Earth: พร้อมรับมือกับความหล่อรึยังครับ พี่กำลังจะเดินไปนะ

Been: อือ พร้อมแล้ว มาเถอะ

Been: อยากมองหน้าพี่เอิร์ธใกล้ๆ ใจจะขาดแล้ว

Earth: ปากหวานเชียว ต้องได้ชิมแล้วมั้ยครับแบบนี้

หมายถึงจูบรึเปล่า บีนอ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จดจ่อกับมันจนลืมบรรยากาศในร้านกาแฟที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมชวนผ่อนคลาย

Earth: กำลังจะข้ามถนนแล้วนะ

กระทั่งมีข้อความเข้าอีกครั้งบีนจึงดึงสติของตัวเองกลับมาได้ เมื่อมองไปยังร้าน Lolly D ก็พบว่าพี่เอิร์ธกำลังเดินข้ามถนนมาแล้วจริงๆ

ในตอนที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาลดลงเรื่อยๆ นั้นเอง ความกังวลที่กรุ่นในอกก็เพิ่มจำนวนขึ้นจนแสดงออกผ่านดวงตาหลุกหลิก ขาที่สั่นริกๆ และมือชื้นเหงื่อซึ่งประสานกันอยู่บนโต๊ะกลมสำหรับสองคน

ทั้งที่คิดว่าตัวเองตัดสินใจดีแล้วแท้ๆ แต่เอาเข้าจริงกลับประหม่าจนอยากจะวิ่งหนีซะให้รู้แล้วรู้รอด

ขณะที่บีนกำลังจัดการกับความกังวลของตัวเองอยู่นั้น พี่เอิร์ธในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนทับด้วยแจ๊กเก็ตสูทสีกรมท่ากับกางเกงยีนพอดีตัว รองเท้าหนังเงาวับก็มาหยุดยืนที่หน้าร้านแล้ว

เอิร์ธยอมรับว่าเขากำลังตื่นเต้น หัวใจเต้นตูมตามราวกับพร้อมจะหลุดออกมาจากอก ทำเหมือนกับเพิ่งมีความรักครั้งแรก แต่กับความรักไม่ว่าจะเกิดขึ้นกี่ครั้งหัวใจก็ทำงานหนักเสมอนั่นแหละ

Earth: บีนนั่งอยู่ตรงไหนครับ ยกมือเรียกพี่หน่อย ยืนนานๆ มันเขินนะ

คนที่ยังไม่สามารถจัดการกับความกังวลได้เผลอยิ้มออกมาบางเบาขณะจ้องมองไปยังชายหนุ่มซึ่งยืนหันรีหันขวางตรงหน้าประตูที่เสียงดังกรุ๊งกริ๊งของโมบายล์เพิ่งจะเงียบลง

“พี่เอิร์ธทางนี้” เจ้าของชื่อหันมองไปยังต้นเสียงอันคุ้นเคยพร้อมกับหัวใจที่ยังเต้นระรัว เสียงที่ได้ยินผ่านเครื่องมือสื่อสารทำให้ตื่นเต้นมากแค่ไหน เสียงที่ได้ยินจริงๆ กับหูทำให้ตื่นเต้นกว่านั้นเป็นเท่าตัว

และทันทีที่ประสานสายตากันเอิร์ธก็ไม่สามารถเก็บรอยยิ้มได้อีกต่อไป

คนที่เคยได้ยินเพียงแค่เสียงตอนนี้ปรากฏตัวตรงหน้าเขาแล้ว

บีนที่นั่งบนเก้าอี้ตรงมุมหนึ่งของร้านกาแฟอยู่ในชุดเสื้อโปโลโอเวอร์ไซส์สีขาวกับกางเกงวินเทจสีน้ำตาลและรองเท้าผ้าใบสีขาว ทรงผมเปิดหน้าผากเผยใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าอายุ ยิ่งเอิร์ธกวาดสายตามองดวงตากลมสดใส จมูกเล็กที่รั้นหน่อยๆ ให้พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยอย่างไรกับริมฝีปากบาง และแก้มใสสีระเรื่อย ทุกอย่างที่ประกอบเป็นบีนดูเหมือนจะเด็กกว่าเขาอย่างน้อยก็อาจจะ 5 ปีหรือมากกว่านั้น

เอิร์ธแทบไม่เชื่อเลยว่าคนตรงหน้าคือชายหนุ่มอายุ 25

“บีนเหรอครับ” เพื่อความชัวร์เอิร์ธจึงเอ่ยถามอีกครั้ง มือข้างหนึ่งวางไว้บนพนักเก้าอี้ และเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับจึงเลื่อนเก้าอี้ออก

“อือ พี่เอิร์ธนั่งสิ สั่งอะไรมั้ยเดี๋ยวบีนเลี้ยง”

“ไม่ดีกว่าครับ ทำไมบีนถึงนัดพี่ที่นี่ล่ะ ร้านพี่ก็อยู่ตรงข้ามนี่เอง”

“บีนหิวน้ำอะ”

“ที่ร้านก็มีน้ำ”

“บีนเกรงใจ คนที่ออฟฟิศพี่เอิร์ธเขาทำงานกันอยู่ บีนไม่อยากกวน”

“ไม่เป็นไรครับ เจอกันที่ไหนก็ได้เจอกันแล้วเนอะ” ขณะที่เอิร์ธยิ้มอย่างมีความสุขทว่าบีนกลับทำได้เพียงยิ้มกระอักกระอ่วนตอบกลับไป

“พี่เอิร์ธเป็นยังไงบ้าง”

“มีความสุขครับ มีความสุขที่ได้เจอบีน แล้วบีนล่ะ”

บีนยิ้มตอบกลับแบบกำกวม ถ้าหากว่าการเจอกันครั้งนี้ไม่ได้ปูมาด้วยการโกหกเขาคงจะสามารถตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า... มีความสุขมาก

“ไม่มีความสุขที่ได้เจอพี่เหรอครับ” เพราะบรรยากาศระหว่างพวกเขาต่างไปจากที่คิดเอาไว้มาก บีนที่ควรจะสดใสร่าเริงเหมือนที่คุยกันผ่านแชทก็ดูเงียบขรึมและเป็นกังวลจนอดคิดไม่ได้ว่าบางทีการเจอกันครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย

ถ้าหากว่าข้อสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องจริง มันจะไม่ดูทุ่มเทเกินไปหน่อยเหรอที่อุตส่าห์บินมาบอกเลิกกันถึงที่แบบนี้ คงไม่ใช่หรอก เอิร์ธมั่นใจมากทีเดียวว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดำเนินไปด้วยดีเสมอมา ยกเว้นก็เพียงเรื่องรักระยะไกล

หรือว่าบีนจะไม่ชอบรักระยะไกล

“พี่ดูไม่เหมือนในรูปเหรอครับ ก็นะ รูปที่ถ่ายลงเว็บก็ต้องออกมาดูดีกว่าตัวจริงหน่อยสิ” เอิร์ธพยายามสร้างอารมณ์ขันทำลายความอึดอัดที่เพิ่มขึ้นในทุกขณะที่หายใจ ทว่ากลับไม่มีเสียงหัวเราะตอบรับจากอีกฝ่ายอย่างที่ควรจะเป็น

บีนยิ้มเฝื่อน เขาพยายามแล้ว แต่การจะมอบรอยยิ้มสดใสให้กับอีกคนในตอนที่ตัวเองกำลังถูกความรู้สึกผิดเล่นงานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่างยิ่งกับคนที่ทั้งอายุน้อยและอ่อนประสบการณ์ บีนไม่สามารถเก็บซ่อนสีหน้าเป็นทุกข์ได้เลยแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าเอิร์ธย่อมสังเกตุเห็น กลายเป็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่คิดเลยซักอย่าง หากเป็นเรื่องงาน คนเป็นประธานบริษัทอาจจะสามารถแก้ไขได้โดยง่ายจากประสบการณ์แต่กับเรื่องความรัก คนที่ห่างหายจากการมีแฟนมานานขนาดนั้นทำได้เพียงนั่งมองคนตรงหน้าเงียบๆ รอคอยให้คนที่เอาแต่นั่งทำหน้าอมทุกข์พูดอะไรออกมาบ้าง

แต่จนแล้วจนเล่า จนน้ำแข็งในแก้วชาเขียวตรงหน้าบีนละลายแทบจะหมดระหว่างพวกเขาก็ยังไร้ซึ่งบทสนทนา

เป็นเอิร์ธที่ทนความเงียบงันนี้ไม่ได้อีกต่อไป

“เราออกไปสูดอากาศข้างนอกกันหน่อยมั้ยครับ ในนี้คนเยอะ บีนอาจจะอึดอัด” เอ่ยจบก็ตั้งใจจะลุกขึ้นทว่าข้อมือกลับถูกอีกคนคว้าเอาไว้ซะก่อน

“พี่เอิร์ธบีนขอโทษนะ”

คำขอโทษไม่ได้ทำให้มวลความอึดอัดบางเบาลง มิหนำซ้ำมันยังเพิ่มความสงสัยเข้าไปแทรกจนคนตัวสูงเริ่มจะสับสน เอิร์ธกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง เขาพยายามจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เป็นหน้าต่างของหัวใจแต่อีกคนกลับเอาแต่ก้มหน้า

มือของบีนที่ประสานกันใต้โต๊ะบีบแน่นจนเล็บจิกเนื้อเป็นรอย บีนเคยคิดว่าการเอ่ยคำขอโทษเป็นเรื่องไม่ยาก แต่เอาเข้าจริง เมื่อตัวเองเป็นฝ่ายผิดแบบเต็มประตูการเอ่ยคำนั้นกลับช่างยากเย็น ทั้งที่ก่อนออกจากบ้าน เขาเตรียมบทพูดขอความเห็นใจมามากมายแต่ตอนนี้ประโยคเหล่านั้นไม่หลงเหลืออยู่ในสมองเลยแม้แต่น้อย

“ขอโทษเรื่องอะไรครับ ถ้าเป็นเรื่องที่บีนพูดไม่เก่งเหมือนในแชท ไม่เป็นไรเลยนะ”

เป็นเรื่องจริงที่บีนตัวจริงพูดคุยอ้อร้อไม่เก่งเหมือนในแชท แต่เรื่องนั้นมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาจะสารภาพต่อจากนี้

บีนไม่แน่ใจเลยว่าการสารภาพทุกความผิดจะได้รับการให้อภัยหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าขอแค่ได้ยกภูเขาลูกนี้ออกจากอกก็พอ

“ที่จริงบีนไม่ใช่อย่างที่พี่เอิร์ธคิด”

เอิร์ธค่อนข้างเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่สำหรับเขาการที่อีกคนต่างไปจากจินตนาการไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย อย่างยิ่งกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันใกล้ๆ เป็นครั้งแรก ไม่มีใครสามารถจินตนาการถึงคนในแชทได้สมจริง 100 เปอร์เซ็นหรอก

“บีนไม่ได้อายุ 25 บีนไม่ได้เป็นนักพัฒนาซอร์ฟแวร์และบีนก็อยู่ไทยมาตลอดไม่เคยไปสวิตเลย แต่พี่เอิร์ธ บีนน่ะ...” จู่ๆ คำว่าชอบที่เคยเอ่ยออกไปอย่างง่ายดายกลับกลายเป็นยาก บีนก้มหน้าและเม้มริมฝีปากแน่น เฝ้ากล่อมตัวเองให้พูดมันออกไป แต่ยิ่งกดดันตัวเองมากแค่ไหน คำว่าชอบก็ยิ่งฝังลึกจนยากที่จะง้างปากเอ่ยมันออกมา

ทว่าขณะที่บีนกำลังต่อสู่กับตัวเองอย่างหนัก เสียงหัวเราะของอีกคนกลับดังขึ้นจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง

เอิร์ธกำลังหัวเราะอยู่จริงๆ เขากำลังนึกขำตัวเองที่ลืมไปว่าวันนี้คือวันที่ 1 เมษายนทั้งที่ออฟฟิศหวิดจะตบตีกันเพราะแกล้งโกหกจนเลยเถิด

“วันนี้พี่โดนคนที่ออฟฟิศแกล้งมาทั้งวันเลย พี่แข็งแกร่งมากแล้ว บีนไหวเหรอ”

คนถูกถามนิ่งเงียบ ไม่เข้าใจซักคำในประโยคของคนตรงหน้า และแม้จะงุนงงแต่อย่างน้อยเสียงหัวเราะเมื่อครู่ก็คลายความกังวลของบีนลงนิดนึง

“วันนี้เอพริลฟูลเดย์ไงครับ เลิกเล่นได้แล้วน่า”

เอพริลฟูลเดย์ บีนทวนคำในใจพลางนึกเวทนาตัวเองไม่น้อยที่ดันเลือกพูดความจริงในวันโกหกโลก

“ละ แล้วพี่เอิร์ธจัดการคนที่แกล้งพี่เอิร์ธยังไง”

“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลยครับ เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีซักหน่อย”

คำตอบและสายตาสุดแสนอ่อนโยนทำให้บีนอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าเขาเองก็อาจจะได้รับการให้อภัยหลังจากพูดความจริงทั้งหมดออกไปเช่นกัน แม้ว่าการโกหกของเขาจะกินระยะเวลายาวนานและมากมายจนแม้กระทั่งเจ้าตัวยังจำได้ไม่ครบทุกเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหวังว่าผู้ใหญ่ใจดีแบบพี่เอิร์ธจะยิ้มตอบรับและบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’

“ถ้าอย่างนั้นพี่เอิร์ธก็ให้อภัยบีนได้ใช่มั้ย”

ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เอิร์ธอยากจะตอบกลับไปเช่นนั้น แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง สายตาวอกแวกลังเลของบีนทำให้อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าเจ้าตัวต้องการจะพูดอะไรกันแน่

ให้อภัยในที่นี้หมายถึงเรื่องไหน ถ้าหากเป็นเรื่องที่เจ้าตัวทำให้บรรยากาศวันนี้อึดอัดและคำโกหกที่ว่าไม่ใช่คนอายุ 25 ไม่ใช่นักพัฒนาซอร์ฟแวร์และไม่เคยไปสวิตมาก่อน เขาก็พร้อมจะให้อภัยเพราะเข้าใจดีว่าวันนี้เป็นวันโกหกโลก แต่ถ้าหากว่าเป็นคำโกหกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขาคุยแชทกัน เอิร์ธไม่มั่นใจเลยว่าจะทำตามคำขอของอีกคนได้หรือไม่ และบางอย่างภายในใจก็กำลังกระซิบบอกว่าคำสารภาพก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่เป็นเรื่องจริง

“บีนไม่ได้เจตนาไม่ดีเลยนะ บีนแค่อยากคุยกับพี่เอิร์ธ ถึงบีนจะอายุ 17 เป็นนักเรียนและไม่ได้อยู่ต่างประเทศ แต่ความรู้สึกของบีนที่มีให้พี่เอิร์ธเป็นเรื่องจริงนะ”

แม้บีนจะเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วแทบไม่หายใจแต่อายุ 17 ที่อีกคนพูดถึงกลับดังก้องในหูของเอิร์ธซ้ำไปซ้ำมา เช่นเดียวกับสายตาที่จดจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนตรงหน้าอย่างจริงจังจนคล้ายจับผิด

“เมื่อกี้บีนบอกว่าบีนอายุ...” เพื่อความชัวร์เอิร์ธจึงลองถามย้ำอีกครั้ง ภาวนาให้ตัวเองหูฝาดและลางสังหรณ์แรกพบทำงานคลาดเคลื่อน

ทว่าคำภาวนาไม่เป็นผล

“17 กำลังจะขึ้นม.6” บัตรนักเรียนที่อีกฝ่ายวางลงตรงหน้าระบุปีเกิดชัดเจนราวกับตอกย้ำความรู้สึกรักของเอิร์ธให้ลงสู่หุบเหวลึกยากที่จะดึงกลับขึ้นมา

ลางสังหรณ์แรกพบทำงานได้อย่างแม่นยำจนน่ากลัว

“หมายความว่าที่ผ่านมาพี่คุยกับเด็กอายุ 17 มาตลอด”

“อือ”

“บุลวัชร” เอิร์ธอ่านชื่อที่ปรากฏบนบัตรนักเรียนช้าๆ และชัดเจนพลางนึกทบทวนถึงชื่อที่ปรากฏบนสลิปโอนเงินซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการโกหกครั้งนี้ “แล้วบรรณวิช์ล่ะ”

“ชื่อพี่ชายบีน” คนที่เอิร์ธเคยเจอที่ร้านคือพี่ชาย ส่วนคนที่เขาเขย่าเจอในแอปคือคนน้อง ไม่อยากเชื่อเลยว่าโชคชะตาจะเล่นกับความรู้สึกของเขาขนาดนี้

“ถ้าอย่างนั้น” เอิร์ธพยายามข่มความโกรธเอาไว้ก่อนจะใช้นิ้วดันบัตรนักเรียนกลับไปให้เด็กตรงหน้า” บุลวัชรกลับไปตั้งใจเรียนเถอะ”

“พี่เอิร์ธ” หากเป็นก่อนหน้านี้ เสียงคนรักที่เรียกชื่อเขาคงทำให้เขายิ้มกว้างอย่างไม่อยากอธิบายเหตุผล ทว่าครั้งนี้นอกจากไม่ยินดีแล้ว คำนั้นกลับยิ่งกระตุ้นมวลความโกรธให้ขยายวงกว้างขึ้นอีก

ความรู้สึกที่สวิงเหมือนรถไฟเหาะทำให้เอิร์ธปวดหัวตุบ ชั่วขณะที่ประสานสายตากับเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพียงเรื่องโกหก ทว่าในตอนที่เลขปีเกิดในบัตรนักเรียนปรากฏแก่สายตาก็ตระหนักได้ว่านี่คือเรื่องจริง

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา คนที่เขาคุยด้วยจนเกิดเป็นความรักถึงขั้นคบหาเป็นแฟน คนๆ นั้นเป็นเพียงเด็กอายุ 17 ความจริงนั้นทำให้เอิร์ธรู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกเหวี่ยงให้ข้ามเวลากลับไปเมื่อ 6 ปีก่อนอีกครั้ง

เอิร์ธในวัย 26 ยืนเคว้งคว้างกลางห้องรับแขกของบ้าน เขาจ้องมองไปยังคุณแม่ที่รักกำลังซบอกพ่อแล้วร้องไห้อย่างหนัก เมื่อกลั้นเสียงสะอื้นได้จึงหันมาขอร้องอ้อนวอนหญิงวัยกลางคนแปลกหน้า ทั้งยกมือไหว้และเว้าวอนอย่างคนหมดหนทาง แม่แทบจะกราบกรานเพื่อขอให้ฝ่ายนั้นยอมไกล่เกลี่ยและรับค่าเสียหาย

เพราะความทุ่มเทของทุกฝ่ายทำให้เขาที่เพิ่งก้าวเท้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ไม่เพียงไม่กี่วันหลุดพ้นจากการถูกฟ้องร้องคดีพรากผู้เยาว์ ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือผู้เยาว์คนนั้นคือแฟนของเขาเอง แฟนที่อายุน้อยกว่า 3 ปี แฟนที่เพิ่งฉลองครบรอบ 1 ปีด้วยกัน และแฟนที่จัดงานเซอร์ไพร์สวันเกิดอายุครบ 20 ปีให้แก่เขาเมื่อไม่กี่วันก่อน

แฟนที่ทำให้เขาเข็ดหลาบกับความรักมาจนถึงทุกวันนี้

แม้รู้ดีแก่ใจว่าไม่ควรเอาคนเพียงคนเดียวตัดสินคนทั้งโลก แต่เอิร์ธก็ไม่อยากเสี่ยงกับเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว ถึงความรักจะไม่ได้จืดจางลงทันทีที่ได้รู้ความจริงจากปากของบีน แต่เขาเชื่อว่าเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจอย่างที่มันเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง

“บีนขอโทษ” เสียงหม่นเศร้าและนิ้วมือที่ยื่นมาแตะดึงเอิร์ธจากภวังค์ สัมผัสอุ่นๆ ยังตราตรึงบนหลังมือแม้ว่าเขาจะสลัดนิ้วนั้นทิ้งไปแล้ว

ในเวลานี้คำขอโทษของบีนไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับเอิร์ธ เขามองหน้าคนอายุน้อยกว่าด้วยสายตาเย็นชาทำเอาความหนาวเหน็บและรุ่มร้อนถาโถมเข้าใส่ราวกับกาลเวลาในกายของบีนนั้นหมุนวนอย่างรวดเร็วจนท้องไส้ปั่นป่วน

“บุลวัชร” เสียงเรียกชื่อเย็นยะเยือกปราศจากความอบอุ่น ไม่น่าเชื่อว่าเพียงชื่อถูกเอ่ยบีนก็พอจะเข้าใจแล้วว่าผลลัพธ์ของการเจอกันครั้งนี้จะเป็นอย่างไร

ฝันหวานก็เป็นได้เพียงฝัน เมื่อในความเป็นจริงนั้นคนโกหกไม่มีวันได้รับการให้อภัย

” ถ้าคุณรู้สึกผิดและอยากขอโทษจริงๆ ก็จบเรื่องของเราแค่นี้เถอะ”

 

 

TBC.

#รักพี่ไม่มีหลอก