อเล็กซิสมัดผมตัวเองเป็นทรงหางม้า และไม่ลืมที่จะเติมมาสคาร่า ทาปากด้วยสิปสติกสีชมพูกุหลาบที่เธอมองว่าเข้ากันดีกับลุคแต่งตัวในฤดูร้อน เธอเช็กเสื้อผ้าและหน้าตาของตัวเองในกระจกให้แน่ใจ โอเค พอมั่นใจว่าสวยแล้วก็เช็กส่วนอื่นต่อ อเล็กซิสเลือกสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ๊คเกตหนังสีดำ กางเกงยีน (แน่นอนว่ายี่ห้อเล็กซี่) และรองเท้าผ้าใบสีแดง มันเป็นสไตล์เดิมๆ ที่เธอชอบแต่ง บางครั้งเธอใส่เดรสหวาน ๆ บ้าง แต่กางเกงยีนทำให้เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากกว่า
 

“นี่มันหน้าร้อนนะจ๊ะ”

เด็กสาวเม้มปากเมื่อพี่สาวทักพร้อมกับรอยยิ้มขบขัน “แดดร้อนกับเสื้อแจ๊คเกตเนี่ยนะ”

“ก็ไม่ร้อนเท่าไรนี่” เธอโต้ แต่ถอดเสื้อแจ็คเกตออก ก่อนจะนำมันมาผูกไว้ที่เอวแทน

ในห้องนอนของเด็กสาวทั้งสองมีเตียงเดี่ยวสองหลัง ทั้งห้องถูกแบ่งออกเป็นสองเขตแดนนั่นคือ เขตแดนของไบรซ์และเขตแดนของอเล็กซิส ส่วนของไบรซ์จะมีเพียงโปสเตอร์วงดนตรีคันทรี่ใบเดียวแปะอยู่บนโต๊ะบวกกับกีตาร์โปร่งทำจากไม้มะฮอกกานี ไบรซ์มีเสียงที่ไพเราะมาก ทั้งยังเล่นกีตาร์เก่ง แต่เธอไม่ค่อยแสดงออกเท่าไรเพราะติดนิสัยขี้อายและเก็บตัว อเล็กซิสเล่นกีตาร์ได้เหมือนกัน แต่ไม่เก่งเท่าพี่สาว ข้าวของของไบรซ์ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่ข้าวของของคนน้องจะถูกวางไว้ระเกะระกะ แถมยังรุกล้ำอาณาเขตของพี่สาวอีกด้วย อเล็กซิสติดโปสเตอร์ภาพนักร้องและนักแต่งเพลงคนโปรดที่ชื่อคาร์เมน และนักแสดงคนอื่นอีกมากมาย บนโต๊ะเขียนหนังสือมีรูปภาพของเธอกับเพื่อน ๆ ประดับไว้หลายรูป ส่วนมุมสุดของชั้นที่อยู่ติดกับโต๊ะมีมงกุฎพลาสติกถูกวางทิ้งทับหนังสือกองมหึมา แต่อยู่ในลักษณะเอียงจนเกือบตกจากชั้นวาง

“พอพี่ไม่อยู่ เธอก็ทำห้องรกซะแล้วนะ”

“เปล่าสักหน่อย” อเล็กซิสปฏิเสธ แต่เริ่มเก็บของบางชิ้นให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น

ท่ามกลางกองรูปภาพมากมาย มีรูปหนึ่งที่อเล็กซิสชอบมาก นั่นคือ รูปของสามสาวสวยกอดคอคล้องกันยืนยิ้มแย้มให้กับกล้อง ร่างสูงสุดที่ยืนอยู่ตรงกลางและสวมชุดนักกีฬาบาส คือ

อเล็กซิสที่กำลังยิ้มกว้าง คนผมน้ำตาลแดงทางด้านขวาชื่อ จูน จอยซ์ เป็นเพื่อนสนิทของอเล็กซิสตั้งแต่อนุบาล เธอสวยและมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับอเล็กซิส แต่มีบุคลิกสง่าแบบผู้ใหญ่ ในขณะที่อเล็กซิสดูเป็นเด็กน้อย อาจเป็นเพราะจูนมีดวงตาสีมรกตที่ค่อนข้างดุกับรอยยิ้มหยิ่งยโสอยู่ในที ทำให้เด็กสาวมีสายตาเหมือนผ่านอะไรมาหลายอย่างในชีวิต เด็กสาวทางซ้ายชื่อว่า เอโลดี้ ลี เป็นเด็กสาวร่างเล็กหน้าตาน่ารัก มีผมสีน้ำตาลเข้มยาวสลวย แล้วยังมีรอยยิ้มสดใสเหมือนอากาศยามเช้า รูปนี้ถูกถ่ายไว้เมื่อไม่นานมานี้เอง นั่นคือช่วงหลังจากจบการแข่งขันบาสเกตบอลรอบสุดท้าย แม้ว่าทีมซานโบซ่าจะแพ้ให้กับอีกทีมอโมร่าจากรัฐรีเวอร์แลนด์ แต่ก็เป็นการแข่งขันที่น่าจดจำ เพราะพวกเขาไม่เคยเข้ารอบลึกถึงขนาดนี้ ซานโบซ่า โพสต์ เล่นข่าวนัดชิงแชมป์บาสเกตบอลหญิงระดับโรงเรียนเป็นข่าวใหญ่ลำดับที่สองเลยทีเดียว (รองจากข่าวทีมฟุตบอลชายของโรงเรียนซานโบซ่าที่ชนะถ้วยรางวัลแชมป์ฟุตบอลไฮสคูล) หากมองแค่รูปถ่าย คงคิดว่าเด็กสาวทั้งสามเป็นเพื่อนรักกัน (อเล็กซิสเองอยากให้เป็นเช่นนั้น) แต่จริง ๆ แล้ว เด็กสาวที่อยู่ทางขวาและซ้ายต่างเหม็นขี้หน้ากันอย่างกับอะไรดี

“แล้วจูนกับเอดี้เป็นไงบ้าง ดีกันแล้วหรือยัง”

“คิดว่าพวกเราคงมีโอกาสเจอวันโลกแตกมากกว่าเห็นสองคนนี้เป็นเพื่อนกันนะ”

ไบรซ์หัวเราะ

อเล็กซิสนึกถึงคำถามของเจสซี่เมื่อครั้งก่อน ว่าทำไมจูนกับเอโลดี้ถึงอยู่กลุ่มเดียวกันทั้งที่เกลียดกันนักหนา เหตุผลของผู้หญิงนั้นเข้าใจยาก และบางครั้งแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันก็ไม่เข้าใจ

จุดเริ่มต้นที่จูนและเอโลดี้มาอยู่กลุ่มเดียวกันโดยมีอเล็กซิสเป็นตัวคั่นกลางมาจากการตกลงกันเองของเด็กสาวทั้งสองล้วน ๆ จูนไม่ต่างจากควีนบีในหนังวัยรุ่นยอดฮิตทั้งหลาย เธอสวยที่สุดในโรงเรียนและเป็นที่ปรารถนาของเหล่าหนุ่ม ๆ ส่วนเอโลดี้เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่ป๊อปปูล่า แถมยังเป็นหัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ แม่ของจูนเคยเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงเมื่อราวยี่สิบปีก่อน เธอบังคับให้ลูกสาวมีความฝันแบบเดียวกับเธอ และเพราะจูนต้องแบกรับความคาดหวังของแม่ ทั้งยังชื่อเสียงจากการเป็นลูกสาวของนักแสดงดังในอดีต แถมยังเกิดมาท่ามกลางกองเงินกองทองมากมาย จูนจึงติดนิสัยรักษาระยะห่างกับทุกคนและคิดว่าคนอื่นอยู่ต่ำกว่าระดับตัวเองทั้งนั้น ยกเว้นกับอเล็กซิสที่เธอนับเป็นเพื่อนรัก ทั้งสองเจอกันตั้งแต่อนุบาลและเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่นั้น ที่โรงเรียน จูนคือดาวเด่น เป็นเด็กผู้หญิงที่พวกเด็กผู้หญิงด้วยกันเกลียด แต่อยากเป็นเหมือนจูน ส่วนจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างอเล็กซิสกับเอโลดี้นั้นเกิดขึ้นในคาบวิชาวรรณคดี เอโลดี้ชอบมานั่งกับอเล็กซิสเวลารับประทานข้าวกลางวันเสมอ แรก ๆ จูนไม่พอใจที่เห็น ‘คนอื่น’ นั่งร่วมโต๊ะด้วย จนกระทั่งกลุ่มของพวกเธอกลายเป็นที่จับตามองมากกว่าเดิม เพราะว่าเอโลดี้สามารถเรียกกลุ่มเชียร์ลีดเดอร์และพวกนักกีฬามานั่งด้วย ดังนั้นจูนจึงยอมรับสมาชิกใหม่ด้วยเงื่อนไขข้อนี้ พวกเธอกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในโรงเรียนและเป็นพวกที่ใคร ๆ ก็เรียกว่า ‘กลุ่มคนดังสุดคูล’ ใคร ๆ ก็อยากเป็นคนดังกันทั้งนั้น แม้ในเพียงสังคมโรงเรียน อเล็กซิสไม่ชอบวิธีที่เพื่อนของเธอตกลงกันแบบนี้ แต่ตัวเธอเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่า การเป็นคนป๊อปทำให้ชีวิตในโรงเรียนราบรื่นมากขนาดไหน

จนถึงตอนนี้ อเล็กซิสยังคงตื๊อให้ไบรซ์ลุกออกจากโต๊ะเรียน “พี่รู้ไหม แค่วางหนังสือลงสักวันก็ไม่เป็นไรหรอก...ไม่สิ ไม่ถึงวันด้วยซ้ำ แค่สามสี่ชั่วโมงเอง พวกหนังสือไม่โกรธพี่หรอก เชื่อฉันสิ”

ไบรซ์เป็นคนดื้อรั้นมาก หากเธอยืนกรานว่าจะติวหนังสือต่อแม้อยู่ในช่วงวันหยุดยาว เธอก็จะทำให้ได้ พี่สาวคนโตมองน้องสาวอย่างรำคาญ “พี่ไปไม่ได้ พี่ต้องท่องเนื้อหาทั้งหมด ถ้ากินหนังสือได้คงกินไปแล้ว”

“ปล่อยวางบ้างเถอะน่า พี่อ่านต่อตอนกลางคืนก็ได้ นะ ๆ เพื่อเจ้าลิง เอดี้ก็มาด้วยนะ แล้วก็อาจจะมีเดวี่อีกคน”

“คนเยอะแล้วนี่ พี่ก็ไม่ต้องไปแล้ว”

อเล็กซิสวางแขนลงบนขอบเก้าอี้ของไบรซ์ “เออนี่ ฉันโทรหาเดวี่แล้ว แต่เขาไม่รับสายเลย คงไม่รู้ว่าฉันกลับมาแล้ว บางทีเขาอาจจะยุ่งอยู่ก็ได้ ฉันก็เลยจะไปหาเขาที่บ้านเพื่อเช็กอีกที เจสซี่กับเอดี้จะพาชาร์ลีไปห้างก่อน พี่ไปกับพวกเขาสิ เดี๋ยวพวกเราเจอกันที่นั่น ไปเถอะนะ นะ ๆ”

“ไปไม่ได้” ไบรซ์ขยับเก้าอี้เพื่อสะบัดน้องสาวออกไป “เดี๋ยวเธอจะเข้าใจพี่เอง เร็ว ๆ นี้แหละ ถึงเธอจะสมองดีขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางท่องเจ้าพวกนี้ภายในวันสองวันได้ ๆ”

อเล็กซิสอ่อนใจในความรั้นของพี่สาว “โอเค พี่จะเอาอะไรหรือเปล่าล่ะ” เธอยอมแพ้แล้ว

“ไอศกรีมรสช็อกโกแลตมิ้นต์ของป๊อปปี้ เจลาโต้” พี่สาวสั่ง อเล็กซิสครางไม่พอใจ “เฮ้อ ฉันชอบรสช็อกโกแลตพรีเมี่ยม และก็ไม่อยากกินคนเดียวทั้งควอทซ์ด้วย!”

“เธอก็ค่อย ๆ กินสิ”

“พี่ก็รู้ว่ามันยาก คนเราจะกินไอศกรีมทีละนิดได้ไง พวกเราต้องกินมันให้หมดทีเดียวสิ”

ไบรซ์สั่นหัวเอือมระอา “หยุดดราม่าสักที ไม่ว่าจะช็อกโกแลตพรีเมี่ยม ดาร์คช็อกโกแลต มิลค์ช็อกโกแลต เธอกินแต่ช็อกโกแลตที่ไม่ใส่อะไรเพิ่มยกเว้นนมกับน้ำตาลทั้งนั้น กินแต่ของเดิม ๆ น่าเบื่อจะตาย”

“ไม่นะ ยังมีช็อกโกแลตอัลมอนด์กับมาคาเดเมียที่ฉันชอบ อ้อ ถ้าเพิ่มคาราเมลได้ก็ดี เห็นไหม ไม่ได้มีแค่ช็อกโกแลตสักหน่อย”

“ต่างกันตรงไหนยะ เอาเถอะ รีบไปเถอะสาวน้อย สุภาพบุรุษทั้งสองท่านคงรอเธอจนรากงอกแล้วนะ”

“พวกเขาคงออกไปแล้ว อย่าห่วงเลยค่ะคุณแม่ เดี๋ยวกลับมานะจ๊ะ” แต่พออเล็กซิสเดินออกมาจากห้อง กลับเห็นเอโลดี้กำลังนั่งหัวเราะร่วนอยู่กับเจสซี่และชาร์ลี พวกเขาควรออกไปได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคงคุยติดลมกันสนุก บางครั้งอเล็กซิสอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเจสซี่ชอบผู้หญิง เอโลดี้คงเป็นคนแรกที่เขาชอบ เพราะว่าทั้งสองเข้ากันได้ดีมาก เจสซี่ชอบและเอ็นดูเอโลดี้ไม่ต่างจากน้องสาวอีกคนเลยทีเดียว

แต่ว่า ก็แค่น้องสาวอีกคน

“โทษทีที่ให้รอนะ” อเล็กซิสแทรก

ชาร์ลีกระโดดลิงโลดเหมือนรอโอกาสนี้มานานแล้ว “เย่ เราออกไปได้แล้วใช่ไหมครับ แล้วพี่ไบรซ์ล่ะครับ”

อเล็กซิสทำหน้าเศร้า “ไบรซ์ไม่ยอมพักอ่านหนังสือเลยอ่ะเจ้าลิง เหลือแต่พวกเรานี่แหละ และอาจจะมีเดวี่อีกคนแทนนะ แต่ว่าทำไมถึงยังนั่งกันอยู่ล่ะ”

เอโลดี้ลุกขึ้น “อ้อ ฉันลืมบอกเธอไปว่า ฉันไปกับเธอนะอเล็กซ์”

เด็กสาวในเสื้อยืดสีขาวจ้องเขม็งไปที่เพื่อน ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เพราะเธออยากไปหาเดวี่ที่บ้านเพียงลำพังมากกว่ามีเพื่อนติดสอยห้อยตามไปด้วย ไม่ได้ตกลงกันไว้อย่างนี้นี่นา เอโลดี้จ้องกลับด้วยดวงตาสีน้ำตาลเข้มแฝงข้อความเป็นนัยว่า “เออออกับฉันเหอะน่า”

เจสซี่มองสลับระหว่างอเล็กซิสกับเอโลดี้ ไม่เข้าใจว่าพวกผู้หญิงเล่นอะไรกัน

“สรุปแล้วยังไงครับ คุณสุภาพสตรีทั้งสอง” เจสซี่ถาม

“โอเค ตามนั้น” อเล็กซิสสรุป เจสซี่ยังคงสงสัยแต่จับมือชาร์ลีเดินออกจากบ้านไปแต่โดยดี มีอเล็กซิสและเอโลดี้เดินตามเหมือนลูกเป็ด เพื่อนของเธอขี่จักรยานมาเอง ส่วนชาร์ลีนั่งซ้อนท้ายเจสซี่ และอเล็กซิสใช้จักรยานอีกคัน

“ฉันคิดว่าเธออยากไปกับเขาซะอีก” อเล็กซิสพูดขึ้นเมื่อพี่ชายและน้องชายขี่จักรยานออกไปแล้ว

เด็กสาวร่างเล็กยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน “อเล็กซ์ เขาไม่ชอบฉันเลยสักนิด ให้ตายเถอะ ก็แค่เห็นเป็นเพื่อนน้องสาว ก็ดีอยู่หรอกนะที่ได้อยู่กับเขา แต่มันเจ็บด้วยเวลาเขาเอาแต่พูดถึงโจชัว แถมชอบพูดให้ฟังจังเลย งี่เง่าชะมัด” เอโลดี้หุบปาก เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “โทษนะ ฉันลืมไปว่าเธอคงอยากย่องเข้าห้องเดวี่คนเดียว จะได้กระซิบข้างหูของเขา ปลุกเขาด้วยเสียงหวาน ๆ ของเธอ “ตื่นสิคะที่รัก” จากนั้นเขาจะลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับท่อนบนอันเปลือยเปล่า เดวี่คงใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเวลานอน ใช่ไหมล่ะ”

เด็กสาวผมสีน้ำตาลทำเสียงไม่พอใจที่เพื่อนแหย่

“เซออออร์ไพรส์ไหมที่รัก จุ๊บ ๆ” เอโลดี้หัวเราะ ชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อน “เอ หรือมากกว่าจูบกันแน่น้า”

“เงียบน่า” อเล็กซิสรีบเดินไปเอาจักรยาน หน้าแดงก่ำ “ถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะบอกเจสซี่ว่าเธอรู้สึกยังไงกับเขา”

อเล็กซิสยิ้มเช่นคนที่กำชัยชนะไว้ในมือ เอโลดี้ตีแขนอเล็กซิสแล้วรีบไปเอาจักรยานของตัวเอง หน้าแดงหูแดงพอกัน

“เอ้อ เกือบลืมเลย” อเล็กซิสมอบพาเลทลิปสติกให้กับเพื่อน

“ว้าว อะไรเนี่ย” เอโลดี้ทำตาโต “เพื่อนรัก รักเธอจริง ๆ” เด็กสาวกอดคออเล็กซิส “ได้มาฟรีเหรอ นี่ฉันชักอยากจะทำงานแบบเธอบ้างแล้วนะ”

“ไม่ใช่ของฟรีแน่นอน คิดว่าฉันดังขนาดนั้นเลยเหรอ ได้ส่วนลดจากรุ่นพี่น่ะ ส่วนน้ำหอมอันนี้ของจูน” อเล็กซิสอวดขวดสีชมพูทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนให้ดู “แอบเห็นว่าจูนอยากได้” เอโลดี้ปิดปากเงียบเมื่อเธอพูดถึงชื่อศัตรู

“ชวนจูนมาด้วยเหรอ”

“เปล่า ฉันไม่อยากนั่งอยู่ท่ามกลางสงครามเย็นระหว่างพวกเธอสองคนหรอกนะ แค่คิดว่าจะเอาไปให้จูนที่บ้านเย็นนี้ แน่นอนว่าไม่ชวนเธอไปด้วยอยู่แล้ว ไม่เอาน่า อย่าทำหน้ามุ่ยสิ พวกเราเรียนจบกันแล้วนะ เอดี้”

“แล้วไง จูนเกลียดฉัน ฉันก็เกลียดจูน ไม่มีอะไรห้ามความรู้สึกนี้ได้หรอกน่า”

“ตกลง ๆ ไม่พูดแล้ว” อเล็กซิสยอมแพ้ ไม่กล้าหยิบยกอะไรที่เกี่ยวกับเพื่อนอีกคนมาพูดให้เอโลดี้ระคายหูอีก ทั้งสองจะได้ขี่จักรยานไปบ้านเดวี่โดยไม่ต้องเถียงกันระหว่างทาง

 

บ้านของเดวี่ตั้งอยู่บนถนนที่อยู่ทางทิศใต้ของเมือง ตัวบ้านค่อนข้างใหญ่กว่าบ้านของพวกเดวิสประมาณหนึ่ง เมื่อเด็กสาวทั้งสองคนมาถึง ก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากเดวี่ เพราะยังเห็นจักรยานของเขาจอดอยู่ แต่รถของคุณและคุณนายมอนเทสหายไป แสดงว่าพ่อแม่ของเขาไม่อยู่บ้าน ซึ่งเป็นปกติเพราะเป็นวันทำงานของพวกผู้ใหญ่

“เขาอยู่บ้านนี่นา ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ” อเล็กซิสพึมพำกับตัวเอง

“นอนติดเตียงอยู่มั้ง” เอโลดี้ว่า ได้ยินที่เพื่อนบ่น “เดวี่นอนกรนหรือเปล่า”

อเล็กซิสทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเพื่อน แต่เมื่อเธอมองไปเรื่อย ๆ สายตากลับสะดุดอยู่ที่จักรยานปริศนาคันหนึ่งที่จอดอยู่ใกล้โรงรถ จักรยานทาสีส้ม สีโปรดของจูน

ไม่หรอก ไม่ใช่แค่สีโปรด แต่เป็นจักรยานของจูนเลยต่างหาก

เอโลดี้มองตามเพื่อน พอเห็นก็พูดขึ้นมาว่า “จริง ๆ แล้ว ฉันก็อยากจะบอกกับเธอเรื่องนื้มาสักพัก แต่เพราะฉันไม่มีหลักฐาน...”

อเล็กซิสจ้องเข้าไปในดวงตาเพื่อนสนิท เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเอโลดี้หมายถึงอะไร จากนั้นสั่นหัวปฏิเสธข้อสงสัยนั้น เดวี่เป็นรักแรกของเธอและจะเป็นรักสุดท้าย พวกเขาคบกันมาหนึ่งปีและความสัมพันธ์ก็ดำเนินไปได้ดี เขาไม่มีนิสัยเจ้าชู้ และที่สำคัญ จูนเป็นเพื่อนสนิทของเธอด้วย แค่นี้ก็คงไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้ว

“พวกเขาเป็นเพื่อนกัน เหมือนเธอกับเขาไง เข้าบ้านเถอะ...” เอโลดี้ดึงมือเธอไว้แล้วกระซิบว่า “อย่าทำเสียงดังดีกว่า อย่าโกหกตัวเองเลยนะอเล็กซ์ ทำไมจูนถึงอยู่กับแฟนของเธอในเวลาที่พ่อแม่ของเขาไม่อยู่บ้าน แล้วพวกเขาคิดว่าเธอไม่อยู่ในเมืองเล่า”

“จูนเป็นเพื่อนพวกเรานะ เพื่อนสนิทของพวกเรานะ” อเล็กซิสพยายามปฏิเสธข้อสงสัยของเอโลดี้ “เธอก็สนิทกับเขาเหมือนกัน น่าจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น” เด็กสาวไม่รู้ตัวเลยว่าเน้นคำทุกคำเพื่อบังคับให้เชื่อคำพูดของตัวเอง หัวใจของเธอเต้นแรงจนเหมือนมันอยากจะดิ้นหลุดออกมาจากอก

“ให้ฉันแก้คำพูดเธอก่อนนะอเล็กซ์ อย่างแรก จูนเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ไม่ใช่ของฉัน และตั้งแต่เธอเข้าสังกัดโมเดลลิ่ง ฉันไม่แน่ใจเท่าไรนะจ๊ะ และสอง เดวี่ก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง” เอโลดี้ยังให้เหตุผลต่อ “เธอก็น่าจะรู้ดีนะ ปกติแล้วไม่มีใครอยู่กับแฟนของเพื่อนสนิทในบ้านของเขา ทั้งเวลาที่พ่อแม่ของเขาอยู่บ้านหรือไม่อยู่ก็ตาม”

“พวกเขาคุยกันอยู่มั้ง” อเล็กซิสพยายามหาข้อแก้ตัวให้คนทั้งคู่ แต่ยิ่งพูด ตัวเธอกลับยิ่งดูโง่เหมือนหยิบเขามาสวมด้วยตัวเองซะอย่างนั้น

เอโลดี้กลอกตา “ฉันเกลียดไอ้นิสัยโลกสวยแบบเว่อร์ ๆ ของเธอจริง ๆ เธอพยายามจะปฏิเสธความจริงใช่ไหมล่ะ ใช่ไหม”

ประโยคนี้คุ้น ๆ เหมือนเจสซี่เคยบอกกับเธอเลย

“ไม่ใช่สักหน่อย! ฉันก็แค่...”

“ชู่ววว เบาสิ ก็ได้ ๆ เธอไม่ได้โลกสวยเกินไป แต่เธอกำลังโกหกตัวเองอยู่ ฉันรู้นะว่า ลึก ๆ เธอเห็นด้วยกับฉัน”

อเล็กซิสยอมรับว่าเธอหมดความกล้าที่จะเข้าไปในบ้านหลังนี้ ในใจครึ่งหนึ่งก็คิดตามข้อสงสัยของเอโลดี้ แต่อีกครึ่งก็พยายามที่จะไม่คิดให้เสียใจ เพราะแค่สงสัยยังทำให้เธอเจ็บปวดได้ขนาดนี้ ราวกับมีเข็มด้ามเล็กนับร้อยที่มองไม่เห็นทิ่มแทงใจอยู่

“เราจะไม่เคาะประตู” เด็กสาวร่างเล็กลองง้างหน้าต่าง “ไม่ล็อกแฮะ” เธอเปิดออกแล้วพยายามปีนเข้าไปข้างใน

“ช่วยฉันทีสิยะ” เอโลดี้เร่งอเล็กซิส

พวกเธอแทบจะเดินย่องกันอยู่แล้ว แต่เพราะเดวี่ไม่ได้อยู่ข้างล่าง จึงง่ายที่จะย่องขึ้นข้างบนต่อไปโดยที่ไม่จำเป็นต้องระวังตัวมากมาย ยิ่งเดินเข้าใกล้ห้องของเดวี่เท่าไร อเล็กซิสยิ่งใจเต้นระทึก ตรรกะของเอโลดี้นั้นฟังดูมีเหตุผลใช้ได้เลยทีเดียว แต่เธอขอให้มันผิดเถอะ

เอโลดี้ค่อย ๆ บิดลูกบิดประตู มันไม่ได้ล็อกเหมือนกับประตูข้างล่าง ทันทีที่เพื่อนสาวผลักประตูเปิดออก วินาทีนั้นหัวใจของอเล็กซิสหยุดเต้นลงทันที เธอดีใจที่เอโลดี้มากับเธอแทนที่จะไปกับเจสซี่ เพราะมิฉะนั้น เธอจะต้องเห็นภาพนี้คนเดียว

จูนกับเดวี่นอนอยู่ด้วยกันอย่างที่เอโลดี้คาดการณ์ไว้ทุกประการ นอนบนเตียงเดียวกัน ใต้ผ้าห่มเดียวกัน กอดก่ายและเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ เสื้อผ้าของพวกเขากระจัดกระจาย ทั้งสองคงผ่านค่ำคืนที่สนุกสุดเหวี่ยงเชียวล่ะ

ถ้วยรางวัลลอยลิ่วไปทางคนทั้งสองแล้วตกลงที่ท้องของเดวี่พอดิบพอดี ไม่ใช่ฝีมือของอเล็กซิสหรอก แต่เป็นฝีมือของเอโลดี้ต่างหาก เด็กสาวผมสีเข้มตะโกนด่าทอคนทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง “เห็นไหมล่ะ ฉันบอกเธอแล้ว เดฟ นายมันอุบาทว์ที่สุด ส่วนเธอ ยัยผู้หญิงสกปรก” พวกเขาตะลึงตะลาน ทั้งตื่นจากนิทราและตกใจในคราวเดียวกัน อเล็กซิสไม่รู้ว่าเธอควรจะรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ เธอควรโกรธ หึง กรีดร้องจนเป็นบ้า หรือ ร้องไห้แสดงความผิดหวัง สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกคือความว่างเปล่าในอก ราวกับหัวใจของเธอหายไปเดี๋ยวนั้น

นึกว่าเรารักกันเสียอีก

คนสำคัญสองคนในชีวิตของเธอกลับหักหลังเธอด้วยวิธีการที่แย่ที่สุด บางครั้งความว่างเปล่าคือความเจ็บปวดที่เลวร้ายขั้นสุด ฉากตรงหน้าทำเอาอเล็กซิสพูดไม่ออก

พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน

“อเล็กซ์ ฟะ ฟัง ฉะ ฉันนะ” เดวี่รีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัว ดังนั้นจูนจึงต้องรีบกระโจนไปที่เสื้อผ้าของเธอเพื่อปกปิดร่างกายตัวเอง ดวงตาสีฮาเซลที่แสนหวานซึ้งของเดวี่คลอไปด้วยน้ำตาที่ออกมาจากความรู้สึกผิดเมื่อโดนจับได้ “ฉะ ฉัน อธิบายได้” เสียงแหบเสน่ห์ของเขาตอนนี้กลับฟังแล้วเหมือนมีเสลดติดคอ ปากของเขาสั่นราวกับเป็นอาชญากรที่ถูกตำรวจอย่างอเล็กซิสบุกเข้าจับกุม ท่อนอกแน่นเปลือยเปล่ากลับเต็มไปด้วยรอยลิปสติกสีแดงของจูน แล้วยังมีรอยช้ำมากมาย อเล็กซิสพอจินตนาการออกว่าเขาได้มาอย่างไร เธอมองรอยลิปสติกบนใบหน้าของเขา พยายามยึดมือตัวเองไว้กับตัวเพื่อไม่ให้มันฝากรอยมือไว้บนหน้าหล่อ ๆ นั้น

น้ำตาค่อย ๆ ไหลอาบแก้ม เหมือนทุกอย่างช้าลงแม้แต่ระบบความคิดในหัว อเล็กซิสพยายามไม่ร้องไห้ออกมา แต่ดูเหมือนเขื่อนในลูกตาจะแตกออกเสียแล้ว พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไง แล้วทำไมมันเจ็บปวดถึงขนาดนี้ อเล็กซิสเคยคิดว่าชีวิตของเธอมาถึงจุดสูงสุด และจะดีกว่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดวี่ทำลายความรู้สึกนั้นลงอย่างย่อยยับ

ชีวิตที่เกือบสมบูรณ์ ใช่สิ มันแค่เกือบนี่นา

ตาของอเล็กซิสกับจูนสบกันจนได้ ไม่มีน้ำตา ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีคำขอโทษอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย สุดท้าย จูนเลือกที่จะยืนนิ่งแล้วหลบสายตาเพื่อนรัก จูนพยายามที่จะแต่งตัวให้เรียบร้อย ทำสีหน้าราวกับว่าอเล็กซิสกับเอโลดี้บุกเข้าห้องมาอย่างไร้มารยาท อเล็กซิสไม่ได้ยินอะไรเลยจนกระทั่งเอโลดี้พูดข้างหู

“อเล็กซ์อย่าเสียใจไปเลยนะ” จากนั้นเอโลดี้จ้องไปที่จูนแล้วด่าทออีกครั้ง “ยัยแรด! เธอทำแบบนี้ได้ยังไง ทั้งสองคนเลย

“ขอโทษ ฉะ—ฉะ—ฉัน” เดวี่พยายามจะพูดออกมา แต่จู่ ๆ เขากลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมาเดี๋ยวนั้น

อเล็กซิสไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงอยู่ด้วยกันแบบนี้ ในเมื่อจูนไม่เคยสนใจเดวี่เลยสักนิด จูนฝันหวานอยากเดตกับผู้ชาย ไม่ใช่เด็กผู้ชาย ผู้ชายที่ดีพร้อมและไม่มีข้อติ แน่นอนว่าเดวี่อาจจะหล่อและฮอต แต่จูนชอบพูดว่าเดวี่เป็นเด็กน้อยเบบี๋โตแต่ตัว และใช่ เดวี่เป็นแค่เด็กหนุ่มขี้อายและพูดน้อย ส่วนเดวี่ก็อีกคน เขาเคยบอกว่าเขารักอเล็กซิส...รักในแบบที่ไม่เคยรักใครมาก่อน พวกเขาจะแก่ไปพร้อมกัน ใช้ชีวิตและทำตามความฝันไปร่วมกัน ทุกอย่างที่เขาสัญญาตั้งแต่จูบแรกจนถึงคืนงานพรอมพังหมดทุกอย่าง แน่สิ จูนสวยนี่นา สวยมาก เป็นคนที่สวยที่สุด...แล้วยังเป็นนังเพื่อนตัวแสบอีกด้วย

“นายรักจูนใช่ไหม บอกฉันมาสิ ถ้าพวกเธอรักกัน ฉันจะเดินออกเอง ไม่ ไม่ ฉันออกมาแล้ว” นั่นคือสิ่งเดียวที่เธอพอจะพูดออกมาได้ นั่นคือ ถามพวกเขา ยอมแพ้ให้กับความรักของพวกเขา

“ไม่” เดวี่ตอบอย่างมั่นใจ ครั้งนี้คำพูดของเขาไม่ทรยศตัวเอง “ไม่นะ อเล็กซ์”

คำตอบของเดวี่เหมือนจุดชนวนความขัดแย้งให้กับจอมหักหลังทั้งสองคน ทั้งสองจ้องมองกันเอง และเป็นฝ่ายจูนที่โกรธ คำแรกที่เธอหลุดพูดออกมาคือ “ว่าไงนะ ไม่งั้นเหรอ”

“ไม่เอาน่าจูน เธอรู้ว่าทำไมเธอถึงอยู่ในห้องของฉัน”

“แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ในห้องของนายได้เล่า!”

“ก็ได้ ฉันจะปล่อยให้พวกเธอตกลงกันก็แล้วกัน” อเล็กซิสจับมือเอโลดี้ขณะที่เดวี่ดึงมืออเล็กซิสไม่ให้ไป

“ฉันขอโทษ ใช่ ฉะ ฉันเคยชอบจูนมาก่อน แต่มันนานมาแล้ว และตอนนี้ฉันรักเธอนะ รักเธอ อเล็กซ์ รักจริง ๆ” เขาประคองใบหน้าของแฟนสาว หวังว่าเธอจะเชื่อใจเขาอีกครั้งหนึ่ง “มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันทำให้เธอเสียใจ ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ให้อภัยเดวี่ของเธอนะ”

อเล็กซิสได้ยินเสียงเอโลดี้พยายามกลั้นไม่ให้หัวเราะใส่จูน แต่อเล็กซิสกลับไม่รู้สึกว่าเธอชนะเลยเมื่อถูกเลือก ตรงกันข้าม มันกลับเป็นความรู้สึกที่แย่มากเหมือนตัวเองเป็นสิ่งของ หากพิจารณาสภาพห้องของเดวี่ และรอยจูบบนตัวของเขาและจูน อเล็กซิสนึกสงสัยว่าพวกเขาทำแบบนี้ลับหลังเธอมากี่ครั้งแล้ว แถมเขายังบอกอีกว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ ใช่เหรอ

สิ่งที่เธอไม่เข้าใจที่สุดคือทำไมจูนทำแบบนี้กับเธอได้ พวกเธอเป็นเพื่อนรักกันมานานมาก ลึก ๆ แล้วอเล็กซิสคิดว่าจูนไม่เคยรู้สึกอะไรกับเดวี่เลย หรือเป็นเพราะว่า เดวี่กลายเป็นดาวเด่นกองกลางที่ทำให้ทีมฟุตบอลโรงเรียนได้ถ้วยรางวัล แถมยังเพิ่งได้ตำแหน่งราชางานพรอมพร้อมกับอเล็กซิสมาหมาด ๆ

แต่ทำไมจูนถึงมีพฤติกรรมแบบนี้ในเมื่อเธอก็รู้ว่าเดวี่เป็นแฟนของเพื่อนรักตัวเองไม่ใช่เหรอ อเล็กซิสคิดว่าจูนรักอเล็กซิสเหมือนที่เธอรักจูนเสียอีก

“จูนยั่วนายเหรอ เดวี่” เอโลดี้ถาม ยังคงจ้องไปที่คู่ปรับของตัวเอง พวกเธอไม่เคยเป็นเพื่อนกันเลยแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกัน และแม้ทั้งสองจะมีอเล็กซิสเป็นเพื่อนรักเหมือนกัน

“หุบปาก ใครถามความเห็นเธอไม่ทราบ” จูนคำรามใส่ ยังคงโมโหเดวี่อยู่

“มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันขอโทษ” เดวี่หันไปหาจูน “ฉันขอโทษ” แต่จูนไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา

“นายมันห่วยจริง ๆ นายอยากนอนกับฉัน แอบมองฉันทีเผลอ จูบฉัน แล้วเรื่องเมื่อคืนล่ะ สุดท้ายแล้วไง นายบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ งั้นเหรอ ไอ้คนขี้ขลาด!”

เหมือนกับมีมีดเล่มใหญ่อีกด้ามแทงมิดเข้ากลางหัวใจเดี๋ยวนั้น อเล็กซิสต้องการคำตอบจากแฟนหนุ่ม

“ใช่ ฉันอยากรู้อยากลอง ฉันผิดเอง ฉันรู้ว่าเธอใช้ฉันเพื่อเอาคืนอเล็กซ์ ถ้าจะมีใครที่โง่และเห็นแก่ตัวก็คือฉันคนเดียว” เดวี่สารภาพเสียงอ่อน

“เดี๋ยวนะ ทำไมเธอต้องเอาคืนฉันด้วย” อเล็กซิสโพล่งออกไป เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอมาก “ทำไมเหรอจูน เกิดอะไรขึ้นกับพวกเรากันแน่” มือที่ถือของฝากสั่นระริกตามแรงโกรธที่พยายามเก็บไว้ข้างใน

เด็กสาวจ้องมองเข้าไปยังดวงตาของเพื่อน ครั้งนี้เห็นน้ำตาที่กำลังเอ่อ เป็นครั้งแรกที่อเล็กซิสตระหนักแล้วว่า เธอไม่เคยเข้าใจจูนเลยแม้แต่น้อย

“อีนี่มันอิจฉาเธอ” เอโลดี้เปิดเผยความคิดของจูนให้เธอฟัง

“อิจฉาฉันเหรอ” อเล็กซิสแทบไม่อยากเชื่อ ก็ในเมื่อเพื่อนของเธอเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์และฐานะที่ดีโดยไม่ต้องพยายามเลย

“ฉันไม่ได้อิจฉา” จูนระเบิดออกมา “อเล็กซ์ เธอแยกตัวออกจากฉันเอง เธอเลือกนังนั่น ครอบครัวของเธอก็รักเอดี้มากกว่าฉัน เธอไม่ใช่เพื่อนของฉันอีกต่อไปแล้ว”

“ฉันไม่เคยเลือกเพื่อนเลยสักคน พวกเธอคือเพื่อนของฉัน ฉันรักพวกเธอเหมือนกัน จูน ทำไมเธอไม่พูดกับฉันตรง ๆ ล่ะ ทำไม ฉันทำผิดขนาดนั้นเลยเหรอ” อเล็กซิสถาม แต่เสียงของเธอกลับเหมือนตะโกนดังขึ้นเรื่อย ๆ “เพราะว่าไอ้มงกุฎพลาสติกนั่นใช่ไหม ตอบเซ่

“ไม่เกี่ยวกับงานพรอม เธอทิ้งฉันและได้ทุกอย่างไปเลยนี่นา” จูนตะโกนกลับ

ฉันไม่เคยทิ้งเธอเลย” อเล็กซิสโยนขวดน้ำหอมลงบนเตียงเดวี่ “นี่ใช่น้ำหอมที่เธออยากได้หรือเปล่า แล้วอะไรอีก อะไรที่ฉันเอาไป นี่คือวิธีแก้แค้นของเธอเหรอ ด้วยการนอนกับเขา นี่คือวิธีการเอาคืนสิ่งที่เธออ้างว่าฉันขโมยมางั้นสิ พูดสิ!

“อย่าคาดคั้นอีกเลยอเล็กซ์ ก็แค่คนขี้อิจฉา เธอควรจะโทษไอ้นิสัยหยิ่งยโสคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นมากกว่าโทษอเล็กซ์นะ นังบ้า เพราะอย่างงี้ไง เธอถึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน” เอโลดี้แทรกบทสนทนาอันดุเดือดระหว่างอเล็กซิสกับจูน แต่กลับทำให้จูนโมโหมากขึ้นไปอีก ในฐานะที่เป็นนักบาสโรงเรียน อเล็กซิสพุ่งตัวรับเหยือกแก้วที่ลอยมาทางเอโลดี้ได้ทันก่อนที่มันจะตกใส่หัวเพื่อน

“หุบปากไปเลย ยัยปากสว่าง”

“ขอบคุณนะ อเล็กซ์” เอโลดี้ตอบ “ยัยนี่มันบ้าไปแล้ว ก็แค่ของเล่นของแฟนเธอ”

“จูนไม่ใช่ของเล่น!” อเล็กซิสไม่ตั้งใจจะแก้ แต่ทำไปแล้ว “แล้วเดวี่ก็ไม่ใช่แฟนของฉันแล้ว” เด็กสาวสรุป

เดวี่ยื้อ พยายามขอให้เธอให้อภัย

“นายรู้ว่าจูนคิดกับฉันยังไงใช่ไหม” อเล็กซิสถามเด็กหนุ่มขณะที่วางเหยือกแก้วลงบนพื้น เขาพยักหน้า “แล้วนายก็เลือกที่จะนอนกับเธอ มากกว่าบอกฉันงั้นสิ”

“อเล็กซ์...มันก็แค่เซ็กส์นะ”

“ถ้าฉันนอนกับคนอื่น ฉันจะอ้างคำนี้ได้เหมือนกันใช่ไหม” เธอย้อน

เมื่ออเล็กซิสวิเคราะห์สีหน้าคนทั้งคู่ ทั้งจูนและเดวี่ เธอมองเห็นความจริงที่ว่าเดวี่รู้ว่าจูนคิดอะไร แต่กลับกระโจนลงไปในกับดัก อเล็กซิสค้นพบคำตอบว่า บางทีมันอาจไม่ใช่กับดักของจูนหรอก แต่เป็นเพราะเดวี่เป็นพวกมักมากต่างหาก เขารู้ว่าจูนเป็นเพื่อนสนิทของแฟนตัวเอง แต่เขากลับเลือกที่จะหยิบมีดแล้วช่วยจูนแทงหลังคนที่เขาประกาศว่ารัก ใช่ เขาพยายามจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์ล้วน ๆ แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ฟังขึ้นหรอกนะ

ข้อแก้ตัวของเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลย ฉันควรเชื่อคำพูดของพวกผู้ใหญ่ตั้งแต่แรก เดวี่ที่ยืนตรงหน้าอเล็กซิสไม่ใช่เดวี่ที่เธอรัก ไม่ใช่คนนั้น...คนที่เธอฝืนคำตักเตือนของพ่อแม่ว่าเธอยังไม่โตพอ...คนที่เธอยอมมอบความไร้เดียงสาของตัวเองให้กับเขา

อเล็กซิสไม่ต้องการได้ยินอะไรเพิ่มอีกแล้ว เลยปาของฝากที่ซื้อมาทั้งหมดใส่หน้าเดวี่ซะ “ฉันซื้อของฝากมาด้วยนะ ฉันหมดธุระกับพวกเธอแล้ว”

เดวี่ยังคงยืนจังก้าไม่ยอมให้ไป

“ไม่เอาน่า พวกเราจะแก้ปัญหาไปด้วยกันนะ”

“ใส่เสื้อเถอะ” เธอบอกเขา “อย่าเสียเวลาอีกเลย เจสซี่กับชาร์ลีรอพวกเราอยู่ ฉันไม่อยากทำลายวันดี ๆ ของน้องชาย มอนเทส พวกเราขอทางด้วย”

น้ำตาของเขาหยดลง แต่มันไม่อาจสั่นคลอนความคิดเธอได้ แค่นี้มาสคาร่าคงทำหน้าเธอพังไปเรียบร้อยแล้ว เดวี่รู้ดีว่าเขาไม่อาจแก้ไขทุกอย่างได้อีกแล้ว ความเย็นชาที่เธอแสดงออกมาทำให้เขายอมถอยออกไป

 

สภาพเมืองในสายตาของอเล็กซิสเปลี่ยนไปทันที บรรยากาศกลับกลายเป็นขมุกขมัว เธอไม่ทันสังเกตมาก่อนว่าเมฆบนท้องฟ้ามีมากขนาดนี้

“นานเท่าไรแล้วที่เธอสงสัยพวกเขา” อเล็กซิสถามเอโลดี้ ทั้งสองกำลังเดินออกมา พร้อมกับจักรยานข้างกาย

“ก็ประมาณเดือนนึง หลังจากที่ทีมฟุตบอลชนะ ฉันควรบอกเธอก่อนหน้านี้ แต่...ขอโทษนะ ฉันเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะทำแบบนั้นจริง ๆ”

“ไม่ต้องหรอก มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะเอดี้”

อเล็กซิสพยายามไม่หันกลับไปมองบ้านอดีตแฟนหนุ่ม เจสซี่และเอโลดี้พูดถูก เธอไม่เคยสงสัยพวกเขาเลย โดยเฉพาะจูน ไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อน เธอคิดบวกเกินไป ไว้ใจคนมากเกินไป มันสายไปแล้วที่จะดึงมีดออกจากหลัง มีดเล่มนี้บาดลึกนัก และเลือดของเธอกำลังจะไหลหมดตัว

“เขามันสมองทึบ โง่ และงี่เง่า” เอโลดี้พูด

“เขาไม่ได้โง่หรอก ฉันต่างหาก” อเล็กซิสหัวเราะ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นบ้ามากกว่ากำลังขำ “รู้อะไรไหมเอดี้ ฉันเคยแม้แต่นึกภาพชุดแต่งงาน แถมยังคิดว่าถ้าได้สวมมงกุฎดอกไม้ก็จะดีมาก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า นอกจากจะเป็นพวกเพ้อฝันแล้ว ฉันยังโง่มากอีกด้วย”

เอโลดี้สั่นหัว “ไม่หรอก ฉันก็เคยเพ้อฝันบ้า ๆ เหมือนกัน เรื่องของฉันกับเจสซี่ไง”

ทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในชั่วโมงเดียว ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เธอได้มีโอกาสเรียนรู้ความจริง และความจริงนี้เองทำให้เธอสูญเสียคนสำคัญสองคนในชีวิตไป