13 ตอน กัญชามิตร
โดย JES
ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งเช็กซองบุหรี่ที่บรรจุอยู่ในกระเป๋าทรงดัฟเฟิลทำจากหนังแท้อย่างดี ตัวกระเป๋าเป็นรุ่นพรีเมี่ยมออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อดัง ฟลาเวีย นีโร พบนับหมดแล้วพบว่ายังเหลืออยู่ครบยี่สิบซอง เทียบจากครั้งก่อน แสดงว่าไม่มีใครขโมยไป
“นับทำไมวะ ใช้ไม่ได้อยู่ดี”
เจ้ากระเป๋าใบนี้ถูกนำมาใช้เฉพาะกิจเพื่อเก็บแพ็กบุหรี่ยี่ห้อ ‘เบสต์ อามี’ ที่เขาหวงแหน มันเป็นยี่ห้อบุหรี่ที่ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้ (ถึงแม้ว่าจะยัดไส้พิเศษก็ตาม) มันเข้าคู่กับไฟแช็กแฮนด์เมดที่ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ตกแต่งด้วยเพชรรูปไข่ขนาดเล็กรายล้อม บนตัวไฟแช็กมีอักษรย่อสลัก ‘บี.อาร์.’ เขาอยากจุดบุหรี่ขึ้นสูบเหลือเกิน อยากเห็นบุหรี่ในมือค่อย ๆ มอดไหม้พร้อมกับสูดควันศักดิ์สิทธิ์เข้าปอด แต่เมื่อนึกถึงผลที่จะตามมา เขาจำต้องเก็บเจ้าไฟแช็กไว้ในกระเป๋าเสื้อแทน หนทางที่จะได้สูบมันอีกครั้งอาจจะยังมีอยู่...หรือไม่มีวันนั้นแล้วก็ได้ พอคิดแบบนี้ เขาถอนหายใจด้วยความเสียดายของ
ถ้าเลือกได้ เบนอยากสูบบุหรี่ให้หมดไปมากกว่าทิ้งมันไว้แบบนี้ บุหรี่พวกนี้ไม่สมควรถูกเก็บไว้ประหนึ่งของดูต่างหน้าในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว มันควรถูกใช้ให้หมด
ชายหนุ่มเช็กหน้าตาตัวเองหน้ากระจกก่อนที่จะออกจากห้อง ประตูเปิดออกเองอัตโนมัติ ด้านนอกยังคงเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกปิดล้อม ไม่มีช่องว่างให้เห็นโลกภายนอก กำแพงสีขาวสว่างจ้ารายล้อมรอบกาย ทั้งพื้นและเพดาน ล้วนทาสีขาวสว่างชวนให้แสบตา อาคารโอ่อ่าพอสมควร หากคำนวณวัดระยะพื้นทางเดินไปยังเพดานด้านบน ระยะห่างคงประมาณสามสิบเมตร ส่วนตัวกำแพงมีไฟประดับฝังอยู่ข้างใน คอยส่งแสงส่องสว่างให้กับคนที่เดินไปเดินมา
สีขาวไม่ได้ทำให้พวกแกดูใสซื่อประหนึ่งสาวบริสุทธิ์หรอกนะ เขาคิด
เบนเคาะประตูห้องข้าง ๆ ไม่มีเสียงตอบกลับ เขาถอนหายใจอีกรอบ เซ็ง เพื่อนของเขาคงออกไปที่ไหนสักแห่ง หรืออาจจะล่วงหน้าไปยังห้องอาหารแล้วก็ได้ เบนจึงมุ่งหน้าไปยังที่นั่นตามลำพัง มันเป็นห้องโถงกว้าง ๆ ที่ไม่มีร้านขายอาหารเปิดบริการ แต่มีเครื่องทำอาหารอัตโนมัติตั้งไว้ เพราะยังเช้าตรู่ ข้างในจึงค่อนข้างโล่ง เขาเดินไปดูรายการอาหารบนจอภาพขนาดใหญ่ซึ่งจะบอกเมนูที่มีในแต่ละวัน
ครัวซองต์ เฟรนช์โทสต์ แพนเค้กกล้วยหอม เอ้กเบเนดิกต์ แซนด์วิช เฮ้อ ไม่ ไม่เอา น่าเบื่อ คร็อกเห็ดชองปิญอง...ไม่มีเนื้อเลยเหรอ ไม่เอาดีกว่า สร้างเมนูอาหารของคุณเอง แล้วจะมีรายการอาหารเฉพาะวันไว้เพื่ออะไรวะ! “เอ่อ...วัฟเฟิลโรยไอซ์ซิ่ง ขอไข่เจียวออมเล็ต...อืม ใส่แฮมลูกเต่า หัวหอมสับ พริกเขียวสับ ชีส และซอสมะเขือเทศ ไม่เอาจากขวด ถ้าเชฟเกราะเหล็กอย่างแกเข้าใจอ่ะนะ โรยฮาชบราวน์ข้างบนจะดีมาก อ้อ อย่าลืมไส้กรอก สลัดผลไม้สด แล้วก็น้ำแร่ด้วย”
เขาเคาะนิ้วบนเคาทเตอร์อยู่ไม่กี่นาที อาหารที่สั่งก็ออกมาจากช่องหน้าต่างบานเล็ก อาหารในถาดส่งกลิ่นหอมกรุ่นและใช้ผลิตผลสดใหม่ เขาสงสัยอยู่เสมอว่าด้านหลังไอ้ตู้อาหารเหล่านี้ ใครทำหน้าที่เป็นเชฟกันแน่ ระหว่างหุ่นยนต์ หรือว่าคนที่คอยคุมเทคโนโลยีพวกนี้อีกที
เบนมองไปรอบห้องเพื่อหาเพื่อนตัวเอง แต่ไม่มีใครคุ้นหน้าคุ้นตาเลยสักคน จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดอยู่ที่เด็กสาวสวยน่ารักราวกับตุ๊กตา เธอนั่งอยู่ระหว่างเด็กหนุ่มหน้าจืดสองคน เขาไม่เคยเห็นเธอเลย บางทีเธออาจจะเป็นพวกเด็กหน้าใหม่ก็ได้ เพราะพวกคนใหม่จะมาที่นี่ทุกวัน วันละสองสามคนบ้าง หรือกลุ่มใหญ่บ้าง แล้วแต่วันไป
เด็กสาวจับสายตาเขาได้ ดวงตาโตสีน้ำเงินมองกลับมาประหนึ่งใคร่รู้ว่าเขามองเพื่ออะไร เบนเผยอรอยยิ้มมั่นใจเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แทนที่เธอจะเขิน หรือส่งสัญญาณสักอย่าง เด็กสาวเพียงยิ้มตอบกลับอย่างสุภาพ เมื่อนั้นเขาจึงสังเกตเห็นว่าที่คางและลำคอของเธอมีรอยแผลฟกช้ำ แม้ดอกไม้ดอกนี้จะมีรอยตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ยังเหมาะที่จะถูกนำไปประดับในแจกันราคาแพงอยู่ดี หนุ่มหัวทองที่นั่งข้างเธอหรี่ตามองมาทางเบน ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ส่งสายตาท้าทาย แต่เจ้าหมอนั่นเพียงแค่เขยิบที่นั่งเพื่อกันสายตาของเบนเท่านั้น
“เขาอุตส่าห์ยิ้มให้นะ” คนหัวแดงพูด
“ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่อยากนั่งตรงนี้” เจ้าหนุ่มตอบ แต่เบนรับรู้ได้จากโทนเสียงว่าเด็กคนนั้นไม่ชอบใจที่เขามองเพื่อนสาว
เบนหันกลับไปสนใจอาหารของตัวเอง รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนหน้า พอคิดว่ามีดอกไม้งามเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดอก เขาคงมีกิจกรรมให้ฆ่าเวลาเล่นเพิ่ม คุกแห่งนี้ หรือที่ผู้คนเรียกว่า ‘หอพัก’ ค่อยมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย คิดเสร็จแล้ว เขาเริ่มจัดการอาหารในจานของตัวเอง
“หวัดดี เบน” เสียงหญิงสาววัยละอ่อนทักจากด้านหลัง พอเขาหันไปมอง เธอก็นั่งลงข้างเบนแล้ว ไม่ขออนุญาตเลยสักคำ ส่วนเพื่อนของเธอเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเธอ พวกดอกไม้ที่เขาเคยหยิบมาดม และไม่คิดจะหยิบกลับมาอีก
“อาฮะ สวัสดี...” เขาตอบ
เธอเอนหลังพิงพนัก สลับขานั่งไขว่ห้าง เขาชำเลืองมองผิวขาวเนียนบนต้นขา ชายหนุ่มแค่นยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทัน เขาอาจเคยอยากสัมผัสผิวเนียนตรงนั้น แต่เมื่อได้สัมผัสไปแล้วก็ไม่คิดโหยหาอีก เพื่อนของเจ้าหล่อนยื่นหน้าเข้ามา หน้าอกขนาดแม่ช้างแมมมอธวางเผละลงบนโต๊ะ ปากถามว่า “นายรู้ไหมว่าอเล็กซ์อยู่ที่ไหน”
เขายักไหล่ ถ้ารู้ ฉันจะนั่งคนเดียวไหมเล่า
เด็กสาวที่นั่งข้างเบนไม่ได้สนใจเพื่อนเธอเลย เธอเอาแต่มองเขาอย่างเดียว “เบน นายเงียบจังเลยนะ เป็นแบบนี้มาสองวันแล้ว มีอะไรจะแก้ตัวไหม” เธอกอดอก ทำหน้าขึงขัง
เขาแน่ใจว่าเธอคิดถึงเขามาก เบนพยายามกลั้นหัวเราะ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเขาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะสมัยที่เขายังเป็นทายาทตระกูลโรสิเย่ร์ ใช้ชีวิตในวงสังคมชั้นสูงของเมืองฟิวเจอร์ริสติก เมโทรโพลิส
“เอ่อ ขอโทษจริง ๆ นะ ฉันพยายามนึกชื่อเธอ แล้วก็เธอด้วย แต่น่าเสียดาย ไม่พบข้อมูลในหัวเลยสักตัว”
พวกเธอใช้เวลาราวสองสามวินาทีกว่าจะเข้าใจว่าเบนหมายถึงอะไร ช้าไปนะ เมื่อเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ สองสาวหุนหันลุกออกจากโต๊ะโดยทิ้งท้ายไว้ว่า “ไอ้สารเลว!”
ไม่ใช่คนแรกที่ด่าฉันแบบนี้หรอก เบนกลืนแฮมลูกเต่าลงคอ ไม่รู้สึกกระดากหรือต้องการน้ำแต่อย่างใด ไม่แม้กระทั่งสนใจสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้คนที่นั่งอยู่รอบ ๆ
คำผรุสวาทที่ออกจากปากพวกผู้หญิงเปรียบเสมือนกับแหล่งพลังงานชั้นดี พวกผู้ชายชอบบอกว่าเขานิสัยไม่ดี บางที พวกเขาอาจจะพูดถูก หรือพูดถูกที่สุดเลยก็ได้ ก็นะ อย่างเดียวที่เขาจำได้เกี่ยวกับเด็กสาวคนนั้น คือภาพที่เธอนอนนิ่งราวกับซากหิน เธอประทับใจเบนจนถึงขนาดพูดไม่หยุดว่านี่เป็นค่ำคืนที่ดีที่สุด เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ ๆ ปราศจากความเป็นมืออาชีพ ไม่จับใจเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสิ่งที่เขารู้สึกคือ มันเป็นคืนที่แย่ที่สุด เด็กสาวทำตัวเหมือนตุ๊กตาเซ็กทอย นอนนิ่ง ๆ ปล่อยให้เขาทำนู่นทำนี่ไป เบนไม่ใช่พวกถือสาอะไรพวกนี้อยู่แล้ว จุดประสงค์ของเขาคือ ถ้าคู่นอนมีความสุขและเขามีความสุข นั่นคือประสบความสำเร็จ เขาไม่สนใจหากตัวเองต้องเป็นฝ่ายนำ แต่กิจกรรมนี้ต้องการความร่วมมือ และมันมีข้อแตกต่างระหว่างคำว่า ‘ขี้อาย’ กับ ‘ห่วย’ พวกแรกอาจพัฒนาเป็นระดับบรมครูได้เลย แต่พวกหลัง เป็นพวกที่ไม่ต้องฝากความหวังอะไรไว้ เด็กสาวคนนั้นจัดอยู่ในประเภทที่สอง เธอสุขสม เขาไม่
แล้วอเล็กซ์ แม่งหายหัวไปไหนของเขาวะ เขาครุ่นคิดแต่ไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพียงแต่รำคาญใจเล็กน้อยที่ต้องนั่งรับประทานอาหารเช้าเพียงลำพัง
เบนเหลือบมองเด็กสาวที่เพิ่งมาใหม่คนนั้นอีกครั้ง เธอเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งกลุ่มกำลังเดินออกจากโรงอาหาร ท่าทางยังสับสนกับทิศทาง เขาได้ยินพวกเขาคุยกันว่าจะหาสถานที่กลางแจ้ง เบนสั่นหัวในความไม่รู้ของเด็กทั้งสาม
หาให้ตายก็ไม่เจอหรอก
เบนไม่มีโอกาสเห็นท้องฟ้าสีครามอีกเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาลุกขึ้น เก็บถาดแล้วทิ้งลงในกล่องที่เขียนแจ้งว่า ‘ถังขยะ’ จากนั้นเดินตามกลุ่มเด็กทั้งสามไป เขาอยากรู้จักเด็กคนนั้น
ตรงข้ามห้องอาหารมีจอสีดำขนาดยักษ์ติดอยู่ตรงกำแพง แต่ไม่มีข้อความอะไรประกาศทิ้งไว้ หรือพูดให้ถูกก็คือ หน้าจอนั้นดำมืดตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว
รัฐบาลใช้สถานที่แห่งนี้จัดโปรแกรมบำบัดสำหรับกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มต้องสงสัย ทว่าผู้คนที่อยู่ในนี้เรียกว่า ‘หอพัก’ ไม่มีการรักษาใด ๆ ทั้งนั้น ไม่มีพนักงาน หมอ หรือเจ้าหน้าที่เลยสักคน ไม่มีแม้แต่ตารางเวลากำหนดกิจกรรมต่าง ๆ พวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่กันอย่างอิสระ ทว่าเป็นอิสระในเชิงพิลึก ก็แค่สามารถทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจภายในคุกประหลาดแห่งนี้มากกว่า
หอพักแห่งนี้เปรียบเสมือนกับชุมชนขนาดย่อม คนที่อยู่อาศัยสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สปา ฟิตเนสยิม สนามกีฬา ผับ เล้าจน์ โรงภาพยนตร์ขนาดเล็กที่มักเล่นหนังโรแมนติกสมัยรุ่นคุณย่าคุณยาย เรียกได้ว่ามีทุกสิ่งที่สามารถพบเจอในโรงแรมหรู ยกเว้นแต่ว่าไม่มีห้องสมุดและสถานที่กลางแจ้งเท่านั้น คนที่ถูกจับมาจะได้ครองห้องนอนส่วนตัวพร้อมห้องน้ำภายใน มันช่างสะดวกสบายครบครันจริง ๆ เบนสามารถบอกได้เต็มปากว่ามันดีกว่าที่เขาคิดไว้มาก ก่อนหน้านี้ เขานึกว่าตัวเองต้องอยู่ในคุก หรือโรงพยาบาลรักษาโรคประหลาดอะไรเทือกนั้น เขาจึงพกหนังสือหลักเศรษฐศาสตร์และหลักการทำธุรกิจที่ตัวเองเรียนอยู่ติดมาด้วย เผื่อว่าอาจต้องทำธุรกิจในคุก แต่ตอนนี้ หนังสือพวกนั้นไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ อาจจะอยู่ในห้องของอเล็กซ์ก็เป็นได้
อิสรภาพ ความจริงเขาเองก็ไม่อยากใช้คำนี้นัก เพราะอย่างไรก็ตาม ทุกคนในนี้ต่างรับรู้ว่ามีนาฬิกาจับเวลาคอยนับถอยหลังอยู่เงียบ ๆ เพียงแต่ไม่มีใครสามารถหาคำตอบได้ว่าทางการต้องการอะไรกันแน่ถึงปล่อยให้พวกเขาอยู่กันแบบนี้ ดังนั้น แต่ละคนก็เลยใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงเท่าที่จะทำได้ สำหรับเบน เขาเคยชินกับชีวิตที่มีทุกสิ่งอย่างมาปรนเปรอมากพอแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะเบื่อ
ทุกวัน เขาต้องนั่งมองกำแพงสีขาวโล่ง ๆ ด้วยอาการเบื่อหน่าย มองดูพวกคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาทำท่าทึ่ง ตกตะลึงไปกับความสะดวกสบายที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต บางคนอาจคิดว่าตัวเองโชคดีด้วยซ้ำ เกือบสามอาทิตย์แล้ว ที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรกันแน่ นอกจากฆ่าเวลาด้วยการจีบสาวสวย หน้าตาดี แล้วก็นอนกับพวกเธอ แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนสวยเยอะแยะในนี้ ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงและสังคมเดิมที่เขาเคยอยู่
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เบนรำคาญใจมากที่สุด ก็คือไอ้นาฬิกาบนข้อมือ ทุกคนต้องสวมมันไว้ มันเป็นอุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเงิน มีหน้าที่บอกเวลา เบนรู้ว่ามันอาจจะทำได้มากกว่าบอกเวลา เพียงแต่ไม่มีใครมาเผยความลับของมัน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพยายามถอดมันออก พอถอดทิ้งไว้เกินสามสิบนาทีปุ๊บ เจ้าเครื่องที่ว่าจะส่งเสียงเตือนดังลั่นทันที แต่เสียงเตือนนั้นมันมาจากนาฬิกาของคนที่อยู่ใกล้เขาในเวลานั้น ดังนั้นเขาจึงต้องรีบสวมมันกลับ เสียงเตือนถึงได้หยุด นั่นหมายความว่า เขาไม่ควรใช้เวลาอาบน้ำนานเกินสามสิบนาทีด้วย
โคตรแย่ เขาเกลียดที่ต้องใส่มันไว้ แต่เพราะไอ้เสียงเตือนน่ารำคาญนั่นแหละ ไม่อย่างนั้น เบนคงสวมนาฬิกาสุดที่รักของตัวเองแทน แถมดีไซน์ของมันยังสวยกว่าไอ้ของเล่นชิ้นนี้ร้อยเท่า แต่นาฬิกาเรือนนั้นตอนนี้กลับจมอยู่ก้นกระเป๋า แทนที่จะได้อวดโฉมงามสง่าของมัน
เขาถอนหายใจอีกรอบ นึกสงสัยว่าเพื่อนรักของตัวเองหาอะไรลงท้องแล้วหรือยัง ถึงแม้ว่าเขาอยากทำความรู้จักกับเด็กสาวคนนั้น แต่เบนเลือกที่จะเดินไปที่ห้องฉายภาพยนตร์เพื่อตามหาเพื่อน เวลายังมี โอกาสยังรออยู่เสมอ
“พวกเธอมาใหม่ใช่ไหม”
ชายหนุ่มชะลอฝีเท้าแล้วย่นจมูก เด็กสาวผู้มีผมสีดำยาวประบ่าคนหนึ่งกำลังยืนทักทายพวกที่มาใหม่ หนึ่งในนั้นคือสาวน้อยหน้าตุ๊กตาที่เขาตั้งใจจะผูกมิตร แต่ช่างเถอะ เพราะตอนนี้สาวผมดำคนนั้น ยัยเทสซ่า ช่วงชิงโอกาสของเขาไปแล้ว เทสซ่าและพี่น้องของเธอเป็นกลุ่มที่สองที่มาถึง คนพวกนี้มาจากเดอะ เวสท์ เมืองที่มีแต่ประชากรชนชั้นล่าง ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพื่อหาเงินมาประทังชีวิตไปวัน ๆ มันเป็นเมืองที่คนเชื่อว่าสะท้อนให้เห็นสภาพของโลกหลังจากยุคหายนะได้ดีที่สุด สภาพบ้านเมืองที่ทรุดโทรม ความยากจน และอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม เทสซ่าสวยและมีเสน่ห์พอสมควร อย่างน้อยเธอสามารถดึงดูดสายตาของเบนได้ แต่เมื่อเบนเข้าหาเธอ กลับกลายเป็นว่าตัวเขานั่นแหละที่ติดกับ เทสซ่ากล่าวหาว่าเขาคุกคามเธอ และพี่ชายของเธอก็ต่อว่าเขาต่อหน้าคนอื่นมากมาย ‘ไอ้บ้ากาม’ พวกเขากล่าวหาเขาแบบนั้น ชื่อเสียงของเขาเลยเสียตั้งแต่นั้นมา เพราะยัยนี่แท้ ๆ
ลองฟังเวอร์ชันของเขาบ้างไหมล่ะ วันนั้นท่ามกลางเสียงดนตรีและผู้คนที่เต้นไปตามจังหวะ หญิงสาวต่างหากที่เข้ามาแนบชิด ไถก้นสวย ๆ เข้ามาสี ทั้งสายตายั่วยวนและภาษากาย เขาหลงคิดว่ามันเป็นคำเชิญชวน แต่ที่แท้กลับเป็นกลลวง ในสถานที่แบบนี้ เสื้อผ้าราคาแพงหรือนามสกุลไม่มีผลอันใด ทำให้บางครั้งพวกคนชั้นล่างก็อยากมีที่ยืน เบนไม่ใช่ผู้ชายจำพวกที่ถ้าหากผู้หญิงไม่เสนอ เขาจะยัดเยียดสนอง เทสซ่าเล่นใหญ่น่าดูและเธอจงใจแกล้งเขา ด้วยเหตุผลที่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจนัก พวกเขาไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่อาจเป็นไปได้ว่า เธอหมั่นไส้เขา เพราะเบนขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงไม่ว่าจะอยู่ในสังคมแบบใด บางทีเธออาจต้องการแก้แค้น (อาจเป็นพวกเฟมินิสต์หัวรุนแรง) หรือว่าเธอแอบชอบเขา หรือ ทั้งสองอย่าง เบนได้แต่เดาไปเรื่อย
และแล้วพวกพี่น้องโธมัสก็ได้เด็กสาวคนนั้นไว้กับกลุ่มตัวเอง เบนกลอกตา เขาไม่น่าชักช้าเลย รู้อย่างนี้ทำความรู้จักกับเธอคนนั้นไปก่อนดีกว่า
“นายอยู่นี่นี่เอง”
ส่วนไอ้คนที่เขาหาตั้งนานเพิ่งโผล่หัวมา
“ไปไหนมาวะ” เขาถามเพื่อน อเล็กซ์ดูเหมือนจะตื่นเต้นกับอะไรบางอย่างเป็นพิเศษ
“เจอที่ดี ๆ โคตรเจ๋ง นายต้องมากับฉัน” อเล็กซ์บอก เขาได้กลิ่นบุหรี่เบสต์ อามีลอยฟุ้งออกมาจากหัวยุ่ง ๆ ของเพื่อน ดูเหมือนว่าอเล็กซ์จะลืมวิธีหวีผมไปแล้ว และเขาคงไม่เคยแตะไดร์เป่าผมเลยนอกจากปล่อยให้แห้งตามยถากรรม ผมสีดำของเขาจึงยุ่งเหยิงเหมือนไม่ได้หวีมาแรมปี เพื่อนคนนี้ลืมดูแลตัวเองไปแล้วหรือ
“นี่นายใช้บุหรี่เสียเปล่ารู้ไหม ฉันเหลือแค่ยี่สิบซองเองนะ...เดี๋ยว ตัวนายไม่เปียกนี่หว่า”
อเล็กซ์ฉีกยิ้ม หลิ่วตา “เออดิ และของฉันก็ยังมีเหลืออยู่พอสมควร อย่าห่วงเลย ซาร่าห์อยู่ไหนล่ะ”
“ไม่เห็นตั้งแต่เมื่อคืน” เบนตอบ พร้อมกับรอยยิ้มบนมุมปาก
อเล็กซ์กัดปาก จากนั้นหัวเราะในลำคอ “อาฮะ เมื่อคืน...เออ ช่างเหอะ ก็ดีแล้ว”
คราวนี้กลับเป็นเบนที่เป็นฝ่ายหัวเราะแทน ซาร่าห์เป็นแฟนเก่าของอเล็กซ์ ทั้งคู่เลิกกันหลังจากมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสามวัน และคนที่ทำให้ทั้งคู่เลิกกันก็คือเบน
“เธอยังขอกลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่อีกเหรอ”
อเล็กซ์ไม่ตอบแต่หันหน้าหนี ซึ่งแปลว่า ใช่
“แปลกแฮะ”
“ความเหงาก็งี้ ช่างเหอะ ไปกัน”
เบนรู้ดีว่าตัวเองควรจะรู้สึกผิดอยู่สักหน่อย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีความรู้สึกแบบนั้นซ่อนอยู่ในใจเลย เขามีเหตุผลที่จะทำแบบนั้นและมันเป็นเหตุผลที่ดี เบนสาบานได้เลยว่าตัวเองทำถูกแล้ว เขาทำเพื่อเพื่อน อเล็กซ์สมควรมีคนข้างกายที่ดีกว่าผู้หญิงคนนี้ หรือไม่ก็อาจจะไม่มีใครสมควรเคียงข้างอเล็กซ์เลยก็ได้ เพราะผู้หญิงที่เบนมองว่าเป็นแบบอย่างได้ดีที่สุด ตายไปหลายปีแล้ว ส่วนพวกดี ๆ ที่เหลือ ก็หายากนัก
ถ้าหากจะมีใครสักคนที่ขุดมโนสำนึกในใจเขาได้ คงเป็นผู้หญิงคนนั้นคนเดียว นาตาเลีย เขาไม่เคยลืมชื่อเธอเลย ไม่เคยลืมใบหน้าของเธอ ไม่เคยลืมว่าเธอเป็นคนดีขนาดไหน และไม่เคยลืมว่าเธอตายอย่างไรด้วย
“ฉันว่า ที่ซาร่าห์ขอกลับไปหานายเพราะเธอเห็นว่านายนอนกับคนอื่นมั้ง นายก็รู้นี่ พวกผู้หญิงก็แบบนี้ ขี้อิจฉา ขี้หึง พอตัวเองยังไม่มีใครก็หวงก้าง ที่นี่ไม่มีผู้ชายที่ดีพอให้ยัยนั่นเลือกซะด้วย” เด็กสาวที่อเล็กซ์นอนด้วยก็คือเด็กผู้หญิงที่มีหน้าอกหน้าใจมโหฬารคนนั้น คนที่เบนยังนึกทั้งชื่อเธอและเพื่อนของเธอไม่ออก
“จูลี่เหรอ”
“ยังดีนะที่นายจำชื่อเธอได้ เธอเก่งไหม นายยังไม่ได้เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังเลย หรือเธอไม่เก่ง ฉันว่าคงเหมือนเพื่อนของเธอนั่นแหละ ชื่ออะไรนะ...ให้ตายเถอะ ยัยนั่นคือฝันร้ายชัด ๆ คิดดูสิ ยัยนั่นมีความสุข แต่ฉันกลับไม่ได้อะไรเลย ไม่แฟร์เลยว่ะ”
อเล็กซ์เกาหัว ทำหน้าเอือม บวกกับหน้าตาเหมือนคนสะลึมสะลืออยู่ตลอดเวลา เบนพอเข้าใจว่าเพื่อนไม่ชอบที่เขาพูดถึงผู้หญิงแบบนี้ แถมสีหน้านั้นยังเกิดจากอารมณ์หมั่นไส้ที่เบนมีทักษะในการจำชื่อสาว ๆ ต่ำเหลือเกิน
“คนที่นอนกับนายชื่อ ทริสต้า แล้วจูลี่...ก็ไม่ได้แย่ด้วย แต่พอผ่านคืนนั้นไป เธอไม่น่ารักเหมือนเดิม อยากรู้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องกิจการครอบครัวของฉัน รถเอย ห้องนอนเอย...พวกเรื่องน่าเบื่อ จูลี่เอาแต่ถามราวกับพวกเราจะกลับไปได้อย่างงั้นแหละ ฉันก็เลย...เลิกคุยกับเธอ ไม่อยากสานต่อแล้ว ฉันไม่คิดว่าจูลี่จะชอบฉันแบบที่...นายก็รู้นะ เธอถามหาฉันเหรอ”
เบนผงกศีรษะ “อื้อ แต่หน้าอกหน้าใจขนาดนั้นน่าทึ่งจริง ๆ นะ...ถ้าฉันมีโอกาสได้สัมผัสมันสักหน่อย”
“ไม่ใช่ ๆ ทางนี้ต่างหาก” อเล็กซ์ดึงเพื่อนให้เดินไปตามเส้นทางที่ถูก
เบนมองไปข้างหน้า เห็นประตูแปลกประหลาดบานหนึ่งที่ไม่เข้าพวก และเขาไม่เคยเห็นมาก่อน “เฮ้ย เมื่อวานไม่มีนี่ ใช่ไหม ฉันว่าฉันไม่เคยเห็นนะ”
“เออ ไม่มีน่ะสิ”
พวกเขาหยุดอยู่หน้าประตูโลหะสีดำ มันเป็นสีดำ เพราะอย่างนี้นี่เอง ห้องนี้จึงโดดเด่นขึ้นมาจากห้องอื่น เพราะสีที่ต่างกับที่อื่นทำให้เบนรู้สึกถูกใจขึ้นมาทันที แม้ยังไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไรก็ตาม สีดำเป็นสีคลาสสิกและสะท้อนรสนิยม เพราะสีดำมีสไตล์ในตัวมันเอง
อเล็กซ์เปิดประตูนำเข้าไป ดวงตาสีดำเปิดประกายเจิดจ้าขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องเหมือนเด็กที่เห็นของเล่นถูกใจ ที่แท้ ห้องนี้คือห้องท้องฟ้าจำลองขนาดใหญ่ ทรงกลม มีโปรเจ็คเตอร์ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง พร้อมกับที่นั่งรอบกำแพงจำนวนสิบที่ ท้องฟ้าจำลองยามค่ำคืนอวดดวงดาวนับพันที่กำลังส่องแสงระยิบระยิบ ตรงข้ามกับอเล็กซ์ เบนกลับผิดหวังที่มันเป็นท้องฟ้าจำลอง เพราะเขาไม่ใช่คนที่สนใจดูดาวพวกนี้เลย ทั้งความเงียบและท้องฟ้ามืด ๆ ดาวอะไรก็ไม่รู้ เบนไม่รู้สึกว่ามันน่าตื่นเต้น เขายอมอยู่ในห้องฉายภาพยนตร์ที่มีแต่หนังโรแมนติกเก่า ๆ เล่าเรื่องราวความรักน้ำเน่ายังดีกว่า อเล็กซ์เดินวนไปวนมา จ้องมองท้องฟ้าข้างบนด้วยท่าทางครึกครื้น
“นี่นะเหรอ...ที่ที่นายบอกว่าเจ๋ง”
“เดี๋ยวสิวะ อย่าเพิ่งตัดสิน”
เบนมองอเล็กซ์ที่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขามีไฟแช็กแฮนด์เมดเป็นของตัวเองเหมือนกัน เป็นรุ่นที่ทำจากทองคำและทนต่อแรงลมได้ ควันบุหรี่ลอยขึ้นบนอากาศอย่างอิสระ ที่นี่ไม่มีเครื่องดักควันเหมือนที่อื่น
“เข้าใจละ” เบนยิ้มกว้างแล้วรีบหยิบบุหรี่ของตัวเองขึ้นมาสูบ พวกเขาหัวเราะพร้อมกันและฉลองการค้นพบของอเล็กซ์ด้วยการพ่นควันกลิ่นกัญชาไปทั่วห้อง “ชนแก้ว!” ทั้งสองชนมือที่ถือบุหรี่
พอบรรยากาศคึกเข้าหน่อย อเล็กซ์เริ่มเล่น เขาย่อขาแล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศ ท่าทางนั้นเหมือนกับกำลังบินขึ้นไปราวกับจรวด จากนั้นอเล็กซ์ลอยค้างอยู่ในอวกาศจำลองหลายวินาที ไม่นาน ร่างของเขาค่อย ๆ ตกลงมา เท้าแตะพื้นอย่างนิ่มนวล เขาดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเมื่อได้อัดกัญชาเข้าปอด
เบนปลดปล่อยพลังจิตของตัวเองเช่นกัน เขาควบคุมเก้าอี้ในห้องให้ลอยขึ้นแล้วทำเป็นรูปบันไดซ้อนกัน บันไดแห่งสรวงสวรรค์ เขาคิดเอาเองแล้วปีนขึ้นไป แม้เบนไม่อาจพุ่งตัวลอยขึ้นไปในอากาศเหมือนอเล็กซ์ แต่เขาสามารถยืนอยู่บนนั้นได้นานกว่า
“เบน ฉันคิดว่านายควรคุยกับซาร่าห์จริง ๆ จัง ๆ สักทีนะ ฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริง ฉันไม่ได้โกรธเธอเลย แต่เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ มันเป็นเพราะว่านายเป็นคนทำให้เธอตกหลุมรักนาย ตัวนายก็รู้ดี”
เวลาที่อเล็กซ์เอ่ยชื่อซาร่าห์และขอให้เขาทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขา
“ฉันกลับไปคบกับเธอไม่ได้ และนายก็ไม่ควรทำเหมือนเธอเป็นของเล่นด้วย คบกันแบบเพื่อน เธอเป็นคนดีคนหนึ่งเลย” อเล็กซ์พูดขึ้นมาจากด้านล่าง
“แต่ถ้าคบกันแบบแฟน เธอก็จะเป็นฝ่ายนอกใจเหมือนที่ทำกับนาย ทำไมนายถึงคิดว่าฉันปฏิบัติกับซาร่าห์เหมือนเป็นของเล่นล่ะ” เบนลดระดับเก้าอี้ให้ต่ำลง แล้วตัดสินใจนั่งคุยกับเพื่อนข้างล่าง
อเล็กซ์กอดอก ทำท่าขึงขัง “ก็คืนที่ฉันอยู่กับจูลี่ ฉันแอบเห็นว่านายกับซาร่าห์อยู่ด้วยกัน แล้วยังคืนอื่น ๆ อีก”
“มันแค่ความอยากของคนสองคน ไม่มีเรื่องความรู้สึกอะไรแบบนั้นหรอกน่า” เบนตอบ ถ้าใช่เพราะยัยทริส...อะไรนั่นทำให้เขาค้างหรอกนะ
“แล้วยังคืนอื่น ๆ อีก” อเล็กซ์ย้ำ
เบนมองสำรวจเพื่อหยั่งเชิง แต่ไม่พบว่าอเล็กซ์มีทีท่าตำหนิหรือหึงหวงใด ๆ เขาเลยพยักหน้ายอมรับ “ใช่ คืนอื่น ๆ ก็เพราะอยาก”
เมื่ออเล็กซ์ออกปากว่าให้อภัย เขาหมายความอย่างที่พูด น่าสงสารซาร่าห์ ตรงที่เธอไม่มีอภิสิทธิ์เหมือนเบน เบนรู้อยู่เต็มอกว่าอเล็กซ์จะให้อภัยเขาทุกเรื่องแม้เขาทำผิด ไม่ว่าจะเรื่องอะไร แม้อเล็กซ์ให้อภัยซาร่าห์ แต่เขาไม่สามารถคงสถานะคู่รักได้เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับที่อเล็กซ์คงความเป็นเพื่อนและพี่น้องกับเบน สายสัมพันธ์ของพวกเขาแข็งแกร่งเกินกว่าสิ่งใดมาทำลายได้ แม้เบนจะนอนกับแฟนของอเล็กซ์มาแล้วหลายคน อเล็กซ์ก็ยังคงอภัยเบนเสมอ
ราวกับอ่านใจเบนออก อเล็กซ์รีบบอก “อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าฉันให้สิทธิพิเศษแก่นายมากกว่าเธอ ฉันกลับไปหาซาร่าห์ไม่ได้ เพราะพวกเราไม่ได้รักกันแล้วต่างหาก”
“เรื่องของฉันกับซาร่าห์ก็ไม่เกี่ยวกับความรักเหมือนกัน” เบนถอนหายใจ “อย่าห่วงเรื่องของฉันกับแฟนเก่านายเลย ยัยนี่ก็แค่เลิฟแมชชีน นายก็รู้ เธอเกลียดฉันมากขนาดไหนพอรู้ความจริง แต่เพราะซาร่าห์มีความต้องการเยอะ เธอแพ้ให้กับทุกคนที่ตอบสนองเธอ เราแค่ตอบสนองกันและกัน มันไม่ใช่ความรักหรอกอเล็กซ์ ฉันอาจหลอกเธอก็จริง แต่ถ้าเธอซื่อสัตย์กับนาย จะตกหลุมพรางได้ไงเล่า แล้วไอ้คืนที่ฉันนอนกับทริสช่า (“ทริสต้า” อเล็กซ์แก้ให้) ฉันก็แค่อยากรู้ว่าซาร่าห์จะช่วยขจัดไอ้ประสบการณ์แย่ ๆ ที่ฉันเจอยัยซากหินมาได้หรือเปล่า และเธอก็ตกลง นี่แหละ เหตุผลที่ว่าทำไมยัยนี่ไม่สมควรคบกับนาย ฉันทำให้นายเห็นว่าแฟนเก่านายเป็นคนยังไง ก็เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น พวกนี้ชอบผู้ชายรวย ๆ พอฉันคุยฟุ้งเรื่องหุ้นที่มี เธอก็ถอดเสื้อทันที เห็นไหม”
“เบน แต่ซาร่าห์ไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้น เธอรวยอยู่แล้ว”
“แต่เธอมองผู้ชายที่คุณสมบัติ เธอทิ้งนายเพราะนายเป็นหนึ่งในทายาทธุรกิจ และเลือกฉันที่เป็นทายาทเพียงคนเดียว” เบนหลับตา พอพูดเรื่องนี้แล้วกลับเจ็บแปลบในอก “พูดให้ถูกก็คือ เคยเป็น”
พอเห็นว่าอเล็กซ์จนมุม ไม่เถียงต่อ เบนสูดควันเข้าปอดไปเต็มที่ แล้วสรุปความให้ “นายก็รู้จักผู้หญิงประเภทนี้ดี ตอนนี้ฉันรวมยัยนมโตเข้าไปในรายชื่อกลุ่มนี้ด้วยล่ะนะ”
“แต่นายล่อลวงเธอก่อน” อเล็กซ์สูดควันบ้าง ไม่ยอมแพ้ “เลิกตรวจสอบคุณสมบัติผู้หญิงให้ฉันได้แล้ว หาของนายเองสิวะ”
“แต่นายไม่ได้โกรธนี่ นายขอบคุณฉัน รู้หรอกน่า”
“หุบปาก ฉันเกลียดที่นายชอบจีบแฟนของฉันทุกคน!”
“ไม่ทุกคนซะหน่อย ฉันไม่ได้นอนกับ...วิโอน่า โลล่า และแคลร์ พวกเธอน่ารักนะ แต่นายไม่รู้จักรักษาไว้เอง”
อเล็กซ์คำรามเบา ๆ เบนจำชื่อพวกเธอเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ เพราะสามคนนี้เป็นพวกที่สอบผ่าน แต่ผิดที่อเล็กซ์ ที่เขาไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้หญิงพวกนี้ไว้ได้
เบนตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “เอาเถอะ ฟังเรื่องของฉันดีกว่า เมื่อเช้า ฉันเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง...สวยมาก ๆ” เพียงแค่นึกถึงใบหน้านางฟ้าคนนั้นแล้ว หัวใจของเขาเต้นแรง ดอกไม้ดอกนี้สมควรอยู่ในมือของเขา และถ้าเกิดเบนไม่ได้อยู่ในโลกอนาคตจำลองแห่งนี้แล้วล่ะก็ ฐานะและเงินทองที่เขามีคงช่วยให้เขาเอาชนะใจเธอได้ไม่ยาก เหมือนกับสาวคนอื่นที่เขาเคยผ่านมา
“หวังว่าคงไม่ลงเอยเป็นทริสต้าสองนะ” อเล็กซ์เยาะ
เบนสูดควันสุดท้ายเข้าปอด ใครมองกัญชาเป็นสิ่งเสพติดหรือปีศาจร้ายก็ช่าง สำหรับพวกเขา มันยิ่งกว่ายาอายุวัฒนะ “แค่มองหน้าเด็กคนนั้น ฉันรู้ว่าเธอจะช่วยขจัดความทรงจำร้าย ๆ ที่เกี่ยวกับยัยทีน่าไปจนหมด”
“ทริสต้าโว้ย”
เบนแย่งบุหรี่ของอเล็กซ์มาสูบแทนของตัวเองที่มอดไปแล้ว
อเล็กซ์สั่นหัว “รู้อะไรไหม นายไม่ได้ลืมชื่อเธอหรอก แต่แกล้งลืมต่างหาก นายมันสันดานไม่ดี เธอทำให้นายรู้สึกแย่ใช่ไหมล่ะที่ไปไม่ถึงจุดสุดยอด หรือนายห่วยเอง”
เบนส่ายหน้า แต่น้ำเสียงที่ตอกกลับอเล็กซ์กลับดังกว่าเดิม “แน่นอนว่าไม่ใช่โว้ย ทันทีที่ผู้หญิงแบบนี้อ้าขาให้ฉัน...”
“...นายจะจำชื่อพวกเธอไม่ได้ทันที เพราะระบบความจำในสมองของนายมันบกพร่อง เออ ได้ยินมาล้านรอบแล้ว” อเล็กซ์จบประโยคให้ก่อนที่เบนจะพูดจบ
“นี่ใช้คำว่าสมองบกพร่องเลยเหรอวะ ฉันว่าฉันไม่ได้ใช้คำนี้นะ”
“ทำไม ฉันใช้เองแหละ ก็มันบกพร่องจนกู่ไม่กลับนี่หว่า”
เบนถอนหายใจ เพื่อนสนิทจะด่าอะไรก็ด่าเถอะ เขายอมรับว่าพอได้อัดบุหรี่เข้าปอดแล้วค่อยรู้สึกดีขึ้นจริง ๆ แม้มันไม่ได้ส่งผลอะไรมากเหมือนกับคนปกติ แต่ความรู้สึกปริ่ม ๆ นี่แหละที่เขาชอบ
“แต่ฉันอยากเด็กดอกไม้ดอกนั้นจริง ๆ นะ” เบนว่า ก่อนจุดบุหรี่มวนที่สอง