แมรี่ สตีเว่นไม่ได้สนิทกับครอบครัวเธอเท่าไร และเบียนน่า แม่ของเธอก็ไม่ชอบให้อเล็กซิสไปเล่นกับนางพยาบาลคนนี้ด้วย
หางตาข้างซ้ายทันเห็นว่าออสโล่ทำตัวลีบ เหมือนกลัวว่าจะถูกไฟฟ้าช็อก แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครเป็นอะไร
เราพูดความจริงนี่นา และเราก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เว้นเสียแต่ว่าจะมีคนกดปุ่มทำร้ายพวกเรามากกว่า
“ใช่จ้ะ แมรี่ สตีเว่น” เจ้าหน้าที่ย้ำคำ แต่เด็กสาวยังคงงุนงง
อเล็กซิสส่ายหน้า “หนูไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ ไม่เข้าใจเลย ด้วยความสัตย์จริง”
และออสโล่ยังคงปลอดภัยดี
เจ้าหน้าที่สอบสวนหันไปปรึกษากัน อเล็กซิสมองสำรวจไปรอบห้อง เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายทำหน้านิ่งราวกับรูปปั้นหินอ่อน อเล็กซิสพยายามมองหาชื่อของตำรวจสาวเหมือนที่เคยทำกับเจ้าหน้าที่คนอื่น แต่ผมเปียหางปลาของหญิงสาวบังป้ายชื่อเธอเอาไว้
ไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่สาวกลับมาสอบสวนอเล็กซิสต่อ
“คุณเดวิส โปรดมองที่หน้าจอนี้นะ” อเล็กซิสเงยหน้า จ้องแผนผังภายในสถานีตำรวจบนจอภาพแบนขนาดประมาณหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่ง เธอไม่เคยเห็นเทคโนโลยีล้ำสมัยเช่นนี้มาก่อน เพราะว่าเพียงแค่เจ้าหน้าที่สัมผัสหน้าจอ ทุกอย่างก็ปรากฏขึ้นเองราวกับมีเวทมนตร์ เพียงแค่สัมผัสก็ควบคุมแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ผ่านหน้าจอเท่านั้น เจ้าหน้าที่สอบสวนหญิงนับหนึ่งถึงสิบแล้วส่งสัญญาณให้นายตำรวจโจเซฟปลดล็อกข้อมือข้างขวาของเธอ “ช่วยวาดแผนผังเมื่อครู่ให้ทีนะจ๊ะ” เธอสั่งแล้วคว่ำหน้าจอลง
“ข้างซ้ายค่ะ” อเล็กซิสบอกกับนายตำรวจ เขาพยักหน้าแล้วเปลี่ยนมาปลดล็อกมือข้างซ้ายแทน
พวกเขาให้กระดาษใสกับปากกาสีดำมาอย่างละหนึ่ง อเล็กซิสเริ่มวาดแผนผังตามความจำของเธอ ซึ่งใช้เวลาประมาณห้านาทีเท่านั้น จากนั้นเธอจึงส่งรูปวาดให้กับนายตำรวจ เขาล็อกแขนเธออีกครั้ง
เจ้าหน้าที่สาววางรูปวาดลงบนจอแล้วยกขึ้นให้ดูเพื่อแสดงให้เห็นว่ารูปวาดของอเล็กซิสนั้นตรงกับแผนผังตัวอย่างพอดิบพอดี
“คุณค้นพบทักษะนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“น่าจะประมาณเจ็ดขวบ ไม่ค่อยแน่ใจนะคะ”
“แล้วคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นหรือแปลกกว่าคนอื่นหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ มันก็แค่ทักษะการจำ มีคนอีกหลายคนที่มีทักษะหลายอย่างเก่งกว่าของฉันเสียอีก หรืออาจจะแปลกกว่าก็ได้ ฉันชอบความสามารถนี้นะคะ โดยเฉพาะเวลาทำข้อสอบ มันสะดวกดี”
เจ้าหน้าที่สาวหัวเราะเบา ๆ “ก็จริงนะ แล้วพ่อแม่ของคุณทราบหรือเปล่า”
อเล็กซิสชะงักราวสองสามวินาที เพราะกลัวว่าคนพวกนี้จะพยายามหาข้ออ้างจับพ่อแม่ของเธอ “ค่ะ...ทราบค่ะ พวกเขาบอกว่าพระเจ้ามอบพรสวรรค์ที่แสนวิเศษให้กับฉัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะแตกต่างหรือเก่งกว่าคนอื่น”
“พวกเขาพูดอย่างนั้นหรือจ๊ะ ไม่ใช่ว่า พวกเขาพยายามช่วยปกปิดหรอกนะ”
อเล็กซิสพยายามหาคำพูดที่ดีที่สุด “ไม่ค่ะ ถ้าพวกเขาพยายามจะปกปิดพรสวรรค์นี้ พวกเขาคงบอกให้ฉันซ่อนมันไว้ให้มิด แต่พวกเขาไม่ได้บอกแบบนั้น พวกเขามองว่ามันเป็นของขวัญล้ำค่า” มันเป็นความจริงครึ่งเดียว แต่ไอ้เครื่องช็อกไฟฟ้าก็ไม่ได้ทำอันตรายออสโล่เลย
“เธอกับครอบครัวของเธอคิดว่าสิ่งนี้ปกติ” เจ้าหน้าที่ชายที่เพิ่งสอบสวนเวดแทรกขึ้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่คนอื่นพยักหน้าว่าเห็นด้วย ท่าทางที่เหมือนกันหมดของพวกเขาทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในช่องท้อง คนพวกนี้ดูเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ออกมาจากโรงงานเดียวกัน
อเล็กซิสพยายามไม่ปล่อยให้ความวิตกกังวลรบกวนความคิด เด็กสาวพูดความจริงและความจริงนั้นจะไม่ทำอันตรายเธอทีหลัง หากพวกเขาพยายามที่จะแจ้งข้อหาแปลก ๆ ล่ะก็ ไม่มีทาง เธอมั่นใจ ไม่เป็นอะไรหรอก เราก็แค่มีความจำดีเท่านั้นเอง พ่อมักบอกว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่พิเศษแต่ไม่ได้อันตราย แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณสตีเว่นกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงเอ่ยชื่อของเธอ
“คุณเดวิส คุณมีอาการอย่างไรเวลาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น”
“ก็คัน ๆ น้ำมูกไหล ผื่นขึ้นที่ผิวหนังค่ะ”
เธอเกลียดเวลาพวกเขาสบตากัน
สุดท้าย เจ้าหน้าที่หญิงประกาศคำตัดสินออกมาจนได้ “สำหรับกรณีของคุณ เราไม่อาจบอกได้อย่างเต็มปากว่าคุณมีอาการไฮโปคอนดริเอซิสหรืออาการที่คนไข้คิดไปเองว่าป่วย เพราะว่าคุณถูกทำให้เชื่อตั้งแต่เด็กว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่น บางครั้ง ร่างกายของเราก็เล่นตลกกับเรานะจ๊ะ แต่ว่าจากผลตรวจเลือด คุณไม่มีอาการแพ้สารใดเลย ซึ่งหมายความว่า ร่างกายของคุณแข็งแรงร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นแมรี่ สตีเว่นจงใจกรอกข้อมูลเท็จลงในประวัติการรักษาของคุณเพื่อปกปิดบางสิ่งในตัวคุณ...จากสายตาของพวกเรา”
“มันเป็นพรสวรรค์ธรรมดาเท่านั้น” เวดโพล่งออกมา อีกครั้งที่กระแสไฟฟ้าช็อกเข้าร่างอเล็กซิส “ขอโทษ ๆ ฉันขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกนะ” อเล็กซิสขอร้องเพื่อนชาย แม้รู้อยู่เต็มอกว่าเขาแค่อยากปกป้องเธอและตัวเขาเอง นั่นเป็นเพราะว่า ถ้าทางการไม่พบกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยงเข้าสักคน เวดแค่เพียงจ่ายค่าปรับแล้วกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
“เราเสียใจนะจ๊ะที่ต้องแจ้งว่า คุณเข้าข่ายกลุ่มต้องสงสัย”
มันเป็นอาการเดียวกับเมื่อครั้งที่เธอเห็นจูนกับเดวี่อยู่ด้วยกัน ความว่างเปล่าเฉียบพลันที่เกิดขึ้นในอก หลังจากนั้นคลื่นแห่งความผิดหวังซัดเข้าใส่
“ฉันพูดความจริง และทักษะนี้ก็เป็นเพียงทักษะปกติไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเลย”
อเล็กซิสบอก พยายามควบคุมน้ำเสียงและระดับให้เป็นปกติ
“เด็กน้อย พวกเรามีความเห็นตรงกันว่าคุณมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในกลุ่มต้องสงสัยและจำเป็นต้องเข้าโปรแกรมบำบัด อย่าห่วงเลยจ้ะ เราจะรักษาคุณเอง”
รักษาเหรอ ตลกสิ้นดี ฉันไม่ได้ป่วย แล้วฉันจะโต้แย้งคำตัดสินผิด ๆ แบบนี้ไม่ได้เหรอไง อเล็กซิสพยายามควบคุมตัวเองให้สงบ หายใจเข้า หายใจออก
มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับคำตัดสินง่าย ๆ เหมือนที่อเล็กซิสเคยทำ เพราะว่าคำตัดสินส่งผลกระทบที่มากกว่านั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน หากไม่นับเรื่องที่เธออกหักซึ่งกลายเป็นเรื่องเก่าแรมปีไปแล้ว อเล็กซิสยังคงเห็นตัวเองในฐานะนักศึกษาปีหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้าวิทยาลัยการแพทย์ในเดลฟี ในกรณีที่เธอไม่ได้ทุนการศึกษา แม้จะไม่มีเดวี่กับจูน แต่เส้นทางชีวิตของเธอยังโรยด้วยกลีบกุหลาบ อเล็กซิสจะเข้าสโมสรหญิงล้วนสักกลุ่ม แล้วก็สมัครเข้าทีมบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัย เธอยังรับงานถ่ายแบบให้กับนิตยสารเพื่อหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากนั้นกลับบ้านทุกวันหยุด การถูกตีตราว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยหมายถึงอนาคตทั้งหมดดับวูบ หมดสิ้นทั้งอิสรภาพและความฝัน โปรแกรมบำบัดที่พวกเขาอ้างว่าจะรักษาคนพวกนี้ไม่เคยประสบความสำเร็จว่าสามารถรักษาคนที่ถูกกล่าวหาได้ ไม่มีใครกลับมาเล่าความจริงว่าพวกเขาเจออะไรและถูกกระทำเช่นไร อเล็กซิสไม่อาจกลับบ้านได้อีกแล้ว ทั้งที่ บ้าน คือ สถานที่ที่ดีที่สุด เธอไม่อาจกลับไปอยู่กับคนที่เธอรักได้อีกแล้ว
นี่เหรอ...อิสรภาพครั้งใหม่
“คุณมีอะไรจะพูดกับพวกเราอีกหรือเปล่า”
“เชื่อฟังพวกเขา” เสียงของเจสซี่เตือน ไม่ หัวใจของเธอแย้ง แต่...แล้วฉันจะทำอะไรได้เหรอ ฉันจะเปลี่ยนใจพวกเขาได้อย่างไร ถ้าฉันพยายามที่จะปกป้องตัวเอง ออสโล่ก็จะบาดเจ็บ
“ไม่มีค่ะ” อเล็กซิสฝืนใจตอบ น้ำตาคลอเบ้า
เธอเป็นเด็กดีและเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เธอพ้นภัย อเล็กซิสไม่ใช่คนเดียวที่ร้องไห้ เบลินดาและเวดก็ร้องเหมือนกัน เพราะทั้งสองทราบชะตากรรมตัวเองแล้ว พวกเราเป็นเพียงทาสของระบบที่เสื่อมทราม
“...เหรอ ถ้าพวกคุณพบว่ามีกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยง ผมต้องเข้าโปรแกรมด้วยใช่หรือเปล่า”
เธอมองเวด แต่เขาไม่ได้มองหน้าใคร เด็กหนุ่มเอาแต่จดจ่ออยู่กับเท้าของเขา ฉันขอโทษ ฉันขอโทษที่สู้เพื่อตัวเองไม่ได้ ฉันขอโทษที่ลากนายเข้ามาด้วย
คนสุดท้ายคือออสโล่ เธอหวังว่าเขาจะรอดจากความอยุติธรรมนี้ แต่ถึงกระนั้น ชายที่สัมภาษณ์เขากลับยกตัวอย่างความผิดปกของเกรดที่ครูโดบี้ส์ ผู้เป็นคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์บันทึกไว้ เธอยังเป็นพี่สาวของนางพยาบาลสตีเว่นด้วย
“...คุณเจสเซ่น เราแน่ใจว่ากรณีของคุณเหมือนกับกรณีของคุณเดวิส นั่นคือคุณโดบี้ส์พยายามที่จะปกปิดความสามารถของคุณ ตามประวัติแล้ว เป็นไปได้ที่ว่าคุณจะมีคุณสมบัติเข้าข่ายกลุ่มต้องสงสัย พวกเรามีความเห็นตรงกันว่าคุณควรเข้ารับโปรแกรมบำบัดเช่นเดียวกับคุณเดวิส”
“มันไม่ชัดเลยสักนิดว่าผมเป็นกลุ่มต้องสงสัย ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าผมจะเข้าข่าย ผมไม่คิดว่าตัวเองสมควรได้รับ...”
เสียงร้องของเบลินดาดังโหยหวนเหมือนกับเสียงของเวดและอเล็กซิสก่อนหน้านี้ ออสโล่ปิดปากตัวเองสนิท อเล็กซิสเหลือบเห็นน้ำตาไหลจากหางตาของเขา แต่เขาพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างอดทน ในห้องนี้ ทุกคนสมควรได้รับการปล่อยตัวจากเคสเอชโอวันบ้าบอคอแตกมากกว่าถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยเสียเอง พวกเขากล้ำกลืนความขมขื่นลงไปข้างใน เพราะว่าบางครั้ง น้ำตาไม่อาจช่วยปลดปล่อยความเศร้า แล้วอนาคตของพวกเขาล่ะ ใครจะรับผิดชอบ พวกเขาจะถูกทำอะไรบ้าง ใครจะรู้
มันไม่ใช่เรื่องตลก
นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ
Comments (0)