10 ตอน เรื่องเล่าของคุณครู
โดย JES
ภายใต้หลอดไฟดวงเล็กที่สองแสงสลัวอยู่บนเพดานสีขาวอมเทา อเล็กซิสไม่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในห้องขัง แต่กำลังเวียนว่ายหาฝั่งอยู่ในทะเลแห่งความสิ้นหวัง บางทีเวดและออสโล่อาจจะกำลังแหวกว่ายอยู่ที่ไหนสักแห่งในมหาสมุทรแห่งเดียวกัน เพียงแต่เธอมองเห็นแค่มวลน้ำที่โอบล้อมรอบกาย พวกเขากำลังจมดิ่งลงไปในก้นทะเลลึก ต่อให้พยายามตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเท่าไร สุดท้ายก็หมดแรง
สายตาของเธอเหลือบมองเวดและเบลินดา แม้มันไม่ใช่ความผิดของเธอจริง ๆ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด พ่อของเวดสามารถจ่ายค่าปรับจำนวนนั้นได้สบาย ๆ และพาเขาออกจากที่นี่ เขาจะกลับไปใช้ชีวิตเดิมได้ ถ้าหากไม่พบว่ามีกลุ่มต้องสงสัย ส่วนเบลินดาอาจหาทนายความช่วยต่อสู้คดีเพื่อลดหย่อนโทษต่อไป คำตัดสินที่พวกเขาได้รับเมื่อครู่ ไม่ต่างจากถูกจำคุกตลอดชีวิต
เวดทิ้งตัวนอนราบไปกับพื้น รอยช้ำมากมายปรากฏอยู่บนแขนและไหล่ของเด็กหนุ่ม พอเสร็จสิ้นกระบวนการสอบสวน เมื่อพวกตำรวจปลดล็อกแขนทั้งสองข้าง เขาพุ่งตัวหมายเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐทันที แต่โชคยังดี ใช่ โชคยังดี อเล็กซิสใช้คำถูกแล้ว โชคดีที่ตำรวจสองนายสกัดไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นเวดคงโดนโทษหนักกว่าเดิม ด้วยข้อหาทำร้ายเจ้าพนักงานรัฐ พวกตำรวจใช้ไม้กระบองฟาดเขาอยู่หลายที เพื่อระงับอาการคลุ้มคลั่ง มันเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดไม่ให้เขาทำอะไรโง่ ๆ
“ขอโทษนะ”
ออสโล่เป็นคนแรกที่พูดขึ้น ทั้งหมดไม่ได้พูดคุยกันอีกเลยตั้งแต่ออกมาจากห้องนั้น
“ฉันสมควรพูดแบบนั้นเหมือนกัน” อเล็กซิสว่า “พวกเธอสองคนไม่สมควรอยู่ที่นี่เลย”
“พวกเธอสองคนงั้นเหรอ ไม่ใช่หรอก พวกเราทุกคนไม่สมควรจะมานั่งอยู่ในนี้ต่างหาก ไม่มีใครผิด ยกเว้นยัยนี่” เวดยืนขึ้น หน้าแดงก่ำ มือกำหมัดแน่น “เพราะเธอ เธอทำลายชีวิตพวกเราทุกคน!”
อเล็กซิสและออสโล่ช่วยกันยั้งเวดไม่ให้ทำร้ายอีกฝ่าย เบลินดาร้องไห้โฮ เธอคลานหนีไปยังมุมห้อง ท่าทางน่าสมเพช ครั้งนี้เธอยอมแพ้คู่กรณี ไม่กล้าเถียงกลับหรือเชิดหน้าหยิ่งเหมือนเก่าอีกแล้ว
“เธอเป็นผู้หญิงนะ!”ออสโล่เตือนเด็กหนุ่มที่ตัวโตกว่า
“ไม่สนแล้วโว้ย” เพราะร่างของเขาสูงใหญ่กว่าคนอื่น คนสองคนจึงแทบหยุดเขาไม่อยู่ “ทั้งเธอ คาร์เตอร์ ทั้งยัยสตีเว่น และยัยโดบี้ส์ เธอและพวกเขาต้องชดใช้พวกเรา”
“ครูขอโทษนะ มิลเลอร์”
เสียงครูสาวดังขึ้นนอกห้องขัง ทั้งหมดกำลังจะมีเพื่อนร่วมขังคนใหม่ ไม่สิ มีถึงสองคน นางพยาบาลสตีเว่นกับครูโดบี้ส์ยืนอยู่บนทางเดินด้านนอก ทั้งสองสวมกุญแจมือด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือสภาพของพวกเธอที่ไม่ต่างจากคนเสียสติ ผมสีบลอนด์หลุดลุ่ยไม่เป็นทรง ผิวหนังบางแห่งมีรอยไหม้เป็นประปราย พวกวัยรุ่นคุ้นเคยกับครูโดบี้ส์มากกว่าพยาบาลสตีเว่น ก่อนหน้านี้ ครูโดบี้ส์เป็นผู้หญิงสวยเปรี้ยวและมีเสน่ห์มาก เธอชอบมัดผมสีบลอนด์เป็นมวยสูงไว้ข้างหลัง ทั้งยังชอบทาลิปสติกสีแดงสดเป็นประจำ ตอนนี้สภาพของเธอตรงข้ามกับเมื่อก่อนลิบลับ ริมฝีปากสีแดงคล้ำมาจากคราบเลือดที่เกาะติดกรัง สีหน้าหมองคล้ำปราศจากเลือด ส่วนนางพยาบาลไม่ได้มีสภาพดูดีไปกว่าพี่สาวเลย เห็นได้ชัดว่าพวกเธอถูกทารุณกรรมอย่างรุนแรง ทั้งจากการช็อกด้วยไฟฟ้าและทำร้ายร่างกาย
“พวกเราขอโทษจริง ๆ นะ” เธอกล่าวกับลูกศิษย์ทั้งสี่
เบลินดาคลานไปยังซี่ลูกกรง ดูจากลักษณะท่าทาง เธอคนนี้กำลังเสียใจ เด็กสาวถามคุณครูด้วยความห่วงใย เป็นอากัปกิริยาแรกที่อเล็กซิสเพิ่งเห็นว่าคนคนนี้ห่วงใยคนอื่นเป็นเหมือนกัน “พวกเขาทำอะไรพวกครูคะ หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจ”
คุณครูโดบี้ส์ยังคงใจดีมีเมตตากับนักเรียนของเธอเสมอ เธอมองเบลินดาด้วยสายตาราวกับเป็นแม่พระมาโปรดสัตว์ ครูสาวไม่ติดใจอะไรเลย อเล็กซิสเหมือนหมดแรงขึ้นมาดื้อ ๆ เหมือนกับตอนที่เธออยู่ในห้องนั้น สภาพของพวกเธอแย่มาก พยาบาลสาวในเวลานี้แทบจะยืนพิงพี่สาว ทั้งสองต่างยืนพยุงกันและกันเหมือนไม่สามารถทรงตัวได้ หากยืนอยู่ตามลำพัง
พวกเด็ก ๆ ควรกล่าวโทษหญิงสาวทั้งสอง ควรสาปแช่งพวกเธอให้ตกนรกหมกไหม้ ตรงกันข้าม พวกเขากลับร้องไห้ เช่นอเล็กซิสที่ร้องเงียบ ๆ ส่วนเบลินดาปล่อยโฮลั่น นางโดบี้ส์เป็นคุณครูที่นักเรียนส่วนใหญ่ชื่นชอบมากที่สุด เพราะเธอเป็นคนตลก ใจดี และทุ่มเทกับการสอน แม้เวดจะโทษเธอในทีแรกเพราะอารมณ์ แต่เมื่อเห็นสภาพครูสาวเป็นแบบนี้ จิตใจคนเราจะไม่เกิดความรู้สึกสงสารและสังเวชได้อย่างไร แล้วดูสภาพของเธอตอนนี้สิ อเล็กซิสกลัวว่าพ่อแม่ของเธอจะมีชะตากรรมแบบเดียวกับหญิงทั้งสอง พวกเขาทำร้ายพ่อและแม่หรือเปล่า แล้วพี่น้องเธอล่ะ ทั้งเอโลดี้ จูน และเดวี่ พวกเขาจะเป็นอย่างไร
“เข้าไปข้างในเถอะครับ” นายตำรวจร่างเล็ก ศีรษะบางจนเกือบล้านกล่าวกับทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้ว เรียกได้ว่าอ่อนโยน เขาไม่ใช่นายตำรวจหน้าเป็นแบบโจเซฟ ชื่อของเขาคือ บรูซ นายตำรวจคนนี้เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่บุกไปยังคฤหาสน์ของเวดและจับกุมตัวเหล่าเยาวชนที่อยู่ในงานปาร์ตี้ทั้งหมด เมื่อนางพยาบาลทำท่าเหมือนจะล้ม เขามีน้ำใจช่วยประคองเธอเข้าไปข้างใน
“คนนี้ใจดีกว่าคนอื่นเยอะเลยนะ” ออสโล่กระซิบบอก อเล็กซิสเห็นด้วย ถ้าหากเจ้าหน้าที่อีกสองคนที่พวกเขาเห็นหน้าอยู่บ่อย ๆ สองคนนั้นคงปล่อยให้หญิงทั้งสองล้มลงไปกับพื้น แล้วเร่งพวกเธอด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก
คุณครูโดบี้ส์และน้องสาวถูกขังอยู่ตรงข้ามกับพวกเขา เจ้าหน้าที่บรูซยิ้มให้เด็ก ๆ คล้ายเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะเดินออกไป
พอมองดูคนที่อยู่ในห้องขังฝั่งตรงข้าม พวกเขายิ่งรู้สึกแย่ ออสโล่ทรุดตัวลงกับพื้น อเล็กซิสเข้าใจดีว่าเพื่อนของเธอกำลังอับจนหนทาง ไม่มีความหวังเหลืออยู่แล้ว ทั้งหมดต้องยอมรับความจริงที่ว่า ชีวิตของพวกเขามาถึงทางตัน อเล็กซิสปาดน้ำตาออกไป ร้องไห้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“แล้วครอบครัวของหนูล่ะคะ” อเล็กซิสถามครูสาว
“พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ อย่าห่วงไปเลย ทั้งหมดเป็นฝีมือของแมรี่คนเดียว ไม่เกี่ยวกับคุณพ่อของเธอหรอกนะ มีแต่พวกเราที่ถูกสอบสวนเท่านั้น ครูเสียใจ ครูเสียใจมากเหลือเกินที่ทำให้พวกเธอลำบาก เพราะครูกับน้องพยายามจะปกป้องพวกเธอจากการล่าแม่มดแท้ ๆ แต่...” เธอถอนหายใจ
หญิงสาวอ่อนล้ามาก แต่พยายามบังคับตัวเองเพื่อคุยกับพวกเด็ก ๆ ดูเหมือนเธออยากอธิบายว่าเหตุใดเธอจึงทำแบบนี้ เธอเล่าว่าทางการพยายามไล่ล่ากลุ่มคนที่พวกเขามองว่าเป็นตัวอันตรายต่อระบบ เหตุผลหลักก็คือ ไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าเหตุใดคนบางกลุ่มจึงมีศักยภาพเหนือมนุษย์ การปล่อยให้คนกลุ่มนี้มีอิสระเหมือนคนปกติอันตรายเกินไป แต่น่าเสียดายที่นางโดบี้ส์เองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าโปรแกรมบำบัดจะทำอะไรกับพวกเด็ก ๆ บ้าง เธอไม่ทราบเลย
“ก่อนที่พวกเธอเกิด รัฐบาลก่อตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อไล่ล่ากลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะ แต่เพราะคนกลุ่มนี้เริ่มปิดบังตัวตนจากภัยคุกคามที่จะมาถึงตัว การตามล่าจึงลำบากขึ้นกว่าเดิม รัฐบาลจึงประกาศคุณลักษณะของกลุ่มเสี่ยงออกมา จากนั้นจึงมีการบัญญัติคำว่า ‘กลุ่มต้องสงสัย’ เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำ ดังนั้นคำนี้จึงถูกใช้เพื่อระบุกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มเสี่ยงแต่ยังไม่มีอาการบ่งชี้ ตอนนั้นผู้คนบางส่วนต่อต้านและพวกเขาพ่ายแพ้ให้กับอำนาจรัฐ แต่ก็ใช่ว่ารัฐบาลจะปกครองประเทศได้อย่างสงบสุข มีการจลาจลเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน พอมีคนก่อจลาจล รัฐบาลกวาดล้าง จากนั้นก็มีกลุ่มใหม่มาก่อความไม่สงบอีก วนเวียนอย่างนี้เรื่อยมาไม่รู้จบ ผู้ที่คุมรัฐบาลรู้ดีว่า หากปล่อยให้ประชาชนคิดว่ารัฐบาลควบคุมมากเกินไป เมื่อนั้นปัญหาจะไม่มีทางจบสักที ดังนั้น พวกเขาจึงปล่อยให้ประชาชนคิดว่ารัฐบาลยังอยู่ในกรอบอำนาจที่ประชาชนมอบให้ ต่อมา ทางการประกาศยกเลิกหน่วยพิเศษนี้เพื่อตอบรับและลดกระแสต่อต้าน แต่หน่วยงานนี้ยังคงทำงานกันอย่างลับ ๆ จนถึงทุกวันนี้”
“ครูรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงคะ” อเล็กซิสถาม แต่แล้วนึกถึงกรณีการหายตัวไปอย่างลึกลับของเดสซิเร ดัลคา ที่เจสซี่เคยยัดเยียดให้เธออ่าน นั่นหมายความว่า คนบางกลุ่มอาจรู้ แต่ไม่มีโอกาสส่งผ่านข้อมูลเหล่านั้น หรือพวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้กระทำ มันอันตราย แต่บางครั้งอันตรายก็เปรียบเสมือนของหวานต้องห้ามชวนให้ลิ้มลอง ในขณะที่การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบ ๆ กลุ่มต่อต้านใช่ว่าจะหยุดเปิดโปง อเล็กซิสจับน้ำเสียงของสองพี่น้องแล้ว แน่ใจว่าพวกเธอพูดความจริง ไม่ใช่สิ่งที่ออกมาจากจินตนาการแต่อย่างใด
“ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวคือช่วงนั้นสินะครับ” ออสโล่เดา
“ใช่แล้วล่ะจ้ะ ครูไม่เคยเข้าใจไอ้ความหวาดกลัวที่ว่าเลยจนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับครอบครัวของครูเอง สิ่งที่ทำให้กลุ่มต่อต้านพ่ายแพ้แก่รัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่าก็คือ ประชาชนที่เพิกเฉย มีคนไม่เยอะหรอก ที่จะสนใจสิทธิพื้นฐานของผู้อื่น ครอบครัวของครูก็เป็นคนกลุ่มนั้น พวกที่ไม่สนใจภัยของกฎหมายเล่มนี้จนมันเกิดกับตัวเอง วันนั้น พวกตำรวจมาถึงที่บ้าน จากพวกไม่ยี่หระต่อสิ่งใด พวกเราถูกทำให้กลายเป็นเหยื่อ วันนั้นเป็นวันเกิดของครู สามสิบปีผ่านมาแล้ว แม่และพี่สาวของพวกเราถูกฆ่าตาย” หยาดน้ำตาปรากฏอยู่ในดวงตาสีเขียวหยก เธอกำลังหวนนึกถึงความทรงจำที่แย่ที่สุด อเล็กซิสกอดเข่าตัวเอง ไม่แม้แต่กะพริบตา
“พวกตำรวจพยายามลากตัวมอลลี่ พี่สาวของพวกเราไปกับพวกเขา พวกเขาบอกว่าพี่สาวของครูเป็นตัวอันตรายต่อชาติ แม่ปกป้องพี่ และเธอก็ถูกยิง กระสุนนั้นสังหารคนทั้งสองทีเดียว วันเกิดของครูพังเละเทะไม่เป็นท่า แม้แต่ตอนนี้ ครูยังจำดวงตาของพี่ได้ ดวงตาที่ที่ค่อย ๆ อับแสงลงตอนที่เธอกำลังจะตาย สิ่งเดียวที่ครูกับแมรี่ไม่มีวันได้เห็นคือพลังพิเศษของพี่ พี่ตายไปก่อนที่ครูจะเห็นว่าเธอมีความสามารถแบบไหน หรือบางที เธออาจจะตายทั้งที่ไม่มีความสามารถที่ว่าเลยด้วยซ้ำ”
“หนูเสียใจค่ะ ครูโดบี้ส์” อเล็กซิสรู้สึกแย่เมื่อได้ยินเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ “ครูไม่จำเป็นต้องเล่าให้พวกเราฟังแล้วก็ได้ค่ะ ถ้ามันทำให้ครูรู้สึกแย่”
ครูสาวสั่นหน้า “ไม่จ้ะ เดวิส ครูต้องเล่าให้พวกเธอฟัง พวกเธอต้องรู้ ทุกคนต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากเกิดเรื่องร้ายวันนั้น ครอบครัวของพวกเราย้ายบ้านถึงสองครั้ง เพื่อหนีจากความทรงจำแย่ ๆ ที่คอยหลอกหลอน แมรี่กับครูพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับครอบครัวไหนอีก ครูไม่อยากให้นักเรียนของครูต้องมีชะตากรรมแบบเดียวกับพี่สาวของครู ครูรักพวกเธอทุกคนและอยากปกป้องพวกเธอ แต่พวกเราก็ไม่คิดว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้ เจสเซ่นส์ ความสามารถในการคิดคำนวณของเธอเหนือกว่าคนอื่นก็จริง ใช่ มันไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่ครูกลัว ครูกลัวจนเกินเหตุ กลัวว่ามันจะดึงดูดความสนใจของคนพวกนั้น ครูก็เลยปรับเปลี่ยนข้อสอบที่เธอทำก่อนจะส่งไปยังสำนักงานการศึกษาส่วนกลาง เธอยังคงได้เอเหมือนเดิม แต่เธอไม่ควรได้เอเพราะคะแนนเต็ม ครูทำเกินไป...และมันก็ทำให้เธอ...นักเรียนของครูถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย”
เธอหันมายังอเล็กซิส
“เดวิส ความจำของเธอนั้นเยี่ยมยอดเหลือเกิน แต่เพราะแมรี่ได้ใส่ข้อมูลเท็จลงในประวัติการรักษาของเธอแล้ว และเธอก็ไม่ใช่คนอวดอ้างอะไร ครูก็เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแมรี่เพียงคนเดียว”
“ผมไม่เคยทราบว่าสองคนนี้มีมันสมองเทพกันขนาดนี้” เวดพึมพำ
“ไม่ใช่สมองเทพหรอก” อเล็กซิสแก้ “แค่ทักษะธรรมดาเฉย ๆ”
“ใช่จ้ะ แค่ทักษะหนึ่ง พวกเราคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องพวกเธอ แต่ถ้าพวกเขาไม่พบว่าพวกครูทำอะไรแบบนี้ พวกเขาก็จะไม่สอบสวนพวกเธอ พวกตำรวจคงมองแค่ว่า มันเป็นเรื่องที่คาร์เตอร์สร้างขึ้นแล้วก็จะปล่อยพวกเธอออกไป”
อเล็กซิสคิดถึงพ่อและแม่ของตัวเอง ทั้งสองยืนกรานว่าพรสวรรค์นี้เป็นเพียงพรสวรรค์ธรรมดา แต่เธอไม่ควรอวดลักษณะพิเศษนี้กับใคร เพราะมันอาจทำให้คนอื่นรำคาญและเกลียดขี้หน้าเอาได้ มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เวลาเห็นคนทำอะไรเกินหน้าเกินตา ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าพวกเขาพยายามปกป้องเธอเหมือนที่ครูโดบี้ส์และพยาบาลสตีเว่นทำ บางครั้งพรสวรรค์ก็ไม่ต่างจากคำสาป
“หนูไม่รู้ว่าเราควรจะโทษใคร หนูไม่เห็นว่ามันจำเป็นด้วยซ้ำ” อเล็กซิสเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในขณะนั้น “พวกเขาต้องการจับพวกเราอยู่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าไม่ใช่พวกเรา คนอื่นก็จะเป็นเหยื่อแทน ไม่ใช่เพราะพวกคุณหรอกค่ะ ยังไงพวกเขาจะทำให้พวกเราเป็นคนผิดอยู่ดี พวกเขาสามารถปล่อยเวดออกไปได้แต่ไม่ทำ ไม่เกี่ยวกับว่าใครเป็นคนผิดหรอกค่ะ ครูโดบี้ส์ เพราะมันอยู่ที่ตัวระบบและคนใช้ระบบต่างหาก คาร์เตอร์อาจจุดไฟขึ้น แต่ถ้าไม่มีเชื้อเพลิง พวกเราคงไม่นั่งกันอยู่ตรงนี้”
“เธอพูดถูกนะครับ” ออสโล่ผงกหัวหงึก ๆ
“เชื้อเพลิงเหรอ ฉันนี่แหละ เชื้อเพลิง” พยาบาลสาวพูดเสียงแผ่ว “...เป็นเพราะพวกเรา พวกเขาเลยรื้อค้นข้อมูลในระบบของเขตทั้งหมด เด็กคนอื่นก็จะถูกจับ ถ้าเกิด...เม็ก! ถ้าเกิดพวกเขาเจอเด็กคนอื่นล่ะ เพราะพวกเราแท้ ๆ” น้ำตาเธอไหลเป็นสาย นางโดบี้ส์ปลอบโยนน้องสาว
“คุณไม่ใช่เชื้อเพลิงหรอกค่ะ” อเล็กซิสโต้ “ทั้งระบบกฎหมาย ทั้งรัฐบัญญัติ...และคนที่นั่งอยู่เบื้องหลังรัฐบาล...คนพวกนี้ต่างหาก พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับพวกเรา”
เด็กสาวนั่งมองเท้าตัวเองแม้ไม่ได้สนใจมันจริง ๆ เธอสงสัยว่าเคยรู้สึกอย่างไรกันแน่ ก่อนหน้านี้ ทุนการศึกษาคือเป้าหมายที่เธออยากเอื้อมให้ถึงมาโดยตลอด แต่ถ้าหากเธอได้มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับระบบอุบาทว์และวงจรอำนาจเบ็ดเสร็จที่ปราศจากความเที่ยงธรรม การสวมบทบาทเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาเลยสักนิด
“เพราะเมื่อก่อนพี่เป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาเหมือนเธอไง แต่ตอนนี้โตพอเข้าใจอะไร ๆ แล้ว” คำพูดของเจสซี่ดังขึ้นมาในหัว
แต่มันคงสายไปสำหรับฉันแล้วล่ะพี่
“แต่ฉันว่า พวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” คราวนี้ออสโล่แย้ง “เราถึงอยู่ในนี้ไง มันจบแล้ว พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากยอมรับความจริง ผมไม่โทษคุณครูหรอกนะครับ ครูตั้งใจช่วยผม มันมาจากเจตนาที่ดี ถ้าผมจะโทษใคร ผมคงโทษโชคชะตา ชีวิตของผมมันจบแล้ว ลาก่อนอนาคตอันรุ่งโรจน์” จากนั้นเขาเขยิบกายกลับไปยังที่ของตัวเอง ยอมรับชะตากรรมโดยจำนน
ไม่มีใครพูดอะไรอีก แต่ความเงียบสะท้อนให้เห็นว่าทั้งหมดเห็นด้วยกับสิ่งที่เด็กหนุ่มกล่าวไปเมื่อครู่
พวกเขาไม่ตั้งคำถามอะไรต่ออีกแล้ว เพราะครูโดบี้ส์แทบจะไม่มีแรงพูดคุยต่อ พวกเขาปล่อยให้เธอพักผ่อนกับน้องสาว ส่วนเบลินดาเอาแต่ร้องไห้ ทว่าไม่มีใครสนใจที่จะปลอบ เพราะทุกคนต่างแบกรับอารมณ์สิ้นหวังของตัวเองเอาไว้ อเล็กซิสนั่งพิงกำแพง พยายามจัดการความคิดตัวเอง มันจบแล้วดังที่ออสโล่ว่า ลาก่อนชีวิตมหาลัย ลาก่อนเพื่อนฝูง ไม่มีความฝันให้ต้องไล่ตามอีกแล้ว
ตอนเย็น พวกเขากินอะไรแทบไม่ลง ไม่มีใครแจ้งความคืบหน้าหรือข่าวใหม่ อเล็กซิสเลยไม่รู้ว่าเธอจะไปจากที่นี่เมื่อไร และพวกตำรวจจะอนุญาตให้ครอบครัวเข้าเยี่ยมได้ตอนไหน
“ปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเราไม่รู้เรื่องข้อมูลเท็จเลยนะครับ”
อเล็กซิสกับเพื่อน ๆ พยายามชะโงกหน้ามองผ่านลูกกรงทันทีที่ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหม่เข้ามา เด็กคนอื่นเริ่มถูกคุมตัวมาแล้ว ส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้องของอเล็กซิส และตอนนี้แมรี่ สตีเว่นร้องไห้คร่ำครวญอีกรอบ
“ผมไม่รู้เรื่องเลยว่าเธอทำอะไร!”
ครูโดบี้ส์เอาแต่มองน้องสาวที่นอนอยู่บนตัก อเล็กซิสรู้ว่าเธอยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี เด็กกลุ่มใหม่ที่ถูกจับเข้ามาตะโกนด่าหญิงสาวทั้งสอง รวมทั้งเบลินดาด้วย เด็กสาวนั่งแอบอยู่ในมุมของตัวเอง เอามือปิดหูไว้ทั้งสองข้าง
“เฮ้ พวกนาย บอกพวกเราหน่อยสิว่าพวกเขาจะทำอะไรกับพวกเราต่อ” แอนโธนี่
เฮอร์นานเดซถามเสียงดัง เขาอยู่อีกห้องหนึ่ง
อเล็กซิสอยากให้เขาหุบปาก จะตอบไปตามตรงก็อาจทำให้ตื่นกลัวไปก็ได้ แต่ถ้าเก็บปากเงียบก็คงส่งผลไม่ต่างกัน เธอไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“เดี๋ยวก็โดนไฟฟ้าช็อกกันหมดนั่นแหละ หุบปากได้แล้วโว้ย รำคาญ” เวดตะโกนตอบ แอนโธนี่ไม่กล้าถามต่ออีก บางทีคำตอบของเวดคงทำให้เขาตกใจพอแล้ว
“นายไม่จำเป็นต้องใส่อารมณ์กับพวกเขานะ เดี๋ยวได้กลัวกันหมดพอดี” อเล็กซิสต่อว่า
เวดไม่ตอบ เขาเอาแต่จ้องแขนที่มีแต่รอยฟาด
อย่างไรก็ตาม เด็กกลุ่มใหม่ยังคงคุยกันเจื้อยแจ้ว ส่วนพวกที่ถูกขังอีกสองห้องนั่งเงียบ (ไม่นับเสียงร้องไห้ของนางพยาบาลและเบลินดา) พวกน้องใหม่ยังมีความหวังอยู่ เหมือนกับพวกอเล็กซิสในตอนแรกไม่มีผิด จนกว่าพวกเขาถูกพาไปยังห้องนั้น ความหวังจึงดับลง อเล็กซิสนั่งมองเพดานด้วยสายตาเหม่อลอยจนหลับไป
เธอฝันว่าได้รับการปล่อยตัว คำมีการเปลี่ยนแปลงคำตัดสิน พวกเขาถูกตัดสินใหม่ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกระทั่งเธอได้ยินเสียงดังนอกห้องขังเหมือนกับมีใครกำลังเดินอยู่ เมื่อนั้นเธอตื่น แต่เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น อเล็กซิสไม่อาจลืมตาขึ้นได้แม้สติกลับมาอยู่ที่เดิมแล้ว เพราะง่วงจนหนังตาหนักถ่วงเอาไว้
“อย่าแตะต้องพวกเขานะ”
“พวกเธอจะมาแทนไหมล่ะ”
ใครพูด แต่ก่อนที่อเล็กซิสจะลืมตาเพื่อดูว่าใครพูดอะไร สติของเธอจมลงสู่นิทราอีกครั้ง
วันต่อมา ครอบครัวของวัยรุ่นทั้งสี่ได้รับคำสั่งอนุญาตให้เข้าเยี่ยม เอโลดี้มาพร้อมกับครอบครัวอเล็กซิสและเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว เพื่อนซี้ของเธอเอาแต่โทษตัวเองที่เป็นสาเหตุให้อเล็กซิสถูกจับและถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัย อเล็กซิสต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรเพื่อปลอบไม่ให้เอโลดี้รู้สึกผิด ทั้งที่เธอควรจะเป็นฝ่ายได้รับการปลอบโยนมากกว่า พ่อของเธอพูดกับเอโลดี้ว่า ถึงแม้อเล็กซิสไม่อยู่ในงานปาร์ตี้ ลูกสาวของเขาก็จะโดนจับอยู่ดี เพราะคำสารภาพของแมรี่ สตีเว่น (หรือพูดให้ถูก คือ ถูกบังคับให้สารภาพ) ทำให้พวกตำรวจไปตามจับเด็กที่ถูกแก้ประวัติเพิ่ม
“หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า นักเรียนหัวกะทิแห่งซานโบซ่าข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่รู้ว่าเขียนข่าวมั่วซั่วแบบนั้นได้ยังไง” เจสซี่บ่น
“พวกนักข่าวก็คงถูกบังคับให้เขียนรายงาน ไม่ได้ตั้งใจหรอกลูก” พ่ออธิบาย เขาเข้าใจสถานการณ์มากกว่าลูกชาย
“อย่างน้อยก็ไม่มีชื่อพวกเราในนั้นใช่ไหม”
“ไม่มี ถ้ามีพี่จะฟ้อง”
“พี่พูดเหมือนคุณมิลเลอร์เลย!”
อเล็กซิสสังเกตเห็นว่าแม่และไบรซ์ไม่ค่อยพูดค่อยจา แม่กับไบรซ์ไม่ใช่คนที่จัดการกับความรู้สึกได้เก่งเท่าไร ทั้งสองนั่งเงียบ มองอเล็กซิสกับเจสซี่คุยกัน อีกมุมก็มีเสียงร้องไห้ของเอโลดี้ดังคลออยู่ตลอด แม้แต่พ่อกับเจสซี่ยังดูอ่อนล้ามากราวกับไม่ได้นอนมาหลายวัน พวกเขาคงพยายามทุกวิถีทางแล้วเพื่อจะช่วยเธอออกไปจากที่นี่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ตัวเจสซี่เองเหมือนขาดความมั่นใจไปเลยเมื่อเทียบกับเมื่อสองวันก่อน อย่างว่า ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ ในเมื่อ จู่ ๆ อเล็กซิสกลายเป็นผู้กระทำผิดทางกฎหมายและเป็นภัยต่อประเทศชาติเสียอย่างนั้น
“ทุกคนทำหน้าซังกะตายอย่างกับพวกซอมบี้เลยนะ” เธอพยายามจะมีอารมณ์ขัน แต่เท่าที่เธอเคยเล่นมุกมา มุกนี้ฝืดที่สุด
“พี่ต้องจากพวกเราไปเหรอครับ” เจ้าชาร์ลีถาม เด็กชายเป็นคนเดียวที่ไม่มีท่าทางหดหู่เหมือนคนอื่น อาจเป็นเพราะชาร์ลียังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าพี่สาวของเขาไม่มีวันกลับไปหาเขาอีกแล้ว ไม่มีวันสอนเขาวาดรูป พาเขาไปรับประทานไอศกรีมและพิซซ่า และเล่นกับเขาอีก ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว
“พี่เขาจะต้องกลับมา” ไบรซ์พูด พี่สาวโถมตัวเข้ากอดจนเธอหายใจแทบไม่ออก “ใช่ไหม เธอจะกลับบ้านกับพวกเราใช่ไหม”
สองสาวนอนห้องเดียวกันมาตั้งสิบห้าปี ทั้งไบรซ์และอเล็กซิสเป็นทั้งพี่น้องและเพื่อนสนิท จนวันหนึ่ง เหลือเพียงคนเดียวที่ต้องนอนอย่างเดียวดาย มันเป็นความรู้สึกที่แย่เกินกว่าจะจินตนาการความโดดเดี่ยวนี้ได้
“พี่...หายใจไม่ออกแล้ว” อเล็กซิสขอร้องเบา ๆ ความพยายามที่จะสกัดกั้นเจ้าก้อนน้ำตาเหมือนพยายามจะกั้นกระแสน้ำหลาก เจ้าชาร์ลีก็อีกคน เขาจ้องมองเธอเขม็ง เพราะอเล็กซิสยังไม่ตอบสักที
“พี่จะพยายามนะ เจ้าลิง” พี่สาวตอบ เด็กชายจึงพอใจ
“คุณรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า” แม่ของเธอถามขึ้นหลังจากที่นั่งเงียบมานาน แต่เธอถามพ่อ ไม่ใช่อเล็กซิส “คุณรู้ว่าแมรี่ป้อนข้อมูลเท็จใช่ไหม”
คาเลบพยักหน้า รู้สึกผิด
“แล้วคุณก็ปล่อยให้เธอทำแบบนั้นเหรอ”
“ไม่มีใครผิดหรอกค่ะ” เด็กสาวแทรกซึ่งทันก่อนที่แม่จะพูดอะไรต่อ เธอไม่อยากให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันต่อหน้าทุกคน แถมยังในเวลาแบบนี้อีก พวกเขาไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้งตั้งแต่เธอเข้ามาเป็นลูกสาวบ้านเดวิส ความเศร้ากลืนกินความรู้สึกดีไปจนหมด ถึงกระนั้น อเล็กซิสไม่อยากให้เกิดบรรยากาศลุกเป็นไฟจากการทะเลาะเบาะแว้งภายในครอบครัว เพราะเวลาที่จะอยู่ด้วยกันมันน้อยลงทุกวินาที และทุกวินาทีมีค่าสำหรับเธอ
“พวกตำรวจบอกว่าจะประกาศวันเดินทางภายในพรุ่งนี้ อเล็กซ์ พี่ขอโทษนะ พี่ช่วยเธอไม่ได้เลย พี่มันไม่ได้เรื่อง ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”
“บอกแล้วไงว่าไม่มีใครผิด” อเล็กซิสย้ำ จากนั้นจึงดึงแขนของไบรซ์ออกจากคอได้สำเร็จ มิเช่นนั้นเธอคงขาดอากาศตาย
เบียนน่าวกกลับมาถามเจสซี่อีกรอบว่าเขาจะหาทนายฝีมือดีได้หรือไม่ และพวกเขาต้องนั่งฟังเจสซี่อธิบายไปเรื่อย ๆ (รอบที่เท่าไร เธอจำไม่ได้) สำหรับกฎหมายรัฐบัญญัติปี 2966 ผู้กระทำผิดและถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มเสี่ยงจะไม่สามารถหาทนายมาช่วยแก้ต่างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ กฎหมายเล่มนี้ยังไม่อนุญาตให้อุทธรณ์อีกด้วย ดังนั้นคำตัดสินถือว่าเป็นอันสิ้นสุดแล้ว ตลอดสองชั่วโมง พวกเขานั่งถกเถียงเรื่องข้อกฎหมาย ความเป็นไปได้ที่อเล็กซิสจะถูกปล่อยตัว และระบบรัฐ ช่วงนาทีสุดท้าย เบียนน่าไม่อาจควบคุมอารมณ์ให้นิ่งได้ เธอร้องไห้ตัดพ้อเจสซี่ ขอร้องให้เขาหาวิธีช่วยอเล็กซิส เจสซี่จำเป็นต้องพาแม่ออกไปก่อนที่พวกตำรวจจะพาเธอออกไปเองด้วยวิธีการป่าเถื่อน
อเล็กซิสมองไปยังนาฬิกาที่ติดอยู่ในห้อง หมดเวลาเข้าเยี่ยมแล้ว เด็กสาวส่งยิ้มให้พ่อ พยายามจะทำตัวเข้มแข็งในสายตาเขา
“พรุ่งนี้พวกเราจะมาเยี่ยมลูกอีก ดูแลตัวเองนะสาวน้อย” พ่อบอกแล้วจูบหน้าผากลูกสาว ไบรซ์กับเอโลดี้ทำแบบเดียวกัน ส่วนเจ้าชาร์ลียืนรอไม่ยอมไป “พี่สัญญาว่าต้องกลับมานะ ผมอยากวาดรูปช้างเป็น พี่วาดเก่งที่สุดแล้ว เจสซี่พยายามจะสอนเหมือนกัน แต่ฝีมือของเขาโคตรห่วยเลย”
“ชาร์ลี ไปเรียนคำพูดแบบนี้มาจากใครเนี่ย” อเล็กซิสร้องแล้วอุ้มเขามานั่งบนตัก
“ผมได้ยินเจสซี่ชอบพูดว่า ระบบห่วย ๆ มีแต่คนระยำบริหาร”
อเล็กซิสหลับตา สั่นหัวช้า ๆ ควรมีใครสักคนสอนพี่ชายให้รู้จักใช้คำพูดเวลามีเด็กอยู่ด้วย “มันหยาบคายรู้ไหม พี่ไม่สัญญากับเราหรอกนะเจ้าลิงน้อย แต่พี่จะพยายาม ตกลงไหม”
อเล็กซิสไม่ได้ให้สัญญากับชาร์ลี เพราะเธอรู้ดีว่าเธอจะผิดสัญญาแน่นอน เพียงหอมแก้มกลมของเจ้าน้องชาย พ่อเคยสอนว่า อย่าให้สัญญากับใครถ้ารู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ อเล็กซิสทำตามคำพ่อสอนเสมอ
เจ้าชาร์ลีกระโดดลงจากตักและหันมาโบกมือพร้อมกับรอยยิ้มสดใสก่อนออกไปหาครอบครัวที่รออยู่ข้างนอก เพราะกุญแจล็อกข้อมือเธอให้อยู่กับโต๊ะหรอก อเล็กซิสเลยได้แต่มองพวกเขาเดินออกไป แต่ในใจนั้นอยากตามไปด้วยจะแย่
วันนั้น กลุ่มเพื่อนและคุณครูที่โรงเรียนมาเยี่ยมพวกเด็กที่ถูกจับเช่นกัน อเล็กซิสเริ่มเห็นใจเบลินดาอยู่บ้างที่ถูกบอยคอต เพราะทุกคนขอเข้าพบแค่กับเด็กสามคนเท่านั้น มีเพียงเพื่อนไม่กี่คนที่มาเยี่ยมเบลินดา พวกเพื่อน ๆ ในโรงเรียนยกโขยงกันมายกทีม อย่างเช่น ทีมเชียร์ลีดเดอร์ ชมรมฟุตบอล ชมรมบาสเกตบอล ชมรมดาราศาสตร์ และคนอื่น ๆ เดวี่มาพร้อมกับชมรมฟุตบอล ส่วนจูนน่ะเหรอ เธอหายตัวไปจากเมืองแล้วมั้ง แม้แต่แม่ของจูนที่ค่อนข้างสนิทสนมกับครอบครัว
อเล็กซิสยังไม่แม้แต่ติดต่อมาเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจสักนิด
ถ้าเธอมาหาฉัน ฉันจะลืมทุกอย่าง ให้อภัยทุกอย่าง อเล็กซิสคิดถึงเพื่อนสนิทคนนี้ ถึงแม้ความขัดแย้งของทั้งคู่ได้ทำลายมิตรภาพที่ยาวนานจนยากจะซ่อมกลับมาเหมือนเดิม แถมบาดแผลที่จูนทำยังคงเจ็บเบา ๆ แต่เพราะอเล็กซิสรู้ว่าชาตินี้คงไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว อเล็กซิสจึงอยากลาจากกันแบบดี ๆ มากกว่า อีกเหตุผลหนึ่ง ในเมื่อจูนเป็นคนหยิบมีดแทงหลังอเล็กซิส เธออยากให้เพื่อนเป็นคนดึงมันออก แล้วทั้งสองจะได้เริ่มต้นกันใหม่ เหมือนเริ่มต้นจากศูนย์ อันที่จริง ลึก ๆ แล้ว อเล็กซิสเพียงแค่อยากให้จูนขอโทษแค่นั้นเอง นี่คือสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด
อเล็กซิสถูกพาตัวออกจากห้องเยี่ยมก่อนคนอื่น เธอยืนรออีกสามคนที่กำลังเดินมาสมทบ นายตำรวจบรูซยืนอยู่ข้าง ๆ ตบบ่าเธอเบา ๆ เหมือนต้องการปลอบใจ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูก็ได้เจอพวกเขาใหม่ อย่าเศร้าไปเลย”
เธอพยักหน้า รู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ยังมีคนใจดีหลงเหลืออยู่บ้าง “หนูขอถามเพียงแค่คำถามเดียวได้ไหมคะ”
“ถามมาเลยแม่หนู”
เด็กสาวยิ้มโล่งอกที่นายตำรวจคนนี้ไม่ได้เย็นชาเหมือนอีกสองคนที่เธอเจอบ่อยครั้ง
“พวกเราจะต้องทำอะไรบ้างเมื่อเข้าโปรแกรมบำบัด คุณพอทราบไหมคะ”
บรูซถอนหายใจ “ฉันตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอกนะสาวน้อย เพราะว่าฉันไม่รู้จริง ๆ ขอโทษนะ”
“ไง” เวดทักเมื่อเดินมาถึง
“กลับได้แล้ว” นายตำรวจนำทาง พวกเขาเดินผ่านกลุ่มแอนโธนี่ที่กำลังจะเดินไปยังห้องสอบสวน
“โชคดีนะพวกนาย!” เวดตะโกนบอก พวกนั้นจึงหันมามองเขาทั้งกลุ่มเพราะไม่เข้าใจความหมายของเวด
“เดินต่อไป!” ตำรวจสาวผมทองเร่งแล้วชี้นิ้วมาที่เวด เตือนเขาไม่ให้พูดอะไรอีก อเล็กซิสมองดูเด็กกลุ่มนั้นหายเข้าไปในห้องที่ว่า
“นายมันร้ายจริง ๆ” เธอศอกใส่เพื่อน
“ก็แค่เตือนเอง” เวดอ้าง
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้”
อเล็กซิสหันกลับไปยังห้องนั้น ดูเหมือนจะเกิดเรื่องอลหม่านขึ้นด้านใน มีเสียงกรีดร้องดังลอดออกมา เธอได้ยินเสียงพวกตำรวจตะโกนบอกใครสักคนให้หยุดทำการบางอย่าง ส่วนพวกเด็ก ๆ ที่เหลือต่างร้องโวยวาย พวกอเล็กซิสยืนมองอย่างอกสั่นขวัญหาย
“กลับ ๆ กลับเข้าห้องขังเดี๋ยวนี้” บรูซออกคำสั่ง แต่เด็กทุกคนยังคนยืนทื่อ ไม่ให้ความร่วมมือ มือของเขาหยิบวิทยุสื่อสารออกจากเอว
“เราต้องการกำลังเสริม มาที่ห้องสอบสวน ย้ำคำสั่ง เราต้องการกำลังเสริม มาที่ห้องสอบสวน!”